(1) อลีฟ ลาม รออฺ และตัวอักษรที่มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ที่มันได้ถูกพูดถึงแล้วในตอนต้นของซูเราะฮฺบะกอเราะฮฺ โองการเหล่านี้ที่ถูกประทานลงมาในซูเราะฮฺนี้นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากโองการทั้งหลายของอัลกุรอ่านอันชัดแจ้งในสิ่งที่รวมอยู่ในนั้นจากวิทยปัญญาและข้อกำหนดต่างๆ
(2) เป็นการประหลาดแก่มนุษย์หรือ ที่เราได้ให้วะฮฺยูแก่ชายคนหนึ่งมาจากพวกเขา สั่งให้เตือนพวกเขาจากบทลงโทษของอัลลอฮฺ โอ้ เราะซูลเอ๋ย จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า แท้จริงสำหรับพวกเขานั้น จะได้รับตำแหน่งอันสูงส่ง เป็นผลตอบแทนที่พวกเขาได้ปฏิบัติการงานที่ดีมา ณ ที่พระเจ้าของพวกเขา บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า แท้จริงแล้วผู้ชายคนนี้ที่มาพร้อมโองการต่างๆนั้นคือนักมายากลที่เห็นได้ชัด
(3) โอ้ บรรดาผู้ประหลาดใจทั้งหลายเอ๋ย แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านคืออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่และแผ่นดินที่กว้างขวางในเวลา 6 วัน แล้วพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ แล้วเหตุใดเล่าพวกเจ้าจึงประหลาดใจที่พระองค์ทรงส่งผู้ชายคนหนึ่งที่มาจากพวกเจ้า และพระองค์เพียงองค์เดียวที่จะทรงตัดสินและทรงมีความสามารถในการครอบครองที่กว้างขวาง และไม่มีผู้ใดที่จะให้ความช่วยเหลือคนใด เว้นแต่ต้องได้รับอนุมัติจากพระองค์และความโปรดปรานของพระองค์ ผู้ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้คืออัลลอฮฺ พระเจ้าของพวกเจ้า พวกเจ้าจงทำอิบาดะฮฺให้แก่พระองค์เพียงองค์เดียว พวกท่านจะไม่นึกถึงหลักฐานและสัญญาณต่างๆต่อความเป็นเอกภาพของอัลลอฮฺอย่างนั้นหรือ ดังนั้นผู้ที่มีความตระหนักอย่างน้อยเขาก็จะรับรู้และจะศรัทธา
(4) ยังพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้นคือทางกลับของพวกท่านทั้งหลายในวันปรโลก เพื่อตอบแทนการงานของพวกท่าน อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาไว้กับมวลมนุษย์ที่สัตย์จริงและไม่มีวันที่จะผิดสัญญา แท้จริงพระองค์ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ แล้วพระองค์ก็ทรงให้มันบังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังความตายของพวกเขา เพื่อทรงตอบแทนบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ประกอบความดี โดยเที่ยงธรรม โดยความดีของพวกเขานั้นจะไม่ลดน้อยลงเลย และความชั่วของพวกเขาก็จะไม่เพิ่มขึ้น ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์นั้น พวกเขาจะได้รับเครื่องดื่มที่ร้อนจัดที่จะตัดลำใส้ของพวกเขาให้ขาด และการลงโทษอันเจ็บแสบ เพราะพวกเขาปฏิเสธ ไม่ยอมศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์
(5) พระองค์ทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงที่เจิดจ้าและกระจายแสงและดวงจันทร์มีแสงนวลสว่างไสว และทรงกำหนดให้มันมีทางโคจรถึง28ตำแหน่ง และตำแหน่งในที่นี้คือ ระยะทางโคจรในทุกๆวันและทุกๆ คืน โอ้ มวลมนุษย์เอ๋ย เพื่อที่พวกท่านจะได้รู้จากดวงอาทิตย์ถึงจำนวนวันต่างๆ และจากดวงจันทร์ถึงจำนวนเดือนและปีต่างๆ อัลลอฮฺมิได้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและพื้นแผ่นดินและสิ่งที่อยู่บนสองสิ่งนี้เว้นแต่ด้วยความจริง เพื่อให้เห็นถึงความสามารถและความยิ่งใหญ่ของพระองค์แก่มวลมนุษย์ พระองค์ทรงจำแนกสัญญาณต่างๆ ที่ชัดแจ้งและมีหลักฐานที่ชัดเจนต่อความเป็นเอกภาพของพระองค์ สำหรับหมู่ชนที่รู้ถึงหลักฐานของมัน
(6) แท้จริงการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวัน และทำให้มืดและสว่าง และทำให้ทั้งสองนั้นสั้นลงหรือยาวขึ้น และสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้น แน่นอนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความสามารถของอัลลอฮฺแก่กลุ่มชนที่มีความยำเกรง ที่ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์
(7) แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาที่ไม่หวังที่จะพบอัลลอฮฺ พวกเขาจะเกรงกลัวหรือเสพสุขบนโลกดุนยา และพวกเขาพอใจต่อชีวิตในโลกดุนยาที่ไม่มั่งคงแลกกับชีวิตในอาคิเราะฮฺที่เหลืออย่างนิรันดร์ และอยู่อย่างสุขสบาย และบรรดาผู้ผินหลังต่อสัญญาณและหลักฐานต่างๆ ของอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ที่ถูกละเลย
(8) ชนเหล่านั้นที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ที่พำนักของพวกเขาคือนรก เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายเอาไว้และปฏิเสธต่อวันปรโลก
(9) แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและผู้ประกอบความดี อัลลอฮฺจะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องด้วยการประกอบความดีที่จะนำไปสู่ความพึงพอใจของพระองค์ เนื่องด้วยการศรัทธาของพวกเขา หลังจากนั้นอัลลอฮฺจะทรงให้พวกเขาเข้าสวนสวรรค์อันเกษมสำราญชั่วนิรันดร์ในวันปรโลกที่ภายใต้พวกเขามีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน
(10) การขอพรของพวกเขาในสวนสวรรค์คือ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน และคำทักทายของของอัลลอฮฺแก่พวกเขาและคำทักทายของบรรดามลาอิกะฮฺและคำทักทายระหว่างพวกเขาด้วยกันในนั้นคือ ความสันติสุข (อัสสลาม) และสุดท้ายแห่งการขอพรของพวกเขาคือ การสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ พระเจ้าของสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหมด
(11) และหากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา ทรงเร่งตอบรับการขอพรของมนุษย์ของตัวเขาเองและลูกๆของของและทรัพย์สมบัติของเขาด้วยความชั่วในขณะที่ทรงกริ้ว เช่นเดียวกับการตอบรับการขอพรของพวกเขาเพื่อขอความดีแล้ว แน่นอนความตายของพวกเขาก็คงถูกกำหนดแก่พวกเขา แต่อัลลอฮฺแล้วเราจะผ่อนปรนให้แก่พวกเขาและปล่อยบรรดาผู้ที่ไม่หวังจะพบพระองค์ เพราะกลัวบทลงโทษและไม่ได้หวังผลบุญใดๆ อัลลอฮฺจะทรงปล่อยให้อยู่ในความงงงวย ลังเลใจสับสนในวันพิพากษา(วันปรโลก)
(12) และเมื่อมนุษย์ที่ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮฺได้ล้มป่วยหรือเกิดเรื่องร้ายแก่เขา เขาก็จะวิงวอนขอเราด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนในสภาพนอนตะแคง หรือนั่ง หรือยืนเพื่อให้เขารอดพ้นจากสิ่งอันตราย ครั้นเมื่อเราได้ตอบรับคำวิงวอนของเขา และเราได้ให้เขาพ้นอันตรายและกลับมาเป็นปกติแล้ว เขาก็จะเมินคล้ายกับว่าเขามิได้วิงวอนขอเราให้พ้นจากอันตรายที่ได้ประสบแก่เขา เหมือนกับที่ถูกทำให้สวยงามแก่ผู้ปฏิเสธที่หลงทางผิดอย่างต่อเนื่อง ถูกทำให้สวยงามสำหรับผู้ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮฺด้วยการอธรรมในสิ่งที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธาและทำชั่วโดยไม่ละทิ้งมันเลย
(13) โอ้ บรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺเอ๋ย และแน่นอน เราได้ทำลายประชาชาติศตวรรษรุ่นก่อนจากพวกเจ้าไปแล้ว เพราะการปฏิเสธของพวกเขาต่อบรรดาเราะซูลของพระองค์ และกระทำบาป และแท้จริงบรรดาเราะซูลของพวกเขาที่เราส่งมา ได้มายังพวกเขาแล้วพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้งที่บ่งบอกถึงความสัตย์จริงในสิ่งที่พวกเขาได้พามาซึ่งมาจากพระเจ้าของพวกเขา แล้วพวกเขาก็ไม่ศรัทธา เพราะไม่พร้อมที่จะศรัทธา แล้วอัลลอฮฺก็ได้ปล่อยละเลยพวกเขาและไม่ตอบรับ เหมือนที่เราได้ตอบแทนประชาชาติที่อธรรมก่อนๆ เราจะตอบแทนเหมือนที่พวกเขาได้รับในทุกๆเวลาและสถานที่
(14) โอ้ มวลมนุษย์เอ๋ย แล้วเราก็ได้แต่งตั้งพวกท่านให้เป็นตัวแทนของประชาชาติผู้ปฏิเสธเหล่านั้นที่เราได้ทำลายไปแล้ว เพื่อเราจะดูว่าพวกท่านจะปฏิบัติตนอย่างไร พวกท่านจะทำดีแล้วได้ผลตอบแทนหรือพวกท่านจะทำชั่วแล้วถูกลงโทษไหม
(15) และเมื่อบรรดาโองการในอัลกรุอ่านอันชัดแจ้งที่กล่าวถึงการศรัทธาต่ออัลลอฮฺได้ถูกอ่านแก่พวกเขาแล้ว บรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพที่ไม่หวังต่อผลตอบแทนจากอัลลอฮฺ และไม่เกรงกลัวต่อบทลงโทษของพระองค์ จะกล่าวว่า โอ้ มุฮัมมัด ท่านจงนำอัลกุรอ่านเล่มอื่นที่ไม่ใช่เล่มนี้ ที่มาพร้อมกับการสาปแช่งเทวรูปหรือเล่มอื่นๆ ที่คัดลอกบางส่วนของอัลกรุอ่านหรือทั้งหมดของอัลกรุอ่านให้ตรงตามความต้องการของเรา โอ้ เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า มันไม่ถูกต้องที่ฉันจะเปลี่ยนมันได้ และฉันไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน เว้นแต่อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงมันตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ฉันจะไม่ปฏิบัติตามเว้นแต่สิ่งที่อัลลอฮฺประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริงฉันกลัวว่า หากฉันฝ่าฝืนอัลลอฮฺด้วยการตอบรับและทำตามที่พวกท่านขอแล้ว จะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่ นั้นคือวันปรโลก
(16) โอ้ เราะซูลจงกล่าวเถิด หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ ไม่ให้ฉันอ่านอัลกุรอ่านแก่พวกท่าน ฉันก็จะไม่อ่านอัลกรุอ่านให้พวกท่านฟัง และจะไม่สงสารแก่พวกท่าน และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ไม่ให้พวกท่านได้รู้อัลกุรอ่านจากปากของฉันนั้น แน่นอนที่ฉันอยู่กับพวกท่านเป็นเวลาเนิ่นนาน 40ปี ฉันจะไม่อ่าน ไม่เขียนและจะไม่ขอหรือค้นหาสิ่งนี้ พวกท่านจะไม่รับรู้ด้วยสติปัญญาของพวกท่านบ้างหรือว่าอัลกรุอ่านนั้นมาจากอัลลอฮฺ ไม่ใช่บงการใดๆ ของฉัน
(17) จะไม่มีผู้ใดจะอธรรมยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ แล้วฉันจะเปลี่ยนแปลงอัลกุรอ่านเป็นการกล่าวเท็จต่อพระองค์ได้อย่างไรหรือ แท้จริงผู้ที่ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮฺด้วยการกล่าวเท็จนั้น ย่อมไม่บรรลุความสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
(18) และบรรดาผู้ตั้งภาคีจะเคารพสักการะสิ่งอื่นเป็นพระเจ้าที่ไม่ใช่อัลลอฮฺ ที่มิได้ให้ประโยชน์แก่พวกเขา แลมิได้ให้โทษแก่พวกเขา และพระเจ้าที่สัตย์จริงต้องให้ประโยชน์และโทษเมื่อใดที่ทรงประสงค์ แล้วพวกเขาได้กล่าวถึงสิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะเหล่านั้นว่า เป็นคนกลางที่จะผู้ช่วยเหลือเรา ณ ที่อัลลอฮฺ และเขาจะไม่ลงโทษเราในบาปที่เราได้ก่อไว้ โอ้ เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า พวกท่านจะแจ้งข่าวแก่อัลลอฮฺที่ทรงรู้ว่าพระองค์มีผู้ร่วม และพระองค์ไม่ทรงรู้ว่ามีผู้ร่วม ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินกระนั้นหรือ เจ้าให้ความศักดิ์สิทธิ์และความบริสุทธิ์แก่พระองค์ที่เป็นความเท็จตามที่บรรดาผู้ตั้งภาคีกล่าวไว้
(19) และมนุษย์นั้นมิใช่อื่นใด นอกจากเป็นประชาชาติเดียวกันเป็นผู้ศรัทธาที่เป็นหนึ่ง แล้วพวกเขาก็แตกแยกกัน และบางคนในหมู่พวกเขาก็ยังคงเป็นผู้ศรัทธา และบางคนก็กลายเป็นผู้ปฏิเสธ และหากมิใช่ลิขิตของอัลลอฮฺที่ได้บันทึกไว้ที่จะไม่ตัดสินตัดสินระหว่างพวกเขาในเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกันในโลกนี้ แต่จะตัดสินระหว่างพวกเขาในวันปรโลก ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็จะตัดสินการขัดแย้งระหว่างพวกเขาบนโลกนี้ และจะเห็นได้ชัดถึงคนที่ได้รับแนวทางที่ถูกต้องจากผู้หลงผิด
(20) และบรรดาผู้ตั้งภาคีกล่าวว่า ทำไมถึงไม่ทรงประทานสัญญาณแก่มุฮัมมัดจากพระเจ้าของเขาที่บ่งบอกถึงความสัตย์จริงของเขา โอ้เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวเถิด การประทานสัญญาณสิ่งเร้นลับนั้นเฉพาะอัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงรู้ พวกท่านจงคอยดูเถิดสิ่งที่พวกท่านได้แนะนำไว้จากสัญญาณที่สัมผัสได้ แท้จริงฉันนั้นอยู่กับพวกท่านในหมู่ผู้คอยดู
(21) และเมื่อเราให้บรรดาผู้ตั้งภาคีลิ้มรสสิ่งดีๆ จากฝนและความอุดมสมบูรณ์ หลังจากความแห้งแล้งและความทุกข์ยากได้ประสบแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาก็จะเยาะเย้ยและปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา โอ้ เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า อัลลอฮฺทรงรวดเร็วยิ่งในการแก้อุบาย และทรงรวดเร็วยิ่งที่จะลงโทษพวกเจ้าอย่างต่อเนื่อง แท้จริงการเก็บรักษานั้นจากบรรดามลาอิกะฮฺที่จะคอยบันทึกสิ่งที่พวกท่านกำลังทำอุบายอยู่ และจะไม่มีสิ่งใดรอดพ้นจากมลาอิกะฮฺได้ แล้วเช่นใดเล่าจะรอดพ้นจากผู้ที่สร้างพวกเขา? และอัลลอฮฺจะตอบแทนพวกเจ้าต่ออุบายของพวกเจ้า
(22) โอ้ มวลมนุษย์ทั้งหลาย อัลลอฮฺคือผู้ทรงทำให้พวกท่านเดินทางโดยทางบกด้วยเท้าของท่านหรือพาหนะของท่าน(สัตว์เลี้ยง) และพระองค์คือผู้ทรงทำให้พวกท่านเดินทางโดยทางทะเลด้วยเรือต่างๆ จนกระทั่งเมื่อพวกท่านอยู่ในเรือและมันได้นำพวกเขาแล่นไปด้วยลมที่ดี และผู้โดยสารบนเรือก็จะดีใจที่ลมดี และระหว่างที่พวกเขาดีใจกับมันนั้น ทันใดนั้นลมพายุได้พัดกระหน่ำและคลื่นก็ซัดเข้ามายังพวกเขาจากทุกด้าน และพวกเขาส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขานั้นจะต้องตาย พวกเขาจึงวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียว โดยไม่ตั้งภาคีกับพระองค์ กล่าวขึ้นว่า หากพระองค์ทรงให้เราพ้นจากภัยอันตรายนี้ โดยแน่นอนยิ่งพวกเราจะอยู่ในหมู่ผู้กตัญญูต่อพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงโปรดปรานต่อพวกเรา
(23) ครั้นเมื่อพระองค์ทรงตอบรับคำขอพรของพวกเขาและให้พวกเขารอดพ้นจากอันตรายแล้ว พวกเขาก็ทำความเสียหายในแผ่นดิน โดยการอธรรม ทำชั่วและทำบาป โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงบทลงโทษของการทำความเสียหายของพวกเจ้านั้น มันเป็นอันตรายต่อตัวของพวกเจ้าเอง และอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงกระทบต่อสิ่งที่พวกทำมา มันเป็นความเพลิดเพลินของชีวิตในโลกนี้ที่ไม่ยืนยาวเท่านั้น แล้วในที่สุดพวกเจ้าก็จะกลับไปหาเราในวันปรโลก แล้วเราจะแจ้งข่าวให้พวกเจ้าทราบถึงความชั่วที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ และเราจะตอบแทนการกระทำของพวกเจ้า
(24) แท้จริง อุปมาชีวิตในโลกนี้ที่พวกเจ้าเพลิดเพลินกับมันจะจบไปอย่างรวดเร็ว ดังน้ำฝนที่หลั่งไหลลงมาจากฟากฟ้า พืชในแผ่นดินจะคละเคล้ากับมัน และทำให้เกิดเป็นอาหารสำหรับมนุษย์รับประทานได้ ทั้งเมล็ด และผลไม้ต่างๆ และในสิ่งที่สัตว์ใช้กินเป็นอาหารเช่น ใบหญ้าและอื่นๆ จนกระทั่งเมื่อแผ่นดินได้มีสีสดใส และถูกประดับด้วยพืชผลต่างๆอย่างสวยงาม เจ้าของของมันก็คิดว่าพวกเขาสามารถที่จะเก็บเกี่ยวพืชผลเหล่านั้น คำบัญชาของเราได้มาให้ทำลายมัน แล้วเราได้ทำให้มันถูกเก็บเกี่ยวเสมือนกับว่าไม่มีต้นไม้และพืชในเวลาอันใกล้ เหมือนที่เราได้ชี้แจงแก่พวกเจ้าสภาพของโลกที่หมดอายุอย่างรวดเร็วโดยชี้แจงโองการและหลักฐานต่างๆ แก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญและพิจารณา
(25) และอัลลอฮฺทรงเรียกร้องมนุษย์ทั้งหลายไปสู่สวนสวรรค์สถานที่แห่งศานติ มนุษย์จะรอดพ้นจากภัยพิบัติและความวิตกกังวล และจากความตาย และอัลลอฮฺทรงให้ความง่ายดายต่อบ่าวของพระองค์ไปยังศาสนาอิสลามที่จะนำไปสู่สถานที่แห่งศานติ
(26) สำหรับบรรดาผู้กระทำความดี ด้วยการเชื่อฟังสิ่งที่อัลลอฮฺให้พวกเขาปฏิบัติ และละทิ้งความชั่วต่างๆ จะได้รับความดี นั้นก็คือสวนสวรรค์ และได้เพิ่มขึ้นอีก คือการมองหน้าตาของอัลลอฮฺอันทรงเกียรติ และใบหน้าของพวกเขาจะไม่หมองคล้ำจากฝุ่นและความอ่อนแอหรือความอับอายจะไม่ปกคลุมใบหน้าของพวกเขา ชนเหล่านี้คือชาวสวรรค์ พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
(27) และบรรดาผู้ที่กระทำความชั่วด้วยการอธรรมและกระทำสิ่งไม่ดีนั้น พวกจะได้รับการตอบแทนความชั่วตามที่พวกเขาได้กระทำไว้ด้วยความชั่วเช่นเดียวกัน นี่คือบทลงโทษของอัลลอฮฺในวันปรโลก ความต่ำต้อยและความอับอายจะปกคลุมพวกเขา เมื่อบทลงโทษได้ลงแก่พวกเขาก็ไม่มีอะไรสามารถป้องกันพวกเขาให้รอดพ้นจากบทลงโทษของอัลลอฮฺได้ เสมือนว่าใบหน้าของพวกเขาถูกคลุมด้วยความมืดของค่ำคืนอันมืดทึบที่ปกคลุมไปด้วยควันไฟและความทึบของมัน ชนเหล่านี้คือชาวนรก พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล
(28) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงนึกถึงวันกิยามะฮฺที่เราชุมนุมพวกเขาทั้งหมด แล้วเราจะกล่าวแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺในโลกนี้ว่า โอ้ บรรผู้ตั้งภาคีเอ๋ย จงอยู่ ณ สถานที่ของพวกเจ้า พวกเจ้าและบรรดาสิ่งสักการะของพวกเจ้า ที่พวกเจ้าได้เคารพสักการะนอกเหนืออัลลอฮฺ แล้วเราได้แยกระหว่างผู้เคารพสักการะกับสิ่งที่ถูกเคารพสักการะออกจากกัน และสิ่งที่ถูกเคารพสักการะก็ตีตัวออกห่างจากบรรดาผู้ตั้งภาคีของพวกเขาและกล่าวขึ้นว่า พวกเจ้าไม่ได้เคารพสักการะเราบนโลกดุนยานี้เลย
(29) ณ ตรงนั้น พระเจ้าที่พวกเขาได้เคารพสักการะนอกเหนืออัลลอฮฺก็ได้ตีตัวออกห่างจากพวกเขา แล้วอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นพยาน และพอเพียงแล้วสำหรับพระองค์ แท้จริงแล้วเราไม่พอใจที่พวกเจ้าเคารพสักการะเพื่อเรา และเราก็ไม่ได้สั่งให้พวกเจ้าปฏิบัติ และเราก็ไม่ได้รู้สึกถึงการเคารพสักการะของพวกเจ้าเลย
(30) ในวันยิ่งใหญ่นั้นทุกชีวิตจะถูกสอบสวนถึงสิ่งที่กระทำไว้ก่อนบนโลกดุนยา และบรรดาผู้ตั้งภาคีจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าที่สัตย์จริงของพวกเขา พระเจ้าองค์นั้นคืออัลลอฮฺที่เป็นผู้สอบสวนพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเทวรูปของพวกเขาได้หนีไปจากพวกเขา
(31) โอ้ เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺเถิดว่า ใครที่เป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้าทำให้ฝนตกลงมา? และใครที่เป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพบนแผ่นดินแก่พวกเจ้า ที่ทำให้ต้นไม้ต่างๆได้งอกเงยขึ้นมา และมีแร่ธาตุ? และใครเป็นผู้ให้มีชีวิตหลังจากการตาย เช่นมนุษย์ที่เกิดจากตัวอสุจิ และสัตว์ปีกเกิดจากไข่ และใครเป็นผู้ให้ตายหลังจากมีชีวิตมา เหมือนตัวอสุจิของสัตว์ และไข่ของสัตว์ปีก? และใครเป็นผู้บริหารกิจการฟากฟ้าต่างๆ และแผ่นดินและสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนั้น? แล้วพวกเขาตอบว่า แน่นอนผู้ทรงสร้างสิ่งทั้งหมดนั้นคืออัลลอฮฺ ดังนั้นจงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า พวกเจ้าจะไม่รู้และไม่ยำเกรงโดยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์กระนั้นหรือ?
(32) โอ้ มวลมนุษย์ ผู้ที่ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างนั้น นั่นเหละคืออัลลอฮฺ พระเจ้าที่แท้จริงที่ทรงสร้างพวกท่าน ผู้บริหารจัดการเรื่องของพวกท่าน และอะไรเล่าหลังจากที่ได้รู้ความจริงแล้ว นอกเสียจากการห่างไกลและการสูญเสีย? แล้วสติปัญญาของพวกท่านต่อความจริงที่เห็นได้ชัดนี้หายไปไหน?
(33) โอ้ เราะซูลเอ๋ย การยืนหยัดถึงการเป็นพระเจ้า (อัร-รุบุบียยะฮฺ) ที่แท้จริงสำหรับอัลลอฮฺนั้นเป็นที่จำเป็น ประกาศิตแห่งพระเจ้าของเจ้าเป็นอำนาจเหนือกว่าบรรดาผู้ที่ออกไปจากความจริงเพราะไม่เชื่อฟัง แท้จริงแล้วพวกเขานั้นไม่มีความศรัทธา
(34) โอ้ เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวเถิดแด่บรรดาผู้ตั้งภาคีว่า มีใครบ้างในหมู่ภาคีของพวกท่านที่พวกท่านเคารพสักการะพวกเขานอกเหนือจากอัลลอฮฺ ที่เป็นผู้บังเกิดที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ และให้เขาฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังจากที่เขาตายไปแล้ว? จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า อัลลอฮฺทรงบังเกิดอย่างที่ไม่เคยมีใครให้การบังเกิดมาก่อน และทรงให้เขาฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังจากที่พวกเขาตายไปแล้ว โอ้ บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย ทำไมพวกเจ้าจึงหันเหออกจากความจริงไปสู่ความเท็จเล่า?
(35) โอ้ เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า มีใครบ้างในหมู่ภาคีของพวกท่านที่พวกท่านได้เคารพสักการะพวกเขานอกเหนือจากอัลลอฮฺ ที่เป็นผู้ชี้แนะทางสู่สัจธรรม จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงชี้แนะทางสู่สัจธรรม ดังนั้นผู้ที่ชี้แนะทางแก่มวลมนุษย์สู่สัจธรรมและเชิญชวนพวกเขานั้น สมควรกว่าที่จะได้รับการปฏิบัติตาม (อิบาดะฮฺ)หรือสิ่งที่พวกเจ้าสักการะที่ไม่ได้ชี้แนะด้วยตัวของเขาเอง นอกจากผู้อื่นที่จะชี้แนะเขาได้ แล้วพวกท่านก็ตัดสินอย่างผิดๆได้อย่างไรในขณะที่พวกท่านได้อ้างว่า พวกเขานั้นเป็นภาคีสำหรับอัลลอฮฺ อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งต่อคำพูดของพวกท่าน ผู้ทรงสูงส่งและยิ่งใหญ่
(36) บรรดาผู้ตั้งภาคีส่วนใหญ่จะไม่ปฏิบัติตามสิ่งใดนอกจากสิ่งที่เขาไม่รู้ แล้วสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัตินั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ลำบากใจและเกิดข้อสงสัย แท้จริงแล้วความสงสัยนั้นไม่ได้อยู่ในการเรียนรู้และไม่อาจจะทดแทนได้แต่อย่างใด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ ทุกการกระทำของพวกเขาจะไม่เป็นที่เร้นลับสำหรับพระองค์ และพระองค์จะทรงตอบแทนการกระทำของพวกเขา
(37) และไม่เป็นที่ถูกต้องที่อัลกุรอ่านนี้จะถูกปั้นแต่งขึ้น และได้โยงไปถึงคนอื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮฺเพราะมนุษย์นั้นไร้ความสามารถที่พามาให้เหมือนอัลกรุอ่าน แต่เป็นการยืนยันคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาก่อน และชี้แจงข้อบัญญัติต่างๆ โดยไม่มีข้อสงสัยในคัมภีร์นั้นซึ่งมาจากพระเจ้าของสิ่งถูกสร้าง ที่มหาบริสุทธิ์และสูงส่ง
(38) แต่บรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้นกล่าวว่า แท้จริงมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้แต่งอัลกุรอ่านขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง และอ้างว่าอัลกรุอ่านนั้นมาจากอัลลอฮฺ โอ้ เราะซูลเอ๋ย จงตอบพวกเขาเถิดว่า ถ้าหากว่าอัลกรุอ่านนั้นมาจากฉัน และฉันก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกท่าน ฉะนั้นแล้วพวกท่านจงนำมาสักบทหนึ่งให้เหมือนอัลกรุอ่าน และพวกท่านจงเรียกร้องผู้ที่มีความสามารถขอร้องให้เขามาช่วยถ้าพวกท่านเป็นผู้สัจจริงในสิ่งที่พวกท่านได้กล่าวว่าอัลกรุอ่านนั้นถูกสร้างขึ้นมาและเป็นเท็จและพวกท่านไม่สามารถทำได้ และไม่มีซึ่งความสามารถ และพวกท่านเป็นเจ้าของภาษาและเป็นผู้ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง นั้นก็บ่งบอกว่าอัลกรุอ่านนั้นมาจากอัลลอฮฺ
(39) แล้วพวกเขาจะไม่ตอบ แต่ว่าพวกเขาจะปฏิเสธอัลกรุอ่านโดยเร็วก่อนที่พวกเขาจะทำความเข้าใจและไตร่ตรองอัลกรุอ่านอีกและก่อนที่พวกเขาจะได้รับการตักเตือนถึงบทลงโทษ และสัญญาร้ายใกล้มายังพวกเขา การปฏิเสธนี้เหมือนกับการปฏิเสธของบรรดาชนรุ่นก่อน และบทลงโทษก็ได้ลงมายังพวกเขา โอ้ เราะซูลเอ๋ย จงคิดใคร่ครวญบรรดากลุ่มชนผู้ปฏิเสธนั้นจุดจบของพวกเขาจะเป็นอย่างไร แล้วอัลลอฮฺก็ทรงทำลายล้างพวกเขา
(40) และในบรรดาผู้ตั้งภาคีมีผู้ที่จะศรัทธาในอัลกุรอ่านก่อนที่เขาจะตาย และในหมู่พวกเขามีผู้ไม่ศรัทธา ปฏิเสธและดื้อรั้นจนกระทั่งเขาตาย โอ้ เราะซูลเอ๋ย พระเจ้าของเจ้าทรงรู้ดียิ่งต่อการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา และพระองค์จะทรงตอบแทนต่อการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา
(41) โอ้ เราะซูลเอ๋ย ถ้ากลุ่มชนของเจ้าปฏิเสธ (ไม่ยอมศรัทธา )ต่อเจ้า เจ้าจงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า การงานของฉันก็เป็นของฉัน และฉันจะรับผิดชอบงานของฉัน และสำหรับพวกท่านการงานของพวกท่าน และบทลงโทษสำหรับพวกท่าน พวกท่านจะรอดพ้นจากบทลงโทษในสิ่งที่ฉันกระทำ และฉันก็จะรอดพ้นจากบทลงโทษในสิ่งที่พวกท่านกระทำ
(42) โอ้ เราะซูลเอ๋ย และในหมู่ผู้ตั้งภาคีมีผู้ฟัง (การอ่านอัลกุรอ่าน) ของเจ้า เมื่อเจ้าได้อ่านอัลกรุอ่าน เป็นการฟังแต่ไม่ได้ยอมรับ เจ้าจะให้คนหูหนวกได้ยินกระนั้นหรือ เช่นเดียวกันเจ้าไม่สามารถจะให้ฮิดายะฮฺ (แนวทางที่ถูกต้อง) สำหรับคนที่ปิดหูไม่ยอมรับฟังความจริง แล้วก็ไม่ใช้ปัญญา
(43) โอ้ เราะซูลเอ๋ย และในหมู่ผู้ตั้งภาคีมีผู้มองไปยังเจ้าด้วยสายตาภายนอกไม่ใช่การมองด้วยความตั้งใจอย่างจริงจัง ดังนั้นเจ้าสามารถทำให้พวกเขาตั้งใจได้กระนั้นหรือ? แท้จริงแล้วเจ้าไม่สามารถทำได้และเช่นเดียวกันเจ้าก็ไม่สามารถที่จะชี้แนะทางที่ถูกต้องสำหรับผู้ที่สูญเสียความตั้งใจ
(44) แท้จริงอัลลอฮฺบริสุทธิ์จากการอธรรมต่อบ่าวของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงอธรรมพวกเขาแม้เท่าละอองธุลี แต่ว่าพวกเขาต่างหากที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองที่ต้องการสิ่งที่นำสู่ความหายนะ เพราะการเย่อหยิ่งในความผิดและการปฏิเสธและดื้อรั้ง
(45) และวันที่พระองค์ทรงชุมนุมมวลมนุษย์ในวันปรโลกเพื่อพิพากษา ประหนึ่งว่าพวกเขามิได้พำนักอยู่นานในโลกนี้ และพวกเขาอยู่ในบัรซัคฺ (หลุมฝังศพ) เพียงชั่วครู่เดียวในเวลากลางวันไม่เกินกว่านั้น พวกเขาทักทายซึ่งกันและกัน หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกตัดขาดกัน เนื่องด้วยความรุนแรงของสิ่งที่พวกเขาเห็นความน่าสะพรึงกลัวของวันปรโลก แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธต่อการพบอัลลอฮฺในวันปรโลกย่อมขาดทุน และพวกเขามิได้เป็นผู้ศรัทธาต่อวันฟื้นคืนชีพบนโลกนี้จงกระทั่งพวกเขายอมรับว่าขาดทุน
(46) โอ้ เราะซูลเอ๋ย และเราอาจจะให้เจ้าได้เห็นบางส่วนของการลงโทษ ซึ่งเราสัญญาแก่พวกเขาก่อนที่เขาจะตาย หรือเราจะให้เจ้าตายเสียก่อน ในสองสถานะนี้ทางกลับของพวกเขาในวันปรโลกย่อมไปหาเรา แล้วอัลลอฮฺทรงตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ จะไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้นและพระองค์จะทรงตอบแทนการกระทำของพวกเขา
(47) และทุกประชาชาติรุ่นก่อนๆ มีเราะซูลถูกส่งมายังพวกเขา และเมื่อได้เผยแพร่ในสิ่งที่สั่งให้เผยแพร่แก่พวกเขาแล้ว และพวกเขาได้ปฏิเสธคำตัดสินระหว่างพวกเขาและระหว่างเขาโดยเที่ยงธรรม แล้วอัลลอฮฺให้เขารอดพ้นด้วยความโปรดปรานของพระองค์และให้พวกเขาหายนะโดยเที่ยงธรรม และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรมถึงผลตอบแทนการกระทำของพวกเขาใดๆเลย
(48) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวคัดค้านบรรดาผู้สรัทธาว่า บทลงโทษที่พวกท่านได้สัญญากับเรานั้น เมื่อไรจะมาถึงเล่า หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริงในสิ่งที่พวกท่านได้เรียกร้อง
(49) โอ้ เราะซูล จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า ฉันไม่มีอำนาจที่จะให้โทษแก่ตัวฉันและหรือปกป้องจากโทษ หรือให้คุณแก่ตัวฉัน แล้วฉันจะให้คุณหรือให้โทษแก่ผู้อื่นได้อย่างไร เว้นแต่ที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ แล้วฉันจะรู้สิ่งที่เร้นลับของอัลลอฮฺได้อย่างไร สำหรับทุกประชาชาติอัลลอฮฺได้สัญญาถึงความหายนะที่มีเวลาที่กำหนดแล้วไม่มีใครรู้นอกจากอัลลอฮฺ เมื่อเวลาของพวกเขามาถึงจะไม่ล่าช้าออกไปหรือร่นเวลาเร็วขึ้นเลย
(50) โอ้ เราะสูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเหล่านั้นที่รีบร้อนต่อการลงโทษเถิดว่า พวกท่านจงบอกฉันเถิดว่าหากการลงโทษของอัลลอฮฺประสบแก่พวกท่านในทุกช่วงเวลาในเวลากลางคืนหรือเวลากลางวัน อะไรที่พวกเจ้าถึงรีบร้อนที่จะรับการลงโทษ
(51) หลังจากที่บทลงโทษที่ได้ถูกสัญญาไว้ว่าเกิดขึ้นกับพวกท่านแล้ว ซึ่งช่วงนั้นมันก็ไร้ความหมายแล้ว หรือ พวกเจ้าจะศรัทธา ณ ตอนนี้? และโดยแท้จริงแล้ว พวกเจ้าจะขอรีบเร่งให้เกิดการลงโทษโดยเร็วนั้นมิใช่เพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อแสดงการเย้ยฟ้าท้าดิน
(52) หลังจากที่เอาพวกเขาเข้าไปลงโทษแล้วก็ให้พวกเขานั้นออกมา มีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงลิ้มรสการลงโทษที่ถาวรในปรโลกเถิด พวกท่านจะไม่ถูกตอบแทน เว้นแต่สิ่งที่พวกท่านได้อธรรมและทำชั่วไว้เท่านั้น
(53) โอ้ เราะซูลเอ๋ย และบรรดาผู้ตั้งภาคีพวกเขาจะสอบถามเจ้าว่า การลงโทษที่ได้สัญญากับเราจะเกิดขึ้นจริงหรือ จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า แน่นอนทีเดียว ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ แท้จริงมันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และพวกท่านไม่สามารถจะรอดไปได้
(54) หากทุกชีวิตที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่อยู่ในแผ่นดิน เพื่อแลกกับการรอดพ้นจากบทลงโทษของอัลลอฮฺ ถ้าหากพวกเขาถูกอนุญาตให้ไถ่ตนได้ และบรรดาผู้ตั้งภาคีจะซ่อนความเสียใจต่อการปฏิเสธของพวกเขาเมื่อได้เห็นการลงโทษในวันปรโลกและอัลลอฮฺจะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาอย่างเที่ยงธรรม และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรมแต่อย่างใด แต่จะถูกตอบแทนตามการกระทำของพวกเขา
(55) พึงทราบเถิด แท้จริงในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว พึงทราบเถิด แท้จริงสัญญาของอัลลอฮฺที่จะลงโทษผู้ปฏิเสธนั้นจะเกิดขึ้นจริงโดยไม่ต้องสงสัยใดๆ แต่ส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่รู้ถึงนั้นพวกเขาเลยสงสัย
(56) พระองค์ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์ที่ทรงฟื้นคืนชีพคนที่ตายแล้ว และทำให้คนที่มีชีวิตได้ตาย และยังพระองค์เท่านั้นพวกท่านจะถูกนำกลับไปในวันปรโลก แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนการงานของพวกท่าน
(57) โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงอัลกุรอ่านที่มีการตักเตือนและการให้กำลังใจและการข่มขู่ได้มายังพวกท่านแล้ว และเป็นการบำบัดโรคต่างๆ ที่อยู่ในหัวใจ เช่น การสงสัยและไม่มั่นใจ และเป็นการชี้แนะสู่ทางที่สัตย์จริง และเป็นความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธา และพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากอัลกุรอ่าน
(58) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่มวลมนุษย์เถิดว่า สิ่งที่ฉันนำมาจากอัลกุรอ่านนั้นเป็นความโปรดปรานจากอัลลอฮฺและความเมตตาของพระองค์แก่พวกท่าน และด้วยความโปรดปรานและความเมตตาของพระองค์แก่พวกท่านจึงประทานอัลกรุอ่านลงมา ดังนั้นพวกท่านจงดีใจเถิด และสิ่งที่มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมาให้พวกเขานั้นมาจากพระเจ้าของเขาซึ่งมันดียิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาเก็บรวบรวมจากเศษซากของโลกที่หายวับไป
(59) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีเถิดว่า พวกท่านจงบอกฉันถึงปัจจัยยังชีพที่อัลลอฮฺทรงประทานแก่พวกท่าน แล้วพวกท่านก็ทำตามที่พวกท่านต้องการ โดยที่พวกท่านให้บางส่วนเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม) และบางส่วนเป็นที่อนุมัติ (หะลาล) จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า อัลลอฮฺทรงอนุมัติในสิ่งที่พวกท่านได้อนุมัติไว้และทรงห้ามในสิ่งที่พวกท่านได้ห้ามไว้ หรือว่าพวกท่านโกหกปั้นแต่งขึ้นมา
(60) และทุกอย่างที่บรรดาผู้ที่ปั้นแต่งความเท็จได้นึกคิดนั้นจะเกิดขึ้นกับพวกเขาในวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะคิดว่าอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษแก่พวกเขาไหม? ชั่งห่างไกลนัก แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นผู้มีบุญคุณต่อมนุษย์โดยการผ่อนปรนและไม่เร่งรีบที่จะลงโทษพวกเขา แต่ว่าส่วนใหญ่พวกเขาจะปฏิเสธต่อความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ขอบคุณ
(61) โอ้เราะซูลเอ๋ย เจ้ามิได้อยู่ในเรื่องหนึ่งเรื่องใด และเจ้ามิได้อ่านบางส่วนจากอัลกุรอ่าน โอ้บรรดาผู้ศรัธาเอ๋ย และพวกท่านมิได้กระทำการใดๆ เว้นแต่เราได้มองดูได้รับรู้รับฟังพวกท่านในขณะที่พวกท่านได้เริ่มทำงานอย่างหนัก และพระเจ้าของพวกท่านจะทรงรู้ ถึงแม้เพียงเท่าธุลีทั้งในชั้นฟ้าและในแผ่นดิน และที่เล็กกว่านั้นและที่ใหญ่กว่านั้น เว้นแต่อยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง สิ่งที่เล็กหรือใหญ่จะไม่หายไปแต่จะถูกนับทั้งหมด
(62) พึงทราบเถิด แท้จริงบรรดาคนที่อัลลอฮฺรักนั้น ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ แก่พวกเขาต่อความน่าสะพรึงกลัวของวันกิยามะฮฺ และพวกเขาจะไม่เศร้าโศกเสียใจในสิ่งที่พวกเขาพลาดไปจากโชคชะตาของโลกดุนยา
(63) บรรดาคนที่อัลลอฮฺรักนั้น พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม และพวกเขานั้นมีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์
(64) สำหรับพวกเขาจะได้รับข่าวดีจากพระเจ้าของพวกเขาในโลกนี้ซึ่งทำให้พวกเขามีความสุขด้วยสิ่งดีๆหรือการชมเชยของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และสำหรับพวกเขาจะได้รับข่าวดีจากบรรดามลาอิกะฮฺในขณะที่ดึงวิญญาณของพวกเขาและหลังจากความตายและในวันรวมตัว (วันกิยามะฮฺ) จะไม่เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสัญญากับพวกเขาไว้ นั้นคือผลตอบแทนด้วยการได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ที่บรรลุในสิ่งที่ต้องการและรอดพ้นจากความหวาดกลัว
(65) โอ้เราะซูลเอ๋ย เจ้าจงอย่าเสียใจในคำพูดของพวกเขาที่กล่าวหาและใส่ร้ายศาสนาของเจ้า แท้จริงแล้วการกดขี่และการครอบงำนั้นทั้งหมดเป็นของอัลลอฮฺ ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางพระองค์ได้ และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินคำพูดของพวกเขา ผู้ทรงรอบรู้การกระทำของพวกเขา และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขา
(66) พึงทราบเถิด แท้จริงทุกสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและทุกสิ่งในแผ่นดินนั้นเป็นของอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว และทุกสิ่งที่บรรดาผู้ตั้งภาคีได้เคารพสักการะนอกเหนืออัลลอฮฺนั้น พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างแท้จริงนอกเสียจากการสงสัย และพวกเขามิได้ตั้งอยู่บนสิ่งใด นอกจากการโกหกต่อบรรดาเหล่าภาคีต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งจากคำพูดของพวกเขา ทรงสูงส่งและยิ่งใหญ่
(67) โอ้มวลมนุษย์เอ๋ย พระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ผู้ทรงบันดาลกลางคืนให้แก่พวกท่านเพื่อพวกท่านจะได้พักผ่อนจากการงานและความเหนื่อยล้าในการทำงาน และกลางวันที่สว่างไสวเพื่อแสวงหาสิ่งเลี้ยงชีพ แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณอันชัดแจ้งแก่หมู่ชนที่ได้ยินเพื่อใคร่ครวญและยอมรับ
(68) บางกลุ่มจากบรรดาผู้ตั้งภาคีกล่าวว่า อัลลอฮฺทรงเอามลาอิกะฮฺเป็นธิดา พระเจ้าทรงชำระตนให้บริสุทธิ์จากคำกล่าวของพวกเขา มหาบริสุทธิ์พระองค์ท่าน พระองค์ทรงพอเพียงจากทุกๆ สิ่งถูกสร้าง ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและที่อยู่ในแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีเอ๋ย พวกท่านไม่มีหลักฐานใดๆ ในคำกล่าวหาของพวกท่าน พวกท่านจะกล่าวร้ายอัลลอฮฺด้วยคำพูดอันใหญ่หลวงที่อ้างว่าอัลลอฮฺนั้นทรงมีพระบุตร พวกท่านมิได้รู้ถึงความเป็นจริงและปราศจากหลักฐานกระนั้นหรือ
(69) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺว่าทรงมีพระบุตรนั้น พวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาขอ และไม่รอดพ้นจากสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัว
(70) อย่าให้ความเพลิดเพลินและความสุขในโลกนี้ล่อลวงพวกเจ้า เพราะโลกนี้ให้ความสุขเพียงเล็กน้อยแล้วก็จางหายไปหลังจากนั้นพวกเขาก็กลับคืนมาสู่เราในวันกิยามะฮฺ แล้วเราจะให้พวกเขาลิ้มรสการลงโทษอย่างหนักเพราะเหตุที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและปฏิเสธศรัทธาต่อเราะซูลของพระองค์
(71) โอ้เราะซูลเอ๋ย และเจ้าจงเล่าให้ผู้ตั้งภาคีผู้โกหกเหล่านั้นฟังถึงเรื่องราวของนบีนูหฺ อะลัยฮิสะลาม เมื่อเขา (นูหฺ) กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า โอ้หมู่ชนของฉัน หากว่าการพักอยู่ของฉันท่ามกลางพวกท่านและการตักเตือนของฉันด้วยโองการทั้งหลายของอัลลอฮฺและคำเทศนาจากฉันเป็นเรื่องใหญ่แก่พวกท่านแล้ว และพวกท่านก็ตั้งใจที่จะฆ่าฉัน ดังนั้นเพียงอัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้นฉันยอมรับต่อการทำลายแผนของพวกท่าน พวกท่านจงวางแผนและจงมุ่งมั่นที่จะทำลายฉัน และจงขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของพวกท่านด้วย แล้วอย่าให้แผนของพวกท่านเป็นที่ปิดบังแก่พวกท่าน จากนั้นหลังจากที่ท่านได้ตัดสินใจที่จะฆ่าฉันแล้ว จงดำเนินการต่อฉันทันทีและอย่าได้ลังเลเลย
(72) หากพวกท่านได้ผินหลังให้กับการดะอฺวะฮฺของฉัน แท้จริงพวกท่านรู้ว่าฉันมิได้ขอค่าตอบแทนใดๆ จากพวกท่านที่ส่งสารของพระเจ้าของฉันแก่พวกท่าน รางวัลของฉันอยู่ที่อัลลอฮฺ พวกท่านจะศรัทธาฉันหรือปฏิเสธฉัน และอัลลอฮฺทรงบัญชาให้ฉันเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของพระองค์ด้วยการเชื่อฟังและปฏิบัติการงานที่ดี
(73) แล้วประชาชาชาติของเขาก็ปฏิเสธเขา (นูหฺ) พวกเขาไม่เชื่อเขา แล้วเราได้ช่วยให้เขาและบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่กับเขาในเรือรอดพ้น และเราได้ให้พวกเขาเป็นตัวแทนแก่ผู้ที่ก่อนหน้าพวกเขา และเราได้ทำลายบรรดาผู้ปฏิเสธในโองการต่างๆ และทำให้เกิดน้ำท่วม โอ้เราะซูลเอ๋ย จงคิดดูเถิดว่าผลสุดท้ายของประชาชาติที่นูห อะลัยฮิสสลาม ได้เตือนพวกเขาไว้นั้นเป็นอย่างไร พวกเขาปฏิเสธศรัทธา
(74) หลังจากระยะเวลาหนึ่ง เราได้ส่งบรรดาเราะซูลถัดจากนูหฺไปยังประชาชาติของพวกเขา แล้วบรรดาเราะซูลเหล่านั้นได้นำสัญญาณและหลักฐานต่างๆ มายังพวกเขา แต่พวกเขามิได้มีความต้องการที่จะศรัทธาเพราะพวกเขาเคยปฏิเสธต่อนูหฺ มาก่อนหน้านั้นแล้ว แล้วอัลลอฮฺได้ประทับตราบนหัวใจของพวกเขา การประทับตรานี้เช่นเดียวกันที่เราได้ผนึกบนหัวใจผู้ที่ติดตามเราะซูลก่อนๆ เราได้ประทับตราหัวใจบรรดาผู้อธรรมที่ล่วงเกินขอบเขตของอัลลอฮฺด้วยการอธรรมในทุกช่วงเวลาและสถานที่
(75) หลังจากนั้นสักระยะหนึ่ง หลังจากที่เราได้ส่งบรรดาเราะซูลเหล่านั้นแล้ว เราได้ส่งมูซาและน้องของเขาฮารูนไปยังฟิรเอานฺ กษัตริย์แห่งอียิปต์และผู้ทรงเกียรติในกลุ่มชนของเขา เราได้ส่งทั้งสองพร้อมสัญญาณที่บ่งบอกถึงความสัตย์จริงของทั้งสองคน แล้วพวกเขาก็เย่อหยิ่ง โอหัง ไม่ศรัทธาในสิ่งที่ทั้งสองพามา โดยพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่มีความผิดที่อธรรมต่ออัลลอฮฺและปฏิเสธเราะซูลของพระองค์
(76) ครั้นเมื่อศาสนาที่มูซาและฮารูน อะลัยฮิมัสสะลาม ได้นำไปยังฟิรเอานฺและผู้ทรงเกียรติในกลุ่มชนของเขาแล้ว พวกเขากล่าวถึงสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความสัตย์จริงที่มูซาพามานั้นว่า แท้จริงนี่คือวิทยากลอันชัดแจ้ง ไม่ใช่ความจริง
(77) มูซาได้กล่าวประณามพวกเขาว่า พวกท่านกล่าวร้ายต่อความจริงเมื่อมันได้มายังพวกท่านนั้นเป็นวิทยากลเช่นนั้นหรือ? ไม่เลย นี่หรือวิทยากล และฉันรู้ว่านักวิทยากลนั้นจะไม่มีวันประสบความสำเร็จดอก แล้วฉันจะทำร้ายเขาได้อย่างไร?
(78) กลุ่มชนของฟิรเอานฺตอบมูซากล่าวขึ้นว่า ท่านมาหาเราด้วยวิทยากลเพื่อที่จะหันเหเราออกจากสิ่งที่เราได้พบเห็นจากศาสนาของบรรพบุรุษของเรา และเพื่อให้ท่านและน้องของท่านเป็นกษัตริย์กระนั้นหรือ โอ้มูซาและฮารูนเอ๋ย เราจะไม่ศรัทธาต่อท่านทั้งสองว่าท่านทั้งสองนั้น เป็นเราะซูลที่ถูกส่งมาให้เราแน่นอน
(79) และฟิรเอานฺได้กล่าวแก่กลุ่มชนของเขาว่า พวกเจ้าจงนำนักวิทยากลผู้เชี่ยวชาญทุกคนมาให้ฉันเถิด
(80) เมื่อฟิรเอานฺได้นำมาซึ่งนักวิทยากล มูซา อะลัยฮิสสะลาม ได้กล่าวแก่พวกเขาโดยมั่นใจว่าเขาจะได้รับชัยชนะว่า โอ้นักวิทยากลทั้งหลายเอ๋ย พวกท่านจงโยนสิ่งที่พวกท่านนำมาเพื่อจะโยนเถิด
(81) เมื่อพวกเขาได้โยนไปแล้ว มูซาได้กล่าวแก่พวกเขาว่า สิ่งที่พวกท่านนำมานั้นคือวิทยากล แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงทำลายวิทยากลที่พวกท่านนำมาโดยไม่เหลืออะไรเลย แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงทำให้การงานของบรรดาผู้บ่อนทำลายดีขึ้น
(82) และอัลลอฮฺจะทรงให้สัจธรรมยืนหยัด และจะคงอยู่ด้วยคำกล่าวของพระองค์ที่ทรงสามารถ และคำกล่าวที่มีเหตุผลและหลักฐาน แม้ว่าบรรดาคนอธรรมจากครอบครัวของฟิรเอานฺจะเกลียดชังก็ตาม
(83) กลุ่มชนได้ปฏิเสธ ไม่มีใครศรัทธาต่อมูซา อะลัยฮิสสะลาม ทั้งๆ ที่มีสัญญาณที่ชัดแจ้งต่างๆ และมีหลักฐานอันชัดแจงที่มูซาได้พามา นอกจากลูกหลานจากกลุ่มชนของเขา (บะนีอิสรออีล) เนื่องจากความกลัวต่อฟิรเอานฺ และหัวหน้ากลุ่มชนของพวกเขาทำให้พวกเขาหันเหไปจากความศรัทธาเพราะได้ลิ้มรสถึงบทลงโทษเมื่อได้พบเห็นการงานของพวกเขา และแท้จริงฟิรเอานฺนั้นเป็นผู้ปกครองที่ครอบงำแผ่นดินอียิปต์และกลุ่มชนของเขา และแท้จริงเขาอยู่ในหมู่ผู้ที่ละเมิดขอบเขตต่อความอธรรม และการเข่นฆ่าและการทรมานบะนีอิสรออีล
(84) และมูซา อะลัยฮิสสะลาม ได้กล่าวแก่กลุ่มชนของเขาว่า โอ้กลุ่มชนของฉัน หากพวกท่านศรัทธาต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริง พวกท่านก็จงยืนหยัดต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียวหากพวกท่านเป็นผู้ยอมจำนน การมอบหมายให้อัลลอฮฺนั้นจะปกป้องพวกท่านออกจากสิ่งชั่วร้ายและจะนำมาแก่พวกท่านซึ่งสิ่งที่ดี
(85) พวกเขาก็ตอบแก่มูซา อะลัยฮิสสะลามว่า แด่อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเราขอมอบหมาย ข้าแต่พระเจ้าของเรา ได้ทรงโปรดอย่าให้เราเป็นเครื่องทดลองสำหรับหมู่ชนผู้อธรรมเลย แล้วพวกเขาจะทดสอบศาสนาของเราด้วยการทรมานและการเข่นฆ่าและการทำร้าย
(86) ข้าแด่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ได้ทรงโปรดช่วยเราให้พ้นจากหมู่ชนฟิรเอานฺผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขากดขี่ข่มเหงพวกเราและทรมานเราด้วยการทรมานและการเข่นฆ่า
(87) และเราได้ให้วะฮีย์มายังมูซาและพี่ชายของเขาฮารูน อะลัยฮิมัสสะลาม เพื่อให้ทั้งสองได้เลือกและสร้างให้แก่ประชาชาติของทั้งสอง ซึ่งอาคารหลังหนึ่งในอียิปต์ เพื่อเป็นสถานที่สักการะต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว และจงหันบ้านของพวกท่านไปทางกิบละฮ์ (บัยตุลมักดิส) และจงดำรงการละหมาดอย่างครบถ้วน โอ้มูซาเอ๋ย จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาในสิ่งที่พวกเขาพอใจจากการช่วยเหลือของอัลลอฮ์และการสนับสนุนพวกเขา และทำลายศัตรูของพวกเขาและให้พวกเขาเป็นผู้ปกครองในแผ่นดินนี้
(88) และมูซา อะลัยฮิสสะลาม ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา แท้จริงพระองค์ทรงประทานความงดงามในโลกนี้และประดับด้วยพืชผลอย่างสวยงาม แก่ฟิรเอานฺและหัวหน้าของเขา และทรงประทานทรัพย์สินในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แล้วพวกเขาไม่ได้ขอบคุณพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้แก่พวกเขาเลย แต่เขาเอาสิ่งนั้นเพื่อหลงจากแนวทางของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของเราขอพระองค์ทรงทำลายทรัพย์สินของพวกเขา และทรงโปรดทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง พวกเขาจะไม่ศรัทธาจนกว่าพวกเขาจะเห็นการลงโทษอย่างเจ็บปวด และเวลานั้นการศรัทธาของพวกเขาไม่ได้ให้ประโยชน์แก่พวกเขาแล้ว
(89) อัลลอฮฺตรัสว่า โอ้มูซาและฮารูน การวิงวอนของเจ้าทั้งสองต่อฟิรเอานฺและกลุ่มชนที่มีเกียรติของเขานั้นถูกตอบรับแล้ว เจ้าทั้งสองจงยืนหยัดต่อศาสนาของเจ้าทั้งสอง และเจ้าทั้งสองอย่าเบี่ยงเบนไปจากมันตามแนวทางของคนโง่ที่ไม่รู้แนวทางที่สัตย์จริง
(90) และเราได้ให้บนีอิสรออีลข้ามทะเลอย่างง่ายดายหลังจากความลำบากจนกระทั่งได้ข้ามพ้นไปอย่างปลอดภัย ดังนั้นฟิรเอานฺและพลพรรคของเขาได้ติดตามพวกเขาไป โดยอธรรมและเป็นศัตรู จนกระทั่งเมื่อทะเลได้กลบเขาและเขาก็จมน้ำและไม่สามารถเอาตัวรอดได้ เขากล่าวว่า ฉันศรัทธาแล้วว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สัจจริงนอกจากผู้ซึ่งบนีอิสรออีลได้ศรัทธาต่อพระองค์ และฉันเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ยอมจำนนต่ออัลลอฮฺโดยการเชื่อฟัง
(91) เจ้าจะศรัทธาตอนนี้หลังจากที่สิ้นหวังในชีวิตอย่างนั้นหรือ? โอ้ฟิรเอานฺเอ๋ย แท้จริงเจ้าเป็นผู้ทรยศต่ออัลลอฮฺก่อนที่บทลงโทษแก่ผู้อธรรมจะลงมาเสียอีก และปิดกั้นให้ห่างจากทางของอัลลอฮฺ และเจ้าเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลายเพราะเจ้าได้ทำลายตัวของเจ้าเองและคนอื่น
(92) โอ้ฟิรเอาน์เอ๋ย ดังนั้นวันนี้เราจะให้ร่างของเจ้าออกจากทะเล และจะให้ร่างของเจ้าอยู่บนพื้นดินที่สูง เพื่อจักได้เป็นตัวอย่างแก่ชนรุ่นหลังจากเจ้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์เฉยเมยต่อสัญญาณและหลักฐานต่างๆ ถึงความสามารถของเรา พวกเขามิได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
(93) และโดยแน่นอน เราได้ให้บนีอิสรออีลพำนักอาศัยอยู่ ณ สถานที่อันดีและพึ่งพอใจในประเทศชามที่ศักดิ์สิทธิ์และเราได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีและเป็นที่อนุญาตแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขามิได้แตกแยกกันในเรื่องศาสนาของพวกเขาจนกระทั่งคัมภีร์ได้มายังพวกเขาเพื่อยืนยันถึงความสัจจริงจากสิ่งที่พวกเขาได้อ่านในคัมภีร์ อัต-เตารอตฺถึงคุณลักษณะของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม เมื่อพวกเขาปฏิเสธสิ่งนี้บ้านเมืองของพวกเขาก็จะถูกแย่ง โอ้เราะซูลเอ๋ย แท้จริงพระเจ้าของเจ้าจะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในวันกิยามะฮฺ ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน และจะทรงตอบแทนแก่ผู้ที่สมควรและไม่สมควรจากพวกเขา ตามที่พวกเขาทั้งสองสมควรจะได้รับ
(94) โอ้เราะซูลเอ๋ย หากเจ้าอยู่ในความไม่แน่นอนและความสับสนในสัจธรรมที่เราได้ให้แก่เจ้า (อัลกรุอ่าน) แล้ว ก็จงถามคนยาฮูด (ยิว) ที่เชื่อฟังที่อ่านคัมภีร์ (อัต-เตารอตฺ) และนะซอรอ (คริสต์) ที่อ่านคัมภีร์ (อัล-อินญีล) แล้วพวกเขาจะบอกถึงสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้านั้นคือความสัจธรรมที่ได้บอกถึงคุณลักษณะของเขา (มุฮัมมัด) ในคัมภีร์ทั้งสองเล่ม แน่นอนความสัจธรรมได้มายังเจ้าที่ไม่ต้องสงสัยจากพระเจ้าของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงอย่าอยู่ในหมู่ผู้สงสัย
(95) และเจ้าอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ปฏิเสธสัญญาณต่างๆ ของอัลลอฮฺและหลักฐานต่างๆ ของพระองค์ ดังนั้นเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุนที่ทำตัวของพวกเขานั้นให้ขาดทุนโดยต้องการสิ่งที่จะทำให้สูญเสียเพราะความอธรรมของพวกเขา และทุกการเตือนนี้เพื่อชี้แจงถึงความอันตรายของการสงสัยและการปฏิเสธ มิฉะนั้นแล้วท่านนบีนั้นจะไม่มีข้อผิดพลาดในการออกอะไรบางอย่างจากเขาถึงสิ่งนี้
(96) แท้จริงบรรดาผู้ที่ได้บัญญัติแก่พวกเขาแล้วว่า พวกเขานั้นจะตายในความอธรรมเพราะความต่อเนื่องของพวกเขาที่จะไม่ศรัทธาเลย
(97) และแม้ว่าทุกโองการอัลกรุอ่านหรือหลักฐาน (เกานียะฮฺ) ได้มายังพวกเขาเพื่อให้พวกเขาจะแลเห็นการลงโทษอย่างเจ็บปวด แล้วพวกเขาจะศรัทธาเมื่อการศรัทธาของเขามิได้ให้ประโยชน์แก่พวกเขาแล้ว
(98) ไม่มีสักหมู่บ้านหนึ่งที่ศรัทธาที่เราได้ส่งบรรดาเราะซูลของเราไปยังพวกเขาที่ศรัทธามั่นก่อนที่ใกล้จะสิ้นลมหายใจ ดังนั้นความศรัทธาของพวกเขาจะอำนวยประโยชน์แก่พวกเขาเพราะพวกเขาศรัทธาก่อนที่ใกล้จะสิ้นลมหายใจ นอกจากกลุ่มชนของยูนุสเมื่อพวกเขาศรัทธาด้วยความสัตย์จริง เราได้ปลดเปลื้องการลงโทษอันอัปยศจากพวกเขาในการมีชีวิตในโลกนี้ และเราได้ให้พวกเขาเพลิดเพลินจงถึงเวลาที่กำหนดของพวกเขา
(99) โอ้เราะซูลเอ่ย หากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แน่นอนผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งมวลจะศรัทธา แต่พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้นทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิทยปัญญาของพระองค์ และพระองค์ทรงให้หลงทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความเที่ยงธรรม และทรงให้ทางนำที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ และไม่ใช่ด้วยความสามารถของเจ้าที่จะบังคับมวลชนจนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้ศรัทธา การตอบรับการศรัทธาของพวกเขาอยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว
(100) และเป็นไปไม่ได้ว่าชีวิตใดจะศรัทธาด้วยตัวของเขาเอง เว้นแต่ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ และจะไม่เกิดการศรัทธาใดๆ นอกจากด้วยความประสงค์ของพระองค์ ดังนั้นจงอย่าเอาตัวเองไปเศร้าโศกกับพวกเขา และพระองค์จะทรงลงโทษและความอัปยศแก่บรรดาผู้ที่ไม่รับรู้ต่อหลักฐาน บทบัญชาและข้อห้ามของพระองค์
(101) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่ผู้ตั้งภาคีทั้งหลายที่ถามเจ้าเกี่ยวกับสัญญาณต่างๆ เถิดว่า พวกท่านจงคิดถึงสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกภาพของอัลลอฮฺและความสามารถของพระองค์และจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ที่จะประทานสัญญาณทั้งหลายและหลักฐานต่างๆ และบรรดาเราะซูลไปยังกลุ่มชนที่ไม่พร้อมที่จะศรัทธา เพราะพวกเขายืนกรานที่จะอยู่ในอธรรม
(102) บรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านั้นจะไม่คอยดูสิ่งใด นอกจากการคอยดูสิ่งที่อัลลอฮฺทรงให้เกิดแก่ประชาชาติผู้ปฏิเสธที่ล่วงลับก่อนหน้าพวกเขาไปแล้ว? โอ้เราะสูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด พวกท่านจงคอยดูบทลงโทษของอัลลอฮฺเถิด แท้จริงฉันอยู่กับพวกท่าน เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้คอยดูคำสัญญาของพระเจ้าของฉัน
(103) หลังจากนั้นบทลงโทษจะถูกลงไปยังพวกเขา แล้วเราจะช่วยบรรดาเราะซูลของเราและบรรดาผู้ร่วมศรัทธากับพวกเขาให้รอดพ้น พวกเขาจะไม่ได้รับอันตรายในสิ่งที่กลุ่มชนของพวกเขาได้รับจากอันตราย เช่นเดียวกันที่เราได้ให้บรรดาเราะซูลและบรรดาผู้ร่วมศรัทธากับพวกเขาให้รอดพ้น เราได้ให้ท่านเราะซูลุลลอฮฺและบรรดาผู้ร่วมศรัทธากับเขาให้รอดพ้นที่เป็นการรอดพ้นที่สัตย์จริงมั่งคงจากเรา
(104) โอ้เราะซุลเอ๋ย จงกล่าวเถิดว่า โอ้มวลมนุษย์เอ๋ย หากพวกเจ้าสงสัยในศาสนาของฉันที่ฉันได้เรียกร้องพวกท่านนั้นเป็นศาสนาที่เป็นเอกภาพ และฉันมั่นใจในความเสียหายต่อศาสนาของพวกท่านและฉันจะไม่ปฏิบัติตาม ดังนั้นฉันจะไม่เคารพภักดีอื่นจากอัลลอฮฺ แต่ฉันจะเคารพภักดีอัลลอฮฺผู้ทรงทำให้พวกท่านตาย และฉันได้รับบัญชาให้เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ศรัทธาที่มีเจตนาบริสุทธิ์ในการภักดีต่อพระองค์
(105) และฉันได้รับบัญชาให้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในศาสนาที่แท้จริง และให้ฉันผินหลังให้กับศาสนาอื่นและห้ามฉันไม่ให้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคีต่อพระองค์
(106) โอ้เราะซูลเอ๋ย เจ้าอย่าวิงวอนสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺ เช่น เทวรูปและรูปปั้นและอื่นๆ ที่ไม่มีอำนาจที่จะอำนวยประโยชน์แก่เจ้า และไม่ให้โทษแก่เจ้า หากเจ้าเคารพกราบไหว้มันแล้ว แท้จริงเจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้อธรรมที่ทำลายสิทธิของอัลลอฮฺและสิทธิของตนเอง
(107) โอ้เราะซูลเอ๋ย และหากอัลลอฮฺจะทรงให้ทุกข์ภัยประสบแก่เจ้าแล้วและขอให้มันปลดเปลื้องจากเจ้า จะไม่มีผู้ปลดเปลื้องมันได้นอกจากพระองค์ และหากพระองค์ทรงปรารถนาให้ความมั่งคั่งแก่เจ้าแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดกีดกันความโปรดปรานของพระองค์ได้ พระองค์ทรงให้ประสบด้วยความโปรดปรานของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์โดยไม่ต้องบังคับ และพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษแก่บ่าวที่กลับตัวกลับใจของพระองค์ ผู้ทรงเมตตาพวกเขาเสมอ
(108) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวเถิดว่า โอ้มวลมนุษย์เอ๋ย แท้จริงอัลกรุอ่านที่ประทานลงมาจากพระเจ้าของพวกท่านได้มายังพวกท่านแล้ว ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องและศรัทธาต่ออัลกุรอ่านประโยชน์ก็จะกลับไปหาตัวเขา เพราะแท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงเพียงพอต่อการเชื่อฟังของบ่าวของพระองค์ และผู้ใดหลงทาง แท้จริงผลของการหลงทางของเขาเพื่อตัวของเขาคนเดียว แท้จริงความชั่วของบ่าวของพระองค์ที่ได้ทำมาไม่มีผลกระทบใดๆ ต่ออัลลอฮฺ การจดบันทึกนั้นไม่ใช่สำหรับพวกเจ้า ฉันคือผู้จดบันทึกการงานของพวกเจ้า และฉันจะพิพากษาพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
(109) โอ้เราะซูลเอ๋ย เจ้าจงปฏิบัติตามที่พระเจ้าของเจ้าได้ทรงวะฮียฺแก่เจ้าและจงปฏิบัติและจงอดทนต่อการทำร้ายของกลุ่มชนที่ต่อต้านเจ้า และสำหรับฉันต้องเผยแพร่ในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงบัญชาให้ฉันเผยแพร่ และทำมันอย่างต่อเนื่องจนกว่าอัลลอฮฺจะทรงตัดสินพวกเขาด้วยวิทยาปัญญา ช่วยเหลือเจ้าจากพวกเขาบนโลกนี้ และลงโทษพวกเขาในปรโลกถ้าพวกเขาตายในอธรรม