อธิบายหนังสือ บทเรียนต่างๆ ที่สำคัญสำหรับคนทั่วไป (⮫)


 อธิบายหนังสือ บทเรียนต่างๆ ที่สำคัญสำหรับคนทั่วไป

الأحكام الملمة على الدروس المهمة لعامة الأمة

 คำนำผู้เขียน

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ เราใคร่ขอสรรเสริญ ขอความช่วยเหลือ และขออภัยโทษต่อพระองค์ และเราขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้รอดพ้นจากความเลวร้ายของตัวเราเองและจากพฤติกรรมที่ไม่ดีของเรา ผู้ใดที่พระองค์ทรงชี้นำทางเขา จะไม่มีใครทำให้เขาหลงทางไปได้ ส่วนผู้ใดที่พระองค์ทรงให้เขาหลง ก็จะไม่มีผู้ใดให้ทางนำแก่เขาได้

            ฉันขอปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรได้รับการเคารพภักดีอย่างเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีภาคีใดๆ ร่วมกับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณตนว่ามุหัมมัดเป็นบ่าวของอัลลอฮฺและเป็นศาสนทูตของพระองค์

﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ ٱتَّقُواْ ٱللَّهَ حَقَّ تُقَاتِهِۦ وَلَا تَمُوتُنَّ إِلَّا وَأَنتُم مُّسۡلِمُونَ ١٠٢ ﴾ [آل عمران: ١٠٢] 

ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยำเกรงต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริงเถิด และพวกเจ้าอย่าเพิ่งตาย นอกจากในฐานะที่พวกเจ้าเป็นมุสลิมผู้นอบน้อมเท่านั้น” (อาล อิมรอน :102)

﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلنَّاسُ ٱتَّقُواْ رَبَّكُمُ ٱلَّذِي خَلَقَكُم مِّن نَّفۡسٖ وَٰحِدَةٖ وَخَلَقَ مِنۡهَا زَوۡجَهَا وَبَثَّ مِنۡهُمَا رِجَالٗا كَثِيرٗا وَنِسَآءٗۚ وَٱتَّقُواْ ٱللَّهَ ٱلَّذِي تَسَآءَلُونَ بِهِۦ وَٱلۡأَرۡحَامَۚ إِنَّ ٱللَّهَ كَانَ عَلَيۡكُمۡ رَقِيبٗا ١ ﴾ [النساء : ١] 

ความว่า “มนุษยชาติทั้งหลาย จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง และทรงบังเกิดคู่ครองของเขาจากชีวิตนั้น และทรงให้บรรดาชายและหญิงแพร่สะพัดจากทั้งสองชีวิตนั้น และจงยำเกรงอัลลอฮฺที่พวกเจ้าต่างขอกันด้วยพระองค์ และพึงรักษาเครือญาติ แท้จริงอัลลอฮฺทรงสอดส่องดูพวกเจ้าอยู่เสมอ”(อัน-นิสาอ์ :1)

﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ ٱتَّقُواْ ٱللَّهَ وَقُولُواْ قَوۡلٗا سَدِيدٗا ٧٠ يُصۡلِحۡ لَكُمۡ أَعۡمَٰلَكُمۡ وَيَغۡفِرۡ لَكُمۡ ذُنُوبَكُمۡۗ وَمَن يُطِعِ ٱللَّهَ وَرَسُولَهُۥ فَقَدۡ فَازَ فَوۡزًا عَظِيمًا ٧١ ﴾ [الأحزاب : ٧٠-٧١] 

ความว่า “โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย จงยำเกรงอัลลอฮฺ และจงกล่าวถ้อยคำที่เที่ยงธรรมเถิด พระองค์จะทรงปรับปรุงการงานของพวกเจ้าให้ดีขึ้น และจะทรงอภัยโทษในความผิดของพวกเจ้า และผู้ใดที่เชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ แน่นอน เขาจะได้รับความสำเร็จอันใหญ่หลวง” (อัล-อะหฺซาบ:70-71 )

ครั้งหนึ่ง เมื่อฉันได้อ่านหนังสือ “อัด-ดุรูส อัล-มุฮิมมะฮฺ ลิ อามมะฮฺ อัล-อุมมะฮฺ” (แปลเป็นไทยว่า บทเรียนสำคัญสำหรับบุคคลทั่วไป) ของท่านเชคอับดุลอะซีซ บิน บาซ – ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่านด้วยเถิด – ทันใดนั้น ได้เกิดประกายความคิดขึ้นมาว่า ฉันน่าจะขยายความหนังสือเล่มนี้ อันเนื่องจากเล็งเห็นว่าเนื้อหาสาระมีความสำคัญต่อมุสลิมทุกคนเป็นอย่างยิ่ง เสมือนกับว่าเป็นสารที่จะส่งไปยังทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทั้งผู้รู้และผู้เรียน ฉันจึงได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺให้ทรงชี้นำฉันในสิ่งที่ดีกว่า และฉันได้ปรึกษากับเหล่าผู้รู้ ซึ่งทุกคนล้วนสนับสนุน ฉันจึงตั้งมั่นที่จะดำเนินโครงการนี้ให้ลุล่วงไปด้วยดี จึงได้ขออนุญาตจากท่านเชคอับดุลอะซีซที่จะขยายความหนังสือเล่มนี้  ซึ่งท่านก็อนุญาตให้ จึงขอขอบคุณไว้เป็นอย่างสูง

     แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะดูเหมือนว่าเล็กน้อย แต่เนื้อหาสาระที่บรรจุไว้นั้นได้ครอบคลุมรวบรวมถึงหลักการยึดมั่นและหลักปฏิบัติ ทั้งยังได้กล่าวถึงหลักคุณธรรม และจริยธรรมที่มุสลิมควรถือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และช่วงท้ายเล่มจะเตือนให้ระวังถึงพิษภัยของการตั้งภาคีและพฤติกรรมต่างๆ ที่เป็นการฝ่าฝืน จึงถือได้ว่าเป็นสารที่มีเนื้อหาสาระเหมาะสมอย่างยิ่ง ตรงกับชื่อของมันที่ว่าเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคนทั่วไป

     รูปแบบการอธิบายขยายความที่ฉันเลือกถือปฏิบัติ คือจะไม่อธิบายจนยาวเหยียดถึงกับเบื่อหน่าย และมิได้สั้นจนจับใจความไม่ได้ ฉันจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเกิดประโยชน์แก่บรรดาอิมามประจำมัสยิดที่จะนำไปอ่านให้มะอ์มูมฟังหลังละหมาด หรือหัวหน้าครอบครัวที่จะอ่านให้สมาชิกในครอบครัวฟัง หรือนักเรียนนักศึกษาก็สามารถนำไปสอนที่หมู่บ้านของตนเอง ซึ่งฉันเองได้ตระหนักที่จะนำหลักฐานมาประกอบแต่ละหัวข้อเท่าที่สามารถหามาได้ และฉันได้ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า

«الأحكام الملمة على الدروس المهمة»

และท่านเชคอับดุลอะซีซ บิน บาซ เองได้ตรวจทานและเสริมองค์ความรู้ในส่วนที่ควรเสริม ซึ่งฉันได้ขีดเส้นใต้คำที่ท่านเสริมไว้เป็นเครื่องหมาย

     สุดท้ายนี้ หากท่านผู้อ่านท่านใดพบข้อผิดพลาด และความบกพร่องประการใด กรุณาให้คำแนะนำและท้วงติงได้ เพราะคนเราจะมีค่าน้อยด้วยตัวคนเดียว แต่จะมีค่ามากด้วยพวกพ้องของเขา

ขอวิงวอนด้วยพระนามอันวิจิตรของอัลลอฮฺและด้วยคุณลักษณะอันสูงส่งของพระองค์โปรดให้หนังสือเล่มนี้มีคุณประโยชน์มหาศาล และทรงให้การงานของฉันมีความบริสุทธิ์ต่อพระองค์ และขอพระองค์ทรงให้ภาคผลที่ดีแด่ผู้เขียนและผู้อธิบายหนังสือเล่มนี้  และขอพระองค์ทรงให้เราและท่านได้เข้าสวรรค์ชั้นฟิรดาวส์พร้อมกับบรรดาศาสนทูต บรรดาผู้สัจจริง และบรรดาผู้พลีชีพในหนทางของพระองค์ด้วยเถิด

وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين.

อับดุลอะซีซ บิน ดาวูด อัล-ฟายิซ

อัซ-ซุลฟี  21/5/1415


 อธิบายหนังสือ

 บทเรียนต่างๆ ที่สำคัญสำหรับคนทั่วไป


 บทที่ 1 อัล-ฟาติหะฮฺ และบทสูเราะฮฺสั้น

สูเราะฮฺ อัล-ฟาติหะฮฺ และบทสูเราะฮฺสั้นๆ เช่น สูเราะฮฺ อัซ-ซัลซะละฮฺ ถึง สูเราะฮฺ อัน-นาส                           ด้วยการฝึกอ่านให้ถูกต้อง ท่องจำ และอธิบายในส่วนที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ

ท่านเชคอับดุลอะซีซ บิน บาซ เราะหิมาฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในบทที่หนึ่งว่า มุสลิมทุกคนจะต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้สูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺและบทสูเราะฮฺสั้นๆ - ตามขีดความสามารถของแต่ละคน – เนื่องจากการเรียนรู้สูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺถือเป็นภาคบังคับรายบุคคล เพราะว่าละหมาดใดที่ไม่ได้อ่านสูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺย่อมจะใช้ไม่ได้ ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เคยกล่าวไว้

ขั้นตอนปฏิบัติของผู้ที่จะสอนสูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺให้แก่บุคคลอื่น มีดังนี้

ขั้นตอนที่ 1  สอนให้อ่าน หากผู้เรียนยังอ่านไม่ได้ แต่หากผู้เรียนอ่านได้แล้ว ก็ให้เข้าสู่ขั้นตอนต่อไป นั่นคือ

ขั้นตอนที่ 2  สอนให้อ่านอย่างถูกต้องตามหลักการอ่าน

ขั้นตอนที่ 3  ให้ท่องจำสูเราะฮฺ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น

-          ผู้สอนอ่านนำอย่างช้าๆ ผู้เรียนอ่านตามไปจนกระทั่งจำได้ทั้งสูเราะฮฺ

-          อธิบายความหมายสูเราะฮฺ

-          วินิจฉัยกฎเกณฑ์ และบทเรียนต่างๆ ที่ได้รับจากโองการที่อ่าน

ตัวอย่างบทเรียนที่ได้รับจากสูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺ คือ

- การอ่านสูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺนั้นเป็นรุก่นหนึ่งของการละหมาด ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«لَا صَلَاةَ لِمَنْ لَمْ يَقْرَأْ بِفَاتِحَةِ الْكِتَابِ»    

ความว่า “ การละหมาดของผู้ที่ไม่ได้อ่านอัล-ฟาติหะฮฺจะใช้ไม่ได้” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 723 และมุสลิม394)

- บรรดาสะลัฟและปวงปราชญ์ทั้งหลายต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องมีความศรัทธามั่นต่อพระนามอันวิจิตรและคุณลักษณะของอัลลอฮฺ โดยที่จะต้องยอมรับต่อคุณลักษณะที่อัลลอฮฺทรงยืนยันแก่พระองค์เอง หรือที่ท่านศาสนทูตได้ยืนยันไว้สำหรับพระองค์ และปฏิเสธคุณลักษณะที่อัลลอฮฺไม่ทรงยอมรับแก่พระองค์ หรือที่ท่านเราะสูลได้ปฏิเสธไว้ โดยไม่มีการบิดเบือน ไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่มีการเทียบเคียง และไม่มีการแสดงรูปแบบ

- คำว่า “อิบาดะฮฺ” มีนัยที่กว้างขวางมาก ซึ่งหมายรวมถึงทุกวาจาที่เปล่งออกมาและทุกๆ พฤติกรรมทั้งภายนอกและภายในที่อัลลอฮฺทรงพอพระทัย

- การอิบาดะฮฺใดก็แล้วแต่ที่ได้ปนเปื้อนกับการตั้งภาคี อิบาดะฮฺนั้นจะเป็นโมฆะ

- มุสลิมทุกคนจะต้องรำลึกถึงวันแห่งการตอบแทน และการที่คนเราไม่ลืมเลือนที่จะนึกถึงวันที่ยิ่งใหญ่นี้ จะช่วยผลักดันให้เราได้กระทำการภักดีและละเว้นจากพฤติกรรมที่ต้องห้ามได้เป็นอย่างดี

และให้ถือปฏิบัติในการศึกษาสูเราะฮฺอื่นเช่นเดียวกับสูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺ คือทั้งอ่าน ท่องจำ และอธิบายความหมาย วัลลอฮุอะอฺลัม

 บทที่ 2 คำปฏิญาณแห่งอิสลาม

คือกล่าวคำปฏิญาณตนว่า “แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพภักดีอย่างเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺ และแท้จริงท่านนบีมุหัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ”

ประการที่ 1  สถานะของคำปฏิญาณตน

            คำปฏิญาณตนทั้งสองประโยค เป็นรุก่นอิสลามข้อที่หนึ่ง ท่านอิบนุ อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«بُنِيَ الإِسْلَامُ عَلَى خَمْسٍ ، شَهَادَةِ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللهِ، وَإِقَامِ الصَّلَاةِ ، وَإِيتَاءِ الزَّكَاةِ، وَصَوْمِ رَمَضَانَ، وَحَجِّ بَيْتِ اللهِ الحَرَامِ لِمَنْ اسْتَطَاعَ إِلَيْهِ سَبِيْلًا»

ความว่า “อิสลามนั้นวางอยู่บนหลักการพื้นฐานห้าประการ นั่นคือ การปฏิญานตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺ และมุหัมมัดนั้นคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ การดำรงไว้ซึ่งการละหมาด การจ่ายซะกาต การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน และการประกอบพิธีหัจญ์ ณ บัยตุลลอฮฺ สำหรับผู้ที่มีปัจจัยสามารถเดินทางไปได้” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 8 และมุสลิม 16)   

ดังนั้น คำปฏิญาณตนจึงเป็นรากฐานของศาสนา เป็นป้อมปราการที่มั่นคง และเป็นสิ่งจำเป็นประการแรกของบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งการกระทำทุกอย่างจะได้รับภาคผลก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นได้กล่าวคำปฏิญาณตนและน้อมปฏิบัติตามเนื้อหาสาระของคำคำนี้

ประการที่ 2 ความหมายของคำปฏิญาณตน

หมายถึง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพภักดีอย่างเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺ เราจะให้ความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เช่น จะให้ความหมายว่า “ไม่มีผู้สร้างใดนอกจากอัลลอฮฺ” หรือ “ไม่มีพระเจ้า” หรือ “ไม่มีผู้ให้ปัจจัยนอกจากอัลลอฮฺ” ด้วยเหตุผลหลายประการ ส่วนหนึ่งก็คือ เนื่องจากว่าบรรดาผู้ปฏิเสธชาวกุเรชมิได้ปฏิเสธเลยว่าอัลลอฮฺเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆ แต่ความเชื่อนี้หาได้เกิดประโยชน์แก่พวกเขาแต่อย่างใด พวกเขาเข้าใจความหมายของคำนี้อย่างลึกซึ้ง พวกเขาจึงไม่ยอมที่จะกล่าวคำนี้เมื่อท่านเราะสูลเรียกร้องพวกเขาให้กล่าวว่า  “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ - ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรได้รับการเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺ”

เรารู้สึกฉงนยิ่งนักที่ในปัจจุบันนี้ผู้คนกล่าวคำปฏิญาณตนว่า “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ - ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพภักดีอย่างเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺ” โดยที่พวกเขามิได้เข้าใจความหมายอย่างแท้จริง พวกเขาจึงวิงวอนขอต่อพระเจ้าอื่นๆ ร่วมกับอัลลอฮฺ ไม่ว่าจากผู้ที่ถูกฝังในหลุมศพ หรือผู้วิเศษ เป็นต้น แล้วอ้างตนว่าพวกเขาให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺลมุสตะอาน

ประการที่ 3 กฎเกณฑ์ของคำปฏิญาณตนมีสองประเด็น

ประเด็นที่หนึ่ง การปฏิเสธ ด้วยการกล่าวว่า “ลาอิลาฮะ - ไม่มีพระเจ้าอื่นใด”

ประเด็นที่สอง การยอมรับ และยืนยัน ด้วยกล่าวว่า “อิลลัลลอฮฺ - นอกจากอัลลอฮฺ”

ดังนั้นเมื่อกล่าวว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด” เท่ากับว่าได้ปฏิเสธพระเจ้าทั้งหมดที่มีอยู่อื่นจากอัลลอฮฺ และเมื่อกล่าวว่า “นอกจากอัลลอฮฺ” เท่ากับเป็นการยืนยันการเป็นพระเจ้าแด่อัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ ร่วมกับพระองค์

ประการที่ 4 ความประเสริฐของการกล่าว “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ”

คำปฏิญาณตนมีความประเสริฐที่สูงส่งมาก ณ อัลลอฮฺ ผู้ใดที่กล่าวคำนี้อัลลอฮฺจะให้เขาเข้าสวนสวรรค์ของพระองค์ ส่วนผู้ใดที่กล่าวแค่ลมปาก ไม่มีความจริงใจเขาก็ยังได้รับความคุ้มครองในชีวิตและทรัพย์สินในโลกนี้ ส่วนในปรโลกก็สุดแล้วแต่อัลลอฮฺจะคิดบัญชีกับเขาอย่างไร และเขาผู้นั้นจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มของผู้กลับกลอก

อนึ่ง คำปฏิญาณตนเป็นวลีที่สั้นๆ เพียงไม่กี่อักษร กล่าวได้ไม่ยาก แต่มีน้ำหนักยิ่งนักในตาชั่ง ท่านอิบนุ เราะญับได้รวบรวมความประเสริฐของคำคำนี้ไว้ในหนังสือที่ชื่อว่า “กะลิมะฮฺ อัล-อิคลาศ” ไว้หลายประการพร้อมนำหลักฐานประกอบ เช่น

1)      คำปฏิญาณตนเป็นค่าของสวนสวรรค์ ซึ่งผู้ใดที่กล่าวคำนี้ก่อนสิ้นชีวิตเขาจะได้เข้าสวรรค์

2)      เป็นคำกล่าวที่จะทำให้รอดพ้นจากขุมนรก

3)      เป็นคำกล่าวที่เป็นเหตุให้ได้รับการอภัยโทษ

4)      เป็นคำกล่าวที่เป็นความดีงามสูงสุด

5)      เป็นคำกล่าวที่ลบล้างความผิด

6)      เป็นคำกล่าวที่จะเปิดม่านที่ปิดกั้นเส้นทางสู่อัลลอฮฺ

7)      ผู้ใดที่กล่าวคำนี้อัลลอฮฺจะทรงเชื่อในตัวเขา

8)      เป็นคำที่ประเสริฐที่สุดที่บรรดาศาสนทูตของอัลลอฮฺได้กล่าวไว้

9)      เป็นคำกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺที่ดีที่สุด

10)  เป็นการกระทำที่ประเสริฐที่สุด

11)  เป็นคำกล่าวที่มีภาคผลเพิ่มเป็นทวีคูณ เท่ากับการปลดปล่อยทาสให้เป็นไท

12)  เป็นคำกล่าวที่เป็นเกราะป้องกันชัยฏอนมารร้าย

13)  เป็นคำกล่าวที่ทำให้ได้รับความปลอดภัยจากความโดดเดี่ยวในหลุมฝังศพ

14)  เป็นคำกล่าวที่ทำให้ได้รับความสะดวกในวันฟื้นคืนชีพ

15)  เป็นสัญลักษณ์ของผู้ศรัทธาเมื่อฟื้นขึ้นมาจากหลุมศพ

16)  เป็นคำกล่าวที่จะเปิดประตูสวรรค์ทั้งแปด ซึ่งเขาจะเลือกเข้าทางประตูใดก็ได้

17)  เป็นคำกล่าวที่จะนำเจ้าของ/ผู้ที่เอ่ยมันออกจากนรก แม้ว่าเขาต้องตกนรกด้วยความบกพร่องในหน้าที่ต่อคำปฏิญาณนี้ระหว่างที่มีชีวิตอยู่บนโลกดุนยาก็ตาม แต่สุดท้ายเขาก็จะได้ออกจากนรก (ดูเพิ่มเติมในหนังสือของเชคศอลิหฺ บิน เฟาซาน หัวข้อ “ลาอิละฮะ  อิลลัลลอฮฺ”)

ประการที่ 5 ความหมายของคำปฏิญาณตนว่า “มุหัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ”

            หมายถึง จะต้องเชื่อมั่นและยอมรับในสิ่งที่ท่านนำมาบอก เชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน ละเว้นจากข้อห้ามต่างๆ ที่ท่านห้ามปราม และให้ความสำคัญกับข้อใช้และข้อห้ามของท่าน อย่าได้นำเอาความคิด ทัศนะและคำพูดผู้ใดนำหน้าก่อนคำพูดของท่าน

ประการที่ 6 พึงทราบเถิดว่าผู้ใดที่ปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพภักดีอย่างเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว และแท้จริงมุหัมมัดเป็นบ่าวของอัลลอฮฺและเป็นศาสนทูตของพระองค์ และแท้จริงอีซาเป็นบ่าวของอัลลอฮฺและเป็นศาสนทูตของพระองค์ เป็นประกาศิตที่อัลลอฮฺประทานให้แก่มัรยัม และเป็นวิญญาณที่ประทานมาจากพระองค์ และเชื่อว่าเรื่องนรกและสวรรค์เป็นความจริง อัลลอฮฺจะให้เขาเข้าสวรรค์ตามการงานที่เขาได้ประพฤติไว้ ซึ่งท่านอุบาดะฮฺ บิน อัศ-ศอมิต ได้เล่าเรื่องนี้จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

เงื่อนไขของการกล่าวคำปฏิญาณตน มีดังนี้ คือ

1-   อัล-อิลมฺ รู้ความหมายของคำปฏิญาณตนอย่างลึกซึ้ง  มิใช่กล่าวโดยที่ไม่เข้าใจในความหมาย (ตรงกันข้ามกับ อัล-ญะฮ์ลฺ)

2-   อัล-ยะกีน มีความมั่นใจกับการกล่าวคำปฏิญาณตน ต้องไม่มีความสงสัย ลังเลใจ (ตรงกันข้ามกับ อัช-ชักก์)

3-   อัล-อิคลาศ มีความบริสุทธิ์ใจต่อคำปฏิญาณตน ต้องไม่มีการตั้งภาคีกับพระองค์ (ตรงกันข้ามกับ อัช-ชิรกฺ)

4-   อัศ-ศิดกฺ มีความสัจจริงต่อคำปฏิญาณตน (ตรงกันข้ามกับ อัล-กะซิบ)

5-   อัล-มะหับบะฮฺ มีความรักต่อคำปฏิญาณตน ต้องไม่มีความรู้สึกเกลียดชัง (ตรงกันข้ามกับ อัล-บุฆฎฺ)

6-   อัล-อินกิยาด การยอมจำนน โดยไม่ละทิ้งหรือไม่แยแส (ตรงกันข้ามกับ อัต-ตัรกฺ)

7-   อัล-เกาะบูล ยอมรับปฏิบัติตาม โดยไม่มีการคัดค้านปฏิเสธ (ตรงกันข้ามกับ อัร-ร็อดด์)

8-   ต้องปฏิเสธต่อพระเจ้าทั้งหมดที่ได้รับการภักดีอื่นจากอัลลอฮฺ

นักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเงื่อนไขของคำปฏิญาณตนมีเจ็ดประการ แต่มีผู้รู้บางท่านอย่างเชคบินบาซผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ท่านเพิ่มเงื่อนไขข้อที่แปด ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้

เงื่อนไขข้อที่ 1 รู้ความหมายของคำปฏิญาณตน

เมื่อบ่าวรู้ว่าอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าองค์เดียวซึ่งคู่ควรที่จะได้รับการภักดี การภักดีพระเจ้าอื่นๆ ทั้งหมดถือเป็นโมฆะ และเขาถือปฏิบัติตามความรู้อันนี้ แสดงว่าเขารู้ความหมายที่แท้จริงของคำปฏิญาณตน อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ فَٱعۡلَمۡ أَنَّهُۥ لَآ إِلَٰهَ إِلَّا ٱللَّهُ﴾ [محمد : ١٩] 

ความว่า “ พึงทราบเถิดว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺ” (มุหัมมัด:19)

และพระองค์ได้ตรัสอีกว่า

﴿ إِلَّا مَن شَهِدَ بِٱلۡحَقِّ وَهُمۡ يَعۡلَمُونَ ٨٦ ﴾ [الزخرف: ٨٦] 

ความว่า “เว้นแต่ผู้ยืนยันเป็นพยานด้วยความจริงและพวกเขารู้ดี” (อัซ-ซุครุฟ:86 )

และท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«مَنْ مَاتَ وَهُوَ يَعْلَمُ أَنَّهُ لَا إلهَ إِلَّا اللهُ دَخَلَ الْجَنَّةَ»

ความว่า “ผู้ใดที่สิ้นชีวิตลงในขณะที่เขารู้ว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺ เขาย่อมจะได้เข้าสวรรค์” (บันทึกโดยมุสลิม 26 และอะห์มัด 1/69)

เงื่อนไขข้อที่ 2 จะต้องมีความมั่นใจ

            นั่นคือเขาต้องกล่าวด้วยความมั่นใจและเชื่อมั่นว่าอัลลอฮฺเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้ ส่วนพระเจ้าอื่นทั้งหมดเป็นพระเจ้าจอมปลอม อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَٱلَّذِينَ يُؤۡمِنُونَ بِمَآ أُنزِلَ إِلَيۡكَ وَمَآ أُنزِلَ مِن قَبۡلِكَ وَبِٱلۡأٓخِرَةِ هُمۡ يُوقِنُونَ ٤ ﴾ [البقرة: ٤] 

ความว่า “บรรดาผู้ศรัทธาต่อคัมภีร์ที่เจ้าได้รับ และต่อคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาก่อนหน้าเจ้า และพวกเขามีความศรัทธามั่นต่อวันปรโลก” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 4)

ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า 

«مَنْ لَقِيتَ خَلْفَ هَذَا الْحَائِطِ يَشْهَدُ أَنْ لا إِلَهَ إِلا اللَّهُ مُسْتَيْقِنًا بِهَا مِنْ قَلْبِهِ فَبَشِّرْهُ بِالْجَنَّةِ»

ความว่า “ผู้ใดที่เจ้าได้พบเจอเขาด้านหลังกำแพงนี้ ที่เขาปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพภักดีที่เที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺ ด้วยหัวใจที่เชื่อมั่น พึงแจ้งข่าวดีแก่เขาเถิดว่า เขาจะได้เข้าสวรรค์” (บันทึกโดยมุสลิม 31)

เงื่อนไขข้อที่ 3 การยอมรับ

หมายถึงต้องยอมรับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำปฏิญาณตนทั้งด้วยจิตใจและวาจา อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ قُولُوٓاْ ءَامَنَّا بِٱللَّهِ وَمَآ أُنزِلَ إِلَيۡنَا ﴾ [البقرة: ١٣٦] 

ความว่า “พวกเจ้าจงกล่าวว่าเราศรัทธามั่นต่ออัลลอฮฺ และต่อคัมภีร์ที่พระองค์ประทานลงแก่เรา”(อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 163)

เงื่อนไขข้อที่ 4 การยอมจำนน

            หมายถึงจะต้องจำนนอย่างศิโรราบต่อสิ่งที่คำปฏิญาณตนได้ยืนยัน อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَمَنۡ أَحۡسَنُ دِينٗا مِّمَّنۡ أَسۡلَمَ وَجۡهَهُۥ لِلَّهِ وَهُوَ مُحۡسِنٞ ﴾ [النساء : ١٢٥] 

ความว่า “และผู้ใดจะยึดมั่นในศาสนาดียิ่งไปกว่าผู้ที่ยอมจำนนตัวของเขาแด่อัลลอฮฺ ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำดี” (อัน-นิสาอ์ : 125)

และพระองค์ได้ตรัสอีกว่า

﴿ ۞وَمَن يُسۡلِمۡ وَجۡهَهُۥٓ إِلَى ٱللَّهِ وَهُوَ مُحۡسِنٞ فَقَدِ ٱسۡتَمۡسَكَ بِٱلۡعُرۡوَةِ ٱلۡوُثۡقَىٰۗ ﴾ [لقمان: ٢٢] 

ความว่า “และผู้ใดยอมจำนนใบหน้า(มอบตัว)ของเขาแด่อัลลอฮฺ โดยที่เขาเป็นผู้กระทำดี แน่นอนเขาได้ยึดมั่นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว” (ลุกมาน : 22)

เงื่อนไขข้อที่ 5 มีความสัจจริง

          หมายถึงจะต้องมีอีมานหรือความศรัทธาที่แท้จริง เชื่อจริง พูดจริง และสัจจริงในการเรียกร้องเชิญชวน อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

 ﴿يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ ٱتَّقُواْ ٱللَّهَ وَكُونُواْ مَعَ ٱلصَّٰدِقِينَ﴾ [التوبة: 119] 

ความว่า “โอ้ศรัทธาชนเอ๋ย พึงยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และจงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้สัจจริงเถิด” (อัต-เตาบะฮฺ : 119)

เงื่อนไขข้อที่ 6 มีความบริสุทธิ์ใจ

            นั่นคือทุกวาจาและพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมาต้องกระทำไปเพื่ออัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว หวังในความพอพระทัยของพระองค์ ไม่ปะปนกับสิ่งอื่นใด อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَمَآ أُمِرُوٓاْ إِلَّا لِيَعۡبُدُواْ ٱللَّهَ مُخۡلِصِينَ لَهُ ٱلدِّينَ﴾ [البينة: ٥] 

ความว่า “และพวกเขามิได้ถูกบัญชาให้กระทำอื่นใด เว้นแต่เพื่อให้พวกเขาเป็นผู้ที่มีเจตนาบริสุทธิ์ในการภักดีต่ออัลลอฮฺ” (อัล-บัยยินะฮฺ : 5)

ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«أَسْعَدُ النَّاسِ بِشَفَاعَتِي مَنْ قَالَ : لَا إلهَ إلَّا اللَّهُ خَالِصًا مِنْ قَلْبِهِ»

ความว่า “มนุษย์ที่มีความสุขที่สุดจากการได้รับการช่วยเหลือจากฉัน คือผู้ที่กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพภักดีที่เที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺ ด้วยความบริสุทธิ์จากก้นเบื้องของหัวใจเขา” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 99 และอะหมัด 2/373)

เงื่อนไขข้อที่ 7 มีความรัก

          นั่นคือ จะต้องรักต่อคำคำนี้ และส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ฉะนั้นเขาจะต้องรักอัลลอฮฺ รักเราะสูล และต้องรักทั้งสองมากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَمِنَ ٱلنَّاسِ مَن يَتَّخِذُ مِن دُونِ ٱللَّهِ أَندَادٗا يُحِبُّونَهُمۡ كَحُبِّ ٱللَّهِۖ وَٱلَّذِينَ ءَامَنُوٓاْ أَشَدُّ حُبّٗا لِّلَّهِۗ ﴾ [البقرة: ١٦٥] 

ความว่า “และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ยึดถือเอาภาคีอื่นจากอัลลอฮฺ โดยที่พวกเขาให้ความรักต่อภาคีเหล่านั้นเช่นเดียวกับรักอัลลอฮฺ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นผู้ที่รักอัลลอฮฺยิ่งกว่ามากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 165)

เงื่อนไขข้อที่ 8 ปฏิเสธพระเจ้าจอมปลอมอื่นจากอัลลอฮฺ

            ท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

« مَنْ قَالَ لَا إلهَ إلَّا اللَّهُ وَكَفَرَ بِمَا يُعْبَدُ مِنْ دُوْنِ اللهِ حَرُمَ مَالُهُ وَدَمُهُ وَحِسَابُهُ عَلَى اللهِ»

ความว่า “ผู้ใดที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพภักดีโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺ และปฏิเสธพระเจ้าทั้งหลายที่ได้รับการภักดีอื่นจากอัลลอฮฺ เขาจะได้รับการคุ้มครองในชีวิตและทรัพย์สิน  ส่วนในปรโลกจะเป็นเช่นไรอัลลอฮฺจะทรงคิดบัญชีกับเขาเอง” (บันทึกโดยมุสลิม 23)

 บทที่ 3 หลักการศรัทธา

หมายถึง ท่านต้องศรัทธามั่นต่ออัลลอฮฺ ต่อบรรดามะลาอิกะฮฺ ต่อบรรดาคัมภีร์ ต่อบรรดาเราะสูล ต่อวันอาคิเราะฮฺ และต่อการลิขิตของอัลลอฮฺทั้งชั่วดี ดังปรากฏในหะดีษญิบรีลเมื่อท่านได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เกี่ยวกับหลักการอีมาน ท่านตอบว่า

«الْإِيمَانُ أَنْ تُؤْمِنَ بِاللَّهِ وَمَلَائِكَتِهِ وَكُتُبِهِ وَرُسُلِهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ وَبِالْقَدَرِ خَيْرِهِ وَشَرِّهِ»

ความว่า “การศรัทธา คือการที่ท่านต้องศรัทธามั่นต่ออัลลอฮฺ ต่อบรรดามะลาอิกะฮฺ ต่อบรรดาคัมภีร์ ต่อบรรดาเราะสูล ต่อวันอาคิเราะฮฺ และต่อการกำหนดความดีและความชั่ว” (บันทึกโดยมุสลิม 8)

1. การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ

หมายถึงต้องมีศรัทธาต่ออัลลอฮฺในหลักพื้นฐาน  4  ประการ

ประการที่หนึ่ง ต้องเชื่อมั่นว่าอัลลอฮฺทรงมี

ซึ่งได้ปรากฏหลักฐานที่แสดงถึงการมีของอัลลอฮฺในหลายๆ แง่ ไม่ว่าโดยกมลสันดานโดยธรรมชาติสติปัญญา ตัวบทหลักฐาน และประสาทสัมผัส

1. หลักฐานในแง่กมลสันดานโดยธรรมชาติที่แสดงถึงการมีอยู่ของอัลลอฮฺ เนื่องจากว่าสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกกำหนดโดยธรรมชาติให้มีความศรัทธาต่อผู้สร้างเขา โดยไม่ต้องแสร้งคิดและเหนื่อยหาเหตุผลหรือต้องเรียนรู้มาก่อน ดังที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

« مَا مِنْ مَوْلُودٍ إِلَّا يُولَدُ عَلَى الْفِطْرَةِ ، فَأَبَوَاهُ يُهَوِّدَانِهِ ، أَوْ يُنَصِّرَانِهِ ، أَوْ يُمَجِّسَانِهِ»

ความว่า “ทารกทุกคนเกิดมาด้วยกมลสันดานธรรมชาติที่บริสุทธิ์ แล้วบิดามารดาของเขาเป็นเหตุทำให้เขากลายเป็นยิว หรือเป็นคริสต์ หรือเป็นผู้บูชาไฟ” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 1292 และมุสลิม 2658)

2. หลักฐานด้านสติปัญญา อันเนื่องจากว่าสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งปวงตั้งแต่กาลก่อน และที่จะมีต่อไปข้างหน้า ย่อมมีผู้สร้างให้บังเกิดขึ้น เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สรรพสิ่งจะสร้างตัวของมันขึ้นมาเองได้ และเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญปราศจากผู้สร้าง  

3. ตัวบทหลักฐานที่แสดงถึงการมีของอัลลอฮฺ

นั่นคือ เนื่องจากว่าบรรดาคัมภีร์ทุกเล่มที่ถูกประทานลงมาจากฟากฟ้าต่างยืนยัน และบอกกล่าวถึงการมีของอัลลอฮฺ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคัมภีร์ที่ประเสริฐสุด คือคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งได้ยืนยันไว้ชัดเจน และบรรดาศาสนทูตทั้งหลายต่างชี้นำและอธิบายถึงเรื่องนี้อย่างถ้วนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนบีมุหัมมัดศาสนทูตท่านสุดท้าย

4. หลักฐานด้านประสาทสัมผัสที่แสดงถึงการมีของอัลลอฮฺนั้น  แบ่งออกเป็นสองแง่มุม คือ

หนึ่ง ตามที่เราได้รับทราบและได้เห็นการตอบสนองของอัลลอฮฺแก่ผู้วิงวอนร้องขอความช่วยเหลือ  และการที่พระองค์ทรงช่วยเหลือผู้ตกอยู่ในภาวะนาทีชีวิต หรือภาวะคับขัน ถือเป็นหลักฐานยืนยันที่แสดงถึงการมีอยู่ของอัลลอฮฺ

สอง สัญญาณต่างๆ ที่บรรดาศาสนทูตนำมาแสดงให้ผู้คนได้เห็น ได้สัมผัส หรือที่พวกเขาได้รับทราบ นั้นคือ สิ่งปาฏิหารย์ที่เกิดขึ้นเกินความสามารถของมนุษย์ ล้วนเป็นหลักฐานยืนยันถึงการมีของผู้สร้าง ผู้ครอบครองและผู้บริหารสูงสุดแห่งจักรวาลนี้ นั่นคือ อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง

ประการที่สอง การศรัทธาต่อการเป็นผู้อภิบาลของอัลลอฮฺ

          คือ ต้องเชื่อมั่นว่าอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้นเป็นองค์อภิบาล ไม่มีภาคีใดๆ ร่วมกับพระองค์ ไม่มีใครเป็นหุ้นส่วนกับพระองค์ และองค์อภิบาลนั้นคือผู้ที่ทรงสร้าง ทรงครอบครอง และทรงบริหารกิจการทั้งหลาย ดังนั้นจึงไม่มีผู้สร้างใดนอกจากอัลลอฮฺ ไม่มีใครครอบครองจักรวาลนี้นอกจากพระองค์ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿أَلَا لَهُ ٱلۡخَلۡقُ وَٱلۡأَمۡرُۗ ﴾ [الأعراف: ٥٣] 

ความว่า “พึงทราบเถิดว่าการสร้างและกิจการทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิ์ของพระองค์เท่านั้น” (อัล-อะอฺรอฟ : 54)

และพระองค์ได้ตรัสอีกว่า

﴿ذَٰلِكُمُ ٱللَّهُ رَبُّكُمۡ لَهُ ٱلۡمُلۡكُۚ وَٱلَّذِينَ تَدۡعُونَ مِن دُونِهِۦ مَا يَمۡلِكُونَ مِن قِطۡمِيرٍ ١٣ ﴾ [فاطر: ١٣] 

ความว่า “นั่นคืออัลลอฮฺพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า อำนาจการปกครองทั้งมวลเป็นสิทธิ์ของพระองค์ และพระเจ้าอื่นๆ ที่พวกเจ้าวิงวอนขออื่นจากพระองค์นั้น มิได้ครอบครองสิ่งใด แม้แต่เพียงเยื่อบางหุ้มเมล็ดอินทผลัม” (ฟาฏิรฺ : 13)

ประการที่สาม การศรัทธาต่อการเป็นพระเจ้าที่คู่ควรแก่การเคารพภักดีแต่เพียงผู้เดียวของอัลลอฮฺ

          หมายถึงการเชื่อมั่นว่าอัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะได้รับการเคาพภักดีอย่างแท้จริง ไม่มีภาคีใดๆ ร่วมกับพระองค์

            อนึ่ง ความหมายของคำว่า “อิลาฮฺ” คือผู้ที่ได้รับการเคารพสักการะด้วยความรักและด้วยการเทิดทูน อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَإِلَٰهُكُمۡ إِلَٰهٞ وَٰحِدٞۖ لَّآ إِلَٰهَ إِلَّا هُوَ ٱلرَّحۡمَٰنُ ٱلرَّحِيمُ ١٦٣ ﴾ [البقرة: ١٦٣] 

ความว่า “และผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการะของพวกเจ้านั้นมีเพียงองค์เดียว ไม่มีผู้ใดที่ควรแก่การเคารพภักดีนอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ :163)

และอัลลอฮฺได้ตรัสอีกว่า

﴿ لَقَدۡ أَرۡسَلۡنَا نُوحًا إِلَىٰ قَوۡمِهِۦ فَقَالَ يَٰقَوۡمِ ٱعۡبُدُواْ ٱللَّهَ مَا لَكُم مِّنۡ إِلَٰهٍ غَيۡرُهُۥٓ إِنِّيٓ أَخَافُ عَلَيۡكُمۡ عَذَابَ يَوۡمٍ عَظِيمٖ ٥٩ ﴾ [الأعراف: ٥٨] 

ความว่า “แท้จริง เราได้ส่งนูหฺไปยังกลุ่มชนของเขา แล้วเขาได้เรียกร้องว่า โอ้หมู่ชนของฉันจงให้การภักดีต่ออัลลอฮฺเถิด ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่พวกท่านควรจะให้การเคารพภักดีอีกแล้วอื่นจากพระองค์” (อัล-อะอฺรอฟ : 59)

ประการที่สี่ การศรัทธามั่นต่อพระนามอันวิจิตรและคุณลักษณะอันสมบูรณ์ของอัลลอฮฺ

กล่าวคือ การยืนยัน การยอมรับต่อพระนามและคุณลักษณะที่อัลลอฮฺทรงยืนยันแก่พระองค์เองในคัมภีร์ของพระองค์ และที่ปรากฏในวจนะของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตามสภาพที่เหมาะสมกับพระองค์ โดยไม่มีการบิดเบือน ไม่ปฏิเสธ ไม่อธิบายวิธีหรือรูปแบบ และไม่มีการเปรียบเทียบ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿لَيۡسَ كَمِثۡلِهِۦ شَيۡءٞۖ وَهُوَ ٱلسَّمِيعُ ٱلۡبَصِيرُ ١١﴾ [الشورى: ١١] 

ความว่า “ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยิน ทรงเห็นยิ่ง” (อัช-ชูรอ : 11)

ผลที่ได้รับจากการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ

1-      บรรลุถึงแก่นแท้ของการให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ กล่าวคือ จิตใจจะไม่ผูกพันกับสิ่งอื่นนอกจากพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการหวังในความเมตตาและผลบุญ หรือเกรงกลัวการลงโทษ และจะไม่เคารพภักดีต่อสิ่งอื่นนอกจากพระองค์เท่านั้น

2-      รักอัลลอฮฺและเทิดทูนเกียรติพระองค์อย่างสมบูรณ์แบบ ตามเจตนารมณ์ของพระนามอันวิจิตร และคุณลักษณะอันสูงส่งของพระองค์

3-      บรรลุถึงแก่นแท้ของการเคารพภักดีต่อพระองค์ ด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชา และออกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม

สอง การศรัทธาต่อบรรดามะลาอิกะฮฺ

ก. นิยาม

     มะลาอิกะฮฺ คือสรรพสิ่งที่เร้นลับ ถูกสร้างมาจากรัศมี มีหน้าที่ปฏิบัติตามบัญชาของอัลลอฮฺ ไม่มีลักษณะพิเศษของการเป็นพระเจ้าหรือการเป็นผู้สร้างแต่อย่างใด อัลลอฮฺสร้างพวกเขามาจากรัศมี และพระองค์ให้พวกเขามีลักษณะของการน้อมรับคำบัญชาของพระองค์อย่างสมบูรณ์แบบ และให้มีพละกำลังที่จะดำเนินการให้คำบัญชาของพระองค์สำเร็จลุล่วง พวกเขามีจำนวนมหาศาล ไม่มีผู้ใดรู้จำนวนของพวกเขา นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น

ข. การศรัทธาต่อบรรดามะลาอิกะฮฺครอบคลุมสี่ประการ

หนึ่ง ศรัทธาต่อการมีอยู่ของมะลาอิกะฮฺ

สอง ศรัทธาต่อมะลาอิกะฮฺที่เราทราบชื่ออย่างเจาะจง เช่น ญิบรีล ส่วนผู้ที่เราไม่ทราบชื่อนั้นให้เราศรัทธาโดยภาพรวม

สาม ศรัทธาในคุณลักษณะของพวกเขาตามที่เราได้รับรู้จากหลักฐาน

สี่ ศรัทธาในหน้าที่ของพวกเขาตามที่เราได้รับรู้ เช่น มะละกุลเมาต์ มีหน้าที่ดึงวิญญาณออกจากร่าง เป็นต้น

สาม การศรัทธาต่อคัมภีร์ต่างๆ

คือ การศรัทธาต่อคัมภีร์ต่างๆ ที่อัลลอฮฺได้ประทานแก่บรรดาศาสนทูตของพระองค์ เพื่อเป็นความเมตตาต่อสรรพสิ่ง และเป็นทางนำแก่พวกเขา เพื่อนำไปสู่ความสุขในโลกนี้และโลกหน้า

การศรัทธาต่อคัมภีร์ประกอบด้วย

หนึ่ง ศรัทธาว่าแท้จริงคัมภีร์เหล่านั้นถูกประทานมาจากอัลลอฮฺ

สอง ศรัทธาในคัมภีร์ที่เราทราบชื่อ เช่น อัลกุรอาน ถูกประทานแก่มุหัมมัด อัต-เตารอต ถูกประทานแก่มูซา เป็นต้น

สาม เชื่อในคำบอกเล่าหรือเรื่องราวที่อยู่ในคัมภีร์ เช่น เรื่องราวต่างๆ ที่อยู่ในอัลกุรอาน และเรื่องราวที่อยู่ในคัมภีร์ก่อนๆ ที่ยังไม่ถูกบิดเบือนหรือแก้ไข

สี่ ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ยังไม่ถูกยกเลิก ยอมรับอย่างจริงใจและจำนนต่อบทบัญญัติของมันโดยดุษฎี แม้ว่าเราจะรู้และเข้าใจในวิทยปัญญาของมันหรือไม่ก็ตาม ส่วนบทบัญญัติในคัมภีร์ก่อนๆ นั้นล้วนถูกยกเลิกโดยอัลกุรอานแล้วทั้งสิ้น อัลลอฮฺตรัสว่า

﴿ وَأَنزَلۡنَآ إِلَيۡكَ ٱلۡكِتَٰبَ بِٱلۡحَقِّ مُصَدِّقٗا لِّمَا بَيۡنَ يَدَيۡهِ مِنَ ٱلۡكِتَٰبِ وَمُهَيۡمِنًا عَلَيۡهِۖ ﴾ [المائ‍دة: ٤٨] 

ความว่า “และเราได้ประทานคัมภีร์อัลกุรอานลงมายังเจ้าด้วยความจริง เพื่อยืนยันในความสัจจริงของคัมภีร์ที่มาก่อนหน้า และควบคุมเหนือคัมภีร์เหล่านั้น (เป็นคัมภีร์ที่จำแนกว่าสิ่งใดคือความจริงและสิ่งใดถูกบิดเบือนในคัมภีร์ก่อนหน้านี้) (อัล-มาอิดะฮฺ : 48)

ผลที่ได้รับจากการศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์

1-   ได้รับรู้ว่าอัลลอฮฺให้ความสำคัญกับปวงบ่าวของพระองค์ โดยพระองค์ได้ประทานคัมภีร์แก่ทุกๆ ชนชาติ เพื่อชี้แนะแนวทางแก่พวกเขา

2-   รู้ถึงวิทยปัญญาอันลึกซึ้งที่อัลลอฮฺได้บัญญัติศาสนาของพระองค์ โดยทรงกำหนดให้บทบัญญัติ ของคนแต่ละยุคสมัยมีความเหมาะสมกับสภาพของพวกเขา อัลลอฮฺตรัสว่า

﴿ لِكُلّٖ جَعَلۡنَا مِنكُمۡ شِرۡعَةٗ وَمِنۡهَاجٗاۚ ﴾ [المائ‍دة: ٤٨] 

 ความว่า “สำหรับทุกประชาชาติจากหมู่พวกเจ้านั้น เราได้กำหนดให้มีบทบัญญัติและแนวทางของพวกเขาเอง” (อัล-มาอิดะฮฺ : 48)

สี่ การศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูต

เราะสูล หรือศาสนทูต คือบุคคลที่อัลลอฮฺให้โองการแก่เขาด้วยการประทานบทบัญญัติลงมา และบัญชาสั่งให้เขาทำการเผยแพร่มัน เราะสูลคนแรกคือ นูหฺ และคนสุดท้ายคือ มุหัมมัด (ความจำเริญและความสันติมีแด่พวกเขาทั้งมวล) 

ไม่มีประชาชาติใดที่ว่างเว้นจากศาสนทูตเลย อัลลอฮฺจะแต่งตั้งศาสนทูตไปยังหมู่ชนของเขา โดยให้มีบทบัญญัติเป็นเอกเทศ หรือพระองค์อาจจะมีโองการไปยังนบีในยุคหนึ่งๆ ให้นำบทบัญญัติของศาสนทูตก่อนๆ มาใช้ เพื่อเป็นการฟื้นฟู อัลลอฮฺตรัสว่า

﴿ وَلَقَدۡ بَعَثۡنَا فِي كُلِّ أُمَّةٖ رَّسُولًا أَنِ ٱعۡبُدُواْ ٱللَّهَ وَٱجۡتَنِبُواْ ٱلطَّٰغُوتَۖ ﴾ [النحل: ٣٦] 

ความว่า “ขอสาบาน แท้จริงเราได้ส่งศาสนทูตมาในทุกประชาชาติ โดยให้ประกาศแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ และออกห่างจากการบูชาสิ่งอื่นทั้งหมด” (อัน-นะห์ลฺ : 36)

และพระองค์ได้ตรัสว่า

﴿ إِنَّآ أَرۡسَلۡنَٰكَ بِٱلۡحَقِّ بَشِيرٗا وَنَذِيرٗاۚ وَإِن مِّنۡ أُمَّةٍ إِلَّا خَلَا فِيهَا نَذِيرٞ ٢٤ ﴾ [فاطر: ٢٤] 

ความว่า “แท้จริง เราได้ส่งเจ้ามาเป็นศาสนทูตด้วยสัจธรรม ในฐานะผู้แจ้งข่าวดีและผู้สำทับตักเตือน และทุกๆ ประชาชาติล้วนจะต้องมีผู้ตักเตือนมายังพวกเขา” (ฟาฏิรฺ : 24)

บรรดาศาสนทูตล้วนเป็นสามัญชนคนธรรมดา ต่างก็มาจากลูกหลานของอาดัม ไม่มีคุณสมบัติพิเศษของการเป็นผู้สร้างและการเป็นพระเจ้าแต่ประการใด พวกเขามีคุณสมบัติของการเป็นมนุษย์ มีความเมตตา จะต้องเสียชีวิต ต้องการอาหารและเครื่องดื่ม และอื่นๆ

การศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูตครอบคลุมสิ่งต่อไปนี้

หนึ่ง ศรัทธาว่าพวกเขาเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺอย่างแท้จริง ดังนั้น บุคคลใดปฏิเสธศาสนทูตคนหนึ่งคนใดจากพวกเขา เท่ากับว่าเขาได้ปฏิเสธศาสนทูตคนอื่นๆ ทุกคน อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ كَذَّبَتۡ قَوۡمُ نُوحٍ ٱلۡمُرۡسَلِينَ ١٠٥ ﴾ [الشعراء : ١٠٥] 

ความว่า “กลุ่มชนของนูหฺได้ปฏิเสธต่อบรรดาศาสนทูตแล้ว” (อัช-ชุอะรออ์ : 105)

สอง ศรัทธาต่อผู้ที่เราทราบชื่อของพวกเขา เช่น มุหัมมัด อิบรอฮีม มูซา อีซา และนูหฺ (ขอความจำเริญมีแด่พวกเขา) ทั้งห้าคนนี้ได้ชื่อว่า “อุลุล อัซมิ” ผู้มีความมั่นคงหนักแน่นในหมู่ศาสนทูตทั้งปวง

ส่วนผู้ที่เราไม่ทราบชื่อนั้น เราศรัทธาต่อพวกเขาโดยสังเขปในภาพรวม อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَلَقَدۡ أَرۡسَلۡنَا رُسُلٗا مِّن قَبۡلِكَ مِنۡهُم مَّن قَصَصۡنَا عَلَيۡكَ وَمِنۡهُم مَّن لَّمۡ نَقۡصُصۡ عَلَيۡكَۗ ﴾ [غافر: ٧٨] 

ความว่า “ขอสาบาน แท้จริงเราได้ส่งบรรดาศาสนทูตก่อนหน้าเจ้า บางคนจากพวกเขามีผู้ที่เราบอกเล่าแก่เจ้า และบางคนจากพวกเขา มีผู้ที่เรามิได้บอกเล่าแก่เจ้า” (ฆอฟิรฺ : 78)

สาม เชื่อในคำบอกเล่าเกี่ยวกับพวกเขา ตามที่มีหลักฐานในสายรายงานที่เชื่อถือได้อย่างถูกต้อง

สี่ ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ถูกประทานแก่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งเป็นศาสนทูตคนสุดท้ายที่ถูกส่งมายังพวกเรา

ผลที่ได้รับจากการศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูต

1-      ได้รู้ถึงความเมตตาและการให้ความสำคัญของอัลลอฮฺที่มีต่อปวงบ่าวของพระองค์ โดยการส่งศาสนทูตเพื่อชี้นำพวกเขาสู่แนวทางอันเที่ยงตรง และเพื่อชี้แจงรูปแบบของการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺแก่พวกเขา

2-      ขอบคุณในความโปรดปรานอันใหญ่หลวงของพระองค์ที่ให้มีบรรดาศาสนทูต

3-      มีความรัก ให้เกียรติ และเทิดทูนยกย่องบรรดาศาสนทูต ตามสถานะที่เหมาะสมกับพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ ที่ยืนหยัดในการเคารพภักดีต่อพระองค์ เผยแพร่สารของพระองค์ และหวังดีต่อปวงบ่าวของพระองค์

ห้า การศรัทธาต่อวันอาคิเราะฮฺ

วันอาคิเราะฮฺ หรือวันปรโลก คือวันสุดท้าย เป็นวันที่อัลลอฮฺให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพื่อคิดบัญชีและตอบแทนรางวัล สาเหตุที่เรียกว่าวันสุดท้ายเนื่องจากจะไม่มีวันใดหลังจากนั้นอีกแล้ว

การศรัทธาต่อวันปรโลกประกอบด้วย

หนึ่ง การศรัทธาในเรื่องการฟื้นคืนชีพ การฟื้นคืนชีพเป็นเรื่องจริงซึ่งมีหลักฐานยืนยันจากอัลกุรอาน หะดีษ และมติเอกฉันท์ของบรรดาปราชญ์มุสลิม 

 สอง ศรัทธาต่อการคิดบัญชีสอบสวนและการตอบแทน บ่าวจะถูกคิดบัญชีและได้รับการตอบแทนในผลงานของเขา ดังที่มีหลักฐานยืนยันจากอัลกุรอาน หะดีษ และมติเอกฉันท์ของบรรดาปราชญ์มุสลิม

สาม ศรัทธาต่อสวรรค์และนรก ซึ่งทั้งสองจะเป็นที่พำนักตลอดกาลสำหรับมนุษย์

การศรัทธาต่อวันปรโลกนั้น ยังรวมถึงการศรัทธาต่อทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากความตาย เช่น การสอบสวนในหลุมศพ การลงโทษและความสุขในโลกสุสาน

ผลที่ได้รับจากการศรัทธาต่อวันปรโลก

1-      ยับยั้งตนจากการกระทำที่ฝ่าฝืน เนื่องจากเกรงกลัวการลงโทษของอัลลอฮฺในวันปรโลก

2-      ปรารถนาและมุ่งมั่นที่จะกระทำความดี เพราะหวังในผลบุญและการตอบแทน

3-      เป็นการปลอบโยนผู้ศรัทธาในสิ่งที่พลาดไปจากเขาในโลกนี้ เพราะหวังผลบุญและความสุขที่จะได้รับทดแทนในโลกหน้า

หก การศรัทธาต่ออัล-เกาะดัรฺ

อัล-เกาะดัรฺ คือ กฎสภาวการณ์ การลิขิต การกำหนดของอัลลอฮฺที่มีต่อสรรพสิ่งทั้งหลาย ตามความรอบรู้ของพระองค์ที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้ว และเป็นไปตามวิทยความปรีชาญาณแห่งพระองค์

การศรัทธาต่อการกำหนดของอัลลอฮฺครอบคลุมประการต่างๆ ต่อไปนี้:

หนึ่ง ศรัทธาว่าอัลลอฮฺมีความรอบรู้ในทุกสิ่งทั้งในภาพรวมและรายละเอียด รู้อย่างดั้งเดิมและตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับการกระทำของพระองค์หรือการกระทำของปวงบ่าว

สอง ศรัทธาว่าอัลลอฮฺได้บันทึกทุกสิ่งไว้ในแผ่นจารึกที่ถูกเก็บรักษาไว้ (อัล-เลาห์ อัล-มะห์ฟูซฺ)

สาม ศรัทธาว่าแท้จริงทุกสรรพสิ่งจะเกิดขึ้นด้วยความประสงค์ของอัลลอฮฺเท่านั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเกี่ยวกับการกระทำของพระองค์หรือการกระทำของสรรพสิ่งต่างๆ

อัลลอฮฺตรัสว่า 

﴿ وَرَبُّكَ يَخۡلُقُ مَا يَشَآءُ وَيَخۡتَارُۗ ﴾ [القصص: ٦٨] 

ความว่า “และพระผู้อภิบาลของเจ้าทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์และทรงเลือก” (อัล-เกาะศ็อศ : 68)

สี่ ศรัทธาว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสร้างทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวตน ลักษณะ และการเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งหมด

อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ ٱللَّهُ خَٰلِقُ كُلِّ شَيۡءٖۖ وَهُوَ عَلَىٰ كُلِّ شَيۡءٖ وَكِيلٞ ٦٢ ﴾ [الزمر: ٦١] 

ความว่า “อัลลอฮฺเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง อีกทั้งพระองค์เป็นผู้ดูแลทุกสิ่ง” (อัซ-ซุมัรฺ : 62)

ผลที่ได้รับจากการศรัทธาต่อการกำหนดของอัลลอฮฺมีหลายประการ เช่น

1-      ยึดอัลลอฮฺเป็นที่พึ่ง เมื่อได้กระทำตามเหตุและปัจจัยแล้ว โดยไม่ยึดเหตุและปัจจัยเป็นที่พึ่ง เนื่องจากทุกสิ่งจะเป็นไปตามกำหนดของอัลลอฮฺ

2-      เมื่อได้รับในสิ่งที่พึงปรารถนาก็จะไม่หลงลำพองตน เพราะการได้รับสิ่งใดจากความโปรดปรานของอัลลอฮฺนั้น ก็ด้วยจากสาเหตุของความดีและความสำเร็จที่อัลลอฮฺได้กำหนดไว้ให้เขาเช่นกัน และการลำพองตนนั้นจะทำให้ลืมการขอบคุณในความโปรดปรานอัลลอฮฺ

3-      มีความสงบและผ่อนคลายทางอารมณ์ รู้สึกสบายใจต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการกำหนดของอัลลอฮฺ ผู้ทรงอำนาจในชั้นฟ้าและแผ่นดิน ซึ่งมันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

﴿ مَآ أَصَابَ مِن مُّصِيبَةٖ فِي ٱلۡأَرۡضِ وَلَا فِيٓ أَنفُسِكُمۡ إِلَّا فِي كِتَٰبٖ مِّن قَبۡلِ أَن نَّبۡرَأَهَآۚ إِنَّ ذَٰلِكَ عَلَى ٱللَّهِ يَسِيرٞ ٢٢ لِّكَيۡلَا تَأۡسَوۡاْ عَلَىٰ مَا فَاتَكُمۡ وَلَا تَفۡرَحُواْ بِمَآ ءَاتَىٰكُمۡۗ وَٱللَّهُ لَا يُحِبُّ كُلَّ مُخۡتَالٖ فَخُورٍ ٢٣ ﴾ [الحديد: ٢٢- ٢٣] 

ความว่า “ไม่มีเคราะห์กรรมอันใดเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ และในตัวของพวกเจ้าเอง นอกจากถูกบันทึกไว้ก่อนที่เราจะบังเกิดมันขึ้นมา แท้จริงนั่นเป็นความง่ายดายสำหรับอัลลอฮฺ เพื่อพวกเจ้าจะไม่เสียใจในสิ่งที่สูญเสียไปจากพวกเจ้า และไม่ดีใจอย่างยโสโอ้อวดในสิ่งที่พระองค์ประทานแก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺไม่ทรงรักผู้ที่หยิ่งจองหอง ผู้ที่โอ้อวดทุกคน” (อัล-หะดีด : 22-23)

สองกลุ่มที่มีความเชื่อผิดพลาดในเรื่องอัล-เกาะดัรฺ

กลุ่มที่หนึ่ง: อัล-ญะบะรียะฮฺ ซึ่งพวกเขากล่าวว่า “แท้จริงบ่าวไม่มีสิทธิ์เลือกในการกระทำ ในการตัดสินใจ และไม่มีความสามารถในการลงมือทำ”

กลุ่มที่สอง: อัล-เกาะดะรียะฮฺ กลุ่มที่กล่าวว่า “แท้จริงบ่าวมีสิทธิ์อย่างเป็นเอกเทศในการกระทำของเขาเอง ในการตัดสินใจและมีความสามารถในการกระทำเอง โดยไม่มีผลมาจากความประสงค์ของอัลลอฮฺหรืออำนาจของพระองค์แต่อย่างใด” (ดูเพิ่มเติมในตำรา ชัรห์ อุศูล อัล-อีมาน ของเชคอิบนุ อุษัยมีน)

พวกเขากล่าวปฏิเสธความเชื่อที่ว่าอัลลอฮฺได้กำหนดสรรพสิ่งต่างๆ และผลงานหรือการกระทำของมันล่วงหน้าก่อนที่มันจะเกิดขึ้น คำกล่าวของทั้งสองกลุ่มนี้เป็นความเท็จที่ห่างไกลจากความถูกต้องมากที่สุดแล้ว


 บทที่ 4 ประเภทของเตาฮีด

ประเภทของเตาฮีด(การให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ)

1-      เตาฮีด อัล-อุลูฮียะฮฺ

2-      เตาฮีด อัร-รุบูบียะฮฺ

3-      เตาฮีด อัล-อัสมาอ์ วะ อัศ-ศิฟาต

คำนิยาม เตาฮีด คือการจำกัดอิบาดะฮฺ/การเคารพภักดีมอบให้กับอัลลอฮฺอย่างเอกะเพียงพระองค์เดียว

เตาฮีดมีสามประเภท

หนึ่ง เตาฮีด อัร-รุบูบียะฮฺ คือรู้และศรัทธา(เชื่อ)ว่าอัลลอฮฺเพียงผู้เดียวที่เป็นผู้สร้าง ให้ปัจจัยยังชีพ ผู้ทรงบริหารจัดการ

และบรรดาผู้ตั้งภาคี(ในยุคของท่านเราะสูล)ต่างก็ยอมรับในเตาฮีดอัร-รุบูบียะฮฺ แต่อัลลอฮฺก็ไม่นับว่าพวกเขาอยู่ในอิสลาม ดังหลักฐานที่ว่า

﴿ وَلَئِن سَأَلۡتَهُم مَّنۡ خَلَقَهُمۡ لَيَقُولُنَّ ٱللَّهُۖ فَأَنَّىٰ يُؤۡفَكُونَ ٨٧ ﴾ [الزخرف: ٨٧] 

ความว่า “และขอสาบาน หากเจ้า -โอ้มุหัมมัด- ถามพวกเขาว่าใครสร้างพวกเขา แน่นอนพวกเขาจะตอบว่าอัลลอฮฺ แล้วเป็นไปได้อย่างไรเล่าที่พวกเขาหันเหออกจากการเคารพภักดีต่อพระองค์” (อัซ-ซุครุฟ : 87)

สอง เตาฮีด อัล-อัสมาอ์ วะ อัศ-ศิฟาต คือการเชื่อในคุณลักษณะของอัลลอฮฺ ตามที่พระองค์ได้บอกไว้ในอัลกุรอาน หรือตามคำบอกเล่าของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในรูปแบบที่เหมาะสมคู่ควรกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และการให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺในด้านนี้ ได้รับการยอมรับจากบรรดาผู้ตั้งภาคีบางส่วน แต่อีกบางส่วนก็ปฏิเสธเนื่องจากขาดความรู้หรือไม่ก็ดื้อดึง

สาม เตาฮีด อัล-อุลูฮียะฮฺ คือการเคารพภักดีด้วยหัวใจบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ไม่มีการตั้งภาคีใดๆ กับพระองค์ ในรูปแบบของการเคารพภักดีทุกประเภท เช่น ความรัก ความกลัว ความหวัง การมอบหมายที่พึ่ง การวิงวอนขอ และอื่นๆ

ซึ่งเตาฮีดประเภทนี้เป็นสิ่งที่บรรดาผู้ตั้งภาคีปฏิเสธและไม่ยอมรับ (ดูใน อัล-ญามิอฺ อัล-ฟะรีด ลิ อัล-อัสอิละฮฺ วะ อัล-อัจญ์วิบะฮฺ อะลา กิตาบ อัต-เตาฮีด หน้า 9)

ชิริก หรือการตั้งภาคีมีสามประเภท

1-      การตั้งภาคีประเภทร้ายแรง (ชิริกใหญ่)

2-      การตั้งภาคีประเภทเล็ก (ชิริกเล็ก)

3-      การตั้งภาคีที่ซ่อนเร้น (ชิริกอำพราง)

การตั้งภาคีประเภทร้ายแรง (ชิริกใหญ่) มีผลทำให้การงานทั้งหลายต้องเป็นโมฆะ และต้องอยู่ในนรกตลอดกาล อัลลอฮฺตรัสว่า

﴿ ذَٰلِكَ هُدَى ٱللَّهِ يَهۡدِي بِهِۦ مَن يَشَآءُ مِنۡ عِبَادِهِۦۚ وَلَوۡ أَشۡرَكُواْ لَحَبِطَ عَنۡهُم مَّا كَانُواْ يَعۡمَلُونَ ٨٨ ﴾ [الأنعام: ٨٨] 

ความว่า “นั่นคือทางนำของอัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์จะทรงชี้นำทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์ และหากพวกเขาได้ตั้งภาคีแล้ว แน่นอนสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำไว้ก็สูญสิ้นไปจากพวกเขา” (อัล-อันอาม : 88)

﴿ مَا كَانَ لِلۡمُشۡرِكِينَ أَن يَعۡمُرُواْ مَسَٰجِدَ ٱللَّهِ شَٰهِدِينَ عَلَىٰٓ أَنفُسِهِم بِٱلۡكُفۡرِۚ أُوْلَٰٓئِكَ حَبِطَتۡ أَعۡمَٰلُهُمۡ وَفِي ٱلنَّارِ هُمۡ خَٰلِدُونَ ١٧ ﴾ [التوبة : 17] 

ความว่า “ไม่บังควรแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีที่จะบูรณะมัสญิดของอัลลอฮฺ ในฐานะที่พวกเขายืนยันการปฏิเสธศรัทธาแก่ตัวของพวกเขาเอง ชนเหล่านั้นแหละ การงานทั้งหลายของพวกเขาจะไร้ผล และพวกเขาจะอยู่ในนรกตลอดกาล” (อัต-เตาบะฮฺ : 17)

และบุคคลใดที่เสียชีวิตในสภาพที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะไม่อภัยแก่เขา และสวรรค์เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเขา อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ إِنَّ ٱللَّهَ لَا يَغۡفِرُ أَن يُشۡرَكَ بِهِۦ وَيَغۡفِرُ مَا دُونَ ذَٰلِكَ لِمَن يَشَآءُۚ ﴾ [النساء : ٤٨] 

ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงอภัยโทษในความผิดที่มีการตั้งภาคีแก่พระองค์ (ในกรณีที่ไม่เตาบะฮฺ) และพระองค์จะอภัยให้ความผิดอื่นนอกเหนือจากนั้น สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์” (อัน-นิสาอ์ : 48)

﴿إِنَّهُۥ مَن يُشۡرِكۡ بِٱللَّهِ فَقَدۡ حَرَّمَ ٱللَّهُ عَلَيۡهِ ٱلۡجَنَّةَ وَمَأۡوَىٰهُ ٱلنَّارُۖ ﴾ [المائ‍دة: ٧٢] 

ความว่า “แท้จริงผู้ใดตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ แน่นอนพระองค์ทำให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามแก่เขา และที่พำนักของเขาคือนรก” (อัล-มาอิดะฮฺ : 72)

และส่วนหนึ่งจากตัวอย่างของการตั้งภาคี ก็คือ การวิงวอนขอความช่วยเหลือจากผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และจากรูปปั้น การบนบานกับสิ่งเหล่านั้น และการเชือดสัตว์เพื่อถวายแก่รูปปั้นและแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรืออื่นๆ ในทำนองนี้

ส่วนการตั้งภาคีประเภทเล็ก (ชิริกเล็ก) คือทุกสิ่งที่มีหลักฐานยืนยันในอัลกุรอาน และในหะดีษว่าเป็นการตั้งภาคี แต่ไม่ถึงขั้นของการตั้งภาคีประเภทใหญ่ เช่น การโอ้อวดขณะกระทำความดี การสาบานด้วยสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ การพูดว่านี่คือความประสงค์ของอัลลอฮฺและคนนั้นคนนี้ และอื่นๆ ในทำนองนี้

ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«أَخْوَفُ مَا أَخَافُ عَلَيْكُمْ الشِّرْكُ الْأَصْغَرُ»،  فَسُئِلَ عَنْهُ فَقَالَ: «الرياء».

ความว่า “สิ่งที่ฉันกลัวว่าจะเกิดกับพวกท่านมากที่สุด คือการตั้งภาคีเล็ก” แล้วท่านถูกถามว่า คือสิ่งใด? ท่านตอบว่า “คือการโอ้อวด” (บันทึกโดยอะห์มัด 5/428, อัฏ-เฏาะบะรอนีย์ และอัล-บัยฮะกีย์ ด้วยสายรายงานที่ดี)

«مَنْ حَلَفَ بِشَيْءٍ دُوْنَ اللهِ فَقَدْ أَشْرَكَ»

ความว่า “บุคคลใดสาบานด้วยสิ่งใดอื่นจากอัลลอฮฺ แน่แท้เขาได้ตั้งภาคีแล้ว” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 6271 และมุสลิม 1646)

«مَنْ حَلَفَ بِغَيْرِ اللهِ فَقَدْ كَفَرَ أَوْ أَشْرَكَ»

ความว่า “บุคคลใดสาบานด้วยสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺ แน่แท้เขาได้ปฏิสธศรัทธาหรือตั้งภาคี” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 5757 และมุสลิม 1646)

«لَا تَقُوْلُوْا مَا شَاءَ اللهُ وَشَاءَ فُلَانٌ، وَلَكِنْ قُوْلُوْا مَا شَاءَ اللهُ ثُمَّ شَاءَ فُلَانٌ»

ความว่า “พวกท่านอย่ากล่าวว่า นี่เป็นความประสงค์ของอัลลอฮฺและความประสงค์ของคนนั้นคนนี้ แต่จงพูดว่า เป็นความประสงค์ของอัลลอฮฺ หลังจากนั้นแล้วก็เป็นความประสงค์ของคนนั้นคนนี้” (บันทึกโดยอบู ดาวูด 4980 ด้วยสายรายงานที่ถูกต้องจากหุซัยฟะฮฺ บิน อัล-ยะมาน)

การตั้งภาคีประเภทนี้ไม่มีผลถึงขั้นสิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม และไม่อยู่ในนรกตลอดกาล แต่ทำให้เตาฮีดมีความบกพร่อง

ส่วนประเภทที่สาม คือการตั้งภาคีชนิดอำพราง (ชิริกซ่อนเร้น) ดังมีหลักฐานจากหะดีษว่า

«أَلَا أُخْبِرُكُمْ بِمَا هُوَ أَخْوَفُ عَلَيْكُمْ عِنْدِيْ مِنَ الْمَسِيْحِ الدَّجَّالِ؟ قَالُوْا: بَلَى. قَالَ: الشِّرْكُ الْخَفِيُّ... يَقُوْمُ الرَّجُلُ فَيُصَلِّيْ فَيُزَيِّنُ صَلَاتَهُ، لِمَا يَرَى مِنْ نَظَرِ الرَّجُلِ إِلَيْهِ».

ความว่า “เอาไหม ฉันจะบอกกับพวกท่าน ถึงสิ่งที่ฉันกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะเกิดกับพวกท่าน ซึ่งน่ากลัวมากกว่าดัจญาลเสียอีก” พวกเขากล่าวว่า โปรดบอกพวกเราเถิด  ท่านเราะสูลกล่าวว่า “คือการตั้งภาคีที่ซ่อนเร้น ... เช่น การที่คนผู้หนึ่งยืนขึ้นละหมาด และแสร้งทำอย่างสวยงาม เนื่องจากเห็นว่ามีคนอื่นมองเขาอยู่” (บันทึกโดยอะห์มัด 3/30  จากอบู สะอีด อัล-คุดรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ)

และอาจจะแบ่งการตั้งภาคีเป็นสองประเภทคือใหญ่กับเล็กก็ได้ เพราะการตั้งภาคีที่ซ่อนเร้นจะครอบคลุมการตั้งภาคีทั้งสองประเภท มันอาจจะอยู่ในการตั้งภาคีใหญ่ เช่น การตั้งภาคีของคนหน้าไหว้หลังหลอกหรือพวกมุนาฟิก เพราะพวกเขาซ่อนหลักความเชื่อที่ไม่ดีไว้ในใจ แต่จะแสดงออกว่าเป็นมุสลิมโดยผิวเผิน เพื่อให้ผู้อื่นได้เห็นว่าตัวเองเป็นมุสลิม และกลัวว่าจะได้รับอันตรายหากพวกเขาไม่แสดงตัวเป็นมุสลิม

และการตั้งภาคีที่ซ่อนเร้นก็อาจจะอยู่ในการตั้งภาคีชนิดเล็ก เช่น การโอ้อวด ดังที่ได้นำเสนอในหะดีษของอบู สะอีด ก่อนหน้านี้ไปแล้ว

 บทที่ 5 หลักการอิสลาม

หลักการอิสลามมี 5 ประการ

1-      การปฏิญาณตนว่า “แท้จริงไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพภักดีโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺ และแท้จริงมุหัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ”

2-      การละหมาด

3-      การจ่ายซะกาต

4-      การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน

5-      การทำหัจญ์ ณ บัยตุลลอฮฺ สำหรับบุคคลที่มีความสามารถในการเดินทาง

ดังหลักฐานในหะดีษจากอิบนุ อุมัรฺ ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«بُنِيَ الإِسْلَامُ عَلَى خَمْسٍ ، شَهَادَةِ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللهِ، وَإِقَامِ الصَّلَاةِ ، وَإِيتَاءِ الزَّكَاةِ، وَحَجِّ البَيْتِ وَصَوْمِ رَمَضَانَ»

ความว่า “อิสลามได้วางอยู่ (หรือ ถูกวาง) บนโครงสร้างหลักห้าประการ คือ 1) การปฏิญาณตนว่าแท้จริงไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพภักดีโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น และแท้จริงมุหัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ 2) การดำรงไว้ซึ่งการละหมาด 3) การจ่ายซะกาต 4) การทำหัจญ์ และ 5) การถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 8 และมุสลิม 16)

ในสำนวนของหะดีษที่ว่า “อิสลามได้วางอยู่บนโครงสร้างหลักห้าประการ” เป็นสำนวนการเปรียบเทียบ คือเปรียบอิสลามกับอาคารปลูกสร้าง ซึ่งอิสลามจะไม่มั่นคง เว้นแต่จะต้องตั้งอยู่บนโครงสร้างหลักห้าประการ เพราะไม่มีอาคารปลูกสร้างใดที่ปราศจากโครงสร้างหลัก และส่วนอื่นๆ ของอิสลามก็เปรียบได้กับส่วนอื่นๆ ที่ทำให้อาคารสมบูรณ์แบบ หรือเสมือนกับส่วนตกแต่งอื่นๆ ของอาคาร

ส่วนคำที่ว่า “ปฏิญาณตน” คือการศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะสูล ดังที่มีรายงานของอิมามมุสลิมว่า “คือการให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ” และในอีกสายรายงาน คือ “การให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ และปฏิเสธสิ่งอื่นๆนอกจากพระองค์”

คำว่า “ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด” ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า              

«بَيْنَ الرَّجُلِ وَبَيْنَ الْكُفْرِ وَالشِّرْكِ تَرْكُ الصَّلَاةِ»

ความว่า “สิ่งที่ที่จะนำมุสลิมไปสู่การปฏิเสธศรัทธาและการตั้งภาคี คือการละทิ้งละหมาด” (บันทึกโดยมุสลิม 82 และอัต-ติรมิซีย์ 2620 และท่านอื่นๆ)

และหะดีษจากมุอาซฺ ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า 

«رَأْسُ الأَمْرِ الإِسْلَامُ، وَعَمُوْدُهُ الصَّلَاةُ»

ความว่า “หัวหลักของเรื่องคืออิสลาม และเสาของมันคือการละหมาด” (อัต-ติรมิซีย์ 2616, อิบนุ มาญะฮฺ3973, อะห์มัด 5/231)

อับดุลลอฮฺ บิน ชะฟีก กล่าวว่า “บรรดาสาวกของท่านเราะสูลเห็นว่าไม่มีความดีใดที่ละเลยแล้วจะเป็นการปฏิเสธศรัทธา นอกจากการละเลยละหมาด”

คำว่า “จ่ายซะกาต” การจ่ายซะกาตเป็นโครงสร้างหลักที่สามของอิสลาม อัลลอฮฺตรัสว่า

﴿ وَأَقِيمُواْ ٱلصَّلَوٰةَ وَءَاتُواْ ٱلزَّكَوٰةَ ﴾ [البقرة: ٤٣] 

ความว่า “และพวกเจ้าจงดำรงรักษาละหมาด และจงจ่ายซะกาต” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 43)

﴿ وَمَآ أُمِرُوٓاْ إِلَّا لِيَعۡبُدُواْ ٱللَّهَ مُخۡلِصِينَ لَهُ ٱلدِّينَ حُنَفَآءَ وَيُقِيمُواْ ٱلصَّلَوٰةَ وَيُؤۡتُواْ ٱلزَّكَوٰةَۚ ﴾ [البينة: ٥] 

ความว่า “และพวกเขามิถูกบัญชาให้กระทำอื่นใด นอกจากเพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺโดยบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง และอยู่ในแนวทางอันเที่ยงตรง ให้ดำรงรักษาละหมาดและจ่ายซะกาต” (อัล-บัยยินะฮฺ : 5)

คำว่า “ถือศีลอด” การถือศีลอดเป็นองค์ประกอบหลักที่สี่ของอิสลาม อัลลอฮฺตรัสว่า

﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ كُتِبَ عَلَيۡكُمُ ٱلصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى ٱلَّذِينَ مِن قَبۡلِكُمۡ لَعَلَّكُمۡ تَتَّقُونَ ١٨٣ ﴾ [البقرة: ١٨٣] 

ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย การถือศีลอดถูกบัญญัติแก่พวกเจ้าแล้ว เช่นเดียวกับที่ถูกบัญญัติแก่บรรดาผู้ที่มาก่อนหน้าพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้ยำเกรง” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 183)

คำว่า “ทำหัจญ์” การทำหัจญ์เป็นองค์ประกอบหลักที่ห้าของอิสลาม อัลลอฮฺตรัสว่า

﴿ وَلِلَّهِ عَلَى ٱلنَّاسِ حِجُّ ٱلۡبَيۡتِ مَنِ ٱسۡتَطَاعَ إِلَيۡهِ سَبِيلٗاۚ ﴾ [آل عمران: ٩٧] 

ความว่า “และเป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่มีต่ออัลลอฮฺ คือการทำหัจญ์ ณ บัยตุลลอฮฺ สำหรับผู้ที่มีความสามารถในการเดินทาง” (อาล อิมรอน : 97)

และหะดีษบทดังกล่าวนี้ เป็นหลักฐานที่สำคัญในการรู้จักศาสนาอิสลาม วัลลอฮุอะอฺลัม

 บทที่ 6 เงื่อนไขของการละหมาด

มี 9 ประการ

1-      นับถือศาสนาอิสลาม (เป็นมุสลิม)

2-      มีสติสัมปชัญญะ

3-      บรรลุศาสนภาวะ

4-      สะอาดปราศจากหะดัษ (ทั้งเล็กและใหญ่)

5-      สะอาดปราศจากนะญิสทั้งหลาย

6-      สวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด (ปกปิดเอาเราะฮฺ)

7-      เข้าเวลาละหมาด

8-      หันหน้าไปทางกิบละฮฺ

9-      ตั้งเจตนา (เนียต)

            หลังจากที่ผู้ประพันธ์ (เชคบินบาซ) ได้กล่าวถึงรุก่นอิสลามทั้ง 5 ประการในบทเรียนที่แล้ว จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะกล่าวถึงในที่นี้เกี่ยวกับเงื่อนไขของการละหมาด เพราะการละหมาดเป็นเรื่องที่ต้องมีการเน้นย้ำอย่างมากที่สุดหลังจากการกล่าวชะฮาดะฮฺปฏิญาณตนทั้งสองประโยค และการละหมาดจะไม่ถูกต้องนอกจากต้องทำตามเงื่อนไข ดังนั้น จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ในที่นี้

            เงื่อนไข 1-3 นับถือศาสนาอิสลาม (เป็นมุสลิม), มีสติสัมปชัญญะ, บรรลุศาสนภาวะ ซึ่งการละหมาดของคนปฏิเสธศรัทธา(กาฟิรฺ)จะใช้ไม่ได้เพราะการงานของเขาเป็นโมฆะ ส่วนคนบ้าเสียสตินั้นอยู่นอกกลุ่มคนที่บทบัญญัติบังคับใช้ เช่นเดียวกับเด็กที่ยังไม่บรรลุวัยตามศาสนภาวะ ซึ่งเข้าใจตามความของหะดีษบทที่ว่า

«مُرُوا أَبْنَاءَكُمْ بِالصَّلَاةِ لِسَبْعٍ»

ความว่า “จงสั่งให้ลูกๆ ของพวกท่านละหมาดเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ” (อบู ดาวูด 495, อะห์มัด 2/187)

          เงื่อนไขที่ 4 สะอาด (ปราศจากหะดัษทั้งเล็กและใหญ่) หากมีความสามารถ เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«لَا تُقْبَلُ صَلَاةٌ بِغَيْرِ طُهُورٍ»

ความว่า “การละหมาดที่ปราศจากความสะอาดจะไม่ถูกตอบรับ” (มุสลิม 224)

          เงื่อนไขที่ 5 เข้าเวลาละหมาด อัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสว่า

﴿ أَقِمِ ٱلصَّلَوٰةَ لِدُلُوكِ ٱلشَّمۡسِ ٧٨ ﴾ [الإسراء: ٧٨] 

ความว่า “จงดำรงการละหมาดไว้ตั้งแต่ตะวันคล้อย” (อัล-อิสรออ์ : 78)

          และมีรายงานจากท่านอุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า

«الصَّلَاةُ لَهَا وَقْتٌ شَرَّطَهُ اللهُ لَا تَصِحُّ إِلَّا بِهِ»

ความว่า “การละหมาดนั้นมีเวลาของมัน ซึ่งอัลลอฮฺได้ทำให้เป็นเงื่อนไข การละหมาดจะใช้ไม่ได้หากปราศจากเวลาของมัน”

            เวลาละหมาดแต่ละช่วงก็คือ ตามหะดีษที่ท่านญิบรีลได้นำละหมาดทั้งห้าเวลาแก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยวันแรกท่านมาละหมาดในช่วงต้นของวักตู พอวันถัดไปท่านจะมาละหมาดฟัรฎูเดียวกันนั้นในช่วงสุดท้ายของของวักตู หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า

«مَا بَيْنَ هَذَيْنِ وَقْتٌ»

ความว่า “เวลาละหมาดของแต่ละวักตู อยู่ระหว่างเวลาสองช่วง(ที่ญิบรีลมาละหมาดแต่ละวักตูให้ท่านนบีดู) (บันทึกโดยอะห์มัด และ อัน-นะสาอีย์)

                 เงื่อนไขที่ 6 ปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด (ปกปิดเอาเราะฮฺ) หากมีความสามารถ ด้วยสิ่งที่ไม่ทำให้มองเห็นผิวกาย เพราะอัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ดำรัสว่า

﴿ ۞يَٰبَنِيٓ ءَادَمَ خُذُواْ زِينَتَكُمۡ عِندَ كُلِّ مَسۡجِدٖ ٣١ ﴾ [الأعراف: ٣١] 

ความว่า “ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย ! จงเอาเสื้อผ้าที่ประดับกายของพวกเจ้ามาปกปิดทุกครั้งที่ละหมาด” (อัล-อะอฺรอฟ : 31)

             และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«لَا يَقْبَلُ اللَّهُ صَلَاةَ حَائِضٍ إِلَّا بِخِمَارٍ»

ความว่า “อัลลอฮฺจะไม่ทรงตอบรับการละหมาดของหญิงที่มีประจำเดือน (หมายถึง บรรลุศาสนภาวะแล้ว) เว้นแต่ให้มีผ้าปกปิดศีรษะ” (อัต-ติรมิซี 377, อบู ดาวูด 641)

            และหะดีษที่รายงานโดยท่านสะละมะฮฺ บิน อัล-อักวะอฺ เล่าว่า ฉันได้กล่าวว่า

يَا رَسُولَ اللَّهِ، إِنِّي رَجُلٌ أَصِيدُ أَفَأُصَلِّي فِي الْقَمِيصِ الْوَاحِدِ؟ قَالَ: «نَعَمْ وَازْرُرْهُ وَلَوْ بِشَوْكَةٍ»

ความว่า โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ฉันเป็นชาวประมง แล้วฉันจะละหมาดด้วยการสวมผ้าผืนเดียวได้หรือไม่?ท่านนบีตอบว่า “ได้ แต่ใส่กระดุมให้มันแน่นด้วย แม้จะใช้หนามอันเดียวมาเสียบไว้ก็ตาม” (อัน-นะสาอีย์ 765, อบู ดาวูด 632)

          หะดีษทั้งสองเศาะฮีหฺตามความคิดเห็นของท่านอัต-ติรมิซีย์ และท่านอิบนุ อับดิลบัรร์ ได้อ้างเป็นมติเอกฉันท์ (อิจญฺมาอ์) ว่าการละหมาดของคนที่เผยเอาเราะฮฺ(เรือนร่างส่วนที่ต้องปกปิด)จะใช้ไม่ได้ หากเขามีความสามารถที่จะปกปิด

                 เงื่อนไขที่ 7 สะอาดปราศจากนะญิส (สิ่งสกปรก) ทั้งร่างกาย เสื้อผ้า และสถานที่ เพราะอัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ดำรัสว่า

﴿ وَثِيَابَكَ فَطَهِّرۡ ٤ ﴾ [المدثر: ٤] 

ความว่า “และเสื้อผ้าของเจ้า จงทำให้สะอาด” (อัล-มุดดัษษิรฺ : 4)

                 และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่ท่านหญิงอัสมาอ์ ในเรื่องเลือดประจำเดือนว่า

«تَحُتُّهُ، ثُمَّ تَقْرُصُهُ بِالْمَاءِ، ثُمَّ تَنْضَحُهُ، ثُمَّ تُصَلِّي فِيهِ»

ความว่า “ให้นางแคะมันออก(เวลาซักเสื้อผ้าที่เปื้อนสกปรก) แล้วใช้นิ้วขยี้มันด้วยน้ำ หลังจากนั้นก็ล้างมัน แล้วนำมันมาใส่ละหมาดได้” (อัล-บุคอรีย์ 225, มุสลิม 291)

             เงื่อนไขที่ 8 หันหน้าไปทางกิบละฮฺ เพราะอัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ดำรัสว่า

﴿ فَوَلِّ وَجۡهَكَ شَطۡرَ ٱلۡمَسۡجِدِ ٱلۡحَرَامِۚ ١٤٤ ﴾ [البقرة: ١٤٤] 

ความว่า “ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดอัล-หะรอมเถิด” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 144)

                 เงื่อนไขที่ 9 การตั้งเจตนา (เนียต) เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«إِنَّمَا الأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ»

ความว่า “แท้จริงการงานทั้งหลายขึ้นอยู่กับการเจตนา” (อัล-บุคอรีย์ 1, มุสลิม 1907)

                 และด้วยประการนี้เองที่เงื่อนไขของการละหมาดได้ครบถ้วนสมบูรณ์ วัลลอฮุอะอฺลัม (ดูใน มะนารฺ อัส-สะบีล หน้า 1/70-79)

  บทที่ 7 รุก่นต่างๆ ของการละหมาด

มี 14 ประการ

1-      ยืนตรง หากมีความสามารถ

2-      ตักบีเราะตุลอิห์รอม

3-      อ่านสูเราะฮฺ อัล-ฟาติหะฮฺ

4-      รุกูอฺ

5-      เงยศีรษะจากรุกูอฺมายืนตรง (อิอฺติดาล)

6-      สุญูดบนอวัยวะทั้งเจ็ด

7-      นั่งระหว่างสองสุญูด

8-      เงยจากสุญูด  

9-      ฏุมะอ์นีนะฮฺ หรือการหยุดนิ่งครู่หนึ่งในแต่ละขั้นตอน

10-  เรียงลำดับในการปฏิบัติตามขั้นตอนขององค์ประกอบของการละหมาด  

11-  อ่านตะชะฮฺฮุดครั้งสุดท้าย

12-  การนั่งเพื่ออ่านตะชะฮฺฮุดครั้งสุดท้าย

13-  อ่านเศาะละวาตต่อท่านนบีในตะชะฮฺฮุดครั้งสุดท้าย  

14-  กล่าวสลามสองครั้ง

          หลังจากที่ท่านเชคของเรา เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวถึงเงื่อนไขของการละหมาดในบทเรียนก่อนหน้านี้ เพราะเงื่อนไขของการละหมาดนั้นคือสิ่งแรกที่ต้องมี จึงเหมาะสมที่จะกล่าวถึงรุก่นต่างๆ ของมันในลำดับต่อไปนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ควบคู่การละหมาดอยู่แล้ว

            ดังนั้น รุก่นแรกของการละหมาด คือ การยืนตรงหากมีความสามารถ เพราะอัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ดำรัสว่า

﴿ وَقُومُواْ لِلَّهِ قَٰنِتِينَ ٢٣٨ ﴾ [البقرة: ٢٣٨] 

ความว่า “และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮฺโดยนอบน้อม” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 238)

            และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวในหะดีษของท่านอิมรอนว่า

«صَلِّ قَائِمًا»

ความว่า “จงละหมาดในท่ายืน” (อัล-บุคอรีย์ 1066)

            ซึ่งบรรดานักวิชาการก็เห็นพ้องกันในเรื่องนี้

            รุก่นที่สอง  ตักบีเราะตุลอิห์รอม เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«مِفْتَاحُ الصَّلاةِ الطُّهُورُ، وَتَحْرِيمُهَا التَّكْبِيرُ، وَتَحْلِيلُهَا التَّسْلِيمُ»

ความว่า “กุญแจของการละหมาดคือความสะอาดด้วยวุฎูอ์ และเข้าสู่ภาวะต้องห้าม(ในละหมาด)ด้วยการกล่าวตักบีรฺ และปลดเปลื้องสู่ภาวะอนุญาต(ออกจากละหมาด)ด้วยการให้สลาม” (อัต-ติรมิซีย์ 3, อบู ดาวูด  61)

            ท่านอัต-ติรมิซีย์ได้กล่าวว่า ถือเป็นหะดีษที่ถูกต้องที่สุดในเรื่องนี้ และเพราะท่านนบี ศ็อลลัลลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยกล่าวสอนแก่คนที่ละหมาดรีบๆ ว่า

«إِذَا قُمْتَ إِلَى الصَّلاَةِ فَأَسْبِغِ الوُضُوءَ، ثُمَّ اسْتَقْبِلِ القِبْلَةَ فَكَبِّرْ»

ความว่า “หากท่านจะละหมาดก็จงอาบน้ำละหมาดอย่างดี หลังจากนั้นให้ผินหน้าไปทางทิศกิบละฮฺ แล้วให้กล่าวตักบีรฺ” (อัล-บุคอรีย์ 5897, มุสลิม 397)

            รุก่นที่สาม อ่านสูเราะฮฺฟาติหะฮฺ เพราะมีหะดีษที่รายงานโดยท่านอุบาดะฮฺ บินอัศ-ศอมิต ซึ่งท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«لَا صَلَاةَ لِمَنْ لَمْ يَقْرَأْ بِفَاتِحَةِ الْكِتَابِ»

ความว่า “ไม่มีการละหมาด สำหรับผู้ที่ไม่ได้อ่านสูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺ” (อัล-บุคอรีย์ 723, มุสลิม 394)

            รุก่นที่สี่ รุกูอฺ เพราะอัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ดำรัสว่า

﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ ٱرۡكَعُواْ ٧٧ ﴾ [الحج : ٧٧] 

ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย สูเจ้าจงรุกูอฺเถิด” (อัล-หัจญ์ : 77)

ดังที่มีบันทึกในเศาะฮีหฺอัล-บุคอรีย์และมุสลิมจากหะดีษที่รายงานโดยท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺเราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ในหะดีษที่กล่าวถึงคนที่ละหมาดชุ่ยๆ ซึ่งท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

« ثُمَّ ارْكَعْ حَتَّى تَطْمَئِنَّ رَاكِعًا »

ความว่า “หลังจากนั้นให้ท่านรุกูอฺ จนกระทั่งการรุกูอฺนั้นอยู่ในสภาพที่หยุดนิ่งครู่หนึ่ง (มีฏุมะอ์นีนะฮฺ) (อัล-บุคอรีย์ 724, มุสลิม 397)

            รุก่นที่ห้า  เงยศีรษะจากรุกูอฺมายืนตรง (อิอฺติดาล) เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่คนที่ละหมาดชุ่ยๆ ว่า

«ثُمَّ ارْفَعْ حَتَّى تَعْدِلَ قَائِمًا»

ความว่า “หลังจากนั้นให้เงยศีรษะขึ้นมายืนตรง” (อัล-บุคอรีย์ 760, มุสลิม 397)

            และเพราะมีบันทึกโดยนักบันทึกทั้งห้า จากการรายงานของท่านอบู มัสอูด อัล-อันศอรีย์ ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าววว่า

«لا تُجْزئ صَلاةٌ لا يُقِيْمُ الرَجُلُ فِيْها صُلْبَهُ فِي الرُكُوْعِ والسُجُوْدِ»

ความว่า “ละหมาดของผู้ที่ไม่เหยียดหลังขณะรุกูอฺและสุญูดนั้นถือว่าใช้ไม่ได้” (อัต-ติรมิซีย์ 265, อัน-นะสาอีย์ 1027)

รุก่นที่หก สุญูดบนอวัยวะทั้งเจ็ด เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«أُمِرْتُ أَنْ أَسْجُدَ عَلَى سَبْعَةِ أَعْظُمٍ: عَلَى الجَبْهَةِ ، وَأَشَارَ بِيَدِهِ عَلَى أَنْفِهِ ، وَاليَدَيْنِ ، وَالرُّكْبَتَيْنِ ، وَأَطْرَافِ القَدَمَيْنِ»

ความว่า “ฉันถูกสั่งใช้ให้สุญูดด้วย 7 กระดูก (อวัยวะ) อันได้แก่ หน้าผาก และท่านก็ได้ชี้ไปที่จมูกของท่านด้วย, มือทั้งสอง, เข่าทั้งสอง, และปลายเท้าทั้งสอง” (อัล-บุคอรีย์ 779, มุสลิม 490)

รุก่นที่เจ็ด นั่งระหว่างสองสุญูด เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่คนที่ละหมาดชุ่ยๆ ว่า

« ثُمَّ ارْفَعْ حَتَّى تَعْتَدِلَ جَالِسًا »

ความว่า “หลังจากนั้นให้ลุกขึ้นมานั่งตัวตรง” (อัล-บุคอรีย์ 760, มุสลิม 397)

            และเพราะท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้เล่าว่า

« كَانَ لنَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ  إِذَا رَفَعَ رَأْسَهُ مِنَ السُّجُودِ لَمْ يَسْجُدْ حَتَّى يَسْتَوِيَ قَاعِدًا »

ความว่า “เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เงยศีรษะจากสุญูด ท่านจะไม่สุญูด (ครั้งที่สอง) จนกว่าจะนั่งตัวตรงเสียก่อน” (มุสลิม 498, อบู ดาวูด 783)

รุก่นที่แปด เงยจากสุญูด เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่คนที่ละหมาดชุ่ยๆ ว่า

« ثُمَّ ارْفَعْ حَتَّى تَطْمَئِنَّ جَالِسًا »

ความว่า “หลังจากนั้นให้ลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับหยุดนิ่งครู่หนึ่ง” (อัล-บุคอรีย์ 724, มุสลิม 397)

รุก่นที่เก้า ฏุมะอ์นีนะฮฺ หรือการหยุดนิ่งครู่หนึ่งในแต่ละขั้นตอน เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่คนที่ละหมาดชุ่ยๆ ว่า

« ثُمَّ ارْكَعْ حَتَّى تَطْمَئِنَّ رَاكِعًا»

ความว่า “หลังจากนั้นให้รุกูอฺแล้วหยุดนิ่งครู่หนึ่ง” (อัล-บุคอรีย์ 724, มุสลิม 397)

            ซึ่งการละหมาดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะมีความฏุมะอ์นีนะฮฺ และท่านนบีได้กล่าวว่า

« صَلُّوا كَمَا رَأَيْتُمُونِي أُصَلِّي »

ความว่า “พวกท่านจงละหมาด ตามที่พวกท่านเห็นฉันละหมาด” (อัล-บุคอรีย์ 605)

รุก่นที่สิบ เรียงลำดับในการปฏิบัติตามขั้นตอนขององค์ประกอบของการละหมาด

รุก่นที่สิบเอ็ดและสิบสอง นั่งอ่านตะชะฮฺฮุดครั้งสุดท้าย เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านได้นั่ง (ตะชะฮฺฮุด) ในละหมาด ก็จงกล่าวว่า

«التَّحِيَّاتُ لله، وَالصَّلَوَاتُ، وَالطَّيِّبَاتُ، السَّلامُ عَلَيْكَ أَيُّهَا النَّبِيُّ وَرَحْـمَةُ الله وَبَرَكَاتُـهُ، السَّلامُ عَلَيْنَا، وَعَلَى عِبَادِ الله الصَّالِـحِينَ، أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله، وَأَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً عَبْدُهُ وَرَسُولُـهُ»

ความว่ามวลการสดุดีทั้งหลายมอบแด่อัลลอฮฺ รวมทั้งการสรรเสริญด้วยพรและความดีงามต่างๆ ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านโอ้ผู้เป็นนบี รวมทั้งความเมตตาแห่งอัลลอฮฺและความประเสริฐทั้งหลายของพระองค์ ขอความสันติสุขจงประสบแด่เราและแด่บรรดาบ่าวผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย ข้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และข้าขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดนั้นเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์” (อัล-บุคอรีย์ 5876, มุสลิม 402)

รุก่นที่สิบสาม อ่านเศาะละวาตต่อท่านนบีในตะชะฮฺฮุดครั้งสุดท้าย เพราะมีหะดีษที่รายงานจากท่านกะอฺบ์ บินอุจญ์เราะฮฺ ในครั้งที่ท่านได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เกี่ยวกับวิธีการเศาะละวาต ซึ่งท่านนบีได้กล่าวว่าพวกท่านจงกล่าวว่า

«اللَّهُـمَّ صَلِّ عَلَى مُـحَـمَّدٍ، وَعَلَى آلِ مُـحَـمَّدٍ، كَمَا صَلَّيْتَ عَلَى إبْرَاهِيمَ، وَعَلَى آلِ إبْرَاهِيمَ، إنَّكَ حَـمِيدٌ مَـجِيدٌ، اللَّهُـمَّ بَارِكْ عَلَى مُـحَـمَّدٍ، وَعَلَى آلِ مُـحَـمَّدٍ، كَمَا بَارَكْتَ عَلَى إبْرَاهِيمَ، وَعَلَى آلِ إبْرَاهِيمَ، إنَّكَ حَـمِيدٌ مَـجِيدٌ»

ความว่าโอ้ พระผู้อภิบาลแห่งเรา ขอทรงประทานความจำเริญแด่มุหัมมัดและครอบครัวของมุหัมมัด เช่นที่พระองค์ประทานความจำเริญแด่อิบรอฮีมและครอบครัวของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์นั้นทรงยิ่งด้วยการสรรเสริญและบารมีอันสูงส่ง โอ้ พระผู้อภิบาลแห่งเรา ขอทรงประทานความประเสริฐแด่มุหัมมัดและครอบครัวของมุหัมมัด เช่นที่พระองค์ประทานความประเสริฐแด่อิบรอฮีมและครอบครัวของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์นั้นทรงยิ่งด้วยการสรรเสริญและบารมีอันสูงส่ง” (อัล-บุคอรีย์ 3190, มุสลิม 406)

รุก่นที่สิบสี่ กล่าวสลามทั้งสองครั้ง เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

« وَتَحْلِيلُهَا التَّسْلِيمُ»

ความว่า “และอนุญาต (ออกจากละหมาด) ด้วยการให้สลาม” (อัต-ติรมิซีย์ 3, อบู ดาวูด 61)

            และคำกล่าวของท่านหญิงอาอิชะฮฺที่กล่าวถึงลักษณะการละหมาดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไว้ว่า “ท่านนบีได้ปิดท้ายการละหมาดด้วยการให้สลาม ดังนั้นการให้สลามจึงเป็นบัญญัติที่ทำให้มีการอนุญาตออกจากละหมาดได้ ซึ่งมันเป็นการปิดท้ายและเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดละหมาด” (ดูใน อัส-สัลสะบีล ฟี มะอฺริฟะฮฺ อัด-ดะลีล หน้า 1/146, 148)

 บทที่ 8 สิ่งที่เป็นวาญิบในการละหมาด

มี 8 ประการ

1-      การตักบีรทั้งหมดที่นอกเหนือจากตักบีเราะตุลอิหฺรอม

2-      การกล่าวว่า สะมิอัลลอฮฺ ลิมัน หะมิดะฮฺ สำหรับอิมามและผู้ละหมาดคนเดียว

3-      การกล่าวว่า ร็อบบะนา วะละกัล หัมดฺ สำหรับอิมาม มะอ์มูม และผู้ละหมาดคนเดียว

4-      การกล่าว สุบหานะ ร็อบบิยัลอะซีม ในขณะที่รุกูอฺ

5-      การกล่าว สุบหานะ ร็อบบิยัลอะอฺลา ในขณะที่สุญูด

6-      การกล่าว ร็อบบิฆฺฟิรลี ในการนั่งระหว่างสองสุญูด

7-      การอ่านตะชะฮฺฮุดครั้งแรก  

8-      การนั่งเพื่อตะชะฮฺฮุดครั้งแรก

ผู้ประพันธ์ได้ดำเนินบทเรียนมากล่าวถึงสิ่งที่เป็นวาญิบในละหมาด หลังจากที่ได้นำเสนอรุก่นต่างๆ ของการละหมาดไปแล้ว ซึ่งการที่ได้นำเสนอรุก่นต่างๆ ของการละหมาดก่อนสิ่งที่เป็นวาญิบในละหมาด เพราะรุก่นต่างๆ นั้นมีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เป็นวาญิบ กล่าวคือสิ่งที่เป็นวาญิบนั้นถ้าหากได้ละทิ้งมันด้วยความหลงลืมก็ยังมีข้อกำหนดให้สุญูดสะฮฺวีชดใช้แทนกันได้ แต่สำหรับรุก่นต่างๆ นั้น ถ้ามีการละทิ้งมัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความหลงลืมหรือความตั้งใจก็ตาม ก็จะทำให้การละหมาดใช้ไม่ได้

ซึ่งสิ่งที่เป็นวาญิบแรกของการละหมาด คือ การตักบีรทั้งหมดที่นอกเหนือจากตักบีเราะตุลอิหฺรอม เพราะ (การตักบีเราะตุลอิหฺรอม) เป็นรุก่นหนึ่ง ดังที่ได้นำเสนอก่อนหน้านี้แล้ว เพราะมีรายงานจากท่านอิบนุ มัสอูดว่า

«كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُكَبِّرُ فِي كُلِّ رَفْعٍ، وَوَضْعٍ وَقِيَامٍ وَقُعُودٍ»

ความว่า “ฉันได้เห็นท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตักบีรในทุกการเงยขึ้น, การก้มลง, การยืนขึ้น และการนั่ง” (อัต-ติรมิซีย์ 253, อัน-นะสาอีย์ 1319)

            สิ่งที่เป็นวาญิบที่สอง การกล่าวว่า สะมิอัลลอฮฺ ลิมัน หะมิดะฮฺ สำหรับอิมามและผู้ละหมาดคนเดียว เพราะมีหะดีษที่รายงานโดยท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า

كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا قَامَ إِلَى الصَّلَاةِ يُكَبِّرُ حِينَ يَقُومُ، ثُمَّ يُكَبِّرُ حِينَ يَرْكَعُ، ثُمَّ يَقُولُ: «سَمِعَ اللَّهُ لِمَنْ حَمِدَهُ» حِينَ يَرْفَعُ صُلْبَهُ مِنَ الرَّكْعَةِ، ثُمَّ يَقُولُ وَهُوَ قَائِمٌ: «رَبَّنَا وَلَكَ الْحَمْدُ»

ความว่า “เมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ละหมาด ท่านจะกล่าวตักบีรขณะที่ยืน หลังจากนั้นจะกล่าวตักบีรขณะที่รุกูอฺ แล้วท่านจะกล่าว สะมิอัลลอฮฺ ลิมันหะมิดะฮฺ ขณะที่เงยขึ้นมาจากรุกูอฺ หลังจากนั้นท่านก็จะกล่าวขณะยืนตรงว่า ร็อบบะนา วะละกัลหัมดุ” (อัล-บุคอรีย์ 770, มุสลิม 392)

สิ่งที่เป็นวาญิบที่สาม การกล่าวว่า ร็อบบะนา วะละกัล หัมดฺ สำหรับอิมาม มะอ์มูม และผู้ละหมาดคนเดียว ดังที่ได้นำเสนอแล้ว

สิ่งที่เป็นวาญิบที่สีและห้า การกล่าว สุบหานะ ร็อบบิยัลอะซีม ในขณะที่รุกูอฺ และการกล่าว สุบหานะ ร็อบบิยัลอะอฺลา ในขณะที่สุญูดเพียงครั้งเดียว เพราะมีหะดีษที่รายงานโดยท่านหุซัยฟะฮฺ เล่าว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวในรุกูอฺว่า สุบหานะ ร็อบบิยัลอะซีม และท่านนบีได้กล่าวในสุญูดว่า สุบหานะ ร็อบบิยัลอะอฺลา” (มุสลิม 772, อัต-ติรมิซีย์ 262)

สิ่งที่เป็นวาญิบที่หก การกล่าว ร็อบบิฆฺฟิรลี ในการนั่งระหว่างสองสุญูด เพราะมีหะดีษที่รายงานโดยท่านหุซัยฟะฮฺ ว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวในระหว่างสองสุญูดว่า “ร็อบบิฆฺฟิรลี ร็อบบิฆฺฟิรลี” (อัน-นะสาอีย์ 1145, อิบนุ มาญะฮฺ 897) 

สิ่งที่เป็นวาญิบที่เจ็ด การอ่านตะชะฮฺฮุดครั้งแรก เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«إِذَا أَنْتَ قُمْتَ فِي صَلَاتِكَ، فَكَبِّرِ ثُمَّ اقْرَأْ مَا تَيَسَّرَ مِنَ الْقُرْآنِ فَإِذَا جَلَسْتَ فِي وَسَطِ الصَّلَاةِ فَاطْمَئِنَّ، وَافْتَرِشْ فَخِذَكَ الْيُسْرَى ثُمَّ تَشَهَّدْ »

ความว่า “เมื่อท่านยืนขึ้นเพื่อละหมาดแล้ว ก็จงกล่าวตักบีร (อัลลอฮฺอักบัรฺ) หลังจากนั้นก็จงอ่านสิ่งที่ท่านสามารถอ่านได้จากอัลกุรอาน ซึ่งเมื่อท่านได้นั่งในระหว่างละหมาด ก็จงให้มีฏุมะอ์นีนะฮฺ (สงบนิ่ง) และให้นั่งบนขาข้างซ้ายของท่าน แล้วให้อ่านตะชะฮฺฮุด” (อัต-ติรมิซีย์ 302, อัน-นะสาอีย์ 1136, อบู ดาวูด 856)

สิ่งที่เป็นวาญิบที่แปด การนั่งเพื่อตะชะฮฺฮุดครั้งแรก เพราะมีหะดีษที่รายงานโดยท่านอิบนุมัสอูด ซึ่งเป็นหะดีษมัรฟูอฺว่า

«إِذَا قَعَدْتُمْ فِي كُلِّ رَكْعَتَيْنِ، فَقُولُوا: التَّحِيَّاتُ لِلَّهِ»

ความว่า “เมื่อพวกท่านได้นั่งในทุกสองร็อกอะฮฺ ก็ให้กล่าวว่า อัตตะหิยาตุลิลลาฮฺ...” (อัต-ติรมิซีย์ 289, อัน-นะสาอีย์ 1163)

            และเช่นเดียวกัน ในครั้งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ลืมอ่านตะชะฮฺฮุดครั้งแรกในละหมาดซุฮริ ท่านก็ได้สุญูดสองครั้งก่อนที่จะให้สลาม เพื่อชดเชยการที่ท่านลืมนั่งตะชะฮฺฮุดนั้น (ดูใน มะนารฺ อัส-สะบีล หน้า 1/97-89)

 บทที่ 9 การตะชะฮฺฮุด

            การอ่านตะชะฮฺฮุด “อัตตะหิยาต” นั้นคือ 

«التَّحِيَّاتُ لله، وَالصَّلَوَاتُ، وَالطَّيِّبَاتُ، السَّلامُ عَلَيْكَ أَيُّهَا النَّبِيُّ وَرَحْـمَةُ الله وَبَرَكَاتُـهُ، السَّلامُ عَلَيْنَا، وَعَلَى عِبَادِ الله الصَّالِـحِينَ، أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله، وَأَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً عَبْدُهُ وَرَسُولُـهُ اللَّهُـمَّ صَلِّ عَلَى مُـحَـمَّدٍ، وَعَلَى آلِ مُـحَـمَّدٍ، كَمَا صَلَّيْتَ عَلَى إبْرَاهِيمَ، وَعَلَى آلِ إبْرَاهِيمَ، إنَّكَ حَـمِيدٌ مَـجِيدٌ، وَبَارِكْ عَلَى مُـحَـمَّدٍ، وَعَلَى آلِ مُـحَـمَّدٍ، كَمَا بَارَكْتَ عَلَى إبْرَاهِيمَ، وَعَلَى آلِ إبْرَاهِيمَ، إنَّكَ حَـمِيدٌ مَـجِيدٌ»

ความว่ามวลการสดุดีทั้งหลายมอบแด่อัลลอฮฺ รวมทั้งการสรรเสริญด้วยพรและความดีงามต่างๆ ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านโอ้ผู้เป็นนบี รวมทั้งเมตตาแห่งอัลลอฮฺและความประเสริฐทั้งหลายของพระองค์ ขอความสันติสุขจงประสบแด่เราและแด่บรรดาบ่าวผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย ข้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และข้าขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดนั้นเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์ โอ้อัลลอฮฺ ขอทรงประทานความจำเริญแด่มุหัมมัดและครอบครัวของมุหัมมัด เช่นที่พระองค์ประทานความจำเริญแด่อิบรอฮีมและครอบครัวของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์นั้นทรงยิ่งด้วยการสรรเสริญและบารมีอันสูงส่ง และขอทรงประทานความประเสริฐแด่มุหัมมัดและครอบครัวของมุหัมมัด เช่นที่พระองค์ประทานความประเสริฐแด่อิบรอฮีมและครอบครัวของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์นั้นทรงยิ่งด้วยการสรรเสริญและบารมีอันสูงส่ง

          หลังจากนั้นให้ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺในตะชะฮฺฮุสุดท้ายให้รอดพ้นจากการลงโทษในนรกญะฮันนัม และจากการลงโทษในหลุมฝังศพ และจากฟิตนะฮฺในขณะมีชีวิตและขณะที่เสียชีวิต และจากฟิตนะฮฺของอัล-มะสีหฺ อัด-ดัจญาล หลังจากนั้นให้เลือกอ่านดุอาอ์ตามที่ต้องการ โดยเฉพาะบทดุอาอ์ที่มีรายงานจากท่านนบี เช่น

«اللَّهُمَّ أَعِنِّي عَلَى ذِكْرِكَ وَشُكْرِكَ وَحُسْنِ عِبَادَتِكَ».

ความว่า “โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดช่วยเหลือฉัน ให้ได้รำลึกถึงพระองค์ และได้แสดงถึงการขอบคุณต่อพระองค์ และทำอิบาดะฮฺแด่พระองค์อย่างงดงาม”

«اللَّهُـمَّ إنِّي ظَلَـمْتُ نَفْسِي ظُلْـماً كَثِيراً وَلَا يَـغْفِرُ الذُّنُوبَ إلَّا أَنْتَ فَاغْفِرْ لِي مَغْفِرَةً مِنْ عِنْدِكَ، وَارْحَـمْنِي إنَّكَ أَنْتَ الْغَفُورُ الرَّحِيمُ».

ความว่า “โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงฉันได้อธรรมต่อตัวเองซึ่งเป็นการอธรรมอย่างมากมาย และไม่มีผู้ใดที่จะอภัยโทษทั้งหลายได้นอกจากพระองค์เท่านั้น ดังนั้น ได้โปรดอภัยให้ฉันด้วยการอภัยจากพระองค์ด้วยเถิด ได้โปรดเมตตาฉัน แท้จริงแล้วพระองค์นั้นเป็นผู้ที่ทรงอภัยและทรงเมตตายิ่ง”

            และมีรายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ บินมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้หันมายังพวกเรา แล้วท่านก็กล่าวว่า

«إِذَا صَلَّى أَحَدُكُمْ فَلْيَقُلْ: التَّحِيَّاتُ لله، وَالصَّلَوَاتُ، وَالطَّيِّبَاتُ، السَّلامُ عَلَيْكَ أَيُّهَا النَّبِيُّ وَرَحْـمَةُ الله وَبَرَكَاتُـهُ، السَّلامُ عَلَيْنَا، وَعَلَى عِبَادِ الله الصَّالِـحِينَ، أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله، وَأَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً عَبْدُهُ وَرَسُولُـهُ ثُمَّ لِيَتَخَيَّرْ أمِنَ الدُّعَاءِ أَعْجَبَهُ إِلَيْهِ فَيَدْعُو»

ความว่า “เมื่อคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านละหมาด ก็จงกล่าวว่า มวลการสดุดีทั้งหลายมอบแด่อัลลอฮฺ รวมทั้งการสรรเสริญด้วยพรและความดีงามต่างๆ ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านโอ้ผู้เป็นนบี รวมทั้งเมตตาแห่งอัลลอฮฺและความประเสริฐทั้งหลายของพระองค์ ขอความสันติสุขจงประสบแด่เราและแด่บรรดาบ่าวผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย ข้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และข้าขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดนั้นเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์ หลังจากนั้นให้เลือกดุอาอ์ที่เขาชื่นชอบแล้วให้ขอมัน” (อัล-บุคอรีย์ 5876, มุสลิม 402)

ซึ่งหะดีษที่รายงานโดยท่านอิบนุมัสอูดนั้นเป็นหะดีษที่ถูกต้องที่สุดที่มีการรายงานเกี่ยวกับสำนวนการอ่านตะชะฮฺฮุด  

            และมีรายงานจากท่านอบู มัสอูด อัล-บัดรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านบะชีรฺ บิน สะอฺด์ ได้กล่าวว่า

«يَا رَسُولَ اللَّهِ أَمَرَنَا اللَّهُ أَنْ نُصَلِّيَ عَلَيْكَ فَكَيْفَ نُصَلِّ عَلَيْكَ؟ فَسَكَتَ ثُمَّ قَالَ: " قُولُوا: اللَّهُمَّ صَلِّ عَلَى مُحَمَّدٍ، وَعَلَى آلِ مُحَمَّدٍ، كَمَا صَلَّيْتَ عَلَى آلِ إِبْرَاهِيمَ، وَبَارِكْ عَلَى مُحَمَّدٍ، وَعَلَى آلِ مُحَمَّدٍ، كَمَا بَارَكْتَ عَلَى آلِ إِبْرَاهِيمَ فِي الْعَالَمِينَ إِنَّكَ حَمِيدٌ مَجِيدٌ، وَالسَّلَامُ كَمَا عَلِمْتُمْ»

ความว่า “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ อัลลอฮฺได้สั่งใช้เราให้เศาะละวาตต่อท่าน แล้วเราจะเศาะละวาตต่อท่านอย่างไร ? ท่านนบีจึงนิ่งเงียบ หลังจากนั้นท่านนบีจึงกล่าวว่า พวกท่านจงกล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺ ขอทรงประทานความจำเริญแด่มุหัมมัดและครอบครัวของมุหัมมัด เช่นที่พระองค์ประทานความจำเริญแด่อิบรอฮีมและครอบครัวของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์นั้นทรงยิ่งด้วยการสรรเสริญและบารมีอันสูงส่ง และขอทรงประทานความประเสริฐแด่มุหัมมัดและครอบครัวของมุหัมมัด เช่นที่พระองค์ประทานความประเสริฐแด่อิบรอฮีมและครอบครัวของอิบรอฮีม แท้จริงพระองค์นั้นทรงยิ่งด้วยการสรรเสริญและบารมีอันสูงส่ง ส่วนการให้สลามนั้นก็เป็นไปตามที่ได้สอนพวกท่านแล้ว” (มุสลิม 405, อัต-ติรมิซีย์ 3220, อัน-นะสาอีย์ 1285)

            และมีรายงานจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«إِذَا تَشَهَّدَ أَحَدُكُمْ فَلْيَسْتَعِذْ بِاللهِ مِنْ أَرْبَعٍ يَقُولُ: اللهُمَّ إِنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ عَذَابِ جَهَنَّمَ، وَمِنْ عَذَابِ الْقَبْرِ، وَمِنْ فِتْنَةِ الْمَحْيَا وَالْمَمَاتِ، وَمِنْ فِتْنَةِ الْمَسِيحِ الدَّجَّالِ»

ความว่า “เมื่อคนหนึ่งคนใดได้กล่าวตะชะฮฺฮุดแล้ว ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺจาก 4 ประการนี้ โดยให้กล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺแท้จริง ฉันขอความคุ้มครองต่อพระองค์จากการลงโทษของนรกญะฮันนัม และจากการลงโทษในหลุมฝังศพ และจากฟิตนะฮฺในขณะมีชีวิตและขณะที่เสียชีวิต และจากฟิตนะฮฺของอัล-มะสีหฺ อัด-ดัจญาล” (อัล-บุคอรีย์ 1311, มุสลิม 588)

หะดีษบทนี้เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่าศาสนาได้กำหนดให้ขอความคุ้มครองจากสิ่งเหล่านั้นในขณะที่นั่งอยู่หลังจากที่ได้กล่าวเศาะละวาตต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และก่อนให้สลาม

            และจากท่านอบู บักรฺ อัศ-ศิดดีก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านได้กล่าวแก่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า

«عَلِّمْنِي دُعَاءً أَدْعُو بِهِ فِي صَلاَتِي، قَالَ: " قُلْ: اللَّهُمَّ إِنِّي ظَلَمْتُ نَفْسِي ظُلْمًا كَثِيرًا، وَلاَ يَغْفِرُ الذُّنُوبَ إِلَّا أَنْتَ، فَاغْفِرْ لِي مَغْفِرَةً مِنْ عِنْدِكَ، وَارْحَمْنِي إِنَّكَ أَنْتَ الغَفُورُ الرَّحِيمُ»

ความว่า “ได้โปรดสอนดุอาอ์ที่ฉันจะขอมันในการละหมาดของฉันเถิด ท่านนบีจึงกล่าวว่า จงกล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงฉันได้อธรรมต่อตัวเองซึ่งเป็นการอธรรมอย่างมากมาย และไม่มีผู้ใดที่จะอภัยโทษทั้งหลายได้นอกจากพระองค์เท่านั้น ดังนั้น ได้โปรดอภัยให้ฉันด้วยการอภัยจากพระองค์ด้วยเถิด ได้โปรดเมตตาฉัน แท้จริงแล้วพระองค์นั้นเป็นผู้ที่ทรงอภัยและทรงเมตตายิ่ง” (อัล-บุคอรีย์ 799, มุสลิม 2705)

            ส่วนหะดีษบทนี้เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่าศาสนาได้กำหนดให้ขอดุอาอ์ในละหมาดได้ตลอด ซึ่งหนึ่งในช่วงเวลาที่ให้ขอก็คือ หลังจากที่อ่านตะชะฮฺฮุด อ่านเศาะละวาตต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  และขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจาก 4 ประการนั้นเสร็จแล้ว จึงขอดุอาอ์อื่นๆ ต่อ เพราะท่านนบีได้กล่าวในหะดีษของอิบนุ มัสอูดว่า

« ثُمَّ لِيَتَخَيَّرْ مِنَ الدُّعَاءِ أَعْجَبَهُ إِلَيْهِ فَيَدْعُو »

ความว่า “หลังจากนั้นให้เลือกดุอาอ์ที่เขาชื่นชอบที่สุด แล้วให้ขออุอาอ์กับมัน” (อัล-บุคอรีย์ 5876, มุสลิม 402)

            และเนื้อหาของหะดีษเป็นหลักฐานที่อนุญาตให้ขอดุอาอ์ในละหมาด ด้วยสำนวนที่มีรายงานจากท่านนบี หรือสำนวนที่อาจจะไม่มีในรายงานก็ได้ ตราบใดที่มันไม่ได้เป็นสำนวนที่ศาสนาได้ห้ามไว้ และในบางสำนวนหะดีษได้กล่าวว่า

«ثُمَّ لْيَتَخَيَّرْ مِنَ الْمَسْأَلَةِ مَا شَاءَ »

ความว่า “หลังจากนั้นให้เลือกขอดุอาอ์ตามที่ต้องการ” (มุสลิม 402, อัน-นะสาอีย์ 1298 และดูในอัล-มัจญ์มูอะฮฺ อัล-ญะลีละฮฺ หน้า 79-80)

 บทที่ 10 สิ่งที่เป็นสุนัตต่างๆ ในละหมาด

การดุอาอ์อิสติฟตาหฺ การวางมือขวาทับบนมือซ้ายบนหน้าอกในขณะที่ยืน การยกมือทั้งสองโดยให้นิ้วทั้งหมดอยู่ระหว่างบ่าหรือหูในขณะที่กล่าวตักบีรฺแรก, ในขณะที่รุกูอฺ, ในขณะที่เงยจากรุกูอฺ, และในขณะที่ยืนขึ้นมาจากการอ่านตะชะฮฺฮุดแรกเพื่อขึ้นมาร็อกอะฮฺที่สาม การอ่านดุอาอ์ตัสบีหฺในรุกูอฺและสุญูดมากกว่าหนึ่งครั้ง การอ่านดุอาอ์หลังจากเงยขึ้นจากรุกูอฺอื่นจาก ร็อบบะนา วะละกัลหัมดุ การอ่านดุอาอ์ขออภัยโทษในขณะนั่งระหว่างสองสุญูดมากกว่าหนึ่งครั้ง การทำให้ศีรษะเสมอกับหลังในขณะรุกูอฺ การยกแขนทั้งสองห่างจากลำตัว และให้ท้องห่างจากขาทั้งสองในสุญูด การยกข้อศอกทั้งสองให้อยู่เหนือพื้นขณะที่สุญูด การที่คนละหมาดนั่งบนเท้าซ้ายและปลายเท้าขวายันพื้น ในตะชะฮฺฮุดแรกและการนั่งระหว่างสองสุญูด  การนั่งแบบตะวัรฺรุก (ให้แผ่เท้าซ้ายราบพื้นยื่นออกมาทางขวา ลอดใต้ขาและน่องขวา แล้วนั่งบนพื้น) ในตะชะฮฺฮุดสุดท้ายพร้อมกับให้ปลายเท้าขวายันพื้น การกล่าวเศาะละวาตและความบะเราะกัตแด่ท่านนบีมุหัมมัด และวงศ์วานของท่าน รวมถึงแด่ท่านนบีอิบรอฮีมและวงศ์วานของท่านในตะชะฮฺฮุดแรก  การอ่านดุอาอ์ในตะชะฮฺฮุดสุดท้าย การอ่านด้วยเสียงดังในละหมาดฟัจญ์รฺ/ศุบห์ และในสองร็อกอะฮฺแรกของการละหมาดมัฆฺริบและอิชาอ์ การอ่านด้วยเสียงค่อยในละหมาดซุฮฺริและอัศริ และในร็อกอะฮฺที่สามของการละหมาดมัฆฺริบ และในสองร็อกอะฮฺสุดท้ายของการละหมาดอิชาอ์ การอ่านสูเราะฮฺอื่นจากสูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺ พร้อมกับการเอาใจใส่ในสิ่งที่เป็นสุนัตต่างๆ ในละหมาดนอกเหนือจากที่เราได้นำเสนอ

            สิ่งที่เป็นสุนัตต่างๆ ในละหมาดแบ่งออกเป็นสองประเภท

            หนึ่ง     สิ่งที่เป็นสุนัตสำหรับคำกล่าวต่างๆ

            สอง      สิ่งที่เป็นสุนัตสำหรับการกระทำต่างๆ

            ซึ่งผู้ประพันธ์ได้ระบุในต้นฉบับ (มะตัน) ไว้ว่า สิ่งที่เป็นสุนัตต่างๆ นั้นไม่จำเป็นที่คนละหมาดต้องกระทำมัน แต่หากเขาได้กระทำมันทั้งหมดหรือทำเพียงบางส่วน เขาก็จะได้รับผลบุญ แต่ใครก็ตามที่ละทิ้งมันทั้งหมดหรือละทิ้งเพียงบางส่วน เขาก็จะไม่มีปัญหาใดๆ เฉกเช่นสิ่งที่สุนัตอื่นๆ อย่างไรก็ตามสมควรอย่างยิ่งที่มุสลิมต้องกระทำมัน และให้รำลึกถึงคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ว่า

«عَلَيْكُمْ بِسُنَّتِي، وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ الْمَهْدِيِّينَ، عَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ»

ความว่า “พวกท่านจงยึดมั่นกับสุนนะฮฺของฉัน และสุนนะฮฺของบรรดาคุละฟาอ์รอชิดีนที่อยู่ในทางนำ ท่านทั้งหลายจงยึดแนวทางนั้นให้มั่นคงเถิด” (อัต-ติรมิซีย์ 2676, อิบนุ มาญะฮฺ 44)

            วัลลอฮุอะอฺลัม อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงรู้ดียิ่ง  

 บทที่ 11 สิ่งที่ทำให้การละหมาดใช้ไม่ได้

มี 8 ประการ

1-      การพูดโดยเจตนา พร้อมกับรู้ตัวและรู้เรื่อง ส่วนคนที่หลงลืมหรือไม่รู้เรื่องนั้นการละหมาดของเขาจะไม่เสีย

2-      การหัวเราะ

3-      การกิน

4-      การดื่ม

5-      การเปิดเผยเอาเราะฮฺ

6-      การหันไปยังทิศอื่นจากกิบละฮฺมากจนเกินไป

7-      การเคลื่อนไหวโยกย้ายในละหมาดมากจนเกินไป

8-      การเสียน้ำละหมาด

            หลังจากที่ผู้ประพันธ์ได้นำเสนอเงื่อนไขและรุก่นของการละหมาด รวมถึงสิ่งที่เป็นวาญิบและสิ่งที่เป็นสุนัตต่างๆ ของการละหมาดทั้งเป็นคำกล่าวและการกระทำ ท่านก็ได้กล่าวถึงสิ่งที่ทำให้การละหมาดใช้ไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้มุสลิมได้ระมัดระวังจากการทำให้การละหมาดของเขาใช้ไม่ได้ ด้วยการทำสิ่งหนึ่งใดที่เป็นสิ่งที่ทำให้การละหมาดใช้ไม่ได้ทั้ง 8 ประการ ดังต่อไปนี้

            หนึ่ง การพูดโดยเจตนา พร้อมกับรู้ตัวและรู้เรื่อง ส่วนคนที่หลงลืมหรือไม่รู้เรื่องนั้นการละหมาดของเขาจะไม่เสีย เพราะมีรายงานจากท่านซัยดฺ บิน อัล-อัรก็อม ไว้ว่า

«فَأُمِرْنَا بِالسُّكُوتِ، وَنُهِينَا عَنِ الْكَلَامِ»

ความว่า “ซึ่งพวกเราถูกสั่งให้นิ่งเงียบ และถูกสั่งห้ามไม่ให้พูด” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์และมุสลิม และอื่นจากทั้งสอง)

            สอง การหัวเราะ ท่านอิบนุ อัล-มุนซิร ได้กล่าวว่า “บรรดานักวิชาการมีมติเอกฉันท์ว่าการหัวเราะนั้นทำให้การละหมาดเสีย”

            สาม และ สี่ การกินและการดื่ม ท่านอิบนุ อัล-มุนซิรฺ ได้กล่าวว่า “บรรดานักวิชาการที่สันทัดในเรื่องนี้มีมติเอกฉันท์ว่าคนที่กินหรือดื่มในละหมาดฟัรฎูโดยเจตนานั้น จำเป็นที่เขาต้องละหมาดใหม่”

            ห้า การเปิดเผยเอาเราะฮฺ เพราะหนึ่งในเงื่อนไขของการละหมาดคือการปกปิดเอาเราะฮฺ ดังนั้นถ้าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขนี้การละหมาดก็จะใช้ไม่ได้

            หก การหันไปยังทิศอื่นจากกิบละฮฺมากจนเกินไป เพราะหนึ่งในเงื่อนไขของการละหมาดคือ การหันหน้าไปยังทิศกิบละฮฺ ดังที่ได้นำเสนอมาแล้ว

            เจ็ด การเคลื่อนไหวโยกย้ายในละหมาดมากจนเกินไป ซึ่งการเคลื่อนไหวโยกย้ายในละหมาดมากจนเกินไปนั้นจะทำให้การละหมาดเสีย โดยเป็นมติเอกฉันท์ของบรรดานักวิชาการ และในหนังสือ “อัล-กาฟี” ได้ระบุไว้ว่า “ในกรณีที่เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนั้น ไม่เป็นเหตุให้การละหมาดใช้ไม่ได้ เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยอุ้มอุมามะฮฺในละหมาด ซึ่งเมื่อท่านยืนท่านก็จะอุ้มเธอ และเมื่อท่านลงสุญูดท่านก็จะวางเธอลง และท่านนบีเคยก้าวเท้าไปข้างหน้าและถอยหลังในละหมาดกุสูฟ”

            แปด การเสียน้ำละหมาด เพราะมันเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้การละหมาดใช้ได้ ดังนั้นเมื่อเสียน้ำละหมาด การละหมาดก็จะเสียไปด้วย

วัลลอฮุอะอฺลัม อัลลอฮฺเท่านั้นที่รู้ดียิ่ง

บทที่ 12 เงื่อนไขวุฎูอ์

เงื่อนไขวุฎูอ์หรือน้ำละหมาดมี 10 ประการ คือ

1-      อิสลาม

2-      สติปัญญา

3-      ตัมยีซ(อยู่ในวัยที่สามารถแยกแยะได้แล้ว)

4-      เนียต

5-      การระลึกหรือรู้ตัวว่าทำวุฎูอ์อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่ไม่ตั้งเจตนาเพื่อให้การอาบน้ำวุฏูอนั้นขาดตอนช่วงใดช่วงหนึ่ง

6-      การหยุดหรือสิ้นสุดของมูลเหตุที่ต้องให้ทำวุฎูอ์

7-      และการอิสตินญาอ์ (การใช้น้ำล้างนะญิส) หรือ อิสติจญ์มารฺ (การใช้ของแข็ง เช่น หิน ใบไม้กระดาษ ชำระนะญิส) ก่อนอาบน้ำวุฎูอ์

8-      น้ำต้องสะอาดและอนุญาตให้ใช้อาบน้ำวุฎูอ์

9-      ชำระล้างสิ่งที่กีดกันไม่ให้น้ำสัมผัสถึงผิวหนังได้

10-  และการเข้าเวลาละหมาดสำหรับผู้ที่มีหะดัษฺบ่อยๆ สม่ำเสมอ

เงื่อนไขของวุฎูอ์ อิสลาม มีสติ  มีความสามารถในการแยกแยะ(สำหรับเด็ก) เนียต ดังนั้น วุฎูอ์ของผู้เป็นกาฟิรฺ(ผู้ปฏิเสธ)ถือว่าเป็นโมฆะ เพราะวุฎูอ์จะไม่ถูกตอบรับจนกว่าเขาจะรับอิสลาม  เช่นเดียวกันกับคนบ้าเพราะเขาไม่ได้เป็นมุกัลลัฟ และเด็กน้อยที่ไม่สามารถแยกแยะเป็น และผู้ที่ไม่ได้เนียตว่าจะอาบน้ำวุฎูอ์ ประมาณว่าเขาเนียตเพื่อทำให้ตัวเย็น หรือเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกที่ติดตัวแทน

และหนึ่งในเงื่อนไขสำหรับการทำวุฎูอ์ คือ น้ำต้องสะอาด หากน้ำสกปรกไม่สามารถทำวุฎูอ์ได้  และน้ำดังกล่าวจะต้องเป็นน้ำที่ได้รับอนุญาตให้ทำวุฎูอ์ได้ หากเป็นน้ำที่ขโมยหรือได้รับมาโดยวิธีที่ผิดหลักการเช่นนี้การทำวุฎูอ์ด้วยน้ำดังกล่าวเป็นโมฆะ และเช่นเดียวกันกับการอิสตินญาอ์หรืออิสติจญ์มารฺหลังจากทำภาระกิจส่วนตัว และจะต้องชำระสิ่งที่เป็นตัวขวางไม่ให้น้ำสัมผัสผิวออกไป ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จะทำวุฎูอ์ต้องชำระสิ่งต่างๆ ที่ติดกับวอัยวะส่วนที่จะทำวุฎูอ์ให้สะอาดไม่ว่าจะเป็น ดิน แป้ง ขี้ผึ้ง เครื่องสำอางที่ใช้แต้มผิว เพื่อให้น้ำได้สัมผัสกับผิวของอวัยวะส่วนที่ต้องทำวุฎูอ์โดยตรงไม่มีสิ่งกีดขวาง (ดูใน อัล-มุลัคค็อศ อัล-ฟิกฮีย์ เล่ม 1 หน้า 31)

เช่นเดียวกันกับเงื่อนไขการเข้าเวลาละหมาดสำหรับผู้ที่มีหะดัษบ่อยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้สั่งใช้ให้ผู้หญิงที่มีเลือดอิสติฮาเฎาะฮฺ ให้นางทำวุฎูอ์ทุกครั้งที่จะละหมาด วัลลอฮุอะอฺลัม

 บทที่ 13 ฟัรฎูของวุฎูอ์

มี 6 ประการ คือ

1-      ล้างใบหน้า รวมถึงการบ้วนปากและน้ำเข้าจมูกแล้วขับออก

2-      ล้างมือจนถึงข้อศอก

3-      เช็ดศีรษะทั้งหมด รวมถึงหูทั้งสองข้าง

4-      ล้างเท้าจนถึงตาตุ่ม

5-      เรียงลำดับ

6-      อัล-มุวาลาต(การทำต่อเนื่องไม่ขาดตอน)

เกี่ยวกับฟัรฎูการทำวุฎูอ์นั้น อัลลอฮฺ สุบฮานะฮุวะตะอาลา ตรัสว่า

﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُوٓاْ إِذَا قُمۡتُمۡ إِلَى ٱلصَّلَوٰةِ فَٱغۡسِلُواْ وُجُوهَكُمۡ وَأَيۡدِيَكُمۡ إِلَى ٱلۡمَرَافِقِ وَٱمۡسَحُواْ بِرُءُوسِكُمۡ وَأَرۡجُلَكُمۡ إِلَى ٱلۡكَعۡبَيۡنِۚ ٦ ﴾ [المائ‍دة: ٦] 

ความว่า  “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! เมื่อพวกเจ้ายืนขึ้นจะไปละหมาด ก็จงล้างหน้าของพวกเจ้า และมือของพวกเจ้าถึงข้อศอก และจงลูบศีรษะของพวกเจ้า และล้างเท้าของพวกเจ้าถึงตาตุ่มทั้งสอง” (อัล-มาอิดะฮฺ 6)

หนึ่ง ล้างใบหน้า ปากและจมูก อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

 ﴿ فَٱغۡسِلُواْ وُجُوهَكُمۡ ٦ ﴾ [المائ‍دة: ٦] 

ความว่า “ก็จงล้างหน้าของพวกเจ้า” (อัล-มาอิดะฮฺ 6)

ส่วนหลักฐานที่บ่งบอกว่าจำเป็นที่จะต้องบ้วนปากและอิสตินชาก(น้ำเข้าจมูก)นั้น เพราะทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้า และรายงานทั้งหมดที่พูดถึงเรื่องราวการทำวุฎูอ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้น ล้วนแล้วกล่าวถึงการบ้วนปากและอิสตินชาก(น้ำเข้าจมูกแล้วขับออก) โดยมีหะดีษที่รายงานโดย อบู ฮุร็อยเราะฮฺ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«إِذَا تَوَضَّأَ أَحَدُكُمْ فَلْيَجْعَلْ فِي أَنْفِهِ مَاءً ثُمَّ لِيَنْثُرْهُ»

ความว่า “เมื่อคนหนึ่งในหมู่พวกท่านทำวุฎูอ์ให้เขาทำให้น้ำเข้าไปในจมูกของเขาหลังจากนั้นให้พ้นมันออกมา” (บันทึกโดยมุสลิม, อัน-นะสาอีย์, อบู ดาวูด และอิมามอะห์มัด)

สอง ล้างสองมือ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَأَيۡدِيَكُمۡ إِلَى ٱلۡمَرَافِقِ ٦ ﴾ [المائ‍دة: ٦] 

ความว่า “และมือของพวกเจ้าถึงข้อศอก” (อัล-มาอิดะฮฺ 6)

หมายความว่า รวมไปถึงข้อศอก ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องล้างข้อศอกด้วย เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านได้ทำการล้างข้อศอกของท่านในการทำวุฎูอ์

สาม  เช็ดศีรษะทั้งหมดรวมถึงหูทั้งสองข้าง อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَٱمۡسَحُواْ بِرُءُوسِكُمۡ ٦ ﴾ [المائ‍دة: ٦] 

ความว่า “และจงลูบศีรษะของพวกเจ้า” (อัล-มาอิดะฮฺ 6)

และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

«الأُذُنَانِ مِنَ الرَّأْسِ»

ความว่า “หูทั้งสองข้างนั้นเป็นส่วนหนึ่งของศีรษะ” (อัต-ติรมีซีย์ 37, อบู ดาวูด 134)

และเพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านจะทำการเช็ดศีรษะและหูทั้งสองข้างของท่านในการทำวุฎูอ์

             สี่ ล้างสองเท้าพร้อมกับตาตุ่ม อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَأَرۡجُلَكُمۡ إِلَى ٱلۡكَعۡبَيۡنِۚ ٦ ﴾ [المائ‍دة: ٦]   

ความว่า “และล้างเท้าของพวกเจ้าถึงตาตุ่มทั้งสอง” (อัล-มาอิดะฮฺ 6)

ห้า การทำตามลำดับ

เพราะอัลลอฮฺได้กล่าววิธีทำไว้ตามลำดับ โดยได้นำเอาส่วนที่ต้องเช็ดแทรกระหว่างส่วนที่ต้องล้าง เป็นการตัดส่วนที่เหมือนกัน(หมายถึงส่วนที่ต้องล้าง)ให้แยกจากกัน ประโยชน์ที่ได้จากสิ่งนี้ คือ การลำดับตามขั้นตอน และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮะวะสัลลัม ได้ลำดับการทำวุฎูอ์ตามวิธีการนี้ ด้วยการบอกกับปากและการปฏิบัติจริงของท่าน เป็นการอธิบายถึงสิ่งที่อัลกุรอานต้องการจะสื่อถึงให้ประชาชาติของท่านเข้าใจ

หก : อัล-มุวาลาต (ความต่อเนื่อง) คือ การที่ไม่เว้นช่วงการล้างอวัยวะใดๆ กระทั่งอวัยวะที่ล้างก่อนแล้วนั้นแห้งจากการเปียกน้ำวุฎูอ์ หลักฐานคือ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือผู้ที่กำหนดกฎเกณท์และให้ความกระจ่างแก่ประชาชาติของท่านในเรื่องหุก่มต่างๆ ของศาสนา และในทุกรายงานที่กล่าวถึงเวลาท่านนบีได้ทำวุฎูอ์ ก็จะระบุว่าท่านได้กระทำมันอย่างต่อเนื่อง (ดูในอัส-สัลสะบีล เล่ม 1 หน้า 51-53 และ อัล-มุลัคค็อศ อัล-ฟิกฮีย์ เล่ม 1 หน้า 32-33)

 บทที่ 14 สิ่งที่ทำให้วุฎูอ์เสีย

มี  6 ประการ

1-      การหลั่งของออกมาจากสองทวาร

2-      สิ่งสกปรกที่เป็นนะญิสที่ขับออกจากร่างกาย

3-      หมดสติด้วยการนอนหรืออื่นๆ

4-      การสัมผัสอวัยวะเพศและทวารหนักด้วยมือโดยปราศจากผ้ากั้น

5-      การทานเนื้ออูฐ

6-      การออกจากอิสลาม(ริดดะฮฺ) ขออัลลอฮฺทรงให้เราและบรรดามุสลิมห่างไกลจากสิ่งนี้

บทเรียนก่อนหน้านี้ผู้เขียนได้กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับวุฎูอ์ ในบทนี้ท่านต้องการที่จะให้ความกระจ่างในเรื่องราวที่จะทำให้เสียวุฎูอ์ เพื่อให้มุสลิมได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวศาสนาของเขา จึงได้บอกให้เราทราบในที่นี้ว่า สิ่งที่ทำให้วุฎูอ์เสียนั้นก็คือ

หนึ่ง การหลั่งสิ่งของออกมาจากทั้งสองทวาร ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก ซึ่งมีสองประเภท

1. แบบปกติ เช่น ปัสสาวะหรืออุจจาระ เช่นนี้แล้วจะทำให้เสียวุฎูอ์โดยความเห็นเป็นเอกฉันท์ของเหล่าผู้รู้ ตามที่อิบนุ อับดิลบัร ได้กล่าวยืนยันไว้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ أَوۡ جَآءَ أَحَدٞ مِّنكُم مِّنَ ٱلۡغَآئِطِ ٦ ﴾ [المائ‍دة: ٦] 

ความว่า “หรือคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้ามาจากที่ถ่ายทุกข์” (อัล-มาอิดะฮฺ 6)

2. แบบไม่ปกติ เช่นพยาธิ เส้นผม และกรวด ซึ่งจะทำให้วุฎูอ์เสียเช่นเดียวกัน เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่ หญิงที่มีเลือดอิสติหาเฎาะฮฺว่า

«تَوَضَّئِيْ لِكُلِّ صَلَاةٍ»

ความว่า “เธอจงอาบน้ำวุฎูอ์ในทุกๆ ครั้งที่ต้องการจะละหมาด” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 266, มุสลิม 333)

เนื่องจากเลือดอิสติหาเฎาะฮฺไม่ได้ออกเป็นประจำ ไม่เหมือนกรณีเลือดประจำเดือนปกติ แต่เพราะมันออกมาจากทวารจึงนับว่าเป็นกรณีเดียวกันกับเลือดปกตินั่นเอง

สอง สิ่งสกปรกที่เป็นนะญิสที่ขับออกจากร่างกาย

กรณีเช่นนี้วุฎูอ์จะเสียก็ต่อเมื่อมีการออกมาในจำนวนมาก แต่ถ้าออกมาเพียงเล็กน้อยก็ไม่ทำให้วุฎูอ์เสียแต่อย่างใด เช่น เลือด ถ้ามันออกมาในปริมาณมากก็จะทำให้วุฎูอ์เสียและถ้าออกมาเพียงเล็กน้อยไม่ทำให้เสียวุฎูอ์ ท่านอิบนุ อับบาส ได้กล่าวเกี่ยวกับเลือดไว้ว่า ถ้าหากว่ามีการหลั่งออกมามากเช่นนี้แล้วเขาต้องอาบน้ำวุฎูอ์ใหม่ ครั้งหนึ่ง อิบนุ อุมัรฺ มีสิวเกิดขึ้นที่ใบหน้าและมีเลือดออกมาเล็กน้อย ท่านทำการละหมาดโดยไม่ได้อาบน้ำวุฎูอ์ใหม่ และทั้งสองกรณีนี้ไม่ปรากฏความขัดแย้งในหมู่เศาะหาบะฮฺ ดังนั้น มันจึงกลายเป็นประเด็นอิจญ์มาอฺที่เห็นพ้องต้องกัน

สาม หมดสติ ด้วยการนอนหลับหรืออื่นๆ เช่น เป็นบ้า มึนเมา เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า

«الْعَيْنُ وِكَاءُ السَّهِ ، فَمَنْ نَامَ فَلْيَتَوَضَّأْ»

ความว่า “ดวงตาคือสิ่งที่ผูกสติ ดังนั้น ผู้ใดที่นอนหลับก็ให้เขาอาบน้ำวุฎูอ์เสียใหม่” (บันทึกโดยอบู ดาวูด 203, อิบนุ มาญะฮฺ 477)

แน่นอนว่า อาการเป็นลม เป็นบ้า หรือการมึนเมานั้นมีผลทำให้หมดสติมากกว่าการนอนหลับเสียอีก เพราะฉะนั้นมันจึงควรเป็นเหตุให้เสียวุฎูอ์มากกว่าด้วยซ้ำ

สี่ สัมผัสอวัยวะเพศทั้งทวารเบาและทวารหนักด้วยมือเปล่า เพราะท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า

«مَنْ مَسَّ فَرْجَهُ فَلْيَتَوَضَّأْ»

ความว่า “ผู้ใดที่สัมผัสอวัยวะของเขาให้เขาอาบน้ำวุฎูอ์เสียใหม่” (บันทึกโดยอัต-ติรมีซีย์ 82, อัน-นะสาอีย์ 444)

ห้า ทานเนื้ออูฐ มีรายงานจาก ญาบิรฺ บิน สะมุเราะฮฺ ชายผู้หนึ่งได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า ฉันต้องอาบน้ำวุฏฺอจากที่ทานเนื้ออูฐหรือไม่? ท่านตอบว่า

«نَعَمْ، تَوَضَّأْ مِنْ لُحُوْمِ الْإِبِلِ»

ความว่า “ใช่ ท่านจงอาบน้ำวุฎูอ์จาก(การทาน)เนื้ออูฐ” (บันทึกโดยมุสลิม 360, อิบนุ มาญะฮฺ 495)

หก การออกจากอิสลาม (ริดดะฮฺ) ขออัลลอฮฺทรงทำให้เราออกห่างจากสิ่งนี้ด้วยเถิด อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

 ﴿ لَئِنۡ أَشۡرَكۡتَ لَيَحۡبَطَنَّ عَمَلُكَ ٦٥ ﴾ [الزمر: ٦٤] 

ความว่า “หากแม้นว่าเจ้าได้ตั้งภาคีเช่นนี้แล้ว การงานของเจ้า(ทั้งหมด)ก็จะสูญสลาย” (อัซ-ซุมัรฺ 65 และดูใน อัล-อุดดะฮฺ ชัรหฺ อัล-อุมดะฮฺ หน้า 53-57)

หมายเหตุ:

ส่วนการอาบน้ำให้มัยยิต ทัศนะที่ถูกต้องคือ ไม่เป็นเหตุทำให้เสียน้ำวุฎูอ์ ตามทัศนะของอุละมาอ์ส่วนใหญ่ เนื่องจากไม่มีหลักฐานในเรื่องดังกล่าว ทว่า ถ้ามือของผู้ทำการอาบไปสัมผัสกับอวัยวะเพศของมัยยิตโดยปราศจากผ้ากั้นเช่นนี้แล้วจำเป็นที่เขาจะต้องอาบน้ำวุฎูอ์ใหม่ และวาญิบสำหรับเขาที่จะต้องไม่สัมผัสอวัยวะเพศของมัยยิตเว้นแต่ต้องมีผ้ากั้นเท่านั้น

            และในทำนองเดียวกันนี้การสัมผัสถูกผู้หญิง(หรือการสัมผัสเพศตรงข้าม)ก็ไม่ได้ทำให้น้ำวุฎูอ์เสียในทุกกรณี ไม่ว่าจะมีชะฮฺวะฮฺ(อารมณ์)หรือไม่ก็ตาม อันเป็นทัศนะที่ถูกต้องที่สุดในทัศนะต่างๆ ของอุละมาอ์ตราบที่ไม่มีการหลั่งใดๆ ออกมา เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านได้จูบภรรยาของท่านบางคน หลังจากนั้นท่านทำการละหมาดโดยที่ท่านไม่ได้อาบน้ำวุฎูอ์ใหม่แต่อย่างใด

ส่วนอายะฮฺที่อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ أَوۡ لَٰمَسۡتُمُ ٱلنِّسَآءَ ٦ ﴾ [المائ‍دة: ٦] 

ความว่า “หรือเมื่อพวกท่านได้สัมผัสกับสตรี” (อัล-มาอิดะฮฺ 6)

อายะฮฺดังกล่าวหมายความถึงการญิมาอฺ(ร่วมหลับนอน) ซึ่งเป็นทัศนะที่ถูกต้องที่สุดในสองทัศนะของอุละมาอ์ มันเป็นทัศนะของอิบนุ อับบาส และคนอื่นๆ

ในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นอาบน้ำมัยยิตและสัมผัสผู้หญิง ท่านเชคของเราได้ทำการอธิบายทัศนะต่างๆ ของนักวิชาการในบทเดิมของต้นฉบับ พร้อมกับได้ตัรญีห์แล้วด้วย

 บทที่ 15 อัคลาก(มารยาท)ที่ถูกบัญญัติใช้ต่อมุสลิมทุกคน

อัคลาก(มารยาท)ที่ถูกบัญญัติใช้ต่อมุสลิมทุกคน คือ ซื่อสัตย์ อะมานะฮฺ รักนวลสงวนตัว มีความละอาย กล้าหาญ เอื้ออาทร มีสัจจะ หลีกห่างจากทุกๆ สิ่งที่อัลลอฮฺได้ห้ามไว้ มีไมตรีกับเพื่อนบ้าน ช่วยเหลือผู้ยากไร้ตามความสามารถ และอื่นๆ จากอัคลากที่มีปรากฏอยู่ในอัลกุรอานและซุนนะฮฺซึ่งได้ถูกบัญญัติไว้

 บทที่ 16 มารยาทตามคำสอนของอิสลาม

มารยาทที่ดีงามในอิสลามมีดังนี้ ให้สลาม ยิ้มแย้มกับผู้อื่น รับประทานอาหารด้วยมือขวา และดื่มด้วยมือขวา มารยาทขณะเข้าออกมัสยิด และเข้าออกบ้านเรือน ยามเดินทาง ทำความดีต่อพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน ผู้ใหญ่ เด็กเล็ก ให้อวยพรแด่เด็กแรกเกิด เยี่ยมเยียนผู้เจ็บป่วย และอื่นๆ จากมารยาทที่อิสลามได้กำหนดไว้

            หลังจากที่ผู้เขียนได้อธิบายถึงหลักการศาสนาทั้งที่เป็นหลักและปลีกย่อยในบทเรียนที่ผ่านมา ในบทนี้ผู้เรียนประสงค์ที่จะอธิบายให้ผู้คนทั่วไปได้ทราบถึงมารยาทที่ดีงามในอิสลามส่วนหนึ่งที่ถูกบัญญัติไว้ให้มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ ดังนั้น เป็นหน้าที่ของท่าน โอ้พี่น้องมุสลิม (ขออัลลอฮฺทรงทำให้ท่านและเราได้บรรลุถึงทุกๆ การงานที่ดีงาม) ที่จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัตินี้เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีเลิศและสวยงามที่สุดด้วยอัคลากอันสูงส่งและมารยาทอันดีงามที่อิสลามได้กำหนดไว้ ได้ปรากฏบทบัญญัติมากมายจากทั้งอัลกุรอานและซุนนะฮฺเรียกร้องเชิญชวนให้ยึดมั่นกับมารยาทที่ดีงามเหล่านี้ และถ้าเพราะไม่กลัวว่าเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้จะยืดยาวก็คงจะนำมาเสนอ ณ ที่นี้ ดังนั้น ท่านจงนำเอาแบบอย่างจากผู้ที่ได้ปฏิบัติเรื่องเหล่านี้ไว้แก่เรา นั่นคือท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งได้มีผู้ถามท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ถึงมารยาทของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านหญิงอาอิชะฮฺตอบว่า

«كَانَ خُلُقُهُ القُرْآنِ»

ความว่า “แท้จริงมารยาทของท่าน(นบี)คืออัลกุรอาน”

เป็นที่รับรู้กันว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นผู้ซื่อสัตย์ มีอะมานะฮฺ กล้าหาญ โอบอ้อมอารี หลีกห่างจากทุกสิ่งที่อัลลอฮฺได้ห้ามไว้ และบรรดาเศาะหาบะฮฺต่างก็ได้เดินตามแบบอย่างของท่านอย่างดี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม อัจญ์มะอีน

            ในช่วงเริ่มต้นของการขยายอิสลามสู่ทั่วสารทิศนั้น เกิดมาจากการสนทนาแลกเปลี่ยนของเหล่าพ่อค้ามุสลิมกับผู้คนต่างๆ โดยพวกเขามีความซื่อสัตย์สุจริตและซื่อตรง ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺ หลังจากนั้นก็ขอความร่วมมือจากท่าน โอ้พี่น้องมุสลิม ให้ท่านจงเป็นบุคคลที่มีคุณลักษณะที่ดีงามเหล่านี้เถิด จงเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ในคำพูดและการกระทำ มีอะมานะฮฺในสิ่งที่ได้รับมาและถ่ายทอดไป มีความบริสุทธ์ใจและพอเพียงกับสิ่งที่มีอยู่ในครอบครอง และจงเป็นคนที่ความละอาย มารยาทดี กล้าหาญ ให้เกียรติและมีความเอื้ออาทร ไม่ปองร้ายต่อคนอื่น มีเมตตา ปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านของท่านด้วยดีเพราะสิทธิของเขานั้นยิ่งใหญ่นัก และจงให้ความช่วยเหลือต่อผู้ยากไร้แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือบ่าวของพระองค์ตราบที่บ่าวของพระองค์คอยช่วยเหลือพี่น้องของเขา จงให้สลามต่อผู้ใดก็ตามไม่ว่าท่านจะรู้จักเขาหรือไม่รู้จัก เพราะสิ่งเหล่านี้คือแบบอย่างของท่านนบี ท่านได้ถ่ายทอดซึ่งความรักและผลักไสความเกลียดชัง ก้าวร้าวและการแบ่งพรรคแบ่งพวก จงยิ้มให้กับพี่น้องของท่านอย่างสม่ำเสมอเพราะสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการให้ทาน จงปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้นำ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารอาหารและดื่มน้ำด้วยมือขวา และจงปฏิบัติตามซุนนะฮฺด้วยการก้าวด้วยเท้าขวาทุกครั้งที่เข้ามัสยิด อ่านดุอาอ์มะษูรฺ (ดุอาอ์ที่ปรากฏจากหะดีษของท่านนบี) และออกจากมัสยิดด้วยเท้าซ้าย จงหมั่นรักษาอ่านดุอาอ์เวลาเข้าและออกจากบ้าน เช่นนี้แล้วท่านจะถูกปกป้องด้วยการปกป้องของอัลลอฮฺและจะได้รับการดูแลจากพระองค์ ท่านอย่าได้ลืมดุอาอ์ทุกครั้งที่ท่านจะเดินทาง และจงทำดีต่อบิดามารดาของท่าน โดยการปฏิบัติกับท่านทั้งสองด้วยสิ่งทีดีงาม จงรู้ไว้เถิดว่าสิทธิของทั้งสองที่มีต่อท่านยิ่งใหญ่ซึ่งอัลกุรอานและหะดีษของท่านนบีได้ชี้นำไว้ ท่านอย่าได้ปล่อยปะละเลยต่อสิ่งนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านจะเสียใจ และท่านอย่าได้ลืมที่จะทำดีต่อญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน ผู้หลักผู้ใหญ่และผู้น้อยเพราะมันเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺและท่านนบีได้ชี้นำไว้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

 ﴿ وَأَحۡسِنُوٓاْۚ إِنَّ ٱللَّهَ يُحِبُّ ٱلۡمُحۡسِنِينَ ١٩٥ ﴾ [البقرة: ١٩٥] 

ความว่า “และจงทำดีเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรักผู้ทำความดีทั้งหลาย” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 195)

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«إِنَّكُمْ لَا تَسَعُوْنَ النَّاسَ بِأَمْوَالِكُمْ وَلَكِنْ لِيَسَعْهُمْ مِنْكُمْ بَسْطُ الْوَجْهِ وُحُسْنُ الْخُلُقِ»

ความว่า “แท้จริง พวกท่านไม่สามารถที่จะทำให้ผู้คนพอใจด้วยทรัพย์สินของพวกท่านดอก ทว่า พวกท่านสามารถที่จะทำให้ผู้คนพอใจท่านได้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและนิสัยที่ดีงาม”

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่ท่านมุอาซว่า

«اتَّقِ اللهَ حَيْثُمَا كُنْتَ، وَأَتْبِعِ السَّيِّئَةَ الحَسَنَةَ تَمْحُهَا، وَخَالِقِ النَّاسِ بِخُلُقٍ حَسَنٍ»

ความว่า “จงยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ณ ที่ใดก็ตามที่ท่านอยู่ และจงลบล้างความชั่วด้วยความดี และจงคลุกคลีกับผู้คนด้วยมารยาทที่ดีงาม” (อัล-ติรมีซีย์ 1987, อะห์มัด 5/153)

นักกวีท่านหนึ่งได้กล่าวว่า

أحسن إلى الناس تستعبد قلوبهم

فطالما استعبد الإنسان إحسان

ความว่า “จงทำดีต่อผู้คนเถิด แล้วท่านก็จะผูกมัดหัวใจของพวกเขาได้ เพราะหลายครั้งแล้ว ที่ความดีงามได้ผูกมัดหัวใจผู้คนไว้”

            จงแสดงความยินดีต่อทารกที่เกิดใหม่ และขอดุอาอ์ให้เด็กน้อยด้วยกับดุอาอ์ที่ปรากฏจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จงเยี่ยมเยียนพี่น้องของท่านที่ได้รับความทุกข์ยากท่านจะได้ผลบุญในสิ่งนั้น และจะได้รับดังเช่นที่พวกเขาได้รับในผลบุญ และจงยึดมั่นด้วยกับอัคลาคที่ถูกบัญญัติไว้และมารยาทอิสลามและออกห่างจากมารยาทที่ไม่ดีงามทั้งหลาย ขออัลลอฮฺทรงทำให้เราและท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่ยึดมั่นกับอัคลากที่ศาสนาได้บัญญัติไว้ และออกห่างจากมารยาทที่ไม่ดีงามทั้งหลาย แท้จริงพระองค์ทรงมีความปรีชาสามารถในทุกๆ สิ่ง และทรงคู่ควรยิ่งในการตอบรับดุอาอ์ของปวงบ่าว

ขอพระองค์ประทานเศาะละวาตแก่ท่านนบีของเรา และบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านทุกคนด้วยเทอญ

 บทที่ 17 เตือนให้ระวังจากการตั้งภาคีและความชั่วต่างๆ

การระวังจากการตั้งภาคีหรือชิริก และความชั่วต่างๆ ดังนี้

ความหายนะทั้ง 7 ประการ คือ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ไสยศาตร์ การฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามไว้เว้นแต่ด้วยความชอบธรรม รับประทานทรัพย์สินดอกเบี้ย รีดทรัพย์เด็กกำพร้า การหนีทัพในยามทำสงคราม การใส่ร้ายมุสลิมะฮฺที่บริสุทธิ์และเป็นผู้ศรัทธา

และในจำนวนความผิดอื่นๆ อาทิ อกตัญญูต่อบิดามารดา ตัดขาดความสัมพันธ์กับญาติพี่น้อง เป็นพยานเท็จ สาบานด้วยกับสิ่งมดเท็จ ทำร้ายเพื่อนบ้าน อธรรมต่อคนอื่นและละเมิดในเรื่องเลือดเนื้อ ทรัพย์สิน เกียรติ และอื่นๆ จากที่กล่าวมา ซึ่งอัลลอฮฺและท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ห้ามไว้

หลังจากที่ผู้เขียนได้กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวคุณลักษณะนิสัยที่อิสลามได้บัญญัติไว้ให้กับมุสลิมทุกคนและจรรยามารยาทในอิสลามไปแล้ว ในบทนี้ผู้เขียนต้องการที่จะกล่าวถึงอันตรายของการตั้งภาคี และเตือนให้รับรู้ถึงพิษภัยของมัน รวมถึงความชั่วอื่นๆ ทั้งหมด ส่วนหนึ่งก็คือความหายนะทั้งเจ็ดประการ เพื่อที่จะได้เตือนประชาชาติมุสลิมมิให้ล้วงล้ำเข้าไป หรืออาจจะไปกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจากที่กล่าวไปทั้งหมด จากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เล่าว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

«اجْتَنِبُوا السَّبْعَ الْمُوبِقَاتِ» ، قِيلَ : يَا رَسُولَ اللَّهِ مَا هِيَ ؟ قَالَ : «الشِّرْكُ بِاللَّهِ، وَالسِّحْرُ، وَقَتْلُ النَّفْسِ الَّتِي حَرَّمَ اللَّهُ إِلَّا بِالْحَقِّ، وَأَكْلُ الرِّبَا، وَأَكْلُ مَالِ الْيَتِيمِ، وَالتَّوَلِّي يَوْمَ الزَّحْفِ، وَقَذْفُ الْمُحْصَنَاتِ الْغَافِلَاتِ الْمُؤْمِنَاتِ»

ความว่า “พวกท่านจงออกห่างจาก อัล-มูบิกอต(ความหายนะ) ทั้งเจ็ด” พวกเขากล่าวว่า โอ้ รอซูลุลลอฮฺ มันมีอะไรบ้าง? ท่านกล่าวว่า “การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ไสยศาตร์ การฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามไว้เว้นแต่ด้วยความชอบธรรม กินดอกเบี้ย รีดทรัพย์เด็กกำพร้า การหนีทัพในยามทำสงคราม ใส่ร้ายมุสลิมะฮฺที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา และมีศรัทธา” (อัล-บุคอรีย์ 2615, มุสลิม 89)

ที่ได้ชื่อว่า อัล-มูบิกอต(ความหายนะ) เพราะมันจะนำมาซึ่งความหายนะให้กับผู้ที่กระทำมันในโลกนี้ และในวันอาคิเราะฮฺก็จะมีบทลงโทษอีกรอบ

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับชิริกนั้น เราได้กล่าวอธิบายไปแล้วในบทที่สี่ ซึ่งผู้อ่านสามารถย้อนกลับไปดูได้

ในส่วนของไสยศาสตร์นั้น คือ การทำของและปลุกเสก ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ส่งผลต่อจิตใจและร่างกาย บางอย่างทำให้ป่วยและถึงชีวิต และทำให้สามีภรรยาหย่าร้าง และส่วนหนึ่งเป็นไปในลักษณะการสร้างภาพลวงตาให้คนเชื่อโดยไม่ได้มีอยู่จริง ดังเช่นที่อัลลอฮฺได้ตรัสในสูเราะฮฺ ฏอฮา ว่า

﴿ قَالُواْ يَٰمُوسَىٰٓ إِمَّآ أَن تُلۡقِيَ وَإِمَّآ أَن نَّكُونَ أَوَّلَ مَنۡ أَلۡقَىٰ ٦٥ قَالَ بَلۡ أَلۡقُواْۖ فَإِذَا حِبَالُهُمۡ وَعِصِيُّهُمۡ يُخَيَّلُ إِلَيۡهِ مِن سِحۡرِهِمۡ أَنَّهَا تَسۡعَىٰ ٦٦ ﴾ [طه: ٦٥،  ٦٦] 

ความว่า “พวกเขากล่าวว่า โอ้มูซาเอ๋ย ท่านจะเป็นผู้โยนหรือว่าพวกเราจะเป็นผู้โยนก่อน มูซากล่าวว่า พวกท่านจงโยนก่อนเถิด ณ บัดนั้น เชือกและไม้เท้าของพวกเขาดูประหนึ่งว่ามันเลื้อยคลานไปมาเพราะเล่ห์กลของพวกเขา” (ฏอฮา 65-66)

การทำไสยศาสตร์หรือมายากลนี้ถือเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะเป็นการกุฟุรต่ออัลลอฮฺ และเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับการศรัทธาและการเชื่อในเอกภาพของอัลลอฮฺ

อัลลอฮฺได้ตรัสว่า

﴿ وَمَا يُعَلِّمَانِ مِنۡ أَحَدٍ حَتَّىٰ يَقُولَآ إِنَّمَا نَحۡنُ فِتۡنَةٞ فَلَا تَكۡفُرۡۖ ١٠٢ ﴾ [البقرة: ١٠٢] 

ความว่า “และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใด จนกว่าทั้งสองจะกล่าวว่า แท้จริงเราเป็นเพียงผู้ทดสอบเท่านั้น ดังนั้น เจ้าจงอย่าได้ปฏิเสธศรัทธา” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 102)

และบทลงโทษของผู้กระทำไสยศาตร์ ก็คือ ประหารชีวิต

และทุกสิ่งที่มีกล่าวไว้ในหะดีษนี้และสิ่งที่เชคได้กล่าวเพิ่มเติมจากเนื้อหาในหะดีษ ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ต้องห้ามด้วยหลักฐานจากอัลกุรอานและสุนนะฮฺ จำเป็นอย่างยิ่งที่มุสลิมทุกคนจะต้องออกห่างอย่างเด็ดขาด และหากได้เข้าไปเกี่ยวข้องแม้เพียงเล็กน้อยก็จงละทิ้งและสำนึกเสียใจพร้อมกับตั้งมั่นว่าจะไม่กลับไปสู่สิ่งเหล่านี้อีกเป็นครั้งที่สอง หรือกลับไปทำทุกๆ สิ่งที่เป็นสิ่งต้องห้ามและชั่วร้าย ผู้ปกครองหรือผู้ที่มีอำนาจก็จะต้องห้ามปรามผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของตน และตักเตือนพี่น้องมุสลิมของเขาไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้อง โดยการบอกให้รู้ถึงภัยสิ่งเหล่านี้ว่ามีอันตรายต่อศาสนาอย่างไร เพราะสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องความดีและความยำเกรง และการส่งเสริมในเรื่องการทำดีและห้ามปรามความชั่ว และเป็นการเชิญชวนสู่แนวทางของอัลลอฮฺ เป็นแบบอย่างแนวทางของบรรดานบี อะลัยฮิมุสสลาม อัลลอฮฺได้ประกาศผ่านท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า

﴿ قُلۡ هَٰذِهِۦ سَبِيلِيٓ أَدۡعُوٓاْ إِلَى ٱللَّهِۚ عَلَىٰ بَصِيرَةٍ أَنَا۠ وَمَنِ ٱتَّبَعَنِيۖ ١٠٨ ﴾ [يوسف: ١٠٧] 

ความว่า “จงกล่าวเถิดมุหัมมัด นี่คือแนวทางของฉัน ฉันเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺบนแนวทางอันประจักษ์แจ้ง ทั้งตัวฉันและผู้ปฏิบัติตามฉัน” (ยูสุฟ 108)

ขออัลลอฮฺทรงทำให้เราและท่าน รวมไปถึงมุสลิมทุกคนออกห่างจากความผิดบาปและสิ่งไม่ดีทั้งหลาย และทำให้เรายืนหยัดด้วยถ้อยคำแห่งพระองค์อัลลอฮฺด้วยความยั่งยืนในการใช้ชีวิตทั้งบนโลกดุนยาและในวันอาคิเราะฮฺ แท้จริง พระเจ้าของฉันนั้นทรงได้ยินและตอบรับดุอาอ์ทั้งหลาย

ขอพระองค์ประทานเศาะละวาตแก่ท่านนบีของเรา และบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านทุกคนด้วยเทอญ

 บทที่ 18 การจัดการญะนาซะฮฺและละหมาดให้กับญะนาซะฮฺ

มีรายละเอียดดังนี้

การจัดการกับญะนาซะฮฺ

1. เมื่อมั่นใจว่าบุคคลหนึ่งเสียชีวิตแล้ว ให้ทำการปิดดวงตาทั้งสองข้างของผู้ตาย และใช้ผ้ามัดเพื่อดึงกรามทั้งสองเข้ากับศรีษะ

2. ขณะอาบน้ำให้ศพ ให้ปกปิดร่างกายของเขา หลังจากนั้นให้ยกขึ้นเล็กน้อย แล้วลูบกดหน้าท้องของเขาเบาๆ หลังจากนั้นให้ผู้อาบนำเศษผ้าหรืออื่นๆ ที่ทำจากผ้าไว้ในมือของตน เพื่อเช็ดทำความสะอาดนะญิสให้เรียบร้อย  หลังจากนั้นก็อาบน้ำละหมาดให้กับศพ แล้วจึงล้างศีรษะและเคราด้วยน้ำสะอาดและน้ำพุทรา หรือน้ำยาทำความสะอาดเช่น สบู่ เป็นต้น หลังจากนั้นให้ล้างแขนขวา แขนซ้าย หลังจากนั้นให้อาบเช่นนั้นอีก สอง สามครั้ง โดยในทุกๆ ครั้งให้ใช้มือกดและลูบหน้าท้องของผู้ตายเบาๆ หากมีสิ่งสกปรกออกจากทวารให้ล้างออกแล้วทำการอุดปิดด้วยสำลี และหากสำลีไม่สามารถปิดกั้นได้ให้ใช้ดิน หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ปัจจุบันเช่นเทปกาวปิดเอาไว้ เป็นต้น

เสร็จแล้ว ให้อาบน้ำละหมาดให้ศพใหม่อีกครั้ง ถ้าหากยังไม่สะอาดด้วยการอาบสามครั้ง ให้เพิ่มเป็นห้า หรือเจ็ดครั้ง หลังจากนั้นให้เช็ดตัวด้วยผ้า และใส่น้ำหอมตรงตำแหน่งที่ส่งกลิ่น(ใต้รักแร้ ข้อพับต่างๆ เป็นต้น) และตำแหน่งสูญุด และหากสามารถใส่ทั่วทั้งร่างได้ก็เป็นการดี ให้อบผ้าห่อศพของเขาด้วยธูปหอม และหากหนวดหรือเล็บของเขายาวก็ให้ตัดเล็ม และไม่ต้องปิดผมของเขา แต่ถ้าเป็นผู้หญิงให้รวบมัดผมเป็นสามส่วน แล้วก็ปล่อยไว้ด้านหลังของนาง

3. การห่อศพ สำหรับผู้ชาย ดีที่สุดควรห่อด้วยผ้าสามผืนสีขาวโดยปราศจากการสวมเสื้อหรือแต่งกายใดๆ ทั้งสิ้น โดยการพับเข้าหาศพทีละผืน และหากห่อศพด้วยผ้าที่ตัดเป็นเสื้อ กับผ้าถุง และผ้าห่ออีกชิ้น ก็ไม่มีปัญหาใดๆ ส่วนผู้หญิงให้ทำการห่อศพด้วยผ้าห้าชิ้น ประกอบด้วย เสื้อ ผ้าคลุมหัว ผ้าถุง และผ้าห่อศพอีกสองผืน ถ้าเป็นเด็กผู้ชายให้ห่อศพด้วยผ้าหนึ่งผืนถึงสามผืน และห่อทารกหญิงด้วยเสื้อหนึ่งชิ้นและผ้าสองผืน

4. บุคคลที่คู่ควรที่สุด ในการอาบน้ำและนำละหมาดศพให้กับผู้ตายที่เป็นผู้ชาย คือบุคคลที่ผู้ตายได้สั่งเสียไว้ หลังจากนั้นก็เป็นบิดา ปู่ และญาติที่มีสิทธิรับมรดกแบบอะเศาะบะฮฺตามลำดับ

และบุคคลที่คู่ควรที่สุดที่จะทำการอาบน้ำให้กับศพผู้หญิง ก็คือ ผู้ที่นางได้สั่งเสียไว้ หลังจากนั้น ก็เป็นมารดา ยาย และญาติๆ ที่ใกล้ชิดตามลำดับของฝั่งหญิง

และสำหรับสามีภรรยา แต่ละคนสามารถอาบน้ำให้กับอีกฝ่ายได้ เพราะตอนที่ท่านอบู บักรฺ อัศ-ศิดดีก เสียชีวิต ภรรยาของท่านเป็นผู้อาบน้ำญะนาซะฮฺให้กับท่าน และท่านอะลีย์ก็ได้อาบน้ำญะนาซะฮฺให้กับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา

5. การละหมาดญะนาซะฮฺ ให้เริ่มด้วยการตักบีรฺและให้อ่านหลังจากตักบีรฺครั้งแรกด้วยสูเราะฮฺอัล-ฟาติหะฮฺ และหากตามด้วยสูเราะฮฺสั้นๆ หรืออายะฮฺสองอายะฮฺก็เป็นการดี เนื่องจากมีหะดีษได้ระบุเอาไว้จากอิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ หลังจากนั้น ให้ทำการตักบีรฺครั้งที่สองและกล่าวเศาะละวาตต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังเช่นที่เขากล่าวเศาะละวาตในตะชะฮุดเวลาละหมาด หลังจากนั้นให้ตักบีรฺครั้งที่สาม และกล่าวดุอาอ์

اللَّهُمَّ اغْفِرْ لِحَيِّنَا وَمَيِّتِنَا، وَشَاهِدِنَا وَغَائِبِنَا، وَصَغِيرِنَا وَكَبِيرِنَا، وَذَكَرِنَا وَأُنْثَانَا، وَشَاهِدِنَا وَغَائِبِنَا، اللَّهُمَّ مَنْ أَحْيَيْتَهُ مِنَّا فَأَحْيِهِ عَلَى الإِسلام , وَمَنْ تَوَفَّيْتَهُ مِنَّا فَتَوَفَّهُ عَلَى الإِيمان، اللَّهُمَّ اغْفِرْ لَهُ وَارْحَمْهُ وَعَافِهِ وَاعْفُ عَنْهُ ، وَأَكْرِمْ نُزُلَهُ ، وَوَسِّعْ مُدْخَلَهُ ، وَاغْسِلْهُ بِالْمَاءِ وَالثَّلْجِ وَالْبَرَدِ ، وَنَقِّهِ مِنَ الذُّنُوبِ والْخَطَايَا كَمَا يُنَقَّى الثَّوْبُ الْأَبْيَضُ مِنَ الدَّنَسِ ، وَأَبْدِلْهُ دَارًا خَيْرًا مِنْ دَارِهِ ، وَأَهْلًا خَيْرًا مِنْ أَهْلِهِ، وَأَدْخِلْهُ الْجَنَّةَ، وَأَعِذْهِ مِنْ عَذَابَ الْقَبْرِ، وَعَذَابِ النَّارِ، وَافْسَحْ لَهُ فِي قَبْرِهِ وَنَوِّرْ لَهُ فِيهِ، اللَّهُمَّ لا تَحْرِمْنَا أَجْرَهُ وَلا تُضِلَّنَا بَعْدَهُ.

            หลังจากนั้นให้ตักบีรครั้งที่สี่ และให้สลามหนึ่งครั้งโดยหันไปทางขวา

            ส่งเสริมให้ยกมือทั้งสองข้างขณะตักบีรฺทุกครั้ง และหากญะนาซะฮฺเป็นผู้หญิงให้กล่าวดุอาอ์ด้วยการปรับเปลี่ยนเฎาะมีรฺหรือสรรพนามเป็น

 )اللهم اغْفِرْ لَهَا (

และหากญะนาซะฮฺมีสองคน ให้กล่าว

 )اللهم اغْفِرْ لَهُمَا (

และให้กล่าวแบบรวมหากญะนาซะฮฺมีหลายศพ

กรณีที่ผู้ตายเป็นเด็ก (เสียชีวิตก่อนบิดามารดา) ให้กล่าวแทนจากการขออภัยโทษเป็นดุอาอ์ที่ว่า

اللَّهُمَّ اجْعَلْهُ فَرَطَاً وَذُخْراً لِوَالِدَيْهِ، وشَفِيعاً مُجَاباً، اللَّهُمَّ ثَقِّلْ بِهِ مَوَازِيْنَهُمَا، وأعْظِمْ بهِ أُجُورَهُمَا، وألْحِقْهُ بِصَالِحِ الـمُؤْمِنينَ، واجْعَلْهُ فِي كَفَالَةِ إِبْرَاهِيمَ، عليه السلام، وَقِهِ بِرَحْمَتِكَ عَذَابَ الجَحِيمِ.

ตามแบบอย่างสุนนะฮฺนั้น ให้อิมามยืนอยู่ ณ ตำแหน่งตรงกับศีรษะของญะนาซะฮฺที่เป็นชาย และตรงกลางญะนาซะฮฺที่เป็นหญิง และให้วางญะนาซะฮฺชายต่อจากอิมามในกรณีที่มีญะนาซะฮฺหลายๆ ศพ ส่วนญะนาซะฮฺหญิงให้วางถัดจากศพแรกไปทางกิบลัต และหากกรณีที่มีญะนาซะฮฺที่เป็นเด็กผู้ชายให้วางญะนาซะฮฺศพเด็กก่อนแล้วตามด้วยศพผู้หญิงและเด็กผู้หญิงตามลำดับ โดยศีรษะของเด็กชายอยู่ในระดับเดียวกับศีรษะของญะนาซะฮฺผู้ชาย และส่วนกลางของญะนาซะฮฺผู้หญิงให้อยู่ในตำแหน่งเดียวกับศีรษะของญะนาซะฮฺชาย ให้ศีรษะของเด็กหญิงให้อยู่ในระดับเดียวกับศีรษะของญะนาซะฮฺที่เป็นผู้หญิง และส่วนกลางของเธอให้อยู่ในระดับเดียวกับศีรษะของญะนาซะฮฺผู้ชาย แล้วผู้ที่มาร่วมละหมาดทั้งหมดให้อยู่ด้านหลังของอิมาม เว้นเสียแต่ว่าในกรณีที่คนคนหนึ่งไม่มีที่ให้ละหมาด ก็ให้ไปยืนอยู่ฝั่งขวาของอิมาม

والحمد لله وحده والصلاة والسلام على نبينا محمد وآله وصحبه