كتاب الآداب - آداب السلام - تايلندي عرض باللغة الأصلية
نبذة مختصرة
مقالة مترجمة من كتاب مختصر الفقه الإسلامي للشيخ محمد بن إبراهيم التويجري - حفظه الله -، وتحتوي على بيان آداب وفضائل السلام، وكيفيته، وفضيلة من بدأ بالسلام، وحكم السلام على المرأة والطفل، وسلام المرأة على الرجل، وحكم السلام على غير المسلم، وحكم السلام عند الدخول والخروج، وحكم الانحناء،والمصافحة، والمعانقة عند السلام، وحكم رد السلام على الغائب، وحكم القيام للآخرين، وحكم السلام ثلاثا، والسلام على الجماعة، وحكم رد السلام في حالة قضاء الحاجة، والتآنس مع الضيوف، وحكم قول عليك السلام.
- 1
DOC 808.5 KB 2019-05-02
- 2
PDF 233.6 KB 2019-05-02
تفاصيل
จรรยามารยาท หมายถึง การนำสิ่งที่น่ายกย่องสรรเสริญมาปฏิบัติ ทั้งในด้านวาจา การกระทำ และมารยาทที่ดีงาม
อิสลามเป็นศาสนาที่สมบูรณ์ จัดระบอบการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกสภาวการณ์ กำชับให้ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และห้ามปรามจากสิ่งที่เกิดโทษ และได้กำหนดมารยาทต่างๆ ต่อตนเองและต่อผู้อื่น มารยาทยามรับประทานอาหารและดื่ม มารยาทยามนอนและตื่น มารยาทยามอยู่ในพื้นที่และเดินทาง และมารยาทในทุกอิริยาบทของชีวิตประจำวัน
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
«وَمَا آتَاكُمُ الرَّسُولُ فَخُذُوهُ وَمَا نَهَاكُمْ عَنْهُ فَانْتَهُوا وَاتَّقُوا اللَّهَ إِنَّ اللَّهَ شَدِيدُ الْعِقَابِ» [الحشر :٧]
ความว่า “และสิ่งใดที่รอซูลได้นำมายังพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงยึดมั่นเอาไว้ และสิ่งใดที่ท่านห้ามปรามไม่ให้พวกเจ้ากระทำ พวกเจ้าก็จงละเว้นเสีย และพวกเจ้าจงเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺเถิด แท้จริง อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ” (อัล-หัชร์ : 7)
ในบรรดามารยาทที่ได้มีระบุในอัลกุรอานและในหะดีษที่เศาะฮีหฺ มีดังต่อไปนี้ :
1- มารยาทการให้สลาม
ความประเสริฐของการให้สลาม
1. จากอับดุลลอฮฺ บิน อัมร์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :
أَنَّ رَجُلاً سَأَلَ النَّبِىَّ صلى الله عليه وسلم : أَىُّ الإِسْلاَمِ خَيْرٌ؟، قَالَ: «تُطْعِمُ الطَّعَامَ، وَتَقْرَأُ السَّلاَمَ عَلَى مَنْ عَرَفْتَ وَمَنْ لَمْ تَعْرِفْ»
ความว่า มีชายผู้หนึ่งได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า (บทบัญญัติของ)อิสลามข้อไหนดีที่สุด? ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ตอบว่า “คือการที่ท่านให้อาหารแก่ผู้อื่น และการที่ท่านให้สลามแก่ผู้ที่ท่านรู้จักและผู้ที่ท่านไม่รู้จัก” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 12 สำนวนรายงานเป็นของท่าน, มุสลิม : 39)
2. จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :
قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم: «وَالَّذي نَفْسي بِيَدِهِ لاَ تَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ حَتَّى تُؤْمِنُوا، وَلاَ تُؤْمِنُوا حَتَّى تَحَابُّوا، أَوَلاَ أَدُلُّكُمْ عَلَى شَىْءٍ إِذَا فَعَلْتُمُوهُ تَحَابَبْتُمْ؛ أَفْشُوا السَّلاَمَ بَيْنَكُمْ» .
ความว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า “ขอสาบานกับผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า พวกท่านจะไม่เข้าสวรรค์จนกว่าพวกท่านจะศรัทธา และพวกท่านจะไม่ศรัทธาจนกว่าพวกท่านจะรักใคร่ปรองดองกัน พวกท่านจะเอาไหม ฉันจะบอกวิธีหนึ่งที่เมื่อพวกท่านปฏิบัติแล้ว พวกท่านก็จะรักใคร่ซึ่งกันและกัน ? จงแพร่สลามในหมู่พวกท่าน” (บันทึกโดยมุสลิม : 54)
3. จากอับดุลลอฮฺ บิน สลาม เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :
سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُوْلُ : ـ وفيه ـ «أَيُّهَا النَّاسُ! أَفْشُوا السَّلاَمَ، وَأَطْعِمُوا الطَّعَامَ، وَصَلُّوا وَالنَّاسُ نِيَامٌ؛ تَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ بِسَلاَمٍ».
ความว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “โอ้ มนุษย์เอ๋ย ! พวกท่านจงแพร่สลาม จงเลี้ยงอาหาร และทำละหมาดในยามที่คนอื่นต่างหลับไหล แล้วท่านจะได้เข้าสรวงสวรรค์ด้วยความสันติราบรื่น” (เป็นหะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดย อัต-ติรมิซีย์ : 2485 สำนวนนี้เป็นของท่าน ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 2019, อิบนุ มาญะฮฺ : 1334 ดูเศาะฮีหฺ สุนัน อิบนิ มาญะฮฺ : 1097)
วิธีการให้สลาม
1. อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
«وَإِذَا حُيِّيتُمْ بِتَحِيَّةٍ فَحَيُّوا بِأَحْسَنَ مِنْهَا أَوْ رُدُّوهَا إِنَّ اللَّهَ كَانَ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ حَسِيبًا» [النساء :٨٦]
ความว่า “และเมื่อพวกเจ้าได้รับการอวยพรด้วยคำอวยพรหนึ่ง พวกเจ้าก็จงกล่าวตอบ (แก่ผู้ที่อวยพร)ด้วยคำอวยพรที่ดีกว่านั้น หรือด้วยคำเช่นเดียวกัน แท้จริง อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงคำนวณนับในทุกสิ่ง” (อัน-นิสาอ์ : 86)
2. จากอิมรอน บิน หุศ็อยน์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :
جَاءَ رَجُلٌ إِلَى النَّبِىِّ صلى الله عليه وسلم، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ. فَرَدَّ عَلَيْهِ السَّلاَمَ، ثُمَّ جَلَسَ. فَقَالَ النَّبِىُّ صلى الله عليه وسلم: «عَشْرٌ». ثُمَّ جَاءَ آخَرُ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ. فَرَدَّ عَلَيْهِ، فَجَلَسَ. فَقَالَ: «عِشْرُونَ». ثُمَّ جَاءَ آخَرُ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ. فَرَدَّ عَلَيْهِ، فَجَلَسَ. فَقَالَ: «ثَلاَثُونَ».
ความว่า : มีชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แล้วกล่าวว่า “อัสสลามมุอะลัยกุม” ท่านจึงตอบสลาม แล้วเขาก็นั่งลง แล้วท่านนบีก็บอกว่า “ได้สิบ” ต่อมามีคนอื่นมาหาอีก เขากล่าวว่า “อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ” ท่านจึงตอบกลับ แล้วเขาก็นั่งลง ท่านบอกว่า “ได้ยี่สิบ” ต่อมาก็มีคนอื่นมาหาอีก เขากล่าวว่า “ อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ วะบะเราะกาตุฮฺ” ท่านก็ตอบกลับ แล้วเขาก็นั่งลง ท่านบอกว่า “ได้สามสิบ” (เป็นหะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดย อบู ดาวูด : 5195 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 4327, อัต-ติรมิซีย์ : 2689 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 2163)
- ความประเสริฐของผู้ที่เริ่มให้สลามก่อน
1. มีรายงานจากอบู อัยยูบ อัล-อันศอรีย์ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
«لاَ يَحِلُّ لِمُسْلِمٍ أَنْ يَهْجُرَ أَخَاهُ فَوْقَ ثَلاَثِ لَيَالٍ يَلْتَقِيَانِ فَيُعْرِضُ هَذَا وَيُعْرِضُ هَذَا، وَخَيْرُهُمَا الَّذِى يَبْدَأُ بِالسَّلاَمِ».
ความว่า “ไม่อนุมัติให้มุสลิมตัดสัมพันธ์กับพี่น้องของเขาเกินกว่าสามคืน ซึ่งสองคนนั้นเจอกันแล้วต่างคนต่างหนีหน้า และผู้ที่ประเสริฐกว่าในสองคนนั้นคือผู้ที่เริ่มให้สลามก่อน” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 6077, มุสลิม : 2560 สำนวนนี้เป็นของท่าน)
2. จากอบู อุมามะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า : ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
«إِنَّ أَوْلَى النَّاسِ بِاللَّهِ مَنْ بَدَأَهُمْ بِالسَّلاَمِ».
ความว่า “แท้จริงผู้มีความพิเศษกับอัลลอฮฺมากที่สุด คือ คนที่เริ่มให้สลามก่อนคนอื่น” (เป็นหะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดย อบู ดาวูด : 5197 สำนวนเป็นของท่าน ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 4338, อัต-ติรมิซีย์ : 2694 ดูเศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 2167)
ผู้ที่สมควรเริ่มให้สลามก่อน
1. มีรายงานจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
«يُسَلِّمُ الصَّغِيرُ عَلَى الْكَبِيرِ، وَالْمَارُّ عَلَى الْقَاعِدِ، وَالْقَلِيلُ عَلَى الْكَثِيرِ».
ความว่า “เด็กควรให้สลามแก่ผู้ใหญ่ คนเดินผ่าน(ควรให้สลาม)แก่คนที่นั่งอยู่ และกลุ่มคนที่น้อยกว่า (ควรให้สลาม)แก่กลุ่มคนที่มากกว่า” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 6231, มุสลิม : 2160)
2. มีรายงานจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
«يُسَلِّمُ الرَّاكِبُ عَلَى الْمَاشِى، وَالْمَاشِى عَلَى الْقَاعِدِ، وَالْقَلِيلُ عَلَى الْكَثِيرِ».
ความว่า “ผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะควรให้สลามแก่ผู้ที่เดิน ผู้ที่เดิน(ควรให้สลาม)แก่ผู้ที่นั่ง และกลุ่มคนที่น้อยกว่า(ควรให้สลาม)แก่กลุ่มคนที่มากกว่า” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 6232, มุสลิม : 2160)
- การให้สลามแก่สตรีและเด็ก
1. จากอัสมาอ์ บินตุ ยะซีด เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา กล่าวว่า :
مَرَّ عَلَيْنَا النَّبِىُّ صلى الله عليه وسلم فِى نِسْوَةٍ فَسَلَّمَ عَلَيْنَا.
ความว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ผ่านหน้าพวกเราในหมู่สตรีกลุ่มหนึ่ง แล้วท่านก็ให้สลามแก่พวกเรา (เป็นหะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดย อบู ดาวูด : 5204 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 4336, อิบนุ มาญะฮฺ : 3701 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อิบนิ มาญะฮฺ : 2986)
2. มีรายงานจากอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่า :
أَنَّهُ مَرَّ عَلَى صِبْيَانٍ فَسَلَّمَ عَلَيْهِمْ، وَقَالَ: كَانَ النَّبِىُّ - صلى الله عليه وسلم - يَفْعَلُهُ
ความว่า ท่าน(อะนัส)ได้ผ่านพวกเด็กๆ กลุ่มหนึ่ง แล้วท่านก็ให้สลามแก่พวกเขา และกล่าวว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม เคยทำอย่างนี้” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 6247 สำนวนเป็นของท่าน, มุสลิม : 2168)
- การให้สลามของสตรีแก่บุรุษเมื่อปลอดจากฟิตนะฮฺ
จากอุมมุฮานิ บินตุ อบี ฏอลิบ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา กล่าวว่า :
ذَهَبْتُ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم عَامَ الْفَتْحِ، فَوَجَدْتُهُ يَغْتَسِلُ، وَفَاطِمَةُ ابْنَتُهُ تَسْتُرُهُ، فَسَلَّمْتُ عَلَيْهِ، فَقَالَ «مَنْ هَذِهِ»؟. فَقُلْتُ : أَنَا أُمُّ هَانِئٍ بِنْتُ أَبِى طَالِبٍ. فَقَالَ: «مَرْحَبًا بِأُمِّ هَانِئٍ».
ความว่า ฉันได้ไปหาท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในปีอัล-ฟัตหฺ(ปีแห่งการเปิดเมืองมักกะฮฺ) ซึ่งฉันพบว่าท่านกำลังอาบน้ำอยู่ โดยมีฟาฏิมะฮฺ บุตรสาวของท่านกำลังกั้นฉากให้ท่าน ฉันเลยให้สลามแก่ท่าน และท่านถามว่า “ใครกันนี่ ?” ฉันตอบว่า “ฉันคืออุมมุ ฮานิอ์ บินตุ อบีฏอลิบ” ท่านจึงกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับ อุมมุ ฮานิอ์” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 6158 สำนวนเป็นของท่าน, มุสลิม : 336)
- ไม่ให้สลามแก่ชาวซิมมีย์(ผู้ไม่ใช่มุสลิมที่อยู่ในชุมชนมุสลิม)
1. มีรายงานจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
«لاَ تَبْدَءُوا الْيَهُودَ وَلاَ النَّصَارَى بِالسَّلاَمِ...»
ความว่า “พวกท่านจงอย่าเริ่มให้สลามแก่ชาวยะฮูดและนัศรอนีย์ก่อน ...” (มุสลิม : 2167)
2. อะนัส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
«إِذَا سَلَّمَ عَلَيْكُمْ أَهْلُ الْكِتَابِ فَقُولُوا وَعَلَيْكُمْ»
ความว่า “เมื่อชาวคัมภีร์ให้สลามแก่พวกท่าน ก็จงตอบว่า “วะอะลัยกุม”” (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 6258, มุสลิม : 2163)
- ผู้ใดผ่านกลุ่มคนที่มีทั้งมุสลิมและกาเฟรก็จงให้สลามโดยมุ่งเจตนาต่อคนมุสลิม
มีรายงานจากอุสามะฮฺ บิน ซัยด์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา ว่า :
أَنَّ النَّبِىَّ صلى الله عليه وسلم عادَ سَعْدَ بْنَ عُبَادَةَ ... وفيه : حَتَّى مَرَّ بِمَجْلِسٍ فِيهِ أَخْلاَطٌ مِنَ الْمُسْلِمِينَ وَالْمُشْرِكِينَ عَبَدَةِ الأَوْثَانِ وَالْيَهُودِ ... فَسَلَّمَ عَلَيْهِمُ النبي - صلى الله عليه وسلم - ثُمَّ وَقَفَ فَنَزَلَ فَدَعَاهُمْ إِلَى اللَّهِ وَقَرَأَ عَلَيْهِمُ الْقُرْآنَ.
ความว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้ไปเยี่ยมสะอัด บิน อุบาดะฮฺ (ในระหว่างทาง) ท่านได้ผ่านกลุ่มคนที่ปะปนกันซึ่งมีทั้งคนมุสลิม คนมุชริกผู้กราบไหว้รูบปั้น และคนยะฮูด... ท่านจึงให้สลามแก่พวกเขา แล้วท่านก็หยุดลงพัก ซึ่งท่านได้เรียกร้องพวกเขาสู่อัลลอฮฺ และอ่านอัลกุรอานให้พวกเขาฟัง (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 5663, มุสลิม : 1798 สำนวนเป็นของท่าน)
- การให้สลามขณะเข้าบ้าน
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
«فَإِذَا دَخَلْتُمْ بُيُوتًا فَسَلِّمُوا عَلَى أَنْفُسِكُمْ تَحِيَّةً مِنْ عِنْدِ اللَّهِ مُبَارَكَةً طَيِّبَةً» [النور : ٦١]
ความว่า “ดังนั้น เมื่อพวกเจ้าจะเข้าในบ้านหลังใดก็ตาม พวกเจ้าก็จงให้สลามแก่พวกท่านเอง(หมายถึงให้สลามแก่ผู้อยู่ในบ้านที่เป็นมุสลิม ซึ่งเปรียบเสมือนเรือนร่างเดียวกันกับท่าน) เพื่อเป็นการอวยพรอันจำเริญพูนสุขจากอัลลอฮฺ” (อัน-นูร : 61)
1. จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :
قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم : «إِذَا انْتَهَى أَحَدُكُمْ إِلَى الْمَجْلِسِ فَلْيُسَلِّمْ، فَإِذَا أَرَادَ أَنْ يَقُومَ فَلْيُسَلِّمْ، فَلَيْسَتِ الأُولَى بِأَحَقَّ مِنَ الآخِرَةِ».
ความว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า “เมื่อผู้ใดไปถึงยังที่ชุมนุม ก็จงให้สลาม และเมื่อต้องการจะปลีกตัวออกมาก็จงให้สลามเช่นกัน เพราะไม่ใช่ว่าการให้สลามครั้งแรกนั้นจะมีความพิเศษ(ควรกระทำ)มากกว่าการให้สลามครั้งหลัง” (หะดีษมีสายรายงานที่ดี บันทึกโดย อบู ดาวูด : 5208 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 4340, อัต-ติรมิซีย์ : 2706 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 2177, อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 183)
- ไม่ต้องโค้งตัวเมื่อพบกัน
จากอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า :
قَالَ رَجُلٌ: يَا رَسُولَ اللَّهِ، الرَّجُلُ مِنَّا يَلْقَى أَخَاهُ أَوْ صَدِيقَهُ أَيَنْحَنِى لَهُ؟، قَالَ: «لاَ». قَالَ: أَفَيَلْتَزِمُهُ وَيُقَبِّلُهُ؟، قَالَ: «لاَ». قَالَ: أَفَيَأْخُذُ بِيَدِهِ وَيُصَافِحُهُ؟، قَالَ: «نَعَمْ».
ความว่า ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า “โอ้ ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ! คนหนึ่งในหมู่พวกเราที่เจอกับพี่น้องเขา หรือเพื่อนของเขา เขาต้องโค้งตัวให้เขาด้วยหรือไม่ ?” ท่านตอบว่า ”ไม่ต้อง” เขาถามต่อว่า “แล้วเขาต้องโอบกอดและจุมพิตด้วยหรือไม่ ?” ท่านตอบว่า “ไม่ต้อง” เขาถามต่อว่า “แล้วเขาต้องจับมือเขาหรือ ?” ท่านจึงตอบว่า “ใช่แล้ว” (เป็นหะดีษ หะสัน บันทึกโดย อัต-ติรมิซีย์ : 2728 สำนวนนี้เป็ฯของท่าน ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 2195, อิบนุ มาญะฮฺ : 3702 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อิบนิ มาญะฮฺ : 2987)
- คุณค่าของการจับมือกัน
จากอัล-บัรรออ์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :
«مَا مِنْ مُسْلِمَيْنِ يَلْتَقِيَانِ فَيَتَصَافَحَانِ إِلاَّ غُفِرَ لَهُمَا قَبْلَ أَنْ يَفْتَرِقَا».
ความว่า “ไม่มีมุสลิมสองคนใดที่เจอกัน แล้วต่างยื่นมือจับระหว่างกัน นอกจากทั้งสองนั้นจะได้รับการอภัยโทษก่อนที่จะพรากจากกัน” (หะดีษ หะสัน บันทึกโดย อบู ดาวูด : 5212 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 4343, อัต-ติรมิซีย์ : 2727 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 2197)
- การจับมือพร้อมกับการโอบกอดให้กระทำกันเมื่อใด ?
ท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ได้กล่าวว่า :
كَانَ أصْحابُ النَّبِيِّ r إِذَا تَلاَقُوا تَصَافَحُوْا وَإِذَا قَدِمُوْا مِنْ سَفَرٍ تَعانَقُوا.
ความว่า เหล่าสหายของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้น เมื่อพวกเขาเจอกัน พวกเขาก็จะจับมือกัน และเมื่อพวกเขากลับจากการเดินทางไกล พวกเขาก็จะโอบกอดกัน (เป็นสายรายงานที่ดี บันทึกโดย อัต-เฏาะบะรอนีย์ ใน อัล-เอาส็อฏ : 97, ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 2647)
- ลักษณะการตอบสลามแก่ผู้ที่ไม่อยู่ต่อหน้า
1. ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา ได้รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวกับเธอว่า :
«يَا عَائِشَةُ، هَذَا جِبْرِيلُ يَقْرَأُ عَلَيْكِ السَّلاَمَ» . فَقَالَتْ : وَعَلَيْهِ السَّلاَمُ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ . تَرَى مَا لاَ أَرَى.
ความว่า “โอ้ อาอิชะฮฺ ! มลาอิกะฮฺญิบรีลนี่ได้ให้สลามแก่เธอ” เธอจึงตอบว่า “วะอะลัยฮิสสะลาม วะเราะฮฺมะตุลลอฮิ วะบะเราะกาตุฮฺ” ท่านมองเห็นในสิ่งที่ฉันมองไม่เห็น (บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 3217 สำนวนนี้เป็นของท่าน, มุสลิม : 2447)
2. ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แล้วกล่าวว่า :
إِنَّ أَبِى يُقْرِئُكَ السَّلاَمَ. فَقَالَ: «عَلَيْكَ وَعَلَى أَبِيكَ السَّلاَمُ»
ความว่า “พ่อของฉันฝากสลามแก่ท่านด้วย” แล้วท่านก็ตอบว่า “อะลัยกะ วะอะลา อบีกัส สะลาม (ขอความสันต?
التصانيف العلمية: