2 - Al-Baqara ()

|

(1) อะลิฟ ลาม มีม อักษรเหล่านี้เป็นอักษรที่ถูกใช้เป็นปฐมบทในบางซูเราะฮ์ของอัลกุรอาน ซึ่งเป็นอักษรภาษาอาหรับที่ไม่มีความหมายในตัวของมันเอง เมื่อมันปรากฎเป็นตัวเดี่ยว เช่น อะลิฟ บาอ์ ตาอ์ แต่มันจะมีทั้งหิกมะฮ์ (วิทยปัญญา) และเป้าหมายแฝงอยู่ เนื่องจากในอัลกุรอานจะไม่มีสิ่งที่ไม่มีหิกมะฮ์ ในจำนวนหิกมะฮ์ที่สำคัญก็คือ ชี้ให้เห็นถึงการท้าทายด้วยอัลกุรอานที่ประกอบไปด้วยตัวอักษรชนิดเดียวกับที่พวกเขารู้จักและใช้พูดคุย ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่จะพบว่าหลังจากมีการใช้อักษรพวกนี้แล้ว มักจะตามมาด้วยการพูดถึงอัลกุรอานอยู่เสมอ ดังที่ปรากฏในซูเราะฮ์นี้

(2) คัมภีร์อัลกุรอานอันทรงเกียรตินี้ ไม่มีความสงสัยใดๆ ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสงสัยในเรื่องการประทานคัมภีร์ ความสงสัยในคำและความหมายของมัน และคัมภีร์นี้คือพระดำรัสของอัลลอฮ์ ที่ชี้นำบรรดาผู้ยำเกรงไปยังเส้นทางสู่พระองค์

(3) บรรดาผู้ศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ อันหมายถึง สิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของเรา เป็นสิ่งที่อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ได้บอกไว้ เช่น วันอาคิเราะฮ์ พวกเขาคือผู้ที่ดำรงการละหมาดอย่างถูกต้องตรงตามที่อัลลอฮ์ได้ทรงบัญญัติไว้ ทั้งเงื่อนไข องค์ประกอบ ข้อบังคับ ข้อส่งเสริมต่างๆ พวกเขายังได้ใช้จ่ายจากสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ประทานให้ด้วยการจ่ายที่วาญิบเช่นซะกาต หรือไม่วาญิบเช่นการบริจาคทาน โดยมุ่งหวังผลบุญจากอัลลอฮ์ พวกเขาคือผู้ศรัทธาต่อวะห์ยู/วิวรณ์ที่พระองค์ประทานแก่เจ้า -โอ้ท่านนบี- และที่พระองค์ประทานแก่บรรดานบีท่านอื่นๆ อะลัยฮิมุสสลาม ทุกคนก่อนหน้าเจ้าโดยไม่แบ่งแยก และพวกเขาคือบรรดาผู้ที่ศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมต่อวันอาคิเราะฮ์ และผลตอบแทนต่างๆ ในวันนั้นไม่ว่าจะเป็นผลบุญและการลงโทษ

(4) บรรดาผู้ศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ อันหมายถึง สิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของเรา เป็นสิ่งที่อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ได้บอกไว้ เช่น วันอาคิเราะฮ์ พวกเขาคือผู้ที่ดำรงการละหมาดอย่างถูกต้องตรงตามที่อัลลอฮ์ได้ทรงบัญญัติไว้ ทั้งเงื่อนไข องค์ประกอบ ข้อบังคับ ข้อส่งเสริมต่างๆ พวกเขายังได้ใช้จ่ายจากสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ประทานให้ด้วยการจ่ายที่วาญิบเช่นซะกาต หรือไม่วาญิบเช่นการบริจาคทาน โดยมุ่งหวังผลบุญจากอัลลอฮ์ พวกเขาคือผู้ศรัทธาต่อวะห์ยู/วิวรณ์ที่พระองค์ประทานแก่เจ้า -โอ้ท่านนบี- และที่พระองค์ประทานแก่บรรดานบีท่านอื่นๆ อะลัยฮิมุสสลาม ทุกคนก่อนหน้าเจ้าโดยไม่แบ่งแยก และพวกเขาคือบรรดาผู้ที่ศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมต่อวันอาคิเราะฮ์ และผลตอบแทนต่างๆ ในวันนั้นไม่ว่าจะเป็นผลบุญและการลงโทษ

(5) ชนเหล่านั้นที่มีคุณลักษณะที่ได้กล่าวไว้จะดำรงอยู่ในหนทางแห่งทางนำ พวกเขาคือผู้ได้รับชัยชนะทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์ โดยพวกเขาจะได้รับสิ่งที่พวกเขาปรารถนา และรอดพ้นจากสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัว

(6) แท้จริงบรรดาผู้ที่การลิขิตของอัลลอฮ์ได้เกิดขึ้นแก่พวกเขาด้วยการไม่ศรัทธา พวกเขาจะมั่นคงดำเนินชีวิตอยู่บนการหลงผิดและการปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นการตักเตือนของเจ้าที่มีต่อพวกเขาหรือไม่ตักเตือน ก็มีค่าเท่ากัน

(7) เนื่องจากอัลลอฮ์ได้ทรงประทับตราลงบนหัวใจของพวกเขา จึงทำให้ความชั่วช้าถูกกักขังไว้ในหัวใจของพวกเขา และได้ทรงประทับตราบนหูของพวกเขา จึงไม่สามารถรับฟังสัจธรรมอย่างยอมรับและปฏิบัติตามคำสั่งได้ และได้ทรงบดบังสายตาพวกเขา พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นสัจธรรม ทั้งๆ ที่มันชัดแจ้ง และสำหรับพวกเขาในเหล่านั้นคือการลงโทษอันมหันต์

(8) และจะมีู้คนกลุ่มหนึ่งได้อ้างว่าพวกเขาเป็นผู้ศรัทธา ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างเพียงลมปากเท่านั้นเนื่องจากเกรงว่าจะเป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา แต่แท้ที่จริงแล้วภายในจิตใจพวกเขาได้ปฎิเสธศรัทธา

(9) พวกเขาเหล่านั้นคิดด้วยความเขลาของพวกเขาว่า พวกเขาได้แสร้งหลอกอัลลอฮ์และบรรดาผู้ศรัทธา ด้วยการแสดงออกถึงการศรัทธา และปกปิดการปฏิเสธอยู่ในใจ แต่พวกเขาไม่รู้สึกตัวเลย เพราะอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ความลับและสิ่งที่ปิดบังไว้ และพระองค์ได้ทรงเปิดโปงคุณลักษณะและสภาพของพวกเขาให้ผู้ศรัทธาได้รับรู้

(10) และสาเหตุคือ ในหัวใจของพวกเขามีการสงสัย แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงเพิ่มความสงสัยนั้นให้แก่พวกเขาอีก เพราะการตอบแทนนั้นจะได้รับตามสิ่งที่ได้ปฏิบัติ และสำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันสาหัสในชั้นที่ต่ำที่สุดของนรก เนื่องจากพวกเขาโกหกต่ออัลลอฮฺและมนุษย์ และปฏิเสธสิ่งที่ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้นำมา

(11) และเมื่อพวกเขาได้ถูกห้ามจากการก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินด้วยการปฏิเสธศรัทธา การทำชั่ว และอื่นๆ พวกเขาก็จะค้านและอ้างว่า แท้จริงพวกเขาคือกลุ่มชนผู้หวังดีและพัฒนา

(12) ซึ่งความจริงแล้วพวกเขาคือกลุ่มชนที่เป็นผู้ก่อความเสียหายต่างหาก แต่ทว่าพวกเขาไม่รู้สึก และไม่สำนึกด้วยว่าการกระทำของพวกเขานั่นคือการก่อความเสียหาย

(13) เมื่อพวกเขาถูกสั่งใช้ให้ศรัทธาดั่งเช่นบรรดาสหายของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมศรัทธา พวกเขาก็จะตอบปฏิเสธและเย้ยหยันทำนองว่า จะให้เราศรัทธาเหมือนกับพวกเบาปัญญากระนั้นหรือ? ทว่าความจริงนั้น พวกเขาเองต่างหากที่เป็นผู้โง่เขลา แต่พวกเขาหารู้ไม่

(14) เมื่อพวกเขาได้พบเจอผู้ศรัทธา พวกเขาก็กล่าวว่า เราเชื่อในสิ่งที่พวกท่านศรัทธาแล้ว พวกเขาพูดเช่นนั้นก็เพราะเกรงกลัวผู้ศรัทธา แต่เมื่อพวกเขาได้จากผู้ศรัทธาไป และกลับไปหาบรรดาหัวโจกของพวกเขาแต่ลำพัง พวกเขาก็กล่าวกับพวกหัวโจกเพื่อเป็นการยืนยันถึงความภัคดีที่มั่นคงของพวกเขาโดยกล่าวว่า พวกเรายึดมั่นที่จะภักดีและติดตามพวกท่าน พวกเรายังอยู่กับแนวทางของพวกท่าน ที่เราเห็นด้วยกับผู้ศรัทธาไปนั้น เป็นเพียงการล้อเล่นและเย้ยหยันเท่านั้น

(15) อัลลอฮฺจะทรงเย้ยหยันพวกเขา ซึ่งเป็นการโต้กลับต่อการเยาะเย้ยของพวกเขาที่มีต่อบรรดาผู้ศรัทธา เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับพวกเขาตามสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้ และด้วยเหตุนี้พวกเขาจะถูกดำเนินตามบทบัญญัติของบรรดามุสลิมในโลกนี้ แต่ในวันปรโลกพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาตามการปฏิเสธศรัทธาและการกลับกลอกของพวกเขา และเช่นกันพระองค์จะทรงยืดเวลาให้พวกเขา เพื่อให้พวกเขาได้ระเหเร่ร่อนอยู่ในการหลงผิดและการละเมิดของพวกเขา แล้วพวกเขาก็ยังคงงงงวย มีความลังเลต่อไป

(16) บรรดาผู้กลับกลอกที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ พวกเขาคือผู้ที่ได้แลกเปลี่ยนการปฏิเสธศรัทธาด้วยการศรัทธา ดังนั้น การค้าขายของพวกเขาจึงไม่ได้กำไร เนื่องจากการขาดทุนของพวกเขาที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์นั่นเอง และพวกเขาก็ไม่ได้เป็นบรรดาผู้ที่ได้รับนำทางไปสู่สัจธรรม

(17) อัลลอฮฺได้ทรงอุปมาบรรดาผู้กลับกลอกเหล่านั้นไว้ดั่งสองอย่าง คือ ดั่งไฟ และดั่งน้ำ ส่วนรูปแบบของพวกเขาที่เปรียบดั่งไฟนั้น คือ พวกเขาเปรียบดั่งผู้ที่ได้จุดไฟเพื่อที่จะแสวงหาความสว่างจากมัน ครั้นเมื่อแสงของมันได้สว่างขึ้น และคิดว่าแท้จริงมันจะเป็นประโยชน์ ทันใดที่มันได้มอดลง การส่องแสงนั้นก็จากหายไป และหลงเหลือไว้ซึ่งการเผาไหม้ แล้วบรรดาเจ้าของกองเพลิงเหล่านั้นก็ตกอยู่ในความมืดมิด ซึ่งพวกเขานั้นก็จะไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด และจะไม่ได้รับทางนำใดๆ เลย

(18) แล้วเขาเหล่านั้นเป็นคนหูหนวก พวกเขาจะไม่ยอมรับฟังสัจธรรม เป็นใบ้ซึ่งพวกเขาจะไม่ยอมพูดถึงมัน และตาบอดโดยไม่เล็งเห็นมัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถจะกลับมาจากการหลงทางของพวกเขาได้

(19) และที่เปรียบพวกเขาดั่งน้ำนั้น คือ พวกเขาเปรียบดั่งฝนจำนวนมากที่หลั่งลงมาจากก้อนเมฆ โดยที่ในฝนนั้นมีทั้งบรรดาความมืดที่สลับทับซ้อน ฟ้าคำรณ และฟ้าแลบ ที่ได้หล่นลงมาบนกลุ่มชนหนึ่ง แล้วความตระหนกตกใจสุดกลัวก็ได้มาประสบกับพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็ได้เอาปลายนิ้วมือของพวกเขาอุดหูไว้เนื่องจากเสียงฟ้าผ่าที่ดังลั่น ทั้งนี้เพราะกลัวความตาย และอัลลอฮฺนั้นทรงล้อมพวกปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไว้แล้ว พวกเขาจะไม่ทำให้พระองค์อ่อนแอลงได้

(20) สายฟ้าแลบที่มาจากความสุดวาววับและเจิดจ้าของมัน แทบจะโฉบเฉี่ยวเอาสายตาของพวกเขาไป คราใดที่ได้เกิดฟ้าแลบและให้แสงสว่างแก่พวกเขา พวกเขาก็เดินไปในแสงสว่างนั้น และเมื่อมันมืดลงพวกเขาก็จะตกอยู่ในความมืดนั้น แล้วพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้ และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว แน่นอนพระองค์จะทรงนำเอาหูและตาของพวกเขาไป ด้วยกับความสามารถของพระองค์อันเหลือล้นต่อทุกๆ สิ่ง แน่นอนมันจะไม่กลับคืนไปยังพวกเขา เนื่องจากการหันหลังให้ของพวกเขาที่มีต่อความจริง ดังนั้นฝนนั้นก็เปรียบดั่งอัลกุรอาน เสียงฟ้าคำรณก็เปรียบดั่งการห้ามปรามที่มีอยู่ในอัลกุรอาน แสงฟ้าแลบก็เปรียบดั่งการปรากฏของความจริงแก่พวกเขาในบางครั้งบางครา และการปิดหูที่เกิดจากความรุนแรงของฟ้าผ่านั้นเปรียบดั่งการหันหลังของพวกเขาต่อความจริงและการไม่ยอมรับต่อมัน และความคล้ายคลึงกันระหว่างบรรดาผู้กลับกลอกกับกลุ่มคนที่ได้อุปมาดั่งสองตัวอย่างนั้น คือ การไม่ได้รับประโยชน์อันใดเลย ซึ่งในตัวอย่างของไฟนั้น : ผู้ที่จุดไฟเขาจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยนอกจากความมืดและการเผาไหม้เท่านั้น และในตัวอย่างของน้ำ : บรรดาผู้ที่ได้รับฝนก็ไม่ได้ประโยชน์อันใดเลยนอกจากฟ้าร้องและฟ้าผ่าที่มาหลอกให้เกิดความกลัวแก่พวกเขาและสร้างความรำคาญแก่พวกเขา และเฉกเช่นนั้นแหละบรรดาผู้กลับกลอก พวกเขาจะไม่เห็นสิ่งใดเลยในอิสลาม เว้นเสียแต่ความรุนแรงและความโหดร้าย

(21) มนุษย์เอ๋ย! จงเคารพอิบาดะฮฺต่อพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าแต่เพียงผู้เดียวโดยที่ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์เถิด เพราะแท้จริงพระองค์คือผู้ที่ทรงบังเกิดพวกเจ้า และบรรดาประชาชาติที่มาก่อนพวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าทั้งหลายจะได้นำมันมาเป็นสิ่งป้องกันระหว่างพวกเจ้าและการลงโทษของพระองค์ ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์

(22) พระองค์ คือ ผู้ทรงให้แผ่นดินนั้นแผ่ออกเป็นที่ราบเรียบแก่พวกเจ้า และทรงให้ท้องฟ้าที่เบื่องบนของมันเป็นดั่งอาคารที่คงทน และพระองค์คือผู้ทรงโปรดปรานด้วยการประทานน้ำฝนลงมา แล้วได้ทรงให้ผลไม้ต่างๆ งอกเงยออกมาจากพื้นดินด้วยน้ำนั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าให้มีบรรดาผู้เป็นภาคีหรือผู้เท่าเทียมใดๆ เกิดขึ้นสำหรับอัลลอฮฺ โดยที่พวกเจ้าก็รู้กันอยู่ว่าไม่มีผู้สร้างใดๆเลย เว้นเสียแต่อัลลอฮฺ ตะอาลา เท่านั้น

(23) และหากว่าพวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย อยู่ในความแคลงใจใดๆ จากอัลกุรอานที่ถูกส่งลงมาแก่บ่าวของเรา มูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม เราขอท้าให้พวกเจ้าต่อต้านมัน ด้วยการนำมาสักสูเราะฮฺหนึ่งที่เหมือนกับสิ่งนี้ แม้ว่าจะเป็นสูเราะฮฺที่สั้นๆ ก็ตาม และจงเชิญชวนผู้ที่สนับสนุนช่วยเหลือพวกเจ้า หากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริงในสิ่งที่พวกเจ้านั้นกำลังกล่าวอ้างมัน

(24) แล้วหากพวกเจ้ายังมิได้ทำสิ่งนั้น และพวกเจ้าไม่มีความสามารถในการที่จะทำตลอดไป ก็จงระวังไฟนรกที่ถูกจุดขึ้นมาด้วยมนุษย์เป็นเชื้อเผลิงผู้สมควรได้รับแก่การลงโทษ และด้วยประเภทต่างๆ ของหินที่พวกเขาเคารพบูชามันหรืออื่นๆ นี่คือไฟนรก แท้จริงนั้นอัลลอฮฺได้ทรงจัดเตรียมมัน และตั้งมันขึ้นมาไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา

(25) และเมื่อการกล่าวสำทับก่อนหน้านี้ประสบแก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นเจ้าก็จงแจ้งข่าวดีเถิด โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย แก่บรรดาที่ผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺที่พวกเขานั้นกำลังประกอบการงานที่ดีทั้งหลาย ถึงสิ่งที่จะทำให้พวกเขานั้นรู้สึกปิติยินดี นั้นก็คือ บรรดาสรวงสวรรค์ที่มีธารน้ำไหลอยู่ภายใต้บรรดาราชวังและบรรดาต้นไม้ของมัน คราใดที่พวกเขาได้รับเครื่องยังชีพที่มาจากผลไม้ของสรวงสวรรค์นั้น พวกเขาก็กล่าวอย่างสุดอึ้งถึงความคล้ายคลึงกันกับผลไม้ ณ ตอนที่อยู่ในโลกดุนยาว่า : สิ่งนี้เหมือนกับผลไม้ที่เราเคยได้รับเป็นปัจจัยยังชีพมาก่อน และผลไม้นั้นมันก็เคยผ่านหน้าผ่านตาพวกเขามาแล้วซึ่งมีความคล้ายคลึงกันทางด้านรูปลักษณ์และชื่อเรียกของมัน กระทั่งพวกเขายอมรับว่ามันเคยเป็นที่รู้จักเคยสัมผัสมันมาก่อน แต่ทว่ามันนั้นมีความแตกต่างทางด้านกลิ่นและรสชาติของมัน และในสวรรค์นั้นพวกเขาจะได้รับคู่ครองที่บริสุทธิ์ ซึ่งปราศจากทุกๆ สิ่งที่มนุษย์นั้นอยากเลี่ยงหนีไปจากมัน หรือนับว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับในจินตนาการของมนุษย์โลก และพวกเขาจะพำนักอยู่ในความสุขนิรันดร์นั้นไปตลอดกาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งต่างจากความสุขของโลกดุนยาที่มีที่สิ้นสุด

(26) แท้จริงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะไม่ทรงละอายที่จะยกอุทาหรณ์ใดๆ ขึ้นมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยที่พระองค์ได้ยกอุทาหรณ์เปรียบเทียบด้วยตัวริ้น แล้วก็สิ่งที่เหนือยิ่งไปกว่ามัน หรือเล็กต่ำต้อยยิ่งไปกว่ามัน และด้วยอุทาหรณ์ของอัลลอฮ์ที่ยกมานั้นทำให้มนุษย์แบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ บรรดาผู้ศรัทธาและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา แล้วส่วนบรรดาผู้ที่ศรัทธานั้น พวกเขาย่อมเชื่อและรู้ดีถึงเบื้องหลังของการยกอุทาหรณ์เปรียบเทียบกับมันนั้นว่ามีหิกมะฮฺ (วิทยปัญญา) ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นพวกเขาจะพูดกล่าวถามในทำนองเย้ยหยันถึงสาเหตุการยกอุทาหรณ์ของอัลลอฮฺด้วยสิ่งถูกสร้างอันต่ำต้อยอันนี้ เช่น ตัวริ้น แมลงวัน แมงมุม และอื่นๆ แล้วอัลลอฮฺก็ให้คำตอบนั้นว่า แท้จริงในการเปรียบเทียบอันนี้ เป็นการแนะนำทางและการชี้แนะต่างๆ และการทดสอบต่อมนุษย์นั่นเอง และส่วนหนึ่งจากพวกเขานั้นมีผู้ที่พระองค์ทรงทำให้พวกเขาได้หลงผิดด้วยอุทาหรณ์นั้น ก็เพราะการหันหลังให้ของพวกเขาไปจากการใคร่ครวญต่อสิ่งนั้น ซึ่งพวกเขานั้นก็มีจำนวนมากมาย และส่วนหนึ่งจากพวกเขานั้นมีผู้ที่พระองค์ทรงทำให้พวกเขาได้รับทางนำ ด้วยสาเหตุการรับฟังคำตักเตือนของพวกเขาต่ออุทาหรณ์นั้น ซึ่งพวกเขาเองก็มีจำนวนมากมาย และพระองค์จะไม่ทรงให้ใครคนใดหลงผิดเว้นเสียแต่ผู้ที่เขานั้นสมควรแก่การหลงผิด และพวกเขานั้นก็คือ บรรดาผู้ที่อยู่นอกกรอบการเชื่อฟังต่อพระองค์ เฉกเช่น บรรดาผู้กลับกลอก

(27) บรรดาผู้ที่ทำลายสัญญาของอัลลอฮ์ หลังจากที่พระองค์ได้ทำสัญญานั้นเหนือพวกเขา ด้วยการให้เคารพอิบาดะฮ์ต่อพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ ที่บรรดาเราะสูลก่อนหน้าเขาเคยบอกเล่าหรือให้ข่าวคราวเกี่ยวกับเขา พวกเขาเหล่านั้นที่กำลังสวมหน้ากากในการให้สัญญาต่ออัลลอฮ์ ซึ่งลักษณะของพวกเขาคือ การตัดสิ่งที่อัลลอฮ์ใช้ให้สัมพันธ์ เช่น การสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ และพวกเขาพยายามแพร่กระจายความเสื่อมเสียบนหน้าแผ่นดินด้วยการฝ่าฝืนพระองค์ ชนเหล่านี้แหละคือบรรดาผู้ที่ขาดตกบกพร่องต่อโชคลาภของพวกเขาทั้งในโลกนี้และก็โลกหน้า

(28) แท้จริงเรื่องของพวกเจ้านั้น โอ้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเอ๋ย น่าแปลกจริงๆ! พวกเจ้านั้นจะปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮฺได้อย่างไรกัน? ทั้งๆ ที่พวกเจ้านั้นก็เห็นถึงบรรดาหลักฐานที่บอกถึงความปรีชาญาณของพระองค์ที่ปรากฏในตัวของพวกเจ้าเอง แท้จริงพวกเจ้าไม่เคยมีตัวตนมาก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงสร้างพวกเจ้าและทรงให้พวกเจ้ามีชีวิตขึ้นมา หลังจากนั้นก็จะทรงให้พวกเจ้าตายซึ่งเป็นการตายครั้งที่สอง แล้วก็จะทรงให้พวกเจ้ามีชีวิตขึ้นอีกครั้งเป็นครั้งที่สอง หลังจากนั้นพวกเจ้าก็จะถูกนำกลับไปสู่พระองค์ เพื่อที่จะคิดบัญชีต่อพวกเจ้าถึงสิ่งที่พวกเจ้านั้นได้กระทำมา

(29) พระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ทรงสร้างสิ่งทั้งมวลในโลกไว้สำหรับพวกเจ้า ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ต้นไม้ และอื่น ๆ ที่ไม่สามารถนับจำนวนของมันได้ และพวกเจ้าเองก็ได้ใช้ประโยชน์จากมัน และก็ได้เสพสุขกับสิ่งที่พระองค์ได้อำนวยความสะดวกไว้แก่พวกเจ้า หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า แล้วก็ทรงสร้างชั้นฟ้าขึ้นให้เป็นเจ็ดชั้นที่เท่ากัน และพระองค์นั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง

(30) อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงแจ้งว่า พระองค์ผู้มหาบริสุทธิ์นั้น ทรงตรัสแก่บรรดามะลาอิกะฮฺว่า : แท้จริงพระองค์จะทรงสร้างมนุนษย์ขึ้นมาบนหน้าแผ่นดิน โดยที่จะมีการสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น เพื่อดำรงไว้ซึ่งการพิทักรักษาโลกนี้ไว้ให้อยู่บนการเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺ แล้วมะลาอิกะฮฺก็ได้ทูลถามผู้อภิบาลของพวกเขา (ซึ่งเป็นการถามเชิงขอคำปรึกษาและขอทำความเข้าใจ) ถึงข้อซ่อนเร้นของการสร้างลูกหลานอาดัมขึ้นมาเป็นเหล่าผู้สืบทอดไว้บนแผ่นดิน ซึ่งจริงแล้วพวกเขานั้นคือบรรดาผู้ที่จะบ่อนทำลาย และก่อการนองเลือดอย่างอธรรมในหน้าแผ่นดินนี้ พวกเขา(มะลาอิกะฮฺ)ก็เป็นผู้กล่าวอีกว่า : และพวกเราคือบรรดาผู้ที่เชื่อฟังต่อพระองค์ เราให้ความบริสุทธิ์ต่อพระองค์ด้วยการสรรเสริญแด่พระองค์ และจะเทิดทูนในความสูงศักดิ์และความเพียบพร้อมของพระองค์ เราไม่ลดหย่อนผ่อนปรนต่อสิ่งนั้นแน่นอน แล้วอัลลอฮฺก็ทรงได้ตอบต่อพวกเขา ถึงคำถามที่พวกเขาถามมาว่า : แท้จริงข้ารู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้ ซึ่งข้อซ่อนเร้นในการสร้างพวกเขามา และจุดประสงค์หลักๆ ที่ยิ่งใหญ่ของการสืบทอดกันของพวกเขา

(31) และเพื่อบ่งบอกถึงสถานะของอาดัม อะลัยฮิสสลาม พระองค์จึงได้ทรงสอนอาดัมเกี่ยวกับชื่อของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นบรรดาสัตว์และสิ่งที่ไม่มีชีวิต ได้ทรงสอนทั้งคำและความหมายของมัน จากนั้นพระองค์ก็นำสิ่งเหล่านั้นเสนอแก่บรรดามลาอิกะฮ์ โดยตรัสว่า จงบอกชื่อของสิ่งเหล่านี้มา หากพวกเจ้าเป็นผู้สัตย์จริงตามคำพูดของพวกเจ้าที่ว่า พวกเจ้านั้นมีเกียรติมากกว่าสิ่งที่ถูกสร้างนี้ ( อาดัม ) และประเสริฐกว่าเขา

(32) พวกเขา(บรรดามะลาอิกะฮฺ) – พร้อมกับการยอมจำนนถึงความบกพร่องของพวกเขา และยอมรับถึงความประเสริฐทั้งมวลเป็นของอัลลอฮฺ – ได้กล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของเรา พวกเราศรัทธาในความบริสุทธิ์และความยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยจะไม่มีการคัดค้านใดๆต่อพระองค์ในคำตัดสินและบทบัญญัติของพระองค์ ดังนั้นพวกเราจะไม่มีความรู้ถึงสิ่งใดๆ เลย นอกจากสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสอนพวกเราเท่านั้น แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงรอบรู้ ซึ่งจะไม่มีสิ่งใดที่จะแอบซ่อนไปจากพระองค์ได้ พระองค์ผู้ทรงปรีชาญาณผู้ทรงวางสิ่งต่างๆไว้ในสถานที่ที่เหมาะสมกับมัน จะเป็นการวางกฎกำหนดสภาวการณ์หรือการกำหนดบทบัญญัติศาสนาของพระองค์

(33) และในขณะนั้นเอง อัลลอฮฺ ตะอาลา ก็ได้ทรงตรัสแก่อาดัมว่า : จงบอกชื่อของสิ่งเหล่านั้นแก่พวกเขา (บรรดามะลาอิกะฮฺ) ครั้นเมื่ออาดัมได้บอกแก่พวกเขา ตามที่พระเจ้าของเขาได้ทรงสอนเขามา อัลลอฮฺได้ทรงตรัสแก่บรรดามะลาอิกะฮฺว่า : ข้ามิได้บอกแก่พวกเจ้าหรอกหรือว่า แท้จริงข้ารู้ดียิ่งถึงสิ่งที่มันได้ถูกซ่อนไว้ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และข้ารู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยถึงสภาพของพวกเจ้า และรู้ถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้ปกปิดในใจของพวกเจ้า

(34) อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงอธิบายว่า พระองค์ได้ทรงสั่งบรรดามะลาอิกะฮฺให้ทำการสุญูดแก่อาดัม เพื่อเป็นการให้เกียรติและคารวะแก่อาดัม แล้วพวกเขา(บรรดามะลาอิกะฮฺ)ก็ได้ทำการสุญูดทันที เพื่อเป็นการตอบรับคำสั่งของอัลลอฮฺ นอกจากอิบลีสที่มาจากหมู่ญิน ไม่ปฏิบัติตามเพื่อแสดงการคักค้านต่อคำสั่งของอัลลอฮฺที่ใช้ให้เขาสุญูด และเพื่อต้องการแสดงความหยิ่งยโสต่ออาดัม ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้เขาได้กลายเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา

(35) และเราได้กล่าวว่า อาดัมเอ๋ย ! เจ้าและคู่ครองของเจ้า - เฮาวาอ์ - จงอยู่ในสรวงสวรรค์นั้นเถิด แล้วเจ้าทั้งสองก็จงบริโภคจากมันอย่างเพลิดเพลินโดยที่ไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ เลยอยู่ในนั้น ณ ที่ใดก็ได้ในสวรรค์ และเจ้าทั้งสองอย่าเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนี้ที่ข้านั้นได้ห้ามปรามพวกเจ้าทั้งสองเอาไว้จากการบริโภคจากมัน มิเช่นนั้นแล้วเจ้าทั้งสองจะกลายเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้อธรรม เพราะการฝ่าฝื่นต่อสิ่งที่ข้าได้สั่งใช้พวกเจ้าทั้งสองไว้

(36) แล้วชัยฏอนนั้นก็ยังคงกระซิบและล่อลวงเขาทั้งสอง จนกระทั่งทำให้เขาทั้งสองนั้นตกอยู่ในการกระทำความชั่วและการทำผิด ด้วยการไปบริโภคจากต้นไม้ต้นนั้นที่อัลลอฮฺได้ทรงห้ามปรามเขาทั้งสองมิให้บริโภคมัน แล้วผลพวงที่ตามมาสำหรับเขาทั้งสองนั้น คือ อัลลอฮฺได้ทรงทำให้ทั้งสองออกจากสรวงสวรรค์ที่เขาทั้งสองเคยพำนักอยู่ และอัลลอฮฺก็ได้ตรัสแก่เขาทั้งสองและแก่ชัยฏอนว่า : พวกเจ้าจงลงไปยังผืนแผ่นดินเถิด โดยที่บางส่วนของพวกเจ้าต่างเป็นศัตรูต่อกัน และสำหรับพวกเจ้ามีที่พำนักในผืนแผ่นดินนั้น ที่ปักหลัก และมีความเพลิดเพลินกับสิ่งที่อยู่ในนั้นจากสิ่งอำนวยประโยชน์ต่างๆ จนกว่าอายุของพวกเจ้าจะจบลง และจนถึงวันกิยามะฮฺ

(37) จากนั้นอาดัมก็ได้น้อมรับถ่อยคำต่างๆจากอัลลอฮ์ และทรงดลใจเขาให้วิงวอนขอด้วยถ่อยคำเหล่านั้น(ต่อพระองค์) โดยที่มันได้ถูกกล่าวไว้ในคำกล่าวของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ว่า : (เขาทั้งสองได้กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเรา เราได้อธรรมต่อตัวเราเอง และถ้าพระองค์ไม่ทรงอภัยโทษและเอ็นดูเมตตาแก่เรา แน่นอนพวกเราต้องกลายเป็นพวกที่ขาดทุน) [อัล-อะอฺร็อฟ:23] แล้วอัลลอฮฺก็ทรงตอบรับการกลับเนื้อกลับตัวของเขา และก็ทรงอภัยโทษให้แก่เขา และแท้จริงพระองค์ผู้มหาบริสุทธิ์เป็นผู้ที่เหลือล้นในการให้อภัยโทษต่อปวงบ่าวของพระองค์ เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ

(38) เราได้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าทั้งหมดจงลงจากสวรรค์ไปสู่ผืนแผ่นดินเถิด แล้วหากมีทางนำใดๆที่นำโดยบรรดาเราะสูลของข้ามายังพวกเจ้า ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิบัติตามทางนำนั้น และเขาได้ศรัทธาต่อบรรดาเราะสูลของข้า พวกเขาจะไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ในโลกหน้า และพวกเขาจะไม่ระทมทุกข์ต่อสิ่งที่พวกเขาได้พลาดพลั้งไปในโลกนี้

(39) ส่วนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับในโองการทั้งหลายของเรา ดังนั้นพวกเขาคือชาวนรกโดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นไปตลอดกาล

(40) โอ้ลูกหลานของนบียะอฺกูบเอ๋ย ! จงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺทีได้มอบให้แก่พวกเจ้าอย่างไม่ขาดสาย และจงสำนึกในบุญคุณนั้น และจงรักษาข้อสัญญาของข้าที่มอบให้แก่พวกเจ้าให้ครบถ้วน ด้วยการรักษาการศรัทธาของพวกเจ้าที่มีต่อข้าและต่อบรรดาเราะสูลของข้า และปฏิบัติตามบทบัญญัติของข้า แล้วหากพวกเจ้าได้รักษามัน ข้าก็จะรักษาสัญญาของข้าที่ได้ให้ต่อพวกเจ้าไว้ ในสิ่งที่ข้านั้นได้เคยสัญญามันไว้แก่พวกเจ้า ด้วยการให้พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตที่ดีในโลกดุนยาและให้ผลตอบแทนที่ดีในวันกิยามะฮฺ และพวกเจ้าจงยำเกรงต่อข้าเท่านั้น และอย่าได้ทำลายของข้า

(41) และพวกเจ้าจงศรัทธาต่ออัลกุรอานที่ข้าได้ประทานลงมาให้แก่มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม ซึ่งมันสอดคล้องกับเนื้อหาที่มีในคัมภีร์อัต-เตารอตฺก่อนที่จะมีการบิดเบือนมันในเรื่องของการให้เอกภาพแก่อัลลอฮฺและการแต่งตั้งมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม และพวกเจ้าจงระวังจากการเป็นชนกลุ่มแรกที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งนั้น และจงอย่าได้นำโองการของข้าไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันน้อยนิด ไม่ว่าจะเป็นการแลกกับเกียรติยศหรือตำแหน่งหน้าที่ใดๆ และจงยำเกรงต่อความโกรธกริ้วและการลงโทษของข้า

(42) และพวกเจ้าจงอย่าปะปนความจริงที่ข้าได้ประทานลงมาแก่บรรดาเราะซูลของข้าด้วยสิ่งที่พวกเจ้านั้นสร้างเรื่องขึ้นมาจากความเท็จต่างๆ และจงอย่าปกปิดความจริงที่มันมีอยู่ในบรรดาคัมภีร์ของพวกเจ้า เช่นคุณลักษณะของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม ทั้งๆ ที่พวกเจ้ารู้กันอยู่ และแน่ใจในสิ่งนั้น

(43) และพวกเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดให้สมบูรณ์ด้วยหลักการ ข้อบังคับและสุนนะฮฺต่างๆ ของมัน และจงจ่ายซะกาตทรัพย์สินของพวกเจ้าที่อัลลอฮฺได้มอบไว้ในมือของพวกเจ้า และจงนอบน้อมต่ออัลลอฮฺพร้อมกับบรรดาผู้ที่นอบน้อมต่อพระองค์ที่เป็นประชาชาติของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม

(44) มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมาก การที่พวกเจ้านั้นสั่งผู้อื่นให้ศรัทธาและกระทำความดี โดยที่พวกเจ้านั้นละทิ้งมัน โดยลืมตัวของพวกเจ้าเอง ทั้งๆ ที่พวกเจ้าอ่านคัมภีร์อัตเตารอตฺอยู่ ซึ่งรู้ดีถึงสิ่งที่อยู่ในนั้น ที่เป็นคำสั่งให้ปฏิบัติตามศาสนาของอัลลอฮฺ และการเชื่อฟังต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์ แล้วพวกเจ้าไม่ได้ใช้ประโยชน์จากปัญญาของพวกเจ้าหรอกหรือ?

(45) และพวกเจ้าจงขอความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ของพวกเจ้า ทั้งที่เป็นเรื่องของศาสนาและเรื่องของดุนยา ด้วยการอาศัยความอดทนและการละหมาดที่จะนำพวกเจ้าเข้าไปใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺและพาพวกเจ้าไปถึงพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงช่วยเหลือและปกป้องพวกเจ้า และพระองค์ก็จะทรงนำเอาภัยอันตรายออกไปจากพวกเจ้า และแท้จริงการละหมาดนั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากและเป็นเรื่องที่หนักมาก เว้นเสียแต่บรรดาผู้ที่นอบน้อมถ่อมตนต่ออัลลอฮฺเท่านั้น

(46) เพราะพวกเขาคือผู้ที่มั่นใจว่าจะต้องกลับไปยังพระเจ้าของพวกเขา และจะต้องพบกับพระเจ้าของพวกเขาในวันกิยามะฮ์ และแน่นอนพวกเขาจะต้องกลับไปสู่พระองค์เพื่อเป็นการตอบแทนพวกเขาตามสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติกันมา

(47) โอ้ลูกหลานของนบียะอฺกูบเอ๋ย จงรำลึกถึงความโปรดปรานของข้าทั้งทางด้านศาสนาและดุนยา ที่ข้าได้ประทานให้แก่พวกเจ้า และจงรำลึกอยู่เสมอว่า แท้จริงข้านั้นได้เทิดทูนพวกเจ้าไว้เหนือผู้อื่นที่ร่วมสมัยกับพวกเจ้า ด้วยการให้เป็นศาสนฑูตและเป็นกษัตริย์

(48) และพวกเจ้าจงให้มีเกราะป้องกันระหว่างพวกเจ้ากับการลงโทษในวันกิยามะฮฺนั้น โดยการปฏิบัติตามคำสั่งและออกห่างจากข้อห้ามทั้งหลาย เพราะวันนั้นคือวันที่ไม่มีชีวิตใดจะตอบแทนให้กับอีกชีวิตหนึ่งได้ และในวันนั้นเอง การขอความช่วยเหลือต่างๆก็จะไม่ถูกตอบรับจากใครคนใดเลย ที่จะคอยมาปลดทุกข์หรือนำผลประโยชน์มายังเขา นอกจากด้วยความอนุมัติจากอัลลอฮฺเท่านั้น และจะไม่มีการไถ่ถอน แม้ว่าจะด้วยแผ่นดินที่เต็มไปด้วยทองคำ และจะไม่มีผู้คอยช่วยเหลือใดๆเลยสำหรับพวกเขาในวันนั้น ดังนั้นเมื่อไม่มีผู้ช่วยขออุทธรณ์ ไม่มีการไถ่ถอนและไม่มีผู้ช่วยเหลือแล้ว ดังนั้นจะมีทางรอดอีกใหม?!

(49) โอ้วงศ์วารของอิสรออีลเอย จงนึกถึงในตอนที่เราได้ช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากบริวารของฟิรฺเอาน์ ซึ่งพวกเขาได้กระทำให้พวกเจ้าได้รู้สึกถึงรสชาติของการทรมานในรูปแบบต่างๆ นั่นคือด้วยการฆ่าบรรดาลูกชายของพวกเจ้า จนกว่าจะไม่มีเหลือให้พวกเจ้าแม้แต่คนเดียว และได้ละเว้นบรรดาลูกหญิงของพวกเจ้าไว้ให้มีชีวิต เพื่อจะได้เป็นทาสรับใช้พวกเขา เพื่อเป็นการสื่อให้เห็นถึงความต้อยต่ำและความอัปยศของพวกเจ้า และในการที่ทำให้พวกเจ้ารอดพ้นจากการกดขี่ของฟิรฺเอาน์และบริวารของเขานั้น คือการทดสอบอันใหญ่หลวงจากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า เผื่อว่าพวกเจ้าจะสำนึกขอบคุณต่อพระองค์

(50) และจงรำลึกถึงความโปรดปรานของเราที่ได้มอบให้แก่พวกเจ้า เมื่อตอนที่เราได้แยกน้ำทะเล และได้ทำให้มันเป็นทางผ่านเพื่อให้พวกเจ้าได้เดินลงไปในนั่น แล้วเราได้ทำให้พวกเจ้าปลอดภัย และได้ทำให้เหล่าศัตรูของพวกเจ้า ฟิรอาวน์และสาวกของเขาได้จมน้ำตายต่อหน้าต่อตา โดยที่พวกเจ้าเองได้เห็นมันกับตา

(51) และจงรำลึกถึงความโปรดปรานบางประการของเราที่มีต่อพวกเจ้า คือสัญญาของเราที่มีต่อมูซาสี่สิบคืน เพื่อที่จะให้คัมภีร์อัตเตารอตได้ถูกประทานอย่างครบสมบูรณ์ในเวลานั้น ซึ่งเป็นทั้งรัศมีและทางนำ แล้วในช่วงเวลานั้น ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นจากพวกเจ้าเลย ยกเว้นการบูชาลูกวัว และด้วยการกระทำของพวกเจ้านี้เอง พวกเจ้าคือกลุ่มชนผู้ที่อธรรม

(52) หลังจากนั้นเราก็ได้ยกโทษแก่พวกเจ้าหลังการกลับเนื้อกลับตัวของพวกเจ้า และเรามิได้เอาโทษกับพวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจักขอบคุณต่ออัลลอฮฺด้วยการเคารพอิบาดะฮฺและการเชื่อฟังต่อพระองค์อย่างดีงาม

(53) และจงรำลึกถึงความโปรดปรานอันนี้ ที่เราได้ให้มูซา อะลัยฮิสสลาม นั่นคือคัมภีร์อัตเตารอตฺ เพื่อเป็นตัวแยกแยะระหว่างความจริงกับความเท็จ และเป็นตัวชี้ถึงความแตกต่างระหว่างทางที่ถูกกับทางที่ผิด หวังว่าพวกเจ้าจะได้รับทางนำจากมันเพื่อไปสู่ความถูกต้อง

(54) และจงรำลึกถึงความโปรดปรานอันนี้ ที่อัลลอฮฺได้ทรงชี้นำพวกเจ้าสู่การสำนึกในความผิดจากการบูชาลูกวัว โดยที่มูซาได้กล่าวแก่พวกเจ้าว่า แท้จริงพวกเจ้าได้อยุติธรรมต่อตัวของพวกเจ้าเอง โดยที่พวกเจ้าได้ยึดถือลูกวัวเป็นพระเจ้า เป็นสิ่งเคารพสักการะ ดังนั้นพวกเจ้าจงสำนึกในความผิดนี้เถิด และจงกลับตัวไปสู่พระผู้ทรงสร้างและผู้ทรงบังเกิดของพวกเจ้าเถิด ด้วยการฆ่ากันเองระหว่างพวกเจ้า และการกลับตัวกลับใจในลักษณะนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่าการที่พวกเจ้านั้นยังคงอยู่ในการปฏิเสธศรัทธาที่นำไปสู่การพำนักในไฟนรกตลอดกาล ดังนั้นการกลับตัวของพวกเจ้าด้วยการกระทำในลักษณะดังกล่าวนั้นมาจากการชี้นำและความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ แล้วพระองค์ก็ทรงรับการสำนึกผิดของพวกเจ้า เพราะแท้จริงพระองค์คือผู้เหลือล้นในการให้อภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาต่อปวงบ่าวของพระองค์เสมอ

(55) และจงรำลึกถึง ขณะที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าได้กล่าวแก่มูซา อะลัยฮิสลาม อย่างเหิมเกริมว่า เราจะไม่ศรัทธาต่อท่านเป็นอันขาด จนกว่าเราจะได้เห็นอัลลอฮฺอย่างชัดเจนด้วยตาโดยไม่มีสิ่งใดปิดบังไปจากเรา แล้วเปลวไฟที่ลุกโชนก็ได้คร่าชีวิตพวกเจ้า โดยส่วนหนึ่งของพวกเจ้าได้แต่มองไปยังอีกส่วน

(56) หลังจากนั้นเราได้ให้พวกเจ้าคืนชีพ หลังจากที่พวกเจ้าได้ตายไปแล้ว เพื่อว่าพวกเจ้าจักขอบคุณต่ออัลลอฮฺที่ได้ทรงประทานความโปรดปรานแก่พวกเจ้าเช่นนั้น

(57) และจากความโปรดปรานทั้งหลายของเราที่ได้มอบให้กับพวกเจ้าอีกเช่นกันคือ เราได้ส่งเมฆมาบดบังพวกเจ้าไว้ให้พ้นจากความร้อนของดวงอาทิตย์ในขณะที่พวกเจ้าหลงทางอยู่ในหน้าแผ่นดิน และเราก็ได้ประทานความโปรดปรานของเราลงมาให้แก่พวกเจ้าซึ่งเครื่องดื่มที่หอมหวาน เช่น น้ำผึ้ง และนกน้อยที่มีเนื้อดีคล้ายดั่งนกกระทา แล้วเราก็ได้กล่าวแก่พวกเจ้าว่า พวกเจ้าจงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าจากสิ่งดีๆ เถิด และเราก็ไม่ได้เสียหายอะไรกับการปฏิเสธและการต่อต้านของพวกเขาที่มีต่อความโปรดปรานทั้งหลายนี้ แต่ทว่าพวกเขานั้นได้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองต่างหาก โดยการบั่นทอนโชคลาภที่มาจากผลบุญและพยายามอ้อมค้อมมันเพื่อไปสู่การลงโทษ

(58) และจงรำลึกถึงความโปรดปรานทั้งหลายของอัลลอฮฺที่ได้มอบให้กับพวกเจ้าขณะที่เราได้กล่าวแก่พวกเจ้าว่า พวกเจ้าจงเข้าไปในบัยตุลมักดิส แล้วจงบริโภคจากสิ่งที่อยู่ในเมืองนั้นจากสิ่งที่ดีๆ ณ แห่งหนใดก็ได้ตามที่พวกเจ้าปรารถนาบริโภคอย่างสุขสันต์และเปิดกว้าง และพวกเจ้าก็จงเป็นบรรดาผู้โน้มศรีษะลงด้วยความนอบน้อมต่ออัลลอฮฺในขณะที่เข้าไป และจงขอพรต่ออัลลอฮฺโดยกล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ขอพระองค์ทรงอภัยโทษต่อความผิดทั้งหลายของพวกเราด้วยเถิด แล้วเราก็จะตอบรับคำขอของพวกเจ้า และเราจะเพิ่มพูนแก่บรรดาผู้ที่กระทำความดีในการงานของพวกเขา ซึ่งผลบุญในการทำดีของพวกเขา

(59) แล้วบรรดาผู้อธรรมที่มาจากพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดเลย เว้นเสียแต่พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงการกระทำและบิดเบือนคำพูด แล้วพวกเขาก็ได้เข้าไป(ยังบัยตุลมักดิส)โดยการขยับตัวด้วยก้นของพวกเขา(แทนที่จะเข้าอย่างนอบน้อม) และพวกเขาก็กล่าวว่า แค่เพียงเม็ดหนึ่งจากข้าวสาลี(แทนการกล่าวคำขออภัยโทษ) เป็นการแสดงออกถึงลักษณะการเยาะเย้ยต่อคำบัญชาของอัลลอฮฺ ดังนั้นการตอบแทนที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาให้กับผู้อธรรมในหมู่ของพวกเขานั้น คือการลงโทษที่มาจากฟากฟ้า เนื่องจากพวกเขาได้ออกนอกกรอบบทบัญญัติและการผิดคำสั่ง(ของอัลลอฮ์)

(60) และจงรำลึกถึงความโปรดปรานทั้งหลายของอัลลอฮฺที่มอบให้แก่พวกเจ้าครั้นที่พวกเจ้านั้นหลงทาง และความหิวโหยก็มาประสบกับพวกเจ้า แล้วมูซาก็ได้นอบน้อมต่อพระผู้อภิบาลของเขา และขอต่อพระองค์ให้ประทานน้ำแก่พวกเจ้า แล้วเราได้สั่งใช้เขาให้ตีหินด้วยไม้เท้าของเขา แล้วในขณะที่เขาได้ตีมัน ตาน้ำสิบสองตา ก็พุ่งออกจากหินนั้น ไปตามจำนวนกลุ่มชนแต่ละกลุ่มของพวกเจ้า และเราก็ได้แจ้งแก่ทุกกลุ่มชนถึงแหล่งน้ำดื่มของแต่ละกลุ่มเป็นการเฉพาะ เพื่อมิให้เกิดความขัดแย้งกันในระหว่างพวกเขา และเราก็ได้กล่าวแก่พวกเจ้าต่อว่า จงกินและจงดื่มจากปัจจัยยังชีพของอัลลอฮฺที่พระองค์ได้ทรงนำมาให้พวกเจ้าโดยไม่ต้องใช้ความขมักเขม้นและการงานจากพวกเจ้า และพวกเจ้าก็จงอย่าก่อกวนในผืนแผ่นดิน ในฐานะเป็นผู้บ่อนทำลาย

(61) และจงรำลึกถึงครั้งหนึ่งที่พวกเจ้านั้นเคยปฏิเสธต่อความโปรดปรานของพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็ได้รู้สึกเบื่อหน่ายจากการบริโภคสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานมาให้แก่พวกเจ้าจากน้ำผึ้งและนก และพวกเจ้าก็ได้กล่าวว่า เราจะไม่อดทนกับอาหารชนิดเดียวที่ไม่มีการสับเปลี่ยน จากนั้นพวกเจ้าก็ได้ร้องขอต่อมูซา อะลัยฮิสลาม ให้เขาวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ เพื่อให้พระองค์ทรงนำสิ่งที่มาจากพืชดินออกมาแก่พวกเจ้า เช่น พืชผัก ใบหญ้า แตงร้าน(คล้ายกับแตงกว่าแต่มันมีขนาดใหญ่กว่า) ฐัญพืช ถั่ว และหัวหอม เพื่อเป็นอาหาร แล้วมูซา อะลัยฮิสลาม ก็ได้กล่าวในเชิงที่รับไม่ได้ต่อคำขอของพวกเจ้าที่ต้องการเปลี่ยนเอาสิ่งที่มันด่อยค่าและต่ำกว่าน้ำผึ้งและนกทั้งที่มันดีกว่าและมีค่ากว่า และแท้จริงแล้วมันได้มายังพวกเจ้าโดยปราศจากความเหนื่อยล้าและเหน็ดเหนื่อย (ด้วยการกล่าวว่า): พวกท่านจงออกไปจากเมืองนี้แล้วไปยังเมืองใดก็ได้ แล้วพวกท่านก็จะพบเจอกับสิ่งที่พวกท่านได้ขอในไร่สวนและท้องตลาดของเมืองนั้น และเนื่องด้วยการตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาและการหันหลังอย่างซ้ำ ๆ ของพวกเขาต่อสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงเลือกมันให้กับพวกเขา (ดังนั้น) ความอัปยศ ความขัดสนและความทุกข์ยากก็ได้เกาะติดพวกเขาไปตลอด และพวกเขาได้นำเอาความกริ้วโกรธจากอัลลอฮ์กลับไป นั่นก็เพราะการหันหลังของพวกเขาต่อศาสนาของพระองค์ และปฏิเสธต่อสัญญาณต่าง ๆ ของพระองค์ และยังฆ่าบรรดานบีของพระองค์อย่างอธรรมและตั้งตนเป็นศัตรู ทั้งหมดนั้นก็ด้วยสาเหตุที่ว่าพวกเขาได้ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ์และได้ละเมิดในขอบเขตของพระองค์

(62) แท้จริงผู้ที่ศรัทธาที่มาจากประชาชาตินี้ และเช่นเดียวกันผู้ที่ศรัทธาที่มาจากบรรดาประชาชาติก่อนหน้าการบังเกิดของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺิวะสัลลัม ที่มาจากยิว จากคริสเตียน และจากอัศ-ศอบิอีนนั้น(พวกเขาคือชนกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้เจริญรอยตามบรรดานบีบางท่านที่พวกเขานั้นมีการศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ) ซึ่งสำหรับพวกเขานั้นคือ การรับผลบุญของพวกเขา ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขา และไม่มีความหวาดกลัวใดๆ แก่พวกเขา จากสิ่งที่พวกเขานั้นจะต้องเผชิญมันในโลกหน้า และอีกทั้งพวกเขาจะไม่เสียใจในสิ่งที่ได้พลาดมันมาจากโลกดุนยา

(63) และจงรำลึกถึงสิ่งที่เราได้เอามาจากพวกเจ้า ซึ่งคำมั่นสัญญาที่แน่วแน่ จากการศรัทธาต่ออัลลอฮฺและบรรดาเราะสูลของพระองค์ และเราได้ยกภูเขาไว้ขึ้นเหนือพวกเจ้าเพื่อเป็นการข่มขู่พวกเจ้าและคอยระวังมันจาการละทิ้งการงานที่ผูกมัดด้วยคำมั่นสัญญา โดยที่ข้าเป็นผู้บัญชาต่อพวกเจ้าด้วยการให้ยึดถือเอาสิ่งที่เราได้ประทานลงมาให้แก่พวกเจ้าที่มาจากอัตเตารอตฺด้วยความจริงจังและทุ่มเท โดยไม่มีการปล่อยปละละเลยและความเกียจคร้าน และจงรักษาสิ่งที่มีอยู่ในนั้นและพินิจพิเคราะห์ถึงมัน หวังว่าด้วยการกระทำของพวกเจ้าดังกล่าว พวกเจ้าจะเกรงกลัวต่อการลงโทษของอัลลอฮฺ ตะอาลา

(64) แล้วไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นจากพวกเจ้าเลย เว้นเสียแต่การผินหลังให้และการฝ่าฝืนของพวกเจ้าเท่านั้น หลังจากการยึดเอาคำมั่นสัญญาอันแน่วแน่ที่อยู่เหนือพวกเจ้า และหากไม่ใช่เพราะความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มอบให้แก่พวกเจ้า โดยการอภัยโทษให้แก่พวกเจ้า และความเมตตาของพระองค์ด้วยการตอบรับการกลับเนื้อกลับตัวของพวกเจ้าแล้ว แน่นอนพวกเจ้าย่อมกลายเป็นพวกที่ขาดทุนด้วยสาเหตุของการผินหลังให้และการฝ่าฝืนนั้น

(65) และแท้จริงพวกเจ้ารู้กันดีถึงเรื่องราวของบรรดาผู้ที่มาก่อนหน้าพวกเจ้าอย่างไม่มีที่สงสัยใดๆ ที่พวกเขานั้นได้ละเมิดด้วยการล่า(สัตร์น้ำ)ในวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่พวกเขาถูกห้ามไม่ให้ทำการจับปลาในวันนั้น แล้วพวกเขาก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมในสิ่งนั้น โดยการวางตาข่ายก่อนวันเสาร์ และยกมันออกมาในวันอาทิตย์ แล้วอัลลอฮฺก็ทรงทำให้บรรดาผู้ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมนั้นกลายเป็นลิงที่ถูกรังเกียจ ซึ่งเป็นการลงโทษสำหรับพวกเขาเพราะเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขา

(66) แล้วเราได้ทำให้เมืองผู้ละเมิดแห่งนี้กลายเป็นบทเรียนสำหรับเมืองที่อยู่ใกล้เคียงมัน และเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่ตามมาที่หลัง เพื่อที่เขาจะไม่ปฏิบัติเยี่ยงอย่างการกระทำของคนเมืองนั้น แล้วเขาก็จะต้องรับโทษเช่นการลงโทษของคนเมืองนั้น และเราก็ได้ทำให้เป็นข้อเตือนสติแก่บรรดาผู้ที่ยำเกรงที่พวกเขานั้นเกรงกลัวต่อการลงโทษของอัลลอฮฺและการแก้เผ็ดของพระองค์ต่อผู้ที่กำลังละเมิดขอบเขตของพระองค์

(67) และจงรำลึกถึงเรื่องราวของบรรพบุรุษของพวกเจ้า เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขากับมูซา อะลัยฮิสลาม ขณะที่มูซาได้แจ้งข่าวแก่พวกเขาถึงคำบัญชาของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขา โดยให้พวกเขาทำการเชือดวัวตัวเมียตัวหนึ่ง แทนที่พวกเขาจะเร่งรีบปฏิบัติคำสั่งดังกล่าว พวกเขากลับได้กล่าวโดยการตั้งคำถามยุ่งยากมากมายว่า ท่านกำลังล้อเล่นกับพวกเราใช่ไหม? มูซาก็กล่าวว่า ฉันขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺให้พ้นจากการเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่โกหกต่ออัลลอฮฺและผู้ที่ดูถูกดูแคลงต่อมนุษย์ด้วยกัน

(68) พวกเขากล่าวแก่มูซาว่า โปรดวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของท่านให้แก่พวกเราด้วยเถิด ให้พระองค์บอกรายละเอียดแก่พวกเราถึงคุณลักษณะของวัวที่พระองค์ได้ให้เราทำการเชือดมัน แล้วมูซาก็กล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงพระองค์ทรงตรัสว่า มันเป็นวัวตัวเมียที่ไม่แก่และไม่อ่อน แต่มีอายุกึ่งกลางระหว่างนั้น พวกท่านจงปฏิบัติตามคำบัญชาของพระผู้อภิบาลของพวกท่านเถิด

(69) แล้วพวกเขาก็ยังคงยืนกรานในการโต้เถียงและแข็งกร้าว โดยกล่าวแก่มูซา อะลัยฮิสลาม ว่า โปรดวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของท่านให้พระองค์ทรงแจ้งถึงสีของมันแก่พวกเราด้วยเถิด จากนั้นมูซาได้กล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงพระองค์ทรงตรัสว่า แท้จริงมันเป็นวัวสีเหลือง สีเหลืองเข้มมากๆ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกแปลกตาแปลกใจแก่บรรดาผู้พบเห็น

(70) จากนั้นพวกเขาก็ยังคงยืนกรานในการหาข้ออ้างของพวกเขา โดยกล่าวว่า ท่านโปรดวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของท่านให้แก่เราเถิด ขอให้พระองค์ทรงแจ้งแก่พวกเราถึงลักษณะเพิ่มเติมของมัน เพราะแท้จริงวัวที่มีลักษณะดังกล่าวนั้นมันมีเยอะมาก พวกเราไม่สามารถที่จะไปกำหนดตัวใดตัวหนึ่งที่อยู่ในนั้นได้ โดยพวกเขาได้เน้นย้ำว่าพวกเขา -หากอัลลอฮฺทรงประสงค์- จะเป็นผู้ที่ได้รับคำแนะนำไปสู่การได้มาซึ่งวัวที่ต้องการเชือดอย่างแน่นอน

(71) มูซาก็ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้ตรัสว่า แท้จริงแล้วลักษณะของวัวตัวนี้ คือ มันเป็นวัวที่ยังไม่เคยถูกใช้งานในการไถดิน และยังไม่เคยถูกใช้ในการทดน้ำเข้านา มันเป็นวัวที่สมบูรณ์ปราศจากตำหนิใดๆ ที่ตัวของมันนั้นไม่มีเครื่องหมายใดๆ ที่มาจากสีอื่นนอกจากสีของมันที่เป็นสีเหลืองเท่านั้น และในขณะนั้นเองพวกเขาก็กล่าวว่า บัดนี้ท่านได้บอกลักษณะอันถีถ้วนที่บอกถึงวัวตัวนั้นอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แล้วพวกเขาก็เชือดมัน หลังจากที่พวกเขาเกือบจะเชือดมันไม่ได้ เนื่องด้วยการโต้เถียงและการตั้งคำถามที่ยุ่งยาก

(72) และจงรำลึกถึงขณะที่พวกเจ้าฆ่าคนคนหนึ่งที่มาจากพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าต่างปกป้องตัวเอง ซึ่งแต่ละคนก็พยามยามปัดข้อกล่าวหาการสังหารนั้นออกไปจากตัวของเขา และก็ปัดโยนมันไปยังผู้อื่น จนกระทั่งพวกเจ้าได้ขัดแย้งกันเอง และอัลลอฮฺนั้น เป็นผู้ทรงเปิดเผยสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้ซึ่งการสังหารอันไร้เดียงสานั้น

(73) แล้วเราได้กล่าวแก่พวกเจ้าว่า จงตีชายที่ถูกฆ่า ด้วยส่วนหนึ่งส่วนใดของวัวที่พวกเจ้าถูกสั่งใช้ให้เชือด แท้จริงแล้วอัลลอฮฺจะทรงให้เขามีชีวิตขึ้นมาเพื่อเขานั้นจะได้บอกว่าใครคือฆาตกร ดังนั้นพวกเขาก็ได้ปฏิบัติเช่นนั้น แล้วเขาก็ได้บอกถึงผู้ที่ฆ่าเขา และการชุบชีวิตของผู้ตายคนนี้ก็เปรียบเสมือนดั่งที่อัลลอฮฺนั้นจะทรงชุบชีวิตของผู้ตายทั้งหลายให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันกิยามะฮฺนั่นเอง และจะทรงให้พวกเจ้าเห็นสัญญาณอันชัดแจ้งต่างๆที่แสดงถึงความปรีชาญาณของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ใช้สติปัญญาทบทวนมัน แล้วจะศรัทธาอย่างจริงจังต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา เสียที

(74) จากนั้นหัวใจของพวกเจ้าก็แข็งกระด้าง หลังจากที่มีการตักเตือนที่ดีและปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ จนกระทั่งหัวใจของพวกเจ้าแข็งประดุจดั่งก้อนหิน แต่(หัวใจของพวกเจ้า)แข็งกระด้างกว่า ซึ่งมันไม่สามารถที่จะเปลี่ยนจากสภาพเดิมของมันได้อีกเลย ส่วนหินนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนสภาพได้ เพราะแท้จริงในบรรดาหินนั้น มีบางก้อนที่บรรดาธารน้ำพุ่งออกจากมัน และบางก้อนแตกออก แล้วมีน้ำออกจากมัน เป็นตาน้ำต่างๆ ที่วิ่งไหลอยู่ในพื้นดิน ซึ่งมนุษย์และสัตว์ต่างๆก็ได้รับประโยชน์จากมัน และในบรรดาหินนั้นมีบางก้อนที่ทลายลงมาจากยอดของภูเขา ซึ่งเกิดจากความเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ แต่หัวใจของพวกเจ้ามิได้เป็นเช่นนั้น และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงเฉยเมยต่อสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน แต่ทว่าพระองค์คือผู้ที่รู้ดีเกี่ยวกับมัน และจะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามที่ได้กระทำไว้

(75) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย หลังจากที่พวกเจ้าได้รู้ถึงสภาพความเป็นจริงของพวกยิวและการดื้อรั้นของพวกเขา พวกเจ้ายังหวังที่จะให้พวกเขาศรัทธาและตอบรับต่อการเชิญชวนของพวกเจ้าอีกหรือ? ทั้งๆ ที่กลุ่มหนึ่งในบรรดาผู้รู้ของพวกเขาเคยสดับฟังคำพูดของอัลลอฮฺที่ได้ประทานลงมายังพวกเขาในคำภีร์อัตเตารอตฺ ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็บิดเบือนคำและความหมายของมันเสีย หลังจากที่พวกเขาเข้าใจและรับรู้ถึงมัน และพวกเขาก็รู้ดีถึงความผิดมหันต์จากอาชญากรรมของพวกเขา

(76) ส่วนหนึ่งจากความย้อนแย้งและความเจ้าเล่ห์ของชาวยิวคือ เมื่อบางคนในหมู่พวกเขาได้เจอกับบรรดาผู้ศรัทธา พวกเขาก็จะสารภาพต่อบรรดาผู้ศรัทธาถึงการเป็นนบีที่แท้จริงของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม และการเป็นรอซูลที่ถูกต้อง ซึ่งนั้นคือสิ่งที่คัมภีร์อัตเตารอตฺได้เป็นพยานยืนยันไว้ แต่เมื่อชาวยิวได้อยู่กันตามลำพังระหว่างพวกเขา พวกเขาจะตำหนิซึ่งกันและกันถึงสาเหตุของการสารภาพต่างๆ เหล่านี้ เพราะแท้จริงบรรดามุสลิมจะนำสิ่งเหล่านั้นไปเป็นหลักฐานโต้แย้งพวกเขา ในสิ่งที่ออกมาจากพวกเขาจากการสารภาพถึงความจริงของการเป็นนบี(ของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม)

(77) ชาวยิวเหล่านั้นกำลังเดินตามเส้นทางอันเลวทรามนี้ เสมือนกับว่าพวกเขานั้นไม่รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากำลังปกปิดจากคำพูดและการกระทำของพวกเขาทั้งหลาย และสิ่งที่พวกเขากำลังเปิดเผยมัน และพระองค์จะทรงทำให้มันปรากฏขึ้นมาต่อปวงบ่าวของพระองค์ และจะทรงเปิดเผยสิ่งที่ไม่ดีของพวกเขา

(78) และในหมู่ชาวยิวนั้นจะมีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกเขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับคัมภีร์อัตเตารอตฺเลย นอกจากการอ่านเท่านั้น และพวกเขาก็มิได้เข้าใจในเนื้อหาที่ได้ระบุไว้ และมิได้มีอะไรเลยสำหรับพวกเขา นอกจากเรื่องเล่าอันโกหกหลอกลวงทั้งหลายที่พวกเขาได้เอามันมาจากบรรดาผู้อาวุโสของพวกเขา ซึ่งพวกเขาคิดว่ามันคืออัตเตารอตฺที่อัลลอฮฺนั้นได้ทรงประทานมันลงมา

(79) ดังนั้นความวิบัติและการลงโทษอันหนักหน่วง มันกำลังรอคอยพวกเขาเหล่านั้นที่ขีดเขียนคัมภีร์ขึ้นมาด้วยมือของพวกเขาเอง แล้วพวกเขาก็กล่าวอย่างโกหกว่า นี่(คือคำภีร์ที่)มาจากอัลลอฮฺ เพื่อที่พวกเขาจะใช้สัจธรรมและการตามความถูกต้องนั้นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่มีราคาน้อยนิดในโลกนี้ เช่น เงินทองและตำแหน่ง ดังนั้นความวิบัติและการลงโทษอันหนักหน่วงมีไว้สำหรับพวกเขา ตามสิ่งที่มือของพวกเขาได้เขียนขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์มันขึ้นมาต่ออัลลอฮฺ และความวิบัติกับการลงโทษอันหนักหน่วงนั้นจะประสบแก่พวกเขา ตามสิ่งที่พวกเขาได้มันมา(จากเจตนา)ที่อยู่เบื้องหลังการแลกเปลี่ยนดังกล่าวนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือตำแหน่ง

(80) และพวกเขาเหล่านั้นกล่าวอย่างโกหกและหลอกลวงว่าไฟนรกนั้นจะไม่แตะต้องพวกเราอย่างแน่นอน และพวกเราก็จะไม่เข้าไปในนั้นเป็นอันขาด นอกจากไม่กี่วันเท่านั้น จงกล่าวเถิด -โอ้นบี - แก่พวกเขาเหล่านั้นว่า พวกเจ้าได้รับคำสัญญาจากอัลลอฮฺแล้วกระนั้นหรือ?(ที่บอกว่าไฟนรกจะไม่แตะต้องพวกเจ้า นอกจากไม่กี่วันเท่านั้น) หากมันเป็นเช่นนั้นจริง แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงผิดสัญญาของพระองค์อย่างแน่นอน หรือว่าพวกเจ้ากล่าวต่ออัลลอฮฺ ด้วยการโกหกและหลอกลวง ในสิ่งที่พวกเจ้าเองไม่รู้?

(81) ความจริงมันไม่ใช่อย่างที่พวกเขากำลังคาดหมายเลย เพราะแท้จริงแล้วอัลลอฮฺจะทรงลงโทษทุกคน ที่เขานั้นขวนขวายความชั่วแห่งการปฏิเสธศรัทธา และบาปของเขาได้ล้อมรอบตัวเขาไว้ทุกๆด้าน และพระองค์ก็จะทรงตอบแทนพวกเขาด้วยการให้พวกเขาเข้าไปในนรกและประจำอยู่กับมัน โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอกกาล

(82) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อเราะสูลของพระองค์ พร้อมด้วยการประกอบคุณงามความดี ผลตอบแทนของพวกเขา ณ ที่อัลลอฮฺนั้นคือการเข้าไปพำนักอยู่ในสรวงสวรรค์และประจำอยู่กับมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวรรค์ไปตลอดกาล

(83) และจงรำลึกเถิด -โอ้วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย- ถึงคำมั่นสัญญาที่เราได้สัญญามันไว้เหนือพวกเจ้าว่า พวกเจ้าจะต้องให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียว และจะไม่เคารพสักการะต่อสิ่งอื่นร่วมกับพระองค์ และพวกเจ้าจงทำดีต่อบิดามารดา ญาติที่ใกล้ชิด เด็กกำพร้า และผู้ขัดสนที่มีความต้องการ และจงพูดจากับเพื่อนมนุษย์ด้วยคำพูดที่ดี สั่งใช้กันในสิ่งที่ดีและตักเตือนกันจากการทำชั่วโดยปราศจากรูปแบบที่แข็งกระด้างและรุนแรง และจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดที่สมบูรณ์ ตามแบบที่ฉันได้สั่งไว้ต่อพวกเจ้า และจงชำระซะกาตโดยการแจกจ่ายมันแก่บรรดาผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะได้รับมัน เพื่อเป็นการทำให้ชีวิตของเจ้าดีขึ้นด้วยการจ่ายซะกาตนั้น แต่หลังจากทำสัญญานี้แล้ว มันก็มิได้มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเจ้าเลย นอกจากการเปลี่ยนแปลงของพวกเจ้าด้วยการเป็นผู้ที่หักหลังต่อความซื่อสัตย์ในสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้เหนือพวกเจ้า

(84) และจงรำลึกถึงคำมั่นสัญญาที่เราได้ทำกับพวกเจ้าไว้ในอัตเตารอตฺ คือ ไม่อนุญาตให้หลั่งเลือดระหว่างพวกเจ้า และไม่อนุญาตให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งของพวกเจ้าขับไล่อีกกลุ่มหนึ่งออกจากหมู่บ้านของเขา แล้วพวกเจ้าก็ยอมรับในสัญญานั้นที่เราได้ทำกับพวกเจ้าไว้ และพวกเจ้าก็เป็นพยานบนความถูกต้องของมัน

(85) หลังจากนั้นพวกเจ้าก็ผิดคำสัญญานี้ พวกเจ้าจากกลุ่มหนึ่งได้ทำการฆ่าอีกกลุ่มหนึ่ง และทำการขับไล่กลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเขา โดยที่พวกเจ้าได้ขอความช่วยเหลื่อจากศัตรูเพื่อชัยชนะเหนือพวกเขา อย่างอยุติธรรมและเป็นศัตรูกัน และถ้าพวกเขาได้มายังพวกเจ้าในฐานะเชลยที่ตกอยู่ในน้ำมือของศัตรู พวกเจ้าก็จะหาทางดำเนินจ่ายค่าไถ่ตัวเพื่อให้พวกเขาพ้นจากการเป็นเชลย พร้อมกันนั้นการขับไล่พวกเขาออกจากบ้านของพวกเขานั้นก็เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับพวกเจ้าเช่นกัน ดังนั้นพวกเจ้าจะศรัทธาแต่เพียงบางส่วนของคัมภีร์อัตเตารอตฺ อาทิ เรื่องความจำเป็นในการไถ่ถอนเชลยศึก และปฏิเสธอีกบางส่วนที่อยู่ในนั้น อาทิ การปกป้องสายเลือดและห้ามขับไล่บางส่วนของพวกเจ้าออกไปจากบ้านเรือนของพวกเขานั้นได้อย่างไรกัน? ดังนั้นไม่มีสิ่งใดเป็นการตอบแทนสำหรับผู้กระทำเช่นนั้นในหมู่พวกเจ้านอกจากความตกต่ำและอัปยศอดสูในชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้ ส่วนในโลกหน้านั้น พวกเขาก็จะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษที่แสนสาหัสยิ่ง และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงเฉยเมยในสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำกัน แต่ทว่าพระองค์นั้นคือผู้รอบรู้เกี่ยวกับเขา และพระองค์ก็จะทรงตอบแทนพวกเจ้าด้วยการกระทำนั้น

(86) ชนเหล่านี้ คือ ผู้ที่แสวงหา(ความสุข)ของชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้ด้วยการนำอาคิเราะฮ์เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ยอมสละตนเพื่อสิ่งที่สักวันต้องสูญสลายเหนือสิ่งที่คงอยู่ไปตลอดกาล ดังนั้น การลงโทษจึงไม่ถูกลดหย่อนแก่พวกเขาในปรโลก และสำหรับพวกเขานั้นจะไม่มีผู้ช่วยใดเลยที่จะมาคอยให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาในวันนั้น

(87) และแท้จริง เราได้ประทานคัมภีร์อัตเตารอตฺแก่มูซา และได้ส่งบรรดาเราะสูลสืบต่อเนื่องกันมาหลังจากเขา โดยตามรอยของเขา และเราได้ให้สัญญาณต่าง ๆ อันชัดแจ้งแก่อีซาบุตรของมัรยัมเพื่อยืนยันถึงความสัจจริงของเขา เช่น การชุบชีวิตคนตายให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ และรักษาคนตาบอดและคนที่เป็นโรคเรื้อน และเราก็ได้ทำให้เขาเข้มแข็งด้วยมลาอิกะฮ์ที่ชื่อญิบรีล อะลัยฮิสลาม โอ้วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย มันเป็นสิ่งที่ควรแล้วหรือ ที่ทุกครั้งที่ได้มีเราะสูลนำ(สัจธรรม)มายังพวกเจ้าแล้ว เป็นที่ไม่สบอารมณ์ของพวกเจ้า พวกเจ้าก็แสดงความทะนงเหนือสัจธรรม และลำพองเหนือบรรดาเราะสูล แล้วทำให้พวกเจ้าต้องปฏิเสธกลุ่มหนึ่ง และอีกกลุ่มหนึ่งพวกเจ้าก็ฆ่ากัน?!

(88) แท้จริงข้ออ้างที่ชาวยิวใช้โต้แย้ง(ถึงสาเหตุของ)การไม่ยอมปฏิบัติตามมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้น คือคำกล่าวของพวกเขาที่ว่า แท้จริงหัวใจของพวกเราถูกห่อหุ้มไว้ (ดังนั้น) จะไม่มีคำพูดใด ๆ ของเจ้าเข้าสู่หัวใจ (ของพวกเราเลย) และ (หัวใจของพวกเขา) จะไม่เข้าใจในสื่งที่เจ้าพูด แต่ความจริงมันมิใช่ดังที่พวกเขาได้กล่าวอ้างหรอก แต่ทว่าอัลลอฮ์ได้ทรงขับพวกเขาออกจากความเมตตาของพระองค์ต่างหาก เนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะไม่ศรัทธาต่อสิ่งที่อัลลอฮ์ประทานลงมา นอกจากส่วนน้อยเท่านั้น

(89) และเมื่อได้มีคัมภีร์อัลกุรอานที่มาจากอัลลอฮฺมายังพวกเขา และมันมีความสอดคล้องกับสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์เตารอตฺและอินญิลที่เกี่ยวกับหลักการทั่วๆ ไปที่ถูกต้อง และก่อนที่จะมีการประทานอัลกุรอานลงมา พวกเขาเคยกล่าวว่า พวกเราจะมีชัยชนะเหนือบรรดาผู้ที่ตั้งภาคี และชัยชนะจะเป็นของเราครั้นเมื่อนบีนั้นถูกบังเกิดขึ้น แล้วเราก็จะศรัทธาต่อเขาและติดตามเขา แต่แล้วครั้นเมื่ออัลกุรอานถูกประทานลงมาและมูหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม ได้มายังพวกเขาตรงตามคุณลักษณะที่พวกเขารู้และตรงตามความจริงที่พวกเขาทราบกันดี พวกเขาก็กลับปฏิเสธสิ่งนั้นเสีย ดังนั้นการสาปแช่งของอัลลอฮฺจึงมีแก่บรรดาผู้ปฏิเสธต่ออัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์

(90) ช่างชั่วช้ายิ่งหนัก สำหรับผู้ที่ได้ทำการขอแลกเปลี่ยนกับสิ่งหนึ่งด้วยสิ่งที่มีค่าของพวกเขาเอง นั้นคือการศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อบรรดารอสูลของพระองค์ แล้วพวกเขาก็ปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาและไม่ยอมรับต่อบรรดารอสูลของพระองค์ ทั้งนี้เพราะความอธรรมและอิจฉาริษยาที่อัลลอฮฺทรงแต่งตั้งการเป็นนบีแก่มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัมและได้ทรงประทานอัลกุรอานให้ ดังนั้นพวกเขาก็สมควรได้รับความกริ้วโกรธอันทวีคูณจากอัลลอฮ์อันเนื่องมาจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาต่อท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม และด้วยสาเหตุการบิดเบือนของพวกเขาต่อคัมภีร์อัตเตารอตฺก่อนหน้านี้ และสำหรับผู้ที่ปฏิเสธต่อการเป็นนบีของบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม นั้น คือการลงโทษที่อัปยศที่สุดในวันกิยามะฮฺ

(91) และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่ชาวยิวเหล่านั้นว่า จงศรัทธาต่อสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแก่รอสูลของพระองค์ที่เป็นสัจธรรมและทางนำเถิด พวกเขาก็กล่าวว่า เราศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่บรรดานบีของเราอยู่แล้ว และพวกเขาปฏิเสธต่อสิ่งอื่นที่นอกจากมัน จากสิ่งที่ได้ประทานลงมาแก่มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม ทั้งๆ ที่อัลกุรอานนั้นคือ ความจริงที่มีความสอดคล้องกับสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขาที่มาจากอัลลอฮฺเช่นกัน และหากว่าพวกเขาศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ประทานลงมายังพวกเขาอย่างแท้จริง แน่นอนพวกเขาก็จะศรัทธาต่ออัลกุรอานเช่นกัน จงกล่าวเถิด โอ้นบี เพื่อเป็นตอบโต้แก่พวกเขา เพราะเหตุใดพวกท่านในอดีตจึงฆ่าบรรดานบีของอัลลอฮ ถ้าหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงต่อสัจธรรมที่มันได้มายังพวกเจ้า?!

(92) และแท้จริง รอสูลของพวกเจ้า มูซา อะลัยฮิสลาม ได้นำบรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งที่บ่งบอกถึงความสัจจริงของเขามายังพวกเจ้าแล้ว หลังจากนั้นเองพวกเจ้าก็ได้ยึดเอาลูกวัวตั้งเป็นพระเจ้า ซึ่งพวกเจ้าก็ทำการเคารพสักการะมัน หลังการจากไปของมูซาไปสู่ที่นัดหมายของพระเจ้าของเขา และพวกเจ้านั้นคือบรรดาผู้อธรรม อันเนื่องมาจากการตั้งภาคีของพวกเจ้าต่ออัลลอฮฺ ซึ่งพระองค์คือผู้ที่สมควรแก่การเคารพอิบาดะฮฺแต่เพียงผู้เดียวโดยที่ไม่มีใครอื่นเลยเทียบเท่าพระองค์ได้

(93) และจงรำลึกถึงขณะที่เราได้รับคำมั่นสัญญาจากพวกเจ้า ซึ่งการปฏิบัติตามมูซา อะลัยฮิสลาม และน้อมรับสิ่งที่เขานำมันมาจากอัลลอฮฺ และเราก็ได้ยกภูเขาขึ้นเหนือพวกเจ้า เพื่อเป็นการขู่สำทับต่อพวกเจ้า และเราก็ได้กล่าวแก่พวกเจ้าว่า จงยึดสิ่งที่เราได้มอบให้แก่พวกเจ้าที่มาจากคำภีร์อัตเตารอตฺด้วยความจริงจังและทุ่มเท และจงฟังด้วยการฟังที่จำนนและเชื่อฟัง มิฉะนั้นเราจะทำให้ภูเขาร่วงลงมาใส่พวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็กล่าวว่า พวกเราได้ฟังกันแล้วด้วยหูของพวกเรา และพวกเราก็ได้ฝ่าฝืนกันไปแล้วด้วยการกระทำของพวกเรา และการเคารพสักการะต่อลูกวัวนั้นได้ซึมซับไปอยู่ในหัวใจของพวกเขา เนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา จงกล่าวเถิด -โอ้นบีเอ๋ย- ช่างชั่วช้าจริงๆ สิ่งที่การศรัทธานี้ได้ใช้ให้พวกเจ้ากระทำ นั่นคือการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ หากว่าพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง เพราะการศรัทธาที่แท้จริงนั้นจะไม่มีการปฏิเสธร่วมด้วยกับมัน

(94) จงกล่าวเถิด -โอ้นบีเอ๋ย- โอ้ชาวยิวเอ๋ย หากว่าสวรรค์ในวันปรโลกมีไว้เฉพาะพวกเจ้า ซึ่งบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากพวกเจ้านั้นไม่สามารถเข้าไปได้แล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็จงปรารถนาความตายเสียเถิด เพื่อให้ได้รับสถานะนี้ได้อย่างรวดเร็ว และพวกเจ้าก็จะได้พักผ่อนจากภาระชีวิตในโลกนี้และความกังวลต่างๆของมัน ถ้าหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง

(95) และพวกเขาเหล่านั้นก็จะไม่ปรารถนาความตายไปตลอดอย่างแน่นอน เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้หยิบยื่นมันให้กับชีวิตของพวกเขาจาการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และการปฏิเสธต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์ และการบิดเบือนคัมภีร์ต่างๆ ของพระองค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรู้ดีต่อบรรดาผู้อธรรมที่มาจากพวกเขาและผู้ที่นอกเหนือจากพวกเขา และพระองค์ก็จะทรงตอบแทนทั้งหมดนั้นด้วยการงานของเขา

(96) และแน่นอนเหลือเกิน โอ้นบีเอ๋ย เจ้าจะพบว่าชาวยิวนั้นเป็นมนุษย์ที่มีความห่วงใยต่อชีวิตความเป็นอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะดูว่าน่ารังเกียจและต่ำต้อยก็ตาม ซึ่งพวกเขาจะมีความกระตือรือร้นในชีวิตความเป็นอยู่มากกว่าบรรดาผู้ตั้งภาคีที่ไม่ได้ศรัทธาต่อการฟื้นคืนชีพและการคิดบัญชีเสียอีก และในฐานะที่พวกเขานั้นเป็นชาวคัมภีร์และศรัทธาต่อการฟื้นคืนชีพและการคิดบัญชี ยังมีคนๆ หนึ่งในหมู่ของพวกเขานั้น ชอบที่อยากจะให้มีอายุถึงพันปี ซึ่งการมีอายุที่ยืนยาวนั้นมันก็ไม่ทำให้เขาห่างไกลจากการถูกลงโทษของอัลลอฮฺไปได้ดอก และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ที่ทรงตระหนักถึงการงานของพวกเขาและทรงมองเห็นมัน ไม่มีสิ่งใดเลยที่มันจะซุกซ่อนไปจากพระองค์ และพระองค์ก็จะทรงตอบแทนพวกเขาด้วยการงานนั้น

(97) จงกล่าวเถิด -โอ้นบีเอ๋ย- แก่ชาวยิวที่ได้กล่าวว่า (แท้จริงญิบรีลคือศัตรูของเราที่มาจากหมู่มลาอิกะฮฺ) ใครที่เป็นศัตรูต่อญิบรีล ซึ่งแท้จริงแล้วญิบรีลนั้น คือ ผู้ที่ได้นำอัล-กรุอานทยอยลงมายังหัวใจของเจ้าด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ ทั้งนี้เพื่อเป็นการยืนยัน(ถึงความสัจจริง)ของบรรดาคัมภีร์ของพระเจ้าที่มาก่อนหน้านั้น เช่น อัต-เตารอต และอัล-อินญีล และเพื่อเป็นข้อแนะนำสู่ความดี และเป็นการแจ้งข่าวดีแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลายถึงสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงเตรียมไว้ให้แก่พวกเขาซึ่งความสุขต่างๆ ดังนั้นใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับผู้ที่มีคุณลักษณแบบนี้และการทำงานในลักษณะนี้ แน่นอนเขาคือคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ผู้หลงทาง

(98) ใครที่เป็นศัตรูต่ออัลลอฮฺ ต่อบรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์ ต่อบรรดารอสูลของพระองค์ และเป็นศัตรูต่อมลาอิกะฮฺทั้งสองที่ใกล้ชิด(พระองค์): คือญิบรีลและมีกาอีลนั้น แท้จริงอัลลอฮฺทรงเป็นศัตรูต่อผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายไม่ว่าจะมาจากพวกเจ้าหรือที่นอกเหนือจากพวกเจ้า และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงเป็นศัตรูต่อเขา แน่นอนเขาย่อมกลับไปอย่างขาดทุน

(99) และแท้จริงเราได้ประทานให้แก่เจ้าแล้ว -โอ้นบีเอ๋ย- ซึ่งสัญญาณต่างๆ อันชัดแจ้งที่ชี้ถึงความสัจจริงของเจ้าในสิ่งที่เจ้าได้นำมา เช่นตำแหน่งการเป็นนบีและการประทานวะหฺยู และจะไม่มีใครปฏิเสธสัญญาณเหล่านั้นในขณะที่มันชัดเจนและกระจ่างชัด นอกจากบรรดาผู้ที่ออกไปจากศาสนาของอัลลอฮฺเท่านั้น

(100) และความเลวร้ายประการหนึ่งของชาวยิวคือ คราใดที่พวกเขาได้รับคำมั่นสัญญาใดๆ ไว้ (ซึ่งรวมถึงการเชื่อต่อสิ่งที่คำภีร์อัล-เตารอตฺได้บ่งชี้ถึงการเป็นนบีของมูหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม) กลุ่มหนึ่งในพวกเขาก็เหวี่ยงสัญญานั้นทิ้ง ยิ่งกว่านั้นส่วนใหญ่ของชาวยิวเหล่านั้นไม่ศรัทธาต่อสิ่งที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ประทานลงมาอย่างแท้จริง เพราะการศรัทธาที่แท้จริงนั้นจะต้องนำไปสู่การปฏิบัติตามคำสัญญา

(101) และเมื่อมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม ได้มายังพวกเขาในฐานะรอสูลคนหนึ่ง ที่มาจากอัลลอฮฺ โดยที่คุณลักษณะของเขาสอดคลองตรงตามที่มีอยู่ในคำภีร์อัตเตารอตฺ กลุ่มหนึ่งจากพวกเขาก็ได้หันหลังให้ต่อสิ่งที่อัตเตารอตฺได้บ่งชี้ถึงมัน และพวกเขาก็ได้โยนมันทิ้งไว้เบื้องหลังพวกเขาโดยที่ไม่แยแสต่อสิ่งนั้น เสมือนกับว่าพวกเขาเป็นคนโง่เขลาที่ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากสัจจะธรรมและคำแนะนำที่อยู่ในนั้น ดังนั้นเขาก็ไม่ใส่ใจกับมันอีก

(102) และเมื่อพวกเขาได้ละทิ้งศาสนาของอัลลอฮฺ พวกเขาก็ปฏิบัติตามสิ่งอื่นแทน นั่นคือ สิ่งที่บรรดาชัยฏอนได้สร้างคำเท็จขึ้นมาในสมัยของนบีสุลัยมาน อะลัยฮิสลาม โดยอ้างว่านบีสุลัยมานนั้นได้ปกป้องราชบัลลังก์ของเขาด้วยไสยศาสตร์ และสุลัยมานก็มิได้ปฏิเสธศรัทธาด้วยการใช้ไสยศาสตร์ (ดั่งที่ชาวยิวได้แอบอ้างกัน) แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธาโดยพวกเขาได้สอนมนุษย์ซึ่งวิชาไสยศาสตร์ และก็สอนวิชาไสยศาสตร์ที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอิกะฮฺทั้งสอง คือ ฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิลที่ประเทศอิรัก เพื่อเป็นการทดลองและทดสอบต่อมนุษย์ และมะลาอิกะฮฺทั้งสองท่านนี้ก็จะไม่สอนให้แก่ผู้ใดซึ่งวิชาไสยศาสตร์ จนกว่าพวกเขาทั้งสองจะเตือนสติและอธิบายให้เขาคนนั้นรู้แจ้งก่อน ด้วยคำกล่าวของพวกเขาทั้งสองที่ว่า แท้จริงเราแค่เพียงมาเพื่อทดลองและทดสอบต่อมนุษย์เท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธศรัทธาด้วยการร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์เลย แล้วผู้ที่ไม่รับฟังคำตักเตือนของพวกเขาทั้งสองนั้นก็ได้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์จากเขาทั้งสอง และส่วนหนึ่งจาก(วิชาไสยศาสตร์)นั้นคือประเภทที่ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างบุคคลหนึ่งกับภรรยาของเขา โดยการปลูกฝังความเกลียดชังให้เกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสอง และผู้ที่ทำไสยศาสตร์เหล่านั้นไม่สามรถทำอันตรายแก่ผู้ใดได้นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺและความประสงค์ของพระองค์เท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขาและมิได้เกิดประโยชน์ต่อพวกเขา และแท้จริงชาวยิวเหล่านี้รู้ดีว่า ใครก็ตามที่ขอเปลี่ยนด้วยการเอาวิชาไสยศาสตร์แลกด้วยคัมภีร์ของอัลลอฮฺนั้น แน่นอนเขาย่อมไม่มีโชคและส่วนได้ใดๆ ในวันปรโลก และแน่นอนมันชั่งชั่วช้าจริงๆ ที่พวกเขาได้ขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น โดยการที่พวกเขาได้ขอแลกวิชาไสยศาสตร์ด้วยกับวะหฺยูของอัลลอฮฺและบทบัญญัติของพระองค์ และหากพวกเขาได้รู้ถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเขา แน่นอนพวกเขาก็มิบังอาจไปทำการงานอันนี้ที่เลวทรามและหลงผิดที่เห็นได้ชัดเจน

(103) และหากว่าชาวยิวเหล่านั้นศรัทธาต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริง และยำเกรงต่อพระองค์ โดยการเชื่อฟังต่อพระองค์และละทิ้งการฝ่าฝืนต่อพระองค์ แน่นอนผลบุญการตอบแทนของอัลลอฮฺนั้นย่อมดีกว่าสำหรับพวกเขา ต่อสิ่งที่พวกเขานั้นเป็นอยู่ หากพวกเขารู้ถึงสิ่งที่มันจะเป็นประโยชน์ให้แก่พวกเขา

(104) อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงชี้นำบรรดาผู้ศรัทธาสู่การเลือกคำพูดที่ดี โดยพระองค์กล่าวแก่พวกเขาว่า โอ้ ศรัทธาชนทั้งหลาย! จงอย่ากล่าวคำพูดที่ว่า “รออินา” หมายถึง ดูแลสถานการณ์ของเรา เพราะชาวยิวนั้นบิดเบือนมันและใช้มันพูดกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม โดยที่พวกเขาสื่อมันถึงความหมายที่เลวทราม คือ บกพร่องเบาปัญญา ดังนั้นอัลลอฮฺจึงได้ห้ามใช้คำพูดนี้เพื่อเป็นการปิดกั้นช่องทางอันนี้ และได้ทรงสั่งใช้บ่าวของพระองค์ให้พูดแทนคำนั้นด้วยคำว่า “อุนซุรนา” หมายถึง รอเราด้วย เผื่อเราจะเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด ซึ่งมันเป็นคำที่ให้ความหมายในทางที่ดีโดยไม่ต้องระมัดระวัง และสำหรับผู้ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮฺนั้น คือ การลงโทษอันเจ็บแสบ

(105) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (ทั้งจากชาวคำภีร์และจากบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีนั้น) ต่างไม่ชอบที่จะให้มีความดีใดๆ จากพระเจ้าของพวกเจ้าถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้า ถึงแม้จะน้อยนิดหรือมากมายก็ตาม และอัลลอฮฺนั้นทรงเจาะจงความกรุณาของพระองค์ เช่น การแต่งตั้งเป็นนบี การให้วะหฺยู และการศรัทธา แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์เท่านั้น และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ดังนั้นจะไม่มีความดีใดๆ เกิดขึ้นกับคนใดคนหนึ่งจากปวงบ่าวที่ถูกสร้างนอกจากจะได้มาจากพระองค์ทั้งสิ้น และส่วนหนึ่งจากบุญคุณของพระองค์นั้น คือ การส่งรอสูลและการประทานคัมภีร์ลงมา

(106) อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ทรงชี้แจ้งว่า แท้จริงขณะที่พระองค์ทรงยกเลิกกฎของโองการใดจากอัลกุรอาน หรือทรงยกเลิกถ้อยคำของอัลกุรอาน แล้วทรงทำให้มนุษย์ลืมโองการนั้นไป แท้จริงพระองค์ ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์จะทรงนำกฎหรือโองการที่เป็นประโยชน์มากกว่าโองการนั้นทั้งในโลกนี้และวันปรโลก หรืออาจนำมาซึ่งสิ่งที่มันเท่าเทียมกันกับโองการนั้น ด้วยความรอบรู้ของอัลลอฮฺและวิทยปัญญาของพระองค์ และเจ้าเองก็รู้ดี โอ้นบีเอ๋ย ว่าแท้จริงแล้วอัลลอฮฺนั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นพระองค์ก็จะทรงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์และตัดสินตามที่พระองค์ทรงต้องการ

(107) แท้จริงเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว -โอ้นบีเอ๋ย- ว่าอัลลอฮฺนั้นคือผู้ปกครองแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ทรงตัดสินตามที่พระองค์ทรงต้องการ ดังนั้นพระองค์ทรงสั่งใช้บ่าวของพระองค์ตามสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงห้ามปรามพวกเขาจากสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์ทรงกำหนดบทบัญญัติตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงยกเลิก(บทบัญญัติ)ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะไม่มีสำหรับพวกเจ้านอกเจ้าอัลลอฮ์เท่านั้น เป็นผู้คุ้มครอง ที่คอยดูแลกิจการของพวกเจ้า และก็จะไม่มีผู้ช่วยเหลือใดๆ ที่จะคอยปกป้องพวกเจ้าให้พ้นจากเภทภัย แต่อัลลอฮฺเท่านั้น คือ ผู้ทรงเป็นผู้ปกครองทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นผู้ทรงสามารถเหนือสิ่งนั้น

(108) มันไม่ใช่ธุระอะไรของพวกเจ้าเลย โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย การที่พวกเจ้าจะร้องขอต่อเราะสูลของพวกเจ้า (ซึ่งเป็นการขอในเชิงคัดค้านและดื้อดึง) เช่นเดียวกับที่กลุ่มชนของมูซาเคยร้องขอต่อนบีของพวกเขามาก่อนหน้านี้ ดังเช่นคำกล่าวของพวกเขาที่ว่า “จงให้เราเห็นอัลลอฮฺอย่างชัดแจ้งเถิด” (อันนิสาอฺ : 153) และผู้ใดที่แลกการศรัทธาด้วยการปฏิเสธนั้น แน่นอนเขาก็ได้หลงออกจากเส้นทางสายกลางซึ่งมันคือเส้นทางที่เที่ยงตรงนั่นเอง

(109) ชาวยิวและคริสเตียนนั้นหวังอย่างมากที่จะทำให้พวกเจ้ากลับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอีกครั้งภายหลังจากการศรัทธาของพวกเจ้า ดังเช่นที่พวกเจ้าเคยกราบไหว้เจว็ดต่างๆ ทั้งนี้เพราะความอิจฉาริษยาที่มาจากตัวของพวกเขาเอง ที่พวกยิวและคริสเตียนได้หวังกันนั้นก็ภายหลังจากที่ได้ประจักษ์แก่พวกเขาว่า สิ่งที่ท่านนบีได้นำพามันมานั้นเป็นความจริงที่มาจากอัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงให้อภัยต่อการกระทำของพวกเขาเถิด และจงข้ามพ้นไปจากความไม่รู้และความชั่วช้าที่อยู่ในใจของพวกเขา จนกว่าการตัดสินของอัลลอฮฺจะมายังพวกเขา (และแท้จริงคำสั่งและคำตัดสินของอัลลอฮฺอันนี้ได้มาแล้ว โดยที่ผู้ปฏิเสธศรัทธาจะถูกให้เลือกระหว่างอิสลาม หรือจ่ายส่วย หรือสงคราม) แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง ดังนั้นพวกเขาก็จะไม่สามารถทำให้พระองค์อ่อนแอลงได้

(110) พวกเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดที่ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยบรรดารุก่น สิ่งที่เป็นวายิบต่างๆ และสิ่งที่เป็นสุนนะฮฺของการละหมาด และจงชำระซะกาตทรัพย์สินของพวกเจ้าแก่ผู้ที่มีสิทธิได้รับมัน และไม่ว่าการงานที่ดีใดๆ ที่พวกเจ้ากระทำไว้ในชีวิตของพวกเจ้า ก่อนการตายของพวกเจ้า มันจะเป็นสินทรัพย์สำหรับตัวของพวกเจ้าเอง พวกเจ้าก็จะพบกับผลตอบแทนของมัน ณ ที่อัลลอฮฺในวันปรโลก ซึ่งพระองค์ก็จะทรงตอบแทนมันแก่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้าปฏิบัติกันอยู่ แล้วพระองค์ก็จะทรงตอบแทนทุกคนตามการกระทำของเขา

(111) และทุกๆ กลุ่มที่มาจากชาวยิวและคริสเตียนได้กล่าวว่า “แท้จริงแล้วสวรรค์มีไว้แค่เฉพาะพวกเขาเท่านั้น” แล้วชาวยิวก็กล่าวว่า “จะไม่มีใครเข้าสวรรค์นั้น นอกจากผู้ที่เป็นยิวเท่านั้น และชาวคริสเตียนกล่าวเช่นกันว่า “จะไม่มีใครเข้าสวรรค์นั้น นอกจากผู้ที่เป็นคริสเตียนเท่านั้น” นั่นคือความหวังที่ลมๆแล้งๆและความเพ้อฝันที่ไร้สาระของพวกเขา จงกล่าวเถิด โอ้เราะสูล เพื่อเป็นการโต้ตอบแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมา ถึงสิ่งที่พวกท่านนั้นกำลังแอบอ้างมัน ถ้าพวกท่านเป็นผู้พูดจริงในการกล่าวอ้างของพวกท่าน

(112) แท้จริงคนที่จะได้เข้าสวรรค์นั้น คือ ผู้ที่มีเจตนาที่บริสุทธิ์ต่ออัลลอฮฺ เป็นผู้ที่มุ่งหน้าสู่พระองค์ และเขา (พร้อมกับความบริสุทธิ์ใจของเขา) ก็เป็นผู้กระทำความดีในการเคารพอิบาดะฮฺของเขาด้วยการปฏิบัติตามสิ่งที่เราะสูลได้นำมา ดังนั้นคนแบบนี้แหละคือผู้ที่จะได้เข้าสวรรค์ ไม่ว่าจะมาจากกลุ่มใดก็ตาม และสำหรับเขาก็จะได้รับรางวัลของเขา ณ ที่พระผู้อภิบาลของเขา และจะไม่มีความกลัวใดๆ แก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาจะต้องพบเจอในปรโลก และพวกเขาก็จะไม่เสียใจต่อสิ่งที่พวกเขาได้พลาดกันมาจากโลกดุนยา และมันคือคุณลัษณะที่ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ภายหลังจากการมาของท่านบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม เว้นเสียแต่ในหมู่คนมุสลิมเท่านั้น

(113) และชาวยิวกล่าวว่า ชาวคริสต์นั้นมิได้ตั้งอยู่บนศาสนาที่ถูกต้อง และชาวคริสต์ก็กล่าว่า ชาวยิวมิได้ตั้งอยู่บนศาสนาที่ถูกต้อง และพวกเขาทั้งหมดต่างก็อ่านคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเขา เพื่อยืนยันถึงความสัตย์จริงในสิ่งที่พวกเขาปฏิเสธ และการสั่งใช้ให้ศรัทธาต่อบรรดานบีทุก ๆ คนโดยที่ไม่มีการแบ่งแยกกัน การกระทำของพวกเขานั้นมีความคล้ายคลึงกับคำกล่าวของบรรดาผู้ที่ไม่รู้จากบรรดาผู้ตั้งภาคีต่อพระองค์ ตอนที่พวกเขาทุกคนได้ปฏิเสธต่อบรรดาเราะสูล และต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมาให้แก่พวกเขาจากบรรดาคัมภีร์ต่าง ๆ และด้วยสิ่งนี้เองอัลลอฮ์จะทรงตัดสินระหว่างพวกที่ขัดแย้งกันทั้งหมดในวันกิยามะฮ์ ด้วยการตัดสินของพระองค์ที่ยุติธรรมที่พระองค์ได้เคยบอกกล่าวเกี่ยวกับมันแก่ปวงบ่าวของพระองค์ว่า “จะไม่มีชัยชนะเว้นเสียแต่ด้วยการศรัทธาต่อทุก ๆ สิ่งที่อัลลอฮ์ ตะอาลา ได้ทรงประทานลงมา”

(114) ไม่มีผู้ใดที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ห้ามการกล่าวถึงพระนามของอัลลอฮฺในบรรดามัสยิดของพระองค์ โดยเขาได้ขัดขวางไม่ให้มีการละหมาด การรำลึก และการอ่านอัลกุรอานในนั้น และพยายามอย่างหนักเพื่อให้เป็นเหตุในการทำให้มัสยิดเหล่านั้นเสื่อมเสียและพังลง โดยการทุบทำลายมันหรือขัดขวางจากการปฏิบัติธรรมในนั้น ชนเหล่านี้ที่เป็นผู้พยายามในการทำลายมัน ไม่บังควรแก่พวกเขาที่จะเข้าไปในบรรดามัสยิดของอัลลอฮฺ นอกจาในสภาพเป็นผู้เกรงกลัวที่หัวใจของพวกเขานั้นสั่นไหวเท่านั้น ก็เพราะสิ่งที่พวกเขากำลังเป็นอยู่จากการปฏิเสธศรัทธาและการขัดขวางให้ออกห่างจากบรรดามัสยิดของอัลลอฮฺ สำหรับพวกเขาในชีวิตแห่งโลกดุนยานั้นจะได้รับความอัปยศและการเหยียบหยามด้วยน้ำมือของบรรดาผู้ศรัทธา และในปรโลกนั้นพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวง เนื่องด้วยการขัดขวางผู้คนออกจากบรรดามัสยิดของอัลลอฮฺ

(115) และอัลลอฮ์เท่านั้นที่เป็นเจ้าของทั้งทิศตะวันออกและทิศตะวันตกและสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง พระองค์จะทรงสั่งใช้ป่วงบ่าวของพระองค์ตามสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ดังนั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะผินหน้าไปทางทิศไหน แท้จริงพวกเจ้าก็จะหันไปทางอัลลอฮฺ ตะอาลา แล้วหากพระองค์ได้สั่งใช้พวกเจ้าให้หันไปทางบัยตุลมักดิส หรือกะอฺบะฮฺ หรือพวกเจ้าได้หันผิดทิศ หรือเกิดความลำบากแก่พวกเจ้าในการที่จะหันไปหามัน มันก็ไม่เกิดผลเสียอันใดสำหรับพวกเจ้าหรอก เพราะทิศทางทั้งหลายนั้นเป็นของอัลลอฮฺ ตะอาลา ทั้งสิ้น แท้จริงอัลลอฮฺนั้นผู้ทรงกว้างขวาง ทรงครอบคลุมปวงบ่าวของพระองค์ด้วยความเมตตาของพระองค์และ(ครอบคลุม)ด้วยความง่ายดายจากพระองค์ ผู้ทรงรอบรู้ถึงเจตนาและการกระทำทั้งหลายของพวกเขา

(116) และชาวยิว ชาวคริส และบรรดาผู้ตั้งภาคีนั้นได้กล่าวว่า “อัลลอฮฺทรงมีบุตรองค์หนึ่ง”! แน่นอนพระองค์ทรงมหาบริสุทธิ์และปราศจากสิ่งนั้น ดังนั้นพระองค์คือผู้ทรงร่ำรวยไม่พึ่งพาต่อสิ่งใดๆที่พระองค์ทรงสร้าง แล้วแท้จริงการมีบุตรนั้นมีไว้สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาเขา แต่ทว่าสำหรับพระองค์ผู้มหาบริสุทธิ์และสูงส่งนั้น ทรงเป็นเจ้าของทั้งสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน สรรพสิ่งทั้งหลายที่ถูกสร้างมานั้นล้วนเป็นบ่าวรับใช้ต่อพระองค์ทั้งสิ้น โดยที่ทั้งหมดนั้นเป็นผู้ที่นอบน้อมต่อพระองค์ ซึ่งพระองค์จะทรงกระทำสิ่งใดๆต่อพวกเขาก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์

(117) และอัลลอฮฺ - มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ - คือ ผู้ทรงประดิษฐ์ชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง โดย(การประดิษฐ์นั้น)ไม่มีต้นแบบมาก่อน และเมื่อพระองค์ทรงกำหนดสิ่งใดแล้ว และทรงประสงค์(ที่จะให้มันเกิดขึ้น) พระองค์ก็เพียงแต่กล่าวแก่สิ่งนั้นว่า : “จงเป็น” แล้วสิ่งนั้นก็จะเป็น ดั่งที่อัลลอฮฺได้ประสงค์ที่จะให้มันเกิดขึ้น จะไม่มีการขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้นต่อคำบัญชาและการตัดสินของพระองค์

(118) และบรรดาผู้ที่ไม่รู้ที่มาจากชาวคัมภีร์และบรรดาผู้ตั้งภาคีได้กล่าวในเชิงปฏิเสธต่อสัจธรรมว่า “ไฉนอัลลอฮ์จึงไม่ตรัสแก่พวกเราโดยที่ไม่ต้องมีคนกลาง หรือให้มีสัญญาณหนึ่งที่สัมผัสได้มายังพวกเราเป็นการเฉพาะ?” คำกล่าวของพวกเขาเช่นนี้ บรรดาผู้โกหกชนรุ่นก่อนได้เคยกล่าวไว้แก่บรรดาเราะสูลของพวกเขา ถึงแม้กาลเวลาและสถานที่ของพวกเขามันจะต่างกัน หัวใจของพวกเขาก็เหมือนกับหัวใจของผู้ปฏิเสธศรัทธารุ่นก่อน ๆ ซึ่งแท้จริงแล้ว เราได้แจกแจงสัญญาณต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจนแล้วแก่กลุ่มชนที่เชื่อมั่นต่อความจริง ครั้นเมื่อความจริงได้ปรากฏขึ้นมาแก่พวกเขา จะไม่มีข้อสงสัยใด ๆ มาประสบกับพวกเขา และการคัดค้านใด ๆ มาหักห้ามพวกเขาได้

(119) แท้จริงเราได้ส่งเจ้า โอ้นบี มาพร้อมด้วยศาสนาที่เที่ยงแท้ที่ไม่มีข้อเคลือบแคลงใดๆ ในนั้น เพื่อให้เจ้าได้แจ้งข่าวดีต่อบรรดาผู้ศรัทธาด้วยสรวงสวรรค์ และตักเตือนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วยนรก และไม่มีหน้าที่ใดเลยสำหรับเจ้านอกจากการป่าวประกาศเชิญชวนอันชัดแจ้ง และอัลลอฮฺก็จะไม่ถามไถ่เจ้าถึงบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อเจ้าที่มาจากหมู่ชาวนรก

(120) อัลลอฮ์ทรงกล่าวแก่นบีของพระองค์โดยชี้แนะคอยเตือนว่า: ชาวยิวและชาวคริสต์นั้นจะไม่ยินดีแก่เจ้าเป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะละทิ้งศาสนาอิสลามและทำตามสิ่งที่พวกเขานับถือ จงกล่าวเถิดว่าแท้จริงคัมภีร์ของอัลลอฮ์และข้อชี้แจงของพระองค์คือทางนำที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งเท็จที่พวกเขากำลังกระทำอยู่ และถ้าหากว่าการปฏิบัติตามพวกเขาได้เกิดขึ้นกับเจ้า หรือใครคนใดคนหนึ่งที่มาจากบรรดาผู้ที่ติดตามเจ้าหลังจากที่ความจริงอันชัดแจ้งนั้นได้มายังเจ้าแล้ว แน่นอนเจ้าจะไม่ได้พบเจอกับการสนับสนุนหรือช่วยเหลือใด ๆ ที่มาจากอัลลอฮ์ และนี่คือส่วนหนึ่งของการบ่งบอกถึงอันตรายของการละทิ้งสัจธรรมและการเข้าไปกลมกลืนกับคนอธรรม

(121) อัลกุรอานุลกะรีมได้พูดถึงชนกลุ่มหนึ่งที่มาจากชาวคัมภีร์ ซึ่งพวกเขานั้นได้ปฏิบัติตามสิ่งที่อยู่ในมือของพวกเขาที่มาจากบรรดาคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมา และพวกเขาได้ปฏิบัติตามคัมภีร์เหล่านั้นอย่างจริงจัง ชนเหล่านั้นได้พบหรือได้รู้เห็นถึงสัณญานต่างๆ ที่บ่งบอกถึงข้อเท็จจริงของนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม ในคัมภีร์เหล่านี้ และด้วยเหตุนี้แหละที่พวกเขาเหล่านั้นได้รีบเร่งไปสู่การศรัทธาต่อเขา (นบีมุหัมมัด) ส่วนกลุ่มอื่นนั้นก็ยังยืนกรานอยู่กับการปฏิเสธของพวกเขา ดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้วนั้นคือการขาดทุน

(122) วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย จงรำลึกถึงความโปรดปรานของข้าทั้งเรื่องของศาสนาและเรื่องของโลกดุนยาที่ข้าได้มอบไว้แก่พวกเจ้า และจงรำลึกว่าแท้จริงข้าได้เชิดชูพวกเจ้าไว้เหนือผู้อื่นที่อยู่ในยุคของพวกเจ้าด้วยการแต่งตั้งให้เป็นนบีและเป็นกษัตริย์

(123) และพวกเจ้าจงสร้างสิ่งคุ้มกันระหว่างเจ้าและการลงโทษในวันกิยามะฮฺด้วยการปฏิบัติตามสิ่งต่างๆที่อัลลอฮใช้ และห่างไกลจากสิ่งต้องห้ามต่างๆของพระองค์ ซึ่งแท้จริงในวันนั้นจะไม่มีชีวิตใดจะชดเชยสิ่งใดแทนอีกชีวิตหนึ่งได้ และจะไม่มีการตอบรับการไถ่ถอนใดๆในวันนั้นแม้ว่ามันจะมีค่ามหาศาลสักเพียงใดก็ตาม และการขอความช่วยเหลือจากใครคนใดก็หาได้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตนั้นไม่ ถึงแม้ว่าตำแหน่งของคนนั้นจะสูงใหญ่เพียงใดก็ตาม และจะไม่มีผู้ช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้นสำหรับชีวิตนั้น ที่จะมาให้ความช่วยเหลือเขานอกเสียจากอัลลอฮฺเท่านั้น

(124) และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺนั้นได้ทรงทดสอบอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม ด้วยสิ่งที่พระองค์ได้บัญชาแก่เขาจากกฎเกณฑ์และข้อสั่งใช้ต่างๆ แล้วเขาก็ได้สนองตามพระบัญชานั้นและปฏิบัติมันอย่างครบถ้วน พระองค์ก็ทรงได้ตรัสแก่นบีของพระองค์ อิบรอฮีมว่า แท้จริงข้าจะให้เจ้าเป็นแบบอย่างแก่มนุษย์ชาติ เพื่อให้พวกเขานั้นได้ยึดเจ้าเป็นแบบอย่างทั้งในด้านการกระทำและเรื่องมารยาทต่างๆ อิบรอฮีมก็กล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ได้โปรดให้สิ่งนี้เกิดขึ้นแก่ลูกหลานของข้าพระองค์ด้วย ด้วยการให้เป็นผู้นำที่บรรดามนุษย์ชาตินั้นได้ยึดพวกเขาเป็นแบบอย่างที่ดี อัลลอฮฺก็ทรงกล่าวตอบแก่อิบรอฮีมว่า สัญญาของข้าที่มีต่อเจ้าที่จะให้มีผู้นำทางด้านศาสนานั้นมิได้มีไว้ให้แก่บรรดาผู้อธรรมที่มาจากเชื่อสายของเจ้า

(125) และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺได้ทรงทำให้บัยตุลลอฮิลฮะรอม (กะอฺบะฮฺ) เป็นที่รวมตัวกันสำหรับมนุษย์ โดยที่เหล่าหัวใจของพวกเขานั้นมีความผูกพันกับมัน ทุกๆ ครั้งที่พวกเขาได้จากมันไปพวกเขาก็จะกลับมายังมัน และพระองค์ก็ทรงทำที่นั่นเป็นที่ปลอดภัยโดยที่พวกเขาจะไม่ถูกรุกรานเมื่ออาศัยอยู่ที่นั่น และพระองค์ก็ทรงได้ตรัสแก่มนุษย์ว่า พวกเจ้าจงเอาก้อนหินที่อิบรอฮีมเคยยืนอยู่บนมันในตอนที่เขาสร้างกะอฺบะฮฺเป็นที่ละหมาดเถิด และเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีมและลูกของเขาอิสมาอีลด้วยการให้ทำความสะอาดบ้านที่เป็นที่หวงห้ามนั้น จากสิ่งสกปรกและบรรดาเจว็ดทั้งหลาย และจัดเตรียมมันแก่ผู้ที่เขาต้องการจะเคารพอิบาดะฮฺที่นั่น ไม่ว่าจะด้วยการเฎาะวาฟ การเอียะติกาฟ การละหมาด และอื่นๆ

(126) และจงรำลึกเถิด -โอ้นบีเอ๋ย- ขณะที่อิบรอฮีมได้วิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของเขาว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าได้โปรดให้มักกะฮฺเป็นเมืองที่ปลอดภัย และทรงอย่าให้ใครคนใดถูกทำร้ายในนั้น และโปรดประทานแก่ชาวเมืองนั้นซึ่งผลไม้ต่างๆ และทรงทำให้มันเป็นเครื่องยังชีพเฉพาะแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์และวันปรโลกเท่านั้น อัลลอฮฺทรงตรัสว่า และผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธาในหมู่ของพวกเขา แท้จริงแล้วข้าจะมอบความสำราญให้แก่เขา ซึ่งเป็นความสำราญอันเล็กน้อยเท่านั้นที่ข้าได้มอบให้กับเขาในโลกดุนยานี้ แล้วในปรโลกนั้นข้าจะบีบบังคับให้เขาเข้าไปอย่างรังเกียจสู่การทรมานแห่งขุมนรก และเป็นจุดหมายปลายทางอันชั่วช้ายิ่งที่เขานั้นจะต้องกลับไปสู่มันในวันกิยามะฮฺ

(127) และจงรำลึกเถิด โอ้นบีเอ๋ย ขณะที่อิบรอฮีมและอิสมาอีลได้ก่อฐานของอัลกะอ์บะฮ์นั้น เขาทั้งสองได้กล่าวในสภาพที่นอบน้อมและรู้สึกต่ำต้อยว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของพวกข้าพระองค์ โปรดตอบรับการงานต่าง ๆ ของพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด ซึ่งหนึ่งในการงานต่าง ๆเหล่านั้นก็คือ การสร้างกะอ์บะฮ์หลังนี้ แท้จริงพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ตอบรับคำวิงวอนของพวกข้าพระองค์ ผู้ทรงรอบรู้ถึงเจตนาและการงานของพวกข้าพระองค์ทั้งหลาย

(128) โอ้พระผู้อภิบาลของพวกข้าพระองค์ โปรดทำให้ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นผู้ยอมจำนนต่อคำบัญชาของพระองค์ เป็นบรรดาผู้ที่นอบน้อมต่อพระองค์ โดยที่พวกข้าพระองค์จะไม่ตั้งภาคีใดๆ ต่อพระองค์ และโปรดให้มีขึ้นจากลูกหลานของพวกข้าพระองค์ซึ่งประชาชาติที่จำนนต่อพระองค์ และโปรดให้แก่พวกข้าพระองค์ได้รับรู้ถึงวิธีการเคารพอิบาดะฮฺต่อพระองค์ และโปรดละเว้นบาปและความบกพร่องของพวกข้าพระองค์ที่เกิดขึ้นต่อการเชื่อฟังต่อพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงพระองค์ทรงรับการกลับเนื้อกลับตัวจากปวงบ่าวของพระองค์ ทรงเอ็นดูเมตตาต่อพวกเขา

(129) ข้าแต่พระผู้อภิบาลของพวกข้าพระองค์โปรดส่งเราะสูลคนหนึ่งให้แก่พวกเขาที่มาจากพวกเขาเองจากลูกหลานของอิสมาอีล เพื่อเขาจะได้อ่านโองการต่างๆของพระองค์ที่ถูกประทานลงมาให้พวกเขาฟัง และจะได้สอนอัลกุรอานและสุนนะฮฺแก่พวกเขา และทำการขัดเกลาพวกเขาให้สะอาดจากการตั้งภาคีและความต่ำช้าทั้งหลาย แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ทรงพลานุภาพที่ล้นเหลือ และทรงปรีชาญาณในการกระทำและการตัดสินทั้งหลายของพระองค์

(130) และจะไม่มีใครเลยที่จะหันเหไปจากศาสนาของอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม ไปยังศาสนาอื่น เว้นเสียจากผู้ที่อธรรมต่อตัวของเขาเอง อันเนื่องมาจากความโฉดเขลาและการจัดการที่ไม่ดีของเขา ด้วยการละทิ้งความถูกต้องแล้วไปหาความลุ่มหลง และพึงพอใจต่อตัวเองด้วยสภาพที่ตกต่ำ และแท้จริงแล้ว เราได้คัดเลือกเขาให้เป็นเราะสูลและเป็นที่รักในโลกนี้ และแท้จริงในปรโลกนั้น เขาจะอยู่ในหมู่คนดีที่ปฏิบัติในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงได้บังคับเหนือพวกเขา ดังนั้นพวกเขาก็จะได้รับตำแหน่งที่สูงยิ่ง

(131) อัลลอฮฺได้ทรงเลือกเขาให้รีบเร่งไปสู่อิสลาม ขณะที่พระเจ้าของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจงบริสุทธิ์ใจในการเคารพอิบาดะฮฺต่อข้าเถิดและจงนอบน้อมต่อข้าด้วยการเชื่อฟัง เขาก็กล่าวด้วยการตอบรับต่อพระเจ้าของเขาว่า ข้าพระองค์ได้ยอมจำนนต่ออัลลอฮฺผู้ทรงสร้างปวงบ่าวและผู้ทรงให้ปัจจัยแก่พวกเขา และผู้ทรงจัดการบริหารกิจการต่างๆ ของพวกเขาแล้ว

(132) และอิบรอฮีมได้สั่งเสียแก่ลูกๆ ของเขาด้วยถ่อยคำนี้ (ฉันได้ยอมจำนนต่อพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกแล้ว) และยะอฺกูบก็ได้สั่งเสียแก่ลูกๆ ของเขาด้วยถ่อยคำนี้เช่นกัน โดยเขาทั้งสองได้กล่าวเชิญชวนต่อบรรดาลูกๆ ของเขาว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงเลือกศาสนาอิสลามให้แก่พวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงยึดมั่นกับศาสนานั้นจนกว่าความตายนั้นจะมาหาพวกเจ้า ในสภาพที่พวกเจ้านั้นเป็นผู้ที่ยอมจำนนต่ออัลลอฮฺทั้งภายนอกและภายใน(ทั้งกายและใจ)

(133) หรือว่าพวกเจ้าเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เรื่องราวของยะอฺกูบ ครั้นที่ความตายได้มายังเขา เป็นครั้นที่เขานั้นได้กล่าวแก่ลูกๆ ของเขาว่า พวกเจ้าจะเคารพอิบาดะฮฺอะไรหลังจากฉันเสียชีวิตไป? พวกเขาก็ได้กล่าวตอบว่า พวกเราจะเคารพอิบาดะฮฺต่อพระเจ้าของท่าน และพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือ อิบรอฮีม อิสมาอีล และอิสฮาก แต่เพียงองค์เดียวโดยที่ไม่ตั้งภาคีใดๆเลยต่อพระองค์ และพวกเราก็จะมีเพียงแค่พระองค์เท่านั้นที่เราจะยอมจำนนและอ่อนน้อม

(134) พวกเขาคือประชาชาติหนึ่งจากบรรดาประชาชาติทั้งหลายที่ได้ล่วงลับไปก่อนหน้าพวกเจ้า และพวกเขาเหล่านั้นต่างก็ได้พบกับผลแห่งการกระทำของพวกเขา พวกเขาจะได้รับการตอบแทนทีเป็นผลจากการกระทำของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้าย และสำหรับพวกเจ้าคือผลจากการกระทำของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวนถึงการงานของพวกเขา และพวกเขาก็จะไม่ถูกไต่สวนถึงการงานของพวกเจ้า และไม่มีใครต้องถูกลงโทษเพราะความผิดของผู้อื่น แต่ทุกคนนั้นจะได้รับการตอบแทนตามสิ่งที่เขาได้กระทำมา ดังนั้นพวกเจ้าอย่าได้ทำให้การกระทำของคนในอดีตก่อนหน้าเจ้า ทำให้เจ้าลืมที่จะสนใจถึงการกระทำของพวกเจ้าเอง และแท้จริงคนๆ หนึ่งจะไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อเขาเลยหลังจากความเมตตาของอัลลอฮฺ นอกเสียจากการงานของเขาที่ดีเท่านั้น

(135) และชาวยิวก็ได้กล่าวแก่ประชาชาตินี้ว่า พวกท่านจงเป็นยิวเถิด แล้วพวกเจ้าก็จะได้เดินบนเส้นทางแห่งทางนำ และชาวคริสต์ก็กล่าว่า พวกท่านจงเป็นคริสต์เถิด แล้วพวกเจ้าก็จะได้เดินบนเส้นทางแห่งทางนำ จงกล่าวเถิด โอ้นะบีเอ๋ย เพื่อเป็นคำตอบแก่พวกเขาว่า แต่ทว่าเรานั้นเดินตามแนวทางของอิบรอฮีม ผู้ที่เบี่ยงเบนไปจากศาสนาเท็จไปสู่ศาสนาที่แท้จริง และเขาก็ไม่เคยเป็นผู้ที่ตั้งภาคีใดเลยต่ออัลลอฮฺ

(136) จงกล่าวเถิด -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย- แก่ผู้ที่แอบอ้างอันมดเท็จเหล่านี้ที่มาจากชาวยิวและชาวคริสต์ว่า เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และต่ออัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาแก่เรา และเราก็ได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีมและแก่บรรดาลูกหลานของเขาคือ อิสมาอีล อิสฮาก และยะอฺกูบ และเราได้ศรัทธาต่ออัตเตารอตฺที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่มูซา และอัลอินญีลที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่อีซา และเราได้ศรัทธาอีกเช่นกันต่อบรรดาคัมภีร์ที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้แก่บรรดานะบีทั้งหลาย พวกเรามิได้แบ่งแยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากพวกเขาเหล่านั้น ด้วยการที่เราศรัทธาแค่เพียงส่วนหนึ่งและปฏิเสธอีกส่วนหนึ่ง แต่ทว่าเรานั้นศรัทธาต่อพวกเขาทั้งหมดเลย และพวกเราจะเป็นผู้สวามิภักดิ์และอ่อนน้อมต่อพระองค์เท่านั้น

(137) หากชาวยิว ชาวคริสต์ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ศรัทธาอย่างที่พวกเจ้าศรัทธากัน แน่นอนพวกเขาย่อมจะได้รับทางนำสู่แนวทางที่เที่ยงตรงที่อัลลอฮฺทรงพอพระทัย และหากพวกเขาผินหลังไม่ศรัทธาโดยการปฏิเสธบรรดานะบีทั้งหมดหรือปฏิเสธบางคนจากพวกเขา แน่นอนพวกเขาย่อมอยู่ในความขัดแย้งและเป็นศัตรูกัน(กับเจ้า) ดังนั้น (โอ้นะบีเอ๋ย) เจ้าอย่าได้เสียใจ เพราะแท้จริงอัลลอฮฺจะทรงปกป้องเจ้าจากการทำร้ายของพวกเขา จะทรงคุ้มครองเจ้าจากความชั่วของพวกเขา และจะทรงช่วยเหลือเจ้าเหนือพวกเขา โดยที่พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินคำพูดของพวกเขา ผู้ทรงรอบรู้เจตนาและการกระทำของพวกเขา

(138) พวกเจ้าจงยึดมั่นในศาสนาของอัลลอฮฺทั้งภายนอกและภายใน ที่พระองค์นั้นทรงทำให้พวกเจ้าได้อยู่บนศาสนาของพระองค์ ดังนั้นจะไม่มีศาสนาใดที่ดีไปกว่าศาสนาของอัลลอฮฺอย่างแน่นอน ซึ่งศาสนาของพระองค์นั้นสอดคล้องกับสัญชาตญาณ โดยส่งเสริมให้เกิดประโยชน์ ป้องกันจากความเสื่อมเสีย และพวกเจ้าจงกล่าวเถิดว่า พวกเราคือบรรดาผู้ที่เคารพอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น เราจะไม่ตั้งภาคีอื่นใดมาเทียบเท่าพระองค์

(139) จงกล่าวเถิด (โอ้นะบีเอ๋ย) พวกท่านจะโต้แย้งกับเรา (โอ้ชาวคัมภีร์เอ๋ย) ในเรื่องที่ว่าพวกเจ้านั้นมีความสำคัญต่ออัลลอฮฺและศาสนาของพระองค์มากกว่าเรากระนั้นหรือ? เนื่องเพราะว่าศาสนาของพวกท่านนั้นเก่าแก่กว่า และะคัมภีร์ของพวกเจ้านั้นมาก่อน แท้จริงสิ่งนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์ใดๆ ต่อพวกเจ้าเลย อัลลอฮฺทรงเป็นพระเจ้าของพวกเราทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าได้ตั้งพระองค์เป็นการเฉพาะสำหรับพวกเจ้า และบรรดาการงานของเรานั้นมีไว้สำหรับเรา ซึ่งพวกเจ้าก็จะไม่ถูกถามถึงมัน และบรรดาการงานของพวกท่านก็มีไว้สำหรับพวกท่าน ซึ่งเราก็จะไม่ถูกถามถึงมัน และทุกคนต่างก็จะได้รับการตอบแทนตามการกระทำของเขา และพวกเรานั้นคือบรรดาผู้ที่บริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺในการเคารพอิบาดะฮฺและการเชื่อฟัง เราจะไม่ตั้งภาคีใดๆ ต่อพระองค์อย่างแน่นอน

(140) หรือพวกท่าน (โอ้ชาวคัมภีร์เอ๋ย) จะกล่าวว่า แท้จริงอิบรอฮีม อิสมาอีล อิสฮาก ยะอฺกูบ และบรรดานบีที่มาจากลูกๆ ของยะอฺกูบนั้น พวกเขาเคยนับถือศาสนายิวหรือศาสนาคริสต์มาก่อนกระนั้นหรือ? จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด (โอ้นะบีเอ๋ย) พวกท่านรู้ดียิ่งกว่า หรือว่าอัลลอฮฺ?! แล้วหากพวกเขาอ้างว่าพวกเขา(บรรดานะบีที่กล่าวมานั้น)เคยนับถือศาสนาของพวกเขา แน่นอนพวกเขาย่อมโกหก เพราะแท้จริงการบังเกิดและการตายของพวกเขานั้น มีมาก่อนการประทานคัมภีร์อัตเตารอตฺและอัลอินญีล! และเป็นที่รู้ๆ กันว่าสิ่งที่พวกเขาพูดถึงนั้นเป็นสิ่งที่โกหกใส่อัลลอฮฺและต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์ และแท้จริงพวกเขานั้นปิดบังความจริงที่ได้ประทานลงมาให้แก่พวกเขา และไม่มีผู้ใดที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ปิดบังพยานหลักฐานอันน่าเชื่อถือที่มีอยู่ ณ ที่เขา ซึ่งเขาได้รู้มันมาจากอัลลอฮฺ ดั่งการกระทำของชาวคัมภีร์ และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงเฉยเมยต่อสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน และพระองค์ก็จะทรงตอบแทนพวกเจ้าอย่างครบถ้วนตามสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน

(141) นั่นคือประชาชาติหนึ่งที่ได้ล่วงลับไปก่อนหน้าพวกเจ้า และพวกเขาเหล่านั้นต่างก็ได้พบกับผลแห่งการกระทำของพวกเขา พวกเขาจะได้รับการตอบแทนทีเป็นผลจากการกระทำของพวกเขา และสำหรับพวกเจ้าคือผลจากการกระทำของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวนถึงการงานของพวกเขา และพวกเขาก็จะไม่ถูกไต่สวนถึงการงานของพวกเจ้า และไม่มีใครต้องถูกลงโทษเพราะความผิดของผู้อื่น และจะไม่มีผู้ใดได้ประโยชน์จากการกระทำของผู้อื่น แต่ทุกคนนั้นจะได้รับการตอบแทนตามสิ่งที่เขาได้กระทำมา

(142) บรรดาคนโง่ที่ขาดสามัญสำนึกมาจากพวกยิวและบรรดาผู้คนที่คล้ายคลึงกับพวกเขาอย่างบรรดามุนาฟิกีน ผู้กลับกลอกจะกล่าวว่า "อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้บรรดามุสลิมีน หันออกไปจากกิบลัต บัลตุล อัล-มักดิส ที่เคยเป็นกิบลัตของพวกเขาก่อนหน้านี้?! จงตอบแก่พวกเขาเถิด -โอ้ นบีเอ๋ย- "ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกหรือทิศไหนๆ ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้น พระองค์จะทรงให้ผู้ใดหันไปทิศทางใดก็เป็นสิทธิ์ของพระองค์ และมหาบริสุทธิ์ต่อพระองค์ที่จะนำทางผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางที่เที่ยงตรงไม่คดเคี้ยวและไม่เบี่ยงเบน

(143) และในทำนองเดียวกัน เราได้มอบกิบลัตที่เราพอใจให้กับพวกเจ้า และทำให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่ประเสริฐ ยุติธรรม และเป็นประชาชาติสายกลางเมื่อเทียบระหว่างประชาชาติอื่นๆทั้งหมด ทั้งในเรื่องของความเชื่อ การทำอิบาดะฮ์ และการอยู่ร่วมกัน เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่บรรดาเราะสูลุลลอฮ์ ในวันกิยามะฮ์ ว่าพวกเขานั้นได้เผยแพร่ในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงสั่งไว้ให้เผยแพร่แก่ประชาชาติของพวกเขา และมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัมนั้น ก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเจ้าเช่นกันว่าท่านนั้นได้เผยแพร่สิ่งที่ได้ประทานลงมาแก่พวกเจ้า และเรามิได้เปลี่ยนแปลงซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยหันหน้าไป (คือบัยตุล อัล-มักดิส) นอกจากเพื่อเราจะได้รู้และให้ผลตอบแทนแก่ผู้ที่เห็นด้วยและยอมรับในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบัญญัติและปฏิบัติตามเราะสูล และใครที่ละทิ้งศาสนาของเขาและทำตามความปรารถนาของตนเอง ดังนั้นเขาจะไม่ยอมจำนนต่อบทบัญญัติของอัลลอฮ์ และแท้จริงการเปลี่ยนจากกิบลัตแรกนั้น เป็นเรื่องใหญ่ นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้ความง่ายดายเพื่อปฏิบัติตามเท่านั้น และสิ่งที่ได้บัญญัติแก่บ่าวของพระองค์นั้นได้บัญญัติเพื่อเป็นการตัดสินและอัลลอฮ์จะไม่ปล่อยให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญเปล่า เช่นการละหมาดของพวกเจ้าที่ได้ละหมาดไว้ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกิบลัต แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณา ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ ไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา และผลบุญที่พวกเขาได้ปฏิบัติก็ไม่ได้สูญหายไป

(144) โอ้ นบีเอ๋ย แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนขึ้นสู่ฟากฟ้า เพื่อติดตามและรอคอยการลงมาของวะห์ยูในเรื่องของการเปลี่ยนกิบลัตให้เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ ดังนั้นแน่นอนเราจะอนุญาตให้เจ้าหันหน้าไปยังกิบลัตตามที่เจ้าพอใจและชื่นชอบ นั่นคือบัยตุลลอฮฺ อัล-ฮะรอม แทนจากกิบลัตเดิมบัยตุล อัล-มักดิสในตอนนี้เลย ดังนั้นจงหันหน้าของเจ้าไปทางบัยตุลลอฮฺ อัล-ฮะรอม ที่มักกะ อัล-มุกัรเราะมะฮฺเถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย- ก็จงหันหน้าไปทางบัยตุลลอฮฺ อัล-ฮะรอมในตอนที่พวกเจ้าจะทำการละหมาด และแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ ที่เป็นชาวยิวและคริสเตียนนั้นย่อมรู้ดีถึงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนี้ ว่ามันคือความจริงที่มาจากพระผู้ทรงสร้างผู้ทรงจัดการทุกการงานของพวกเขา เนื่องจากได้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ของพวกเขา และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงเฉยเมยถึงการกระทำของผู้ปฏิเสธสัจธรรมที่ได้กระทำไว้ แต่พระองค์ผู้มหาบริสุทธิ์นั้นทรงรอบรู้ถึงสิ่งนั้น และจะตอบแทนการกระทำของพวกเขา

(145) โอ้ นบีเอ๋ย ขอสาบานถ้าหากเจ้าได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ เช่นยิวและคริสต์ที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้นเป็นความจริง พวกเขาก็จะไม่ตามกิบลัตของเจ้าเนื่องด้วยความดื้อรั้นต่อการที่จะรับสิ่งที่เจ้านำมาและยะโสเกินไปที่จะทำตามความจริง และเจ้าก็จะไม่เป็นผู้ที่หันไปตามกิบลัตของพวกเขาหลังจากที่อัลลอฮ์ได้เปลี่ยนทิศทางของกิบลัตแล้ว และบางกลุ่มในพวกเขาเองก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม เพราะในกลุ่มพวกเขานั้นก็ปฏิเสธกลุ่มอื่นๆและถ้าหากเจ้าไปปฏิบัติตามความต้องการของพวกเขาในเรื่องของกิบลัตและเรื่องอื่นๆจากบทบัญญัติและหุก่มต่างๆหลังจากความรู้ที่สัจจริงและถูกต้องมายังเจ้าโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ แท้จริงแล้วเจ้า ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะอยู่ในหมู่ผู้อธรรมที่ละทิ้งทางที่ถูกต้อง และปฏิบัติตามความต้องการของตนเอง และคำดำรัสนี้เจาะจงสำหรับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ที่บอกถึงความน่ารังเกียจในการทำตามพวกเขา และถ้าไม่เช่นนั้น(เจ้าอาจทำแบบนั้น)ดังนั้นแท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงปกป้องนบีของพระองค์ให้ห่างไกลจากสิ่งนั้น และนบีก็ได้ห้ามประชาชาติของเขาที่มาหลังจากเขา

(146) บรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์แก่พวกเขานั้น ที่เป็นผู้รู้ของชาวยิวและคริสต์ พวกเขาย่อมรู้ดีถึงเรื่องราวของการเปลี่ยนทิศทางของกิบลัตซึ่งเป็นหลักฐานหนึ่งที่บ่งชี้ถึงการเป็นศาสดาของมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม พวกเขารู้เหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูกๆ ของเขาเองซึ่งพวกเขาสามารถแยกแยะระหว่างลูกๆออกจากคนอื่นๆ อย่างไรก็ตามแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาได้ปิดบังความจริงที่นบีได้นำมา เพราะความอิจฉาที่มีอยู่ในตัวของพวกเขา พวกเขายอมปกปิดความจริง ทั้งๆ ที่พวกเขารู้ว่ามันคือความจริง

(147) โอ้ เราะสูลเอ๋ย ความจริงนั้นมาจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ดังนั้นเจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยในความถูกต้องของมันเป็นอันขาด

(148) และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้น ต่างก็มีทิศทางที่เป็นกิบลัตที่เป็นของตัวเอง ซึ่งพวกเขาจะผินไปสู่กิบลัตนั้นทั้งทั้งในแบบรูปธรรมและนามธรรม และจากตรงนี้ ทำให้เกิดความแตกต่างของแต่ละประชาชาติในเรื่องกิบลัตและสิ่งต่างๆที่อัลลอฮ์ได้บัญญัติไว้ให้พวกเขา การมีทิศทางหรือมีกิบลัตที่แตกต่างกันไม่ได้เป็นปัญหาใดๆ หากทิศทางเหล่านั้นมาจากคำสั่งของอัลลอฮ์และเป็นบทบัญญัติจากพระองค์ ดังนั้น -โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย- พวกเจ้าจงแข่งขันกันในการทำความดีที่อัลลอฮ์สั่งให้พวกเจ้าทำเถิด และในวันกิยามะฮ์อัลลอฮ์ก็จะทรงนำพวกเจ้ามารวมตัวกันทั้งหมดในที่เดียวกัน ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม เพื่อจะให้ผลตอบแทนในการงานของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง อัลลอฮ์จะไม่ไร้ซึ่งความสามารถที่จะรวบรวมและตอบแทนพวกเจ้า

(149) โอ้ นบีเอ๋ย ที่ใดก็ตามที่เจ้าได้ออกไป และที่ใดที่เจ้าปรากฏอยู่ เจ้าและผู้ที่ตามเจ้า เมื่อต้องการที่จะทำการละหมาด ก็จงผินหน้าของเจ้าไปทางอัล-มัสยิดิลฮะรอม และแท้จริงนั้น มันคือความจริงที่มาจากพระผู้อภิบาลของเจ้า และอัลลอฮ์นั้นไม่เป็นผู้ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำกัน แต่พระองค์ทรงรอบรู้และจะตอบแทนพวกเจ้า

(150) และไม่ว่าสถานที่ใดที่เจ้าได้ออกไป -โอ้ท่านนบีเอ๋ย- และเจ้าต้องการทำละหมาด ก็จงผินหน้าของเจ้าไปทาง มัสยิด อัล-ฮะรอม และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ -โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย- ก็จงผินหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้นเช่นกัน เมื่อพวกเจ้าต้องการทำการละหมาด เพื่อที่ว่าผู้คนจะได้ไม่มีข้อโต้แย้งอันใดต่อพวกเจ้า นอกจากบรรดาผู้อธรรมในหมู่ของพวกเขาเท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วพวกเขานั้นจะคงอยู่ด้วยความดื้อรั้นของพวกเขา และพวกเขานั้นต้องการข้อโต้แย้งพวกเจ้าอย่างถึงที่สุด ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา แต่จงกลัวพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า เพียงองค์เดียวเถิด ด้วยการทำตามคำสั่งของพระองค์และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์ และแท้จริงแล้วอัลลอฮ์ได้บัญญัติให้ผินหน้าไปทาง อัล-กะอ์บะฮ์ เพื่อที่พระองค์จะได้ให้ความกรุณาของพระองค์แก่พวกเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยการแยกพวกเจ้าออกจากประชาชาติอื่น และเพื่อชี้นำพวกเจ้าสู่กิบละฮ์ที่ประเสริฐที่สุดสำหรับมวลมนุษย์ทั้งหลาย

(151) ดังที่เราได้ประทานความโปรดปรานให้แก่พวกเจ้า ด้วยการส่งเราะสูลท่านหนึ่ง มายังพวกเจ้าที่มาจากพวกเจ้าเอง เขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำการขัดเกลาพวกเจ้าให้บริสุทธิ์สะอาดด้วยการสั่งใช้พวกเจ้ากระทำในสิ่งที่เป็นคุณธรรมและความดี และด้วยการห้ามพวกเจ้าจากสิ่งที่เป็นความชั่วและสิ่งไม่ดีต่างๆ และสอนอัลกุรอานและซุนนะฮ์แก่พวกเจ้า และสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งในเรื่องศาสนาและทางโลกของพวกเจ้า

(152) ดังนั้นพวกเจ้าจงรำลึกถึงข้าด้วยหัวใจและร่างกายของพวกเจ้าเถิด ข้าก็จะรำลึกถึงพวกเจ้าด้วยการยกย่องและปกป้องพวกเจ้า เพราะผลตอบแทนนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำ และจงขอบคุณข้าในความกรุณาของข้าที่ได้มอบแก่พวกเจ้าเถิด และจงอย่าเนรคุณต่อข้าด้วยการปฏิเสธต่อสิ่งที่ข้าได้โปรดปรานให้แก่พวกเจ้า และใช้มันในสิ่งที่ข้าได้ห้ามต่อพวกเจ้า

(153) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอาศัยความอดทนและการละหมาดในการยืนหยัดเชื่อฟังข้าและการจำนนต่อคำสั่งของข้า แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงอยู่ร่วมกับผู้อดทนทั้งหลาย ให้ความง่ายดายแก่พวกเขา และช่วยเหลือพวกเขา

(154) โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่ากล่าวแก่บรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ว่า พวกเขานั้นตายเหมือนคนทั่วๆไปที่ตายกัน แต่ความจริงแล้วพวกเขายังมีชีวิตอยู่ต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา แต่พวกเจ้าไม่รู้ถึงการมีชีวิตของพวกเขา เพราะเป็นการมีชีวิตเฉพาะ โดยไม่สามารถรับรู้ได้นอกจากด้วยวิวรณ์(วะห์ยู)จากอัลลอฮ์

(155) และแน่นอน เราจะทดสอบพวกเจ้าด้วยความหลากหลายแห่งความทุกข์ยาก ด้วยบางสิ่งที่เป็นความกลัวจากศัตรูของพวกเจ้า และความหิวโหยเพราะการขาดแคลนอาหาร และด้วยความสูญเสียในทรัพย์สิน หรือความยากลำบากในการที่จะได้มัน และการสูญเสียชีวิตจากโรคร้ายที่สามารถคร่าชีวิตผู้คนได้ หรือการเสียชีวิตจากการออกรบในหนทางของอัลลอฮ์ และการสูญเสียพืชผลที่เติบโตจากพื้นดิน โอ้ นบีเอ๋ย จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่อดทนจากความทุกข์ยากเหล่านั้น ด้วยสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุขสบายทั้งในโลกนี้และในวันอาคิเราะฮ์

(156) คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขาจากภัยพิบัติต่างๆ พวกเขาจะกล่าวด้วยการยินยอมและยอมรับว่า แท้จริงเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นเรื่องของพระองค์ที่จะกระทำต่อเราตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และแท้จริงเราจะกลับไปยังพระองค์ในวันกิยามะฮ์ และพระองค์คือผู้สร้างเราและได้ประทานความโปรดปรานต่างๆแก่เรา และแด่พระองค์ที่เราต้องกลับไปและเป็นที่สิ้นสุดของกิจการของเรา

(157) กลุ่มชนที่มีคุณลักษณะแบบนี้ พวกเขาจะได้รับคำชมเชยจากอัลลอฮ์ต่อหน้าบรรดามลาอิกะฮ์ และความเมตตาจะประสบแด่พวกเขา และกลุ่มชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ได้รับการชี้นำสู่แนวทางที่ถูกต้อง

(158) แท้จริงแล้วภูเขาสองลูกที่เป็นที่รู้จักกันว่า ภูเขาเศาะฟา และภูเขามัรวะฮ์นั้นอยู่ใกล้กะอ์บะฮ์ เป็นหนึ่งในบรรดาสัญลักษณ์ต่างๆของอิสลามที่ชัดแจ้ง ดังนั้นผู้ใดประกอบพิธีฮัจญ์ หรือ อุมเราะฮآ ณ บัยตุลลอฮ์ก็ไม่มีบาปใดๆแก่เขาทีจะเดินวนไปมาระหว่างเนินเขาทั้งสอง และความหมายของการปฏิเสธบาปในที่นี้ ก็เพื่อสร้างความมั่นใจแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่รู้สึกไม่สบายใจ โดยเชื่อว่าการเดินวนไปมาระหว่างสองเนินเขานั้นเป็นพิธีกรรมของพวกญาฮิลียะฮ์ และอัลลอฮ์ทรงชี้แจงว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีฮัจญ์ และผู้ใดประกอบความดีโดยสมัครใจด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้ว แน่นอนอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงขอบคุณแก่เขา ตอบรับความดีจากเขา และตอบแทนในความดีของเขา และผู้ทรงรอบรู้ว่าใครที่ทำดีและสมควรที่จะได้รับผลตอบแทน

(159) แท้จริงบรรดาชาวยิวและคริสต์ที่ปกปิดหลักฐานอันชัดเจนที่เราได้ประทานลงมาที่บ่งบอกถึงความสัจจริงของท่านนบีและสิ่งที่ท่านได้นำมา หลังจากที่เราได้ชี้แจงมันไว้แล้วในคัมภีร์ของพวกเขาแก่มนุษย์ ชนเหล่านี้ อัลลอฮ์จะทรงขับไล่พวกเขาให้พ้นจากความเมตตาของพระองค์ และบรรดามลาอิกะฮ์ บรรดานบี และมนุษย์ทั้งหมดจะสาปแช่งพวกเขาให้พ้นจากความเมตตาของพระองค์

(160) นอกจากผู้ที่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว ที่ปกปิดหลักฐานอันชัดเจนไว้ และปรับปรุงแก้ไขการกระทำของพวกเขาทั้งทางกายและใจ และชี้แจงสิ่งที่ปกปิดไว้ว่าเป็นความจริงและทางที่ถูกต้อง ชนเหล่านี้ข้าจะอภัยโทษให้แก่พวกเขา และข้าคือผู้อภัยโทษต่อบ่าวที่กลับเนื้อกลับตัว และเมตตาต่อพวกเขาเสมอ

(161) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและเมื่อพวกเขาได้เสียชีวิตลง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ก่อนที่พวกเขาจะกลับเนื้อกลับตัว พวกเขาเหล่านี้จะได้รับการสาปแช่งจากอัลลอฮ์ด้วยการขับไล่ให้พ้นจากความเมตตาของพระองค์ และจะได้รับการสาปแช่ง จากบรรดามลาอิกะฮ์ และมนุษย์ทั้งมวลให้พ้นและห่างไกลจากความเมตตาของอัลลอฮ์

(162) พวกเขาจะคงอยู่ในสภาพของการถูกสาปแช่งนั้นตลอดไป โดยที่การลงโทษนั้นจะไม่ถูกลดหย่อนแก่ตัวพวกเขา แม้จะวันเดียวก็ตาม และพวกเขาก็จะไม่ถูกรั้งรอ (ในการลงโทษ)ในวันกิยามะฮ์

(163) และพระเจ้าที่พวกเจ้าควรเคารพสักการะอย่างแท้จริง -โอ้ มนุษย์เอ๋ย- มีเพียงองค์เดียวเท่านั้น มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งตัวตนและคุณลักษณะ ไม่มีพระเจ้าใดที่ควรแก่การเคารพสักการะ นอกจากพระองค์ ผู้ทรงกรุณาปรานีที่กว้างขวาง ผู้ทรงเมตตาบ่าวของพระองค์ โดยการให้ความโปรดปรานพวกเขาที่ไม่สามารถจะคำนวณได้

(164) แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและสิ่งที่มีอยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆแห่งการสร้าง และในการสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวัน และการแล่นของเรือในท้องทะเลที่บันทุกสิ่งอำนวยประโยชน์ต่างๆแก่มนุษย์ เช่นอาหาร เสื้อผ้าและการค้าขายและสิ่งอื่นที่จำเป็น และอัลลอฮ์ได้ทรงให้น้ำฝนได้หลั่งลงมาจากฟากฟ้า และพระองค์ได้ทรงทำให้พืชผลและดอกหญ้าต่างๆได้งอกเงยขึ้นมาหลังจากที่มันตายไปแล้ว และทรงแพร่ขยายสัตว์ทุกชนิดให้กระจายออกไปในแผ่นดิน และให้ลมได้เปลี่ยนจากทิศหนึ่งไปสู่อีกทิศหนึ่ง และให้เมฆได้ล่องลอยระหว่างฟากฟ้าและแผ่นดิน แน่นอนทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญญาณที่ชัดแจ้งในความเป็นเอกภาพของพระองค์แก่ผู้ที่ใช้สติปัญญาในการเข้าถึงข้อพิสูจน์ต่างๆและเข้าใจในหลักฐานและสัญญานต่างๆ

(165) ถึงแม้จะมีสัญญาณอันชัดแจ้งมาแสดงถึงความเป็นหนึ่งของอัลลอฮฺแล้วก็ตาม ในหมู่มนุษย์ก็ยังมีผู้ยึดถือผู้อื่นเป็นพระเจ้านอกจากอัลลอฮฺ ทำให้พวกเขานั้นเทียบเคียงกับอัลลอฮฺ ตะลาอา ซึ่งพวกเขารักมัน เช่นเดียวกับรักอัลลอฮฺ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นผู้ที่รักอัลลอฮฺมากยิ่งกว่าเขาเหล่านั้นที่มีต่อสิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะ เพราะพวกเขาไม่ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺแม้แต่ผู้เดียว และพวกเขารักอัลลอฮฺทั้งยามสุขและยามทุกข์ และส่วนชนเหล่านั้น พวกเขารักพระเจ้าของพวกเขาเฉพาะยามสุข ส่วนยามทุกข์พวกเขาก็จะไม่ขอผู้อื่นเว้นเสียจากอัลลอฮฺ ถ้าหากบรรดาผู้อธรรมด้วยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ และทำชั่ว ได้เห็นสถานการณ์ของพวกเขาในวันอาคิเราะฮฺเมื่อพวกเขาเห็นการลงโทษต่อหน้าเขา แน่นอนพวกเขาจะต้องตระหนักดีว่า อัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเดชานุภาพทั้งหมด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรงสำหรับใครที่ไม่ทำตามพระองค์ ถ้าหากพวกเขาได้เห็นสิ่งนั้นแล้วพวกเขาจะไม่ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺเลย

(166) และขณะที่บรรดาหัวหน้าได้ปลีกตัวออกจากบรรดาผู้ที่อ่อนแอที่เป็นผู้ตาม หลังจากที่พวกเขา(ทั้งสองฝ่าย)ได้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของวันกิยามะฮ์และความรุนแรงของมัน และแท้จริงแล้วความเกี่ยวข้องกันของพวกเขาจะถูกตัดขาดทั้งหมดที่เป็นสาเหตุและวิธีการแห่งการรอดปลอดภัย

(167) และบรรดาผู้ที่อ่อนแอและผู้ที่ตามได้กล่าวว่า "หากว่าเรามีโอกาสกลับไปดุนยาอีกครั้งหนึ่ง เราก็จะปลีกตัวออกจากหัวหน้าของเราบ้าง เช่นเดียวกับที่พวกเขาได้ปลีกตัวออกจากพวกเรา และเช่นเดียวกันอัลลอฮ์ให้พวกเขาได้เห็นบทลงโทษที่รุนแรงในวันอาคิเราะฮ์ ที่ทำให้พวกเขาต้องรู้สึกผิดและเศร้าโศกซึ่งเป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติตามต่อผู้นำของพวกเขาในสิ่งที่ผิดๆ และพวกเขาไม่สามารถที่จะออกจากไฟนรกได้

(168) โอ้ มนุษย์เอ๋ย! จงบริโภคสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน เช่น สัตว์ พืช และต้นไม้ที่เป็นที่อนุมัติและเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์และไม่เป็นโทษ และพวกเจ้าจงอย่าตามทุกย่างก้าวของชัยฏอนที่จะคอยดึงพวกเจ้าไว้ แท้จริงมันคือศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า จะไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับผู้มีสติที่จะตามศัตรูของเขาที่คอยจะทำร้ายเขาและให้เขาหลงผิด

(169) ที่จริงแล้วมันจะใช้พวกเจ้าให้ประกอบสิ่งชั่วที่เป็นบาปต่างๆและเป็นบาปใหญ่ และจะใช้พวกเจ้ากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ในเรื่องของหลักการศรัทธาและหลักปฏิบัติต่างๆโดยที่พวกเจ้าไม่รู้ที่มาจากอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์

(170) และเมื่อได้มีการกล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านั้นว่า "จงปฏิบัติตามคำบัญชา ที่เป็นแนวทางอันถูกต้องและเป็นแสงสว่าง ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาเถิด" พวกเขาก็ตอบด้วยความดื้อรั้นว่า "มิได้ เราจะปฏิบัติสิ่งที่เราพบว่าบรรดาบรรพบุรุษของเราเคยปฏิบัติมาเท่านั้นในเรื่องความเชื่อและประเพณี" พวกเขาจะปฏิบัติตามบรรพบุรุษของพวกเขาถึงแม้ว่าบรรพบุรุษของพากเขาไม่เข้าใจเลยว่าอะไรคือทางนำอะไรคือสัจธรรม และไม่ได้รับแนวทางอันถูกต้องที่อัลลอฮ์พึงพอใจกระนั้นหรือ?!

(171) และอุปมาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ทำตามบรรพบุรุษของพวกเขานั้น ดั่งคนที่เลี้ยงสัตว์ที่ส่งเสียงตวาดแก่สัตว์ของเขา และมันได้ยินเสียงเขาร้องหรือตะโกนแต่มันไม่เข้าใจ พวกเขาหูหนวกที่จะฟังความจริงที่เกิดประโยชน์ เป็นใบ้ ลิ้นของพวกเขาไม่สามารถพูดสิ่งที่เป็นความจริง ตาบอดจากการมองเห็นสัจธรรม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจถึงทางนำอันถูกต้องที่เจ้าได้แนะนำให้กับพวกเขา

(172) โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย จงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า จากสิ่งดีๆ ทั้งหลายและเป็นที่อนุญาตเถิด และจงขอบคุณอัลลอฮ์ทั้งภายนอกและภายในที่ทรงโปรดปรานแก่พวกเจ้าเถิด และส่วนหนึ่งของการขอบคุณพระองค์คือ การเชื่อฟังพระองค์ การหลีกเลี่ยงทำสิ่งที่ฝ่าฝืนต่อพระองค์ หากเฉพาะพระองค์เท่านั้น ที่พวกเจ้าเคารพสักการะอย่างแท้จริง และไม่ตั้งภาคีใดๆต่อพระองค์

(173) แท้จริงแล้วอาหารที่อัลลอฮ์ได้ทรงห้ามพวกเจ้ากินนั้น คือเนื้อสัตว์จากสัตว์ตายเองโดยไม่ได้เชือดตามที่อิสลามได้บัญญัติไว้ และเลือดที่ไหลออกมา และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกกล่าวอุทิศให้นามอื่นไปจากอัลลอฮ์ในขณะเชือด แต่เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในสภาวะคับขันที่จะจำเป็นต้องกิน โดยมิได้มีเจตนาที่จะรับประทานเว้นแต่ความจำเป็น และมิใช่เป็นผู้ที่ละเมิดเกินจำเป็น ดังนั้นสำหรับเขาก็ไม่มีบาปและบทลงโทษใดๆ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษแก่บ่าวของพระองค์ที่กลับเนื้อกลับตัว ผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ จากความเมตตาของพระองค์สามารถที่จะรับประทานสิ่งที่ต้องห้ามนี้ในยามคับขันได้

(174) แท้จริงบรรดาผู้ที่ปกปิดสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ และปกปิดสิ่งที่เป็นหลักฐานที่บอกถึงสัจธรรมและการเป็นศาสนทูตของมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม เหมือนที่ชาวยิวและคริสต์ได้กระทำกันและได้นำการปกปิดนั้นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่มีราคาอันเล็กน้อย เช่นการเป็นผู้นำ หรือชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน ชนเหล่านั้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องของพวกเขาเลย นอกจากเป็นสิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาถูกลงโทษด้วยไฟนรก และในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์จะไม่ทรงพูดกับพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาชอบ แต่ทรงพูดในสิ่งที่ทำให้พวกเขาทุกข์ และจะไม่ทรงทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ และจะไม่ทรงยกย่องพวกเขาและพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันแสนทรมาน

(175) ชนเหล่านี้ที่ปกปิดความรู้ที่เป็นความต้องการของมนุษย์ พวกเขาคือผู้ที่นำเอาแนวทางที่ถูกต้องไปแลกกับแนวทางที่หลงผิดเมื่อพวกเขาได้ปกปิดความจริง และเอาการอภัยโทษของอัลลอฮ์ไปแลกกับการลงโทษของพระองค์ พวกเขาช่างทนต่อการกระทำในสิ่งที่เป็นสาเหตุให้พวกเขานั้นตกนรก ราวกับว่าพวกเขาไม่สนใจความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในนั้นเลยเพราะความอดทนเป็นพิเศษของพวกเขา

(176) นั่นคือสิ่งตอบแทนสำหรับการปกปิดความรู้และทางนำที่ถูกต้อง เพราะอัลลอฮ์ได้ส่งคัมภีร์ลงมาด้วยความจริง และสิ่งนี้ควรให้เกิดความกระจ่างและไม่ปกปิดซ่อนเร้น อันที่จริงผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพระคัมภีร์โดยเชื่อในบางส่วนและปกปิดอีกบางส่วน แน่นอนพวกเขาจะอยู่ในความขัดแย้งที่ห่างไกลจากความจริง

(177) หาใช่คุณธรรมและความพึงพอใจของอัลลอฮ์ไม่ กับเพียงแค่การที่พวกเจ้าผินหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกหรือทิศอื่นๆ แต่ทว่าคุณธรรมที่แท้จริงนั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียว และศรัทธาในวันปรโลก และศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮ์ และต่อบรรดาคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา และนบีทั้งหลายโดยไม่แยกแยะ และบริจาคทรัพย์ทั้งๆ ที่มีความรักในทรัพย์นั้นและดูแลเป็นใยแก่บรรดาญาติที่สนิท และบรรดาเด็กกำพร้า(บิดาเสียชีวิตก่อนบรรลุศาสนภาวะ) และบรรดาผู้ยากจนและผู้ที่อยู่ในการเดินทางที่ห่างไกลจากครอบครัวและประเทศของเขา และบรรดาผู้ที่มีความจำเป็นที่ต้องขอจากผู้คน และบริจาคในการไถ่ทาส และเขาได้ดำรงไว้ซึ่งการละหมาดตามคำบัญชาของอัลลอฮ์อย่างครบถ้วน และชำระซะกาตที่วาญิบ และบรรดาผู้ที่รักษาสัญญาของพวกเขาโดยครบถ้วน เมื่อพวกเขาได้สัญญาไว้ และบรรดาผู้ที่อดทนในความทุกข์ยาก และอดทนต่อการเจ็บไข้ได้ป่วย และไม่หนีในขณะต่อสู้ในสมรภูมิ ชนเหล่านี้คือผู้ที่แน่วแน่ต่ออัลลอฮ์ในความศรัทธาและในสิ่งที่พวกเขาทำ และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่มีความยำเกรงที่ปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาแก่พวกเขาและห่างไกลจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงห้ามพวกเขา

(178) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย ได้มีการบัญญัติแก่พวกเจ้าในเรื่องของคนที่ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและอธรรม การลงโทษสำหรับฆาตกรจะเหมือนกับความผิดของพวกเขา คือผู้เป็นไทจะถูกฆ่าด้วยผู้เป็นไท และผู้เป็นทาสจะถูกฆ่าด้วยผู้เป็นทาส และผู้หญิงจะถูกฆ่าด้วยผู้หญิง ถ้าหากผู้ที่ถูกฆาตกรรมได้อภัยให้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตหรือผู้ปกครองของผู้ถูกฆาตกรรมได้อภัยให้แก่เขาโดยแลกกับค่าสินไหมทดแทน คือทรัพย์สินที่ฆาตกรจ่ายไปเพื่อแลกกับการให้อภัยแก่เขา สำหรับผู้ที่ให้อภัยนั้นต้องติดตามเรื่องค่าสินไหมทดแทนจากฆาตกรอย่างเป็นธรรม และไม่ติดตามด้วยการดูถูกและก่อความเดือดร้อน และสำหรับฆาตกรต้องจ่ายโดยดีโดยไม่ล่าช้าและผลัดวันประกันพรุ่ง การให้อภัยและการรับค่าทำขวัญนี้เป็นข้อผ่อนปรนจากอัลลอฮ์แก่พวกเจ้า และเป็นความกรุณาต่อประชาชาตินี้ แล้วผู้ใดทำการละเมิดต่อฆาตกรหลังจากที่ได้ให้อภัยและรับค่าสินไหมทดแทนแล้วนั้น เขาก็จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบจากอัลลอฮ์ ตะอาลา

(179) 179-และการที่อัลลอฮ์ได้ทรงบัญญัติให้ประหารฆาตกรให้ตายตามนั้น เป็นการธำรงไว้ซึ่งชีวิตสำหรับพวกเจ้า เพราะมันสามารถป้องกันการนองเลือดและป้องกันความรุนแรงในหมู่พวกคุณ ซึ่งบรรดาผู้มีสติปัญญาที่ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ตะอาลาจะรับรู้สิ่งนั้นดี ด้วยการจำนนต่อบทบัญญัติของพระองค์และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์

(180) เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเจ้า(วาญิบ)เมื่อสัญญาณแห่งความตายและสาเหตุของมันได้มาสู่คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้า หากเขาได้ทิ้งทรัพย์สมบัติของเขาอย่างมากมาย เขาก็ควรที่จะยกให้แก่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง และบรรดาญาติที่ใกล้ชิดโดยชอบธรรมตามที่ศาสนาได้บัญญัติไว้คือจะได้รับไม่เกินเศษหนึ่งส่วนสามจากทรัพย์สมบัติทั้งหมด และการกระทำนี้เป็นหน้าที่ที่สำคัญสำหรับผู้เกรงกลัวอัลลอฮ์ ตะอาลา และการกำหนด(ส่วนแบ่งเรื่องมรดกดังกล่าวนั้น)เป็นการกำหนดก่อนที่โองการเกี่ยวกับการแบ่งมรดกจะถูกประทานลงมา ดังนั้นเมื่อโองการที่เกี่ยวกับการแบ่งมรดกได้ถูกประทานลงมา ก็ได้อธิบายถึงผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกจากผู้ตายและได้อธิบายถึงจำนวนที่เขานั้นจะได้รับ

(181) 180 - ดังนั้นผู้ใดที่ทำการแก้ไขพินัยกรรมโดยการเพิ่มหรือลดหรือไม่ทำตาม หลังจากที่เขาได้รู้ถึงพินัยกรรมแล้ว แท้จริงบาปจากการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมจะตกอยู่กับ ผู้ที่ทำการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมนั้นเท่านั้นไม่ใช่แก่ผู้ทำพินัยกรรม แท้จริงแล้วอัลลอฮ์ทรงได้ยินคำพูดบ่าวของพระองค์ ทรงรอบรู้ในการปฏิบัติของพวกเขา จะไม่มีสิ่งใดพลาดไปจากพระองค์ในความเป็นอยู่ของพวกเขา

(182) ดังนั้นผู้ใดที่รู้ว่าผู้ที่ทำพินัยกรรมมีการเบี่ยงเบนไปจากความจริงหรือมีความไม่เป็นธรรมในพินัยกรรม ก็ให้แก้ไขในสิ่งที่ผู้ทำพินัยกรรมได้ทำผิดด้วยการให้คำแนะนำแก่เขา และปรับความเข้าใจด้วยการประนีประนอมระหว่างพวกเขา ดังนั้นเขาไม่มีความผิดใดๆ แต่เขาจะได้ผลบุญเป็นการตอบแทนที่ได้ทำการประนีประนอม แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงอภัยแก่บ่าวของพระองค์ที่กลับเนื้อกลับตัว ผู้ทรงเมตตาพวกเขาเสมอ

(183) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และตามเราะสูลของพระองค์ทั้งหลาย! การถือศีลอด นั้นได้ถูกบัญญัติแก่พวกเจ้าจากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้ถูกบัญญัติแก่ประชาชาติก่อนหน้าพวกเจ้ามาแล้ว เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ด้วยการสร้างกำแพงกั้นระหว่างพวกเจ้ากับการลงโทษของอัลลอฮ์ด้วยการประกอบคุณงามความดีต่างๆ และที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากความดีต่างๆนั้นก็คือการถือศีลอด

(184) การถือศีลอดได้กำหนดแก่พวกเจ้าโดยให้พวกเจ้าถือศีลอดไม่กี่วันเท่านั้นในหนึ่งปี (คือถูกกำหนดให้ถือในจำนวนวันที่ได้ถูกกำหนดไว้) ดังนั้นผู้ใดในพวกเจ้าป่วย ไม่สามารถที่จะถือศีลอดได้ หรืออยู่ในการเดินทาง สำหรับพวกเขานั้นสามารถละศีลอดได้ แล้วให้ถือศีลอดชดในวันอื่น ๆ ตามจำนวนวันที่ได้ละไว้ และสำหรับผู้ที่มีความสามารถในการถือศีลอด แต่เขาเลือกที่จะไม่ถือ เขาต้องจ่ายฟิดยะฮ์ คือเขาต้องให้อาหารแก่คนขัดสนหนึ่งคนเป็นการชดใช้สำหรับวันที่ขาดการถือศีลอด และผู้ใดสามารถให้อาหารแก่คนขัดสนได้มากกว่าหนึ่งคนหรือให้อาหารพร้อมกับถือศีลอดชดใช้ไปด้วย ก็ถือว่าเป็นการดีแก่เขา และการถือศีลอดของพวกเจ้านั้นย่อมดีกว่าการละศีลอดและดีกว่าการจ่ายฟิดยะฮ์ ถ้าหากพวกเจ้ารู้ถึงความประเสริฐของการถือศีลอด และการบัญญัติการถือศีลอดในลักษณะนี้นั้นเกิดขึ้นในช่วงแรก ๆ ที่อัลลอฮ์ได้บัญญัติการถือศีลอด คือการเปิดอิสระ ผู้ใดที่ต้องการถือศีลอดก็จงถือ และผู้ใดที่ต้องการละศีลอดก็จงให้อาหารแก่ผู้ขัดสน หลังจากนั้นอัลลอฮ์ได้บัญญัติให้การถือศีลอดเป็นสิ่งวาญิบ และได้กำหนดให้ถือสำหรับผู้ที่บรรลุศาสนภาวะและมีความสามารถ

(185) เดือนรอมฏอนนั้น เป็นเดือนที่เริ่มประทานอัลกุรอ่านลงมาแก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในค่ำคืนอัลก็อดร์ ได้ถูกประทานลงมาในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับมนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อแนะนำนั้นและเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดในเดือนนั้น และผู้ใดป่วยที่ไม่สามารถจะถือศีลอดได้ หรืออยู่ในการเดินทาง ก็สามารถที่ละศีลอดได้ และเมื่อละศีลอดแล้ว ก็จงถือใช้ในวันอื่นแทนวันที่ขาด อัลลอฮฺทรงประสงค์ในสิ่งที่บัญญัติเพื่อให้พวกเจ้ามีความสะดวก และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้า ทั้งนี้เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ถือศีลอดให้ครบวัน(ของเดือนรอมฏอน) และทำการสดุดีความเกรียงไกรของอัลลอฮ์หลังจากเดือนรอมฏอนได้หมดไปและวันอีดที่พระองค์ได้ทรงให้พวกเจ้าได้ถือศีลอดในเดือนนั้น และเพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณอัลลอฮ์ที่ได้ชี้แนะทางนำแก่พวกเจ้า สู่ศาสนาที่พระองค์พึงพอพระทัยสำหรับพวกเจ้า

(186) โอ้นบีเอ๋ย ถ้าบ่าวของข้าได้ถามเจ้าถึงข้าถึงความใกล้ชิดของข้าและการตอบรับดุอาอ์ของข้าที่มีต่อพวกเขา แท้จริงข้านั้นอยู่ใกล้พวกเขา ข้ารู้เรื่องราวของพวกเขา ข้าได้ยินเสียงดุอาอ์จากพวกเขา และไม่จำเป็นที่จะต้องมีสื่อกลาง หรือยกเสียงของพวกเจ้าดังขึ้น ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอนที่มีความบริสุทธิ์ใจ และจงมายังข้าและคำบัญชาของข้าเพื่อให้ความศรัทธาของพวกเขานั้นมั่นคง และสิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางที่ดีที่ข้าจะตอบรับ เผื่อว่าพวกเขาทั้งหลายจะเดินตามหนทางที่ถูกต้องทั้งในเรื่องศาสนาและดุนยาของพวกเขา

(187) ก่อนหน้านั้นได้มีการห้ามบุรุษเมื่อได้นอนในคืนที่ถือศีลอดแล้วตื่นขึ้นมาก่อนฟัจร์(ก่อนอาซานซุบฮ์)เพื่อต้องการรับประทานอาหารหรือเข้าใกล้ภรรยาของเขา ดังนั้นอัลลอฮ์จึงยกเลิกข้อห้ามนั้น และได้อนุญาตให้พวกเจ้า (โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย) ซึ่งการสมสู่กับบรรดาภรรยาของพวกเจ้า ในค่ำคืนของการถือศีลอด พวกนางนั้นคือเครื่องนุ่งห่มสำหรับพวกเจ้าและเป็นผู้ปกป้องเกียรติของพวกเจ้า และพวกเจ้าก็คือเครื่องนุ่งห่มและเป็นผู้ปกป้องเกียรติของพวกนาง อัลลอฮ์ทรงรู้ว่า พวกเจ้านั้นเคยอธรรมต่อตัวเองในการปฏิบัติสิ่งที่ได้ห้ามไว้แล้วพระองค์ก็ทรงปรานีและยกโทษให้แก่พวกเจ้าและได้ลดหย่อนให้แก่พวกเจ้าแล้ว บัดนี้พวกเจ้าจงสมสู่กับพวกนางเถิด และแสวงหาสิ่งทีอัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้แก่พวกเจ้าจากการมีทายาท และจงกินและดื่มระหว่างกลางคืนทั้งหมด จนกว่าแสงแห่งรุ่งอรุณได้ปรากฎออกจากความมืดแห่งกลางคืน แล้วพวกเจ้าจงถือศีลอดให้สมบูรณตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกดิน และพวกเจ้าจงอย่าสมสู่กับพวกนาง ขณะที่พวกเจ้าเอียะติกาฟอยู่ในมัสยิด เพราะมันจะทำให้เสีย สิ่งที่ได้กล่าวมานั่นคือขอบเขตของอัลลอฮ์ระหว่างสิ่งที่อนุญาตและสิ่งต้องห้าม ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเข้าใกล้ขอบเขตนั้น แท้จริงแล้วผู้ใดที่เข้าใกล้ขอบเขตของอัลลอฮ์เกรงว่าจะตกในสิ่งต้องห้าม และด้วยคำอธิบายที่ชัดเจนของบทบัญญัติเหล่านั้น อัลลอฮ์ทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยำเกรงต่อพระองค์ด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่พระทรงสั่งใช้และละทิ้งสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม

(188) และคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าจงอย่าได้เอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นในหมู่พวกเจ้าโดยมิชอบ เช่นการลักขโมย การปล้น และการโกง จงอย่าโต้แย้งมันให้แก่ผู้พิพากษา เพื่อที่เจ้าจะกินส่วนหนึ่งจากทรัพย์สมบัติของผู้อื่นด้วยการกระทำสิ่งที่เป็นบาปและพวกเจ้ารู้ว่าอัลลอฮ์นั้นทรงห้ามสิ่งนั้น และการทำบาปทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นที่น่ารังเกียจอย่างยิ่งและมีบทลงโทษที่สาหัส

(189) พวกเขาเหล่านั้นจะถามเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เกี่ยวกับการสร้างและการเปลี่ยนแปลงต่างๆของดวงจันทร์ จงตอบคำถามเกี่ยวกับปัญญาที่อยู่เบื้องหลังการสร้างและการเปลี่ยนแปลงของจันทร์เสี้ยวเถิดว่า มันคือการกำหนดเวลาต่างๆ สำหรับมนุษย์ เพื่อรู้เวลาในการทำอิบาดะฮ์ เช่นเดือนแห่งการประกอบพิธีฮัจญ์ เดือนถือศีลอด และครบรอบการจ่ายซะกาต และเพื่อรู้เวลาการทำธุรกรรม เช่นการตั้งระยะเวลาของหนี้และการจ่ายหนี้ และหาใช่เป็นคุณธรรมไม่ ในการที่พวกเจ้าเข้าบ้านทางหลังบ้านในขณะที่พวกเจ้าครองอิห์รอมประกอบพิธีฮัจญ์หรือพิธีอุมเราะฮ์ เหมือนที่พวกเจ้าได้อ้างไว้ในญาฮิลิยะฮ์ แต่ทว่าคุณธรรมที่แท้จริงนั้นคือผู้ที่ยำเกรงทั้งภายนอกและภายในต่างหาก แต่การที่พวกเจ้าเข้าบ้านทางประตูบ้านนั้นเป็นการง่ายสำหรับพวกเจ้าและห่างไกลจากความยากลำบาก เพราะแท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ได้บังคับพวกเจ้าให้ทำในสิ่งที่ยุ่งยากและลำบากต่อพวกเจ้าเลย และจงทำเป็นเกราะป้องกันระหว่างพวกเจ้ากับการลงโทษของอัลลอฮ์ด้วยการประกอบคุณงามความดี เพื่อที่ว่าพวกเจ้าจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่พวกเจ้าต้องการและรอดพ้นจากสิ่งที่พวกเจ้ากลัว

(190) และพวกเจ้าจงต่อสู้ -เพื่อยกบทบัญญัติของอัลลอฮ์อยู่เหนือสิ่งอื่นใด- กับบรรดาผู้ที่ต่อสู้พวกเจ้าจากผู้ปฏิเสธศรัทธา ที่กีดขวางพวกเจ้าจากศาสนาของอัลลอฮ์และจงอย่าละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์ด้วยการฆ่าเด็กๆ ผู้หญิง และคนชราหรือด้วยการทำลายศพที่ตายและอื่นๆ แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ละเมิดขอบเขตของพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติและตัดสินไว้

(191) และจงฆ่าพวกเขาไม่ว่าพวกเจ้าจะเผชิญหน้าพวกเขา ณ ที่ใดก็ตาม และจงขับไล่พวกเขาออกจากที่ที่พวกเขาเคยขับไล่พวกเจ้าออก คือมักกะฮ์ และความวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วยการกีดขวางผู้ศรัทธาให้ออกห่างจากศาสนาของพวกเขาและการกลับไปสู่การปฏิเสธศรัทธานั้นร้ายแรงยิ่งกว่าการฆ่าเสียอีก และจงอย่าเป็นฝ่ายเริ่มทำการสู้รบกับพวกเขา ณ อัล-มัสยิดิล ฮะรอม เพื่อเป็นการปกป้องเกียรติของมัสยิด จนกว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มต่อสู้กับพวกเจ้าในที่นั้นก่อน และหากพวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มต่อสู้พวกเจ้าแล้ว ก็จงฆ่าพวกเขาเสีย และผลการตอบแทนในลักษณะนี้นั้น คือการฆ่าพวกเขาเมื่อพวกเขาได้ทำการละเมิดใน อัล-มัสยิดิล ฮะรอม มันคือการตอบแทนของผู้ปฏิเสธศรัทธา

(192) แล้วถ้าหากพวกเขายุติการต่อสู้กับพวกเจ้าและยุติการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา พวกเจ้าจงยุติการต่อสู้เช่นกัน แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษสำหรับคนที่กลับเนื้อกลับตัว และไม่ถือเป็นบาปแก่พวกเขาที่ผ่านมา ผู้ทรงเมตตาพวกเขาโดยที่ไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยการลงโทษ

(193) และพวกเจ้าจงสู้รบกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา จนกว่าการตั้งภาคีจากพวกเขา และการขัดขวางผู้อื่นให้ออกห่างจากหนทางของอัลลอฮ์ และการปฏิเสธศรัทธานั้นได้หมดไป และศาสนาที่ปรากฏนั้นคือศาสนาของอัลลอฮ์เท่านั้น ดังนั้นถ้าหากพวกเขายุติสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้าก็จงล้มเลิกการต่อสู้กับพวกเขา เพราะแท้จริงจะไม่มีการเป็นปฏิปักษ์ใดๆ นอกจากแก่บรรดาผู้อธรรมที่ปฏิเสธศรัทธา และขัดขวางผู้อื่นให้ออกไปจากหนทางของอัลลอฮ์เท่านั้น

(194) เดือนที่มีเกียรติที่อัลลอฮ์ทรงอนุญาตให้แก่พวกเจ้าเข้าฮะรอม(อัล-มัสยิดิล ฮะรอม)เพื่อประกอบพิธีอุมเราะฮ์ในปี่ที่เจ็ดนั้น คือการทดแทนเดือนที่มีเกียรติที่พวกเจ้าถูกบรรดามุชริกีน(ผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์)ขับไล่พวกเจ้าออกไปจากฮะรอมในปีที่หก และการละเมิดสิ่งที่มีเกียรติทั้งหลายนั้น เช่น แผ่นดินฮะรอม เดือนอัลฮะรอม และอยู่ในสภาวะที่มีระเบียบ (อิฮ์รอม) สำหรับการแสวงบุญไปยังมัสยิดอัลฮะรอมจะต้องได้รับการลงโทษด้วยกฎแห่งความเท่าเทียมกัน ดังนั้นเมื่อมีคนทำผิดต่อพวกเจ้าในเรื่องใดๆ เหล่านี้ จงปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนที่พวกเขาปฏิบัติต่อพวกเจ้า แต่อย่าทำเกินกว่าที่พวกเขาทำ อัลลอฮ์ไม่รักผู้ที่ทำเกินขอบเขตของพระองค์ จงยำเกรงต่ออัลลอฮ์โดยอย่าทำเกินกว่าที่พระองค์ทรงอนุญาติให้ทำ พึงรู้เถิดว่าอัลลอฮ์ทรงอยู่กับบรรดาผู้ยำเกรงพระองค์เสมอ ประทานความสำเร็จแก่พวกเขาและสนับสนุนพวกเขา

(195) และพวกเจ้าจงบริจาคทรัพย์สินของพวกเจ้าในการเชื่อฟังอัลลอฮ์ ด้วยการญิฮาด(การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ)และอื่นๆและจงอย่าโยนตัวของพวกเจ้าสู่ความพินาศ โดยที่พวกเจ้าล้มเลิกการญิฮาดและใช้ในหนทางของพระองค์หรือโยนตัวของพวกเจ้าที่เป็นเหตุนำไปสู่ความพินาศและจงทำดีในอิบาดะฮ์ต่างๆ ธุรกรรมต่างๆและและศีลธรรมของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ทรงชอบผู้กระทำดีทั้งหลายในทุกเรื่องของพระองค์ และให้ผลบุญที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา และให้ความง่ายดายแก่พวกเขาไปในทางที่ถูกต้อง

(196) และจงทำพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์ให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่ออัลลอฮ์ ตะอาลา เถิด แล้วถ้าพวกเจ้าเจออุปสรรคด้วยการเจ็บป่วยหรือศัตรูซึ่งทำให้พวกเจ้านั้นไม่สามารถที่จะทำพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์อย่างครบถ้วนได้ ก็ให้พวกเจ้าเชือดสัตว์พลีที่หาได้ง่ายเช่น อูฐ วัวหรือแพะ เพื่อพวกเจ้าจะได้อิสระจากการครองอิห์รอมของพวกเจ้าและจงอย่าโกนศีรษะหรือตัดผมจนกว่าสัตว์พลีนั้นจะถึงที่ที่อนุญาตให้เชือดได้ หากเจ้าถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปในเขตอัลหะรอม ก็จงเชือดในทุกที่ที่เจ้าอยู่ แล้วถ้าหากเจ้าไม่ได้ถูกกีดกันก็จงเชือดสัตว์ในเขตอัลหะรอมในวันอีด (วันที่10ของเดือนซุลฮิญะฮ์) หรือวันตัชรีกหลังจากนั้น (วันที่ 11,12,13ของเดือนซุลฮิญะฮ์) แล้วผู้ใดในหมู่พวกเจ้าป่วยลง หรือมีปัญหากับผมหรือศีรษะของเขา เช่น เหาหรืออะไรทำนองนั้น แล้วเขาได้โกนศีรษะของเขาด้วยเหตุนั้นก็ไม่มีความผิดใด ๆ สำหรับเขาและเขาต้องชำระชดเชย ด้วยการถือศีลอดสามวันหรือการให้อาหารแก่ผู้ขัดสนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอัลหะรอมหกคนหรือเชือดแกะและแจกให้ผู้ขัดสนที่อาศัยในเขตอัลหะรอม ถ้าเจ้าไม่อยู่ในสภาวะหวาดกลัว ดังนั้นใครก็ตามที่ประกอบพิธีฮัจญ์ ตะมัตตุอ์ กล่าวคือ ทำอุมเราะฮ์ในเดือนฮัจญ์ และเพลิดเพลินกับสิ่งที่ถูกห้ามไว้ก่อนหน้านี้ระหว่างอิห์รอม จนกว่าเขาจะสวมอิห์รอมอีกครั้งเพื่อทำฮัจญ์ในปีนั้นด้วย เขาควรเชือดสัตว์ฮัดย์ที่เขาหามาได้ ไม่ว่าจะเป็นแพะ หรือรวมหุ้นกันเจ็ดคนแล้วเชือดอูฐ หรือวัว ถ้าเขาไม่สามารถเชือดสัตว์ฮัดย์ได้ เขาต้องถือศีลอดเป็นเวลาสามวันในวันฮัจญ์ และเจ็ดวันหลังจากกลับถึงบ้าน รวมเป็นสิบวัน นั้นคือการแสวงบุญแบบตะมัตตุอ์โดยมีข้อผูกมัดในการเชือดสัตย์ฮัดย์หรือการถือศีลอดสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเชือดได้จะใช้เฉพาะกับผู้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในดินแดนหะรอมและผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้กับดินแดนหะรอมเท่านั้น เพราะผู้ที่อยู่ในแผ่นดินหะรอมพวกเขาไม่จำเป็นต้องทำตะมัตตุอ์ เพราะการอาศัยอยู่ของพวกเขาในแผ่นดินหะรอมทำให้พวกเขาทำเพียงการตอวาฟแทนการตะมัตตุอ์ จงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด โดยปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์และเคารพในขอบเขตของมัน และจงรู้ไว้เถิดว่าอัลลอฮ์นั้นทรงลงโทษผู้ฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์อย่างร้ายแรง

(197) เวลาการทำฮัจญ์นั้นมีหลายเดือนอันเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว โดยเริ่มจากเดือนเซาวาล และหมดในวันที่10 ของเดือนซุลฮิญะฮ์ ใครก็ตามที่ตัดสินใจจะประกอบพิธีฮัจญ์ในเดือนเหล่านั้นและสวมอิหรอมเข้าพิธีฮัจญ์แล้ว ห้ามมีการสมสู่และจุดเริ่มต้นของการสมสู่ และต้องแน่ใจในสิทธิของเขาว่าห้ามออกนอกการเชื่อฟังอัลลอฮ์ด้วยการกระทำบาป เพราะความยิ่งใหญ่ของเวลาและสถานที่ และห้ามไม่ให้มีการถกเถียงกันซึ่งนำไปสู่ความโกรธและการเป็นศัตรูกัน และความดีใดๆ ที่พวกเจ้ากระทำนั้น อัลลอฮ์ทรงรู้ดีและพวกเจ้าจะได้รับผลตอบแทน และพวกเจ้าจงเตรียมเสบียงที่จำเป็นเถิด เช่นอาหารและเครื่องดื่ม และจงรู้ไว้ว่าแท้จริงเสบียงที่ดีที่สุดนั้นคือความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ตะอาลา และพวกเจ้าจงยำเกรงข้าเถิดด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งของข้าและหลีกเลี่ยงจากข้อห้ามของข้า โอ้ ผู้มีปัญญาที่สมบูรณ์ทั้งหลาย!

(198) จะไม่เป็นการบาปใดๆ แก่พวกเจ้า การที่พวกเจ้าจะแสวงหาสิ่งเลี้ยงชีพที่ฮาลาล(สามารถกระทำได้)เช่นการค้าขายหรืออื่นๆในระหว่างการไปทำฮัจญ์ ครั้นเมื่อพวกเจ้าได้ออกจากอะเราะฟาตหลังจากที่พวกเจ้าได้พักอยู่ตรงนั้นในวันที่เก้าของเดือนซุลฮิญะฮ์ไปยังทุ่งมุซดะลิฟะฮ์ ในค่ำคืนที่สิบของเดือนซุลฮิจญะฮ์ ก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ ด้วยการตัสบีห์(การกล่าวซุบฮานัลลอฮ์)และการตะฮ์ลีล(การกล่าว ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์)และการขอดูอาอ์ ณ อัล-มัชอะริลฮะรอม ที่ทุ่งมุซดะลิฟะฮ์ และจงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ ดังที่พระองค์ได้ทรงแนะนำสัญญาณต่างๆทางศาสนาแก่พวกเจ้าไว้ และการประกอบพิธีฮัจญ์ที่บ้านของพระองค์(กะอฺบะฮฺ) และแท้จริงก่อนหน้านั้น พวกเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ที่หลงทางในบทบัญญัติของพระองค์

(199) หลังจากนั้นพวกเจ้าจงออกไปจากอะเราะฟาตที่ที่ผู้คนได้หลั่งไหลกันออกไปเป็นการปฏิบัติตามแบบฉบับของ นบีอิบรอฮีม อลัยฮิสลาม ไม่ใช่เช่นการกระทำของพวกญาฮิลียะฮ์(พวกยุคก่อนอิสลาม)ที่ไม่หยุดพักตรงนั้นและจงขออภัยต่ออัลลอฮ์เถิดในสิ่งที่บกพร่องจากการประกอบพิธีฮัจญ์ของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษจากบ่าวของพระองค์ที่กลับเนื้อกลับตัว ผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ

(200) ครั้นเมื่อพวกเจ้าประกอบพิธีฮัจญ์ของพวกเจ้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว พวกเจ้าก็จงกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ และกล่าวสรรเสริญต่อพระองค์ให้มาก ดังที่พวกเจ้ากล่าวรำลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเจ้าหรือยกย่องพวกเขา หรือกล่าวรำลึกให้มากยิ่งกว่าการรำลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเจ้า เพราะทุกความโปรดปรานนั้นมาจากพระองค์ ซุบหานาฮุ วะตะอาลา และมนุษย์นั้นแตกต่างกันไป บางคนก็มีผู้ปฏิเสธศรัทธาและตั้งภาคีที่ไม่ศรัทธานอกเสียจากชีวิตบนโลกนี้เท่านั้น เขาจะไม่ขอหรือวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของเขานอกจาก การวิงวอนขอความสุขสบาย ความหรูหรา ขอการมีสุขภาพดี มีทรัพย์สมบัติและลูกๆเท่านั้น และพวกเขาจะไม่ได้รับส่วนใดๆในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงเตรียมไว้สำหรับบ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์ในปรโลก เพราะความหลงไหลของพวกเขาต่อการมีชีวิตในโลกนี้ของพวกเขา และไม่สนใจต่อวันอาคิเราะฮ์

(201) และในหมู่ของมวลมนุษย์นั้นมีผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก เขาได้ขอจากพระผู้อภิบาลของเขาถึงความสุขสบายบนโลกนี้และประกอบคุณงามความดี เช่นเดียวกับที่เขาได้ขอให้ได้รับชัยชนะเข้าสรวงสวรรค์ และรอดพ้นจากการลงโทษของไฟนรก

(202) ชนเหล่านี้ที่ขอสิ่งที่ดีทั้งในโลกดุนยานี้และในปรโลก พวกเขาจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่จากสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้ จากผลงานที่ดีในโลกดุนยานี้ และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรวดเร็วในการคำนวณการงานของพวกเขา

(203) และพวกเจ้าจงรำลึกถึงอัลลอฮ์ด้วยการตักบีร(การกล่าวอัลลอฮุอักบัร)และการตะฮ์ลีล(การกล่าวลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์)ในไม่กี่วัน คือวันที่สิบเอ็ด วันที่สิบสอง และวันที่สิบสามของเดือนซุลฮิจญะฮ์ แล้วผู้ใดรีบเร่งจะกลับและออกจากทุ่งมินาหลังจากขว้างเสาหินของวันที่สิบสองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาสามารถทำได้และไม่มีความผิดใดๆ แก่เขา เพราะอัลลอฮ์ได้ลดหย่อนแก่พวกเขา และผู้ใดรั้งรอไปอีกถึงวันที่สิบสามจนกระทั่งขว้างเสาหินเสร็จเรียบร้อย เขาสามารถทำได้ และไม่มีความผิดใดๆ แก่เขา แท้จริงเขาได้ทำสิ่งที่ดีกว่าสมบูรณ์กว่า และปฏิบัติตามแนวทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ที่ได้ปฏิบัติไว้ ทั้งหมดนี้สำหรับผู้ที่มีความยำเกรงอัลลอฮ์ในการทำฮัจญ์ของเขาและเขาได้ทำตามที่อัลลอฮฺทรงบัญชา และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิดด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และหลีกเลี่ยงข้อห้ามของพระองค์ และพึงรู้เถิดว่า พวกเจ้านั้นจะกลับไปหาพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น และพระองค์จะตอบแทนการงานของพวกเจ้า

(204) 204-โอ้นบีเอ๋ย และในหมู่มนุษย์นั้น มีคนมุนาฟิก คนที่คำพูดของเขา ทำให้เจ้าหลงใหลในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกดุนยานี้ และเจ้าจะเห็นว่าเขานั้นพูดดี จนเจ้าเชื่อ คิดว่าเขานั้นมีความจริงใจและคำแนะนำของเขา แต่แท้จริงแล้วจุดประสงค์ของเขาเพื่อปกป้องตัวของเขาและทรัพย์สินของเขาเท่านั้น และเขาจะอ้างอัลลอฮ์เป็นพยาน ทั้งๆที่เขานั้นพูดโกหกในสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเขาเช่นการศรัทธาและความดี และขณะเดียวกันเขาคือศัตรูและเป็นปฏิปักษ์ตัวฉกาจต่อชาวมุสลิม

(205) 205-และเมื่อเขาให้หลังจากเจ้าไปและแยกออกจากเจ้าแล้ว เขาก็เพียรพยายามบนหน้าแผ่นดินนี้ เพื่อก่อความเสียหายด้วยการทำบาปและทำลายพืชผล และฆ่าสัตว์ต่างๆ และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบการก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินและไม่ทรงชอบผู้ก่อความเสียหาย

(206) 206-และเมื่อได้มีการกล่าวแก่ผู้ก่อความหายนะนั้น เพื่อที่จะแนะนำเขาว่า "จงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด" ด้วยการให้ความสำคัญต่อขอบเขตของพระองค์ และหลีกเลี่ยงจากข้อห้ามของพระองค์" ความหยิ่งในเกียรติและความผยองก็จะห้ามเขาที่จะกลับไปหาสัจธรรม และจะกระทำบาปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นบทลงโทษที่เหมาะแก่เขานั้นก็คือนรกญะฮันนัม และมันเป็นที่พำนักและที่อยู่อาศัยที่แสนโหดร้ายสำหรับผู้อยู่อาศัยของมัน

(207) และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้ศรัทธาที่อุทิศชีวิตของเขา โดยทุ่มเทเสียสละชีวิตเพื่อการเชื่อฟังพระผู้อภิบาลของเขา และต่อสู้ในหนทางของพระองค์เพื่อแสวงหาความพอพระทัยของพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเมตตาที่กว้างขวางแก่ปวงบ่าวของพระองค์และผู้ทรงเอ็นดูต่อพวกเขาเสมอ

(208) 208- โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย "จงเข้าสู่อิสลลามโดยสมบูรณ์ และอย่าได้ละทิ้งสิ่งใดๆจากมัน เหมือนกับที่ชาวคัมภีร์(ยิวและคริสต์)ที่ศรัทธาต่อบางส่วนของคัมภีร์และปฏิเสธอีกบางส่วน และจงอย่าตามบรรดาก้าวเดินของชัยฏอน แท้จริงมันคือศัตรูที่ชัดแจ้งของพวกเจ้า

(209) 209-หากพวกเจ้าพลาดพลั้งหรือหลงทางหลังจากหลักฐานที่ชัดเจนมาถึงพวกเจ้าแล้ว จงรู้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพในความสามารถและอำนาจของพระองค์ ทรงปรีชาญาณในการวางแผนจัดการและการบัญญัติพระบัญญัติศาสนาของพระองค์ ดังนั้นจงยำเกรงและถวายเกียรติแด่พระองค์เถิด

(210) 210- และพวกเขาเหล่านั้นที่ตามย่างก้าวของชัยฏอนที่ออกไปจากทางแห่งสัจธรรมนั้น มิได้รอคอยอะไร นอกจากการเสด็จมาของอัลลอฮ์มายังพวกเขาในวันกิยามะฮ์ซึ่งเป็นการเสด็จมาที่เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา ในร่มเงาจากเมฆเพื่อตัดสินระหว่างพวกเขา และมลาอิกะฮ์ได้มายังพวกเขา ล้อมรอบพวกเขาจากทุกด้าน และหลังจากนั้นการตัดสินของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขาได้เกิดขึ้น และเว้นว่างจากเขา และเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งถูกสร้างและกิจการของพวกเขาทั้งหมดนั้นจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลาเพียงผู้เดียวเท่านั้น

(211) 211- โอ้นบีเอ๋ย เจ้าจงถามวงศ์วานของอิสรออีลเพื่อตำหนิพวกเขาดูเถิดว่า "เท่าไรแล้วที่อัลลอฮ์ได้อธิบายถึงสัญญาณที่บ่งบอกถึงความสัจธรรมของบรรดาเราะสูลแก่พวกเจ้า แล้วพวกเจ้าปฏิเสธและคัดค้านมัน และผู้ใดเปลี่ยนแปลงความกรุณาของอัลลอฮ์ด้วยการปฏิเสธศรัทธาและปฏิเสธหลังจากที่ได้รับรู้และหลังการปรากฎของมันแล้ว แน่นอนอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงลงโทษที่รุนแรงสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา

(212) 212 - ชีวิตของโลก ความพอใจจอมปลอม และความเพลิดเพลินชั่วคราวที่มีอยู่ในโลกนี้นั้น ล้วนถูกทำให้ดีสวยงามในสายตาของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และพวกเขาได้เยาะเย้ยต่อบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก ในขณะที่บรรดาผู้ที่เกรงกลัวอัลลอฮ์โดยปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และละทิ้งข้อห้ามของพระองค์จะอยู่เหนือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในปรโลก โดยอัลลอฮ์จะทรงให้บรรดาผู้ยำเกรงได้พำนักในสวรรค์อัดน์ และอัลลอฮ์จะทรงประทานแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยของกำนัลมากมายนับไม่ถ้วน

(213) มนุษย์เคยเป็นประชาชาติเดียวกันที่ตกลงบนเส้นทางที่ถูกต้องเดียวกัน กล่าวคือ ศาสนาของบรรพบุรุษของพวกเขาคืออาดัม จนกระทั่งพวกเขาถูกชัยฏอนทำให้หลง ดังนั้นพวกเขาจึงขัดแย้งกัน บางคนเป็นผู้ศรัทธาและบางคนเป็นผู้ปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์จึงส่งบรรดาเราะสูลเพื่อแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาและเชื่อฟังพระองค์ ด้วยความรักความเมตตาที่อัลลอฮ์สัญญาไว้สำหรับพวกเขา และเพื่อเตือนผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วยการลงโทษอันเจ็บปวดสำหรับพวกเขา และพระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์ลงมาพร้อมกับบรรดาเราะสูลของพระองค์ที่ประกอบด้วยความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เพื่อให้บรรดาเราะสูลได้ใช้ในการตัดสินในประเด็นที่พวกเขาขัดแย้งกัน และไม่มีใครขัดแย้งเกี่ยวกับคัมภีร์อัตเตารอตยกเว้นพวกยิวที่ได้รับความรู้จากเนื้อหาในคัมภีร์หลังจากที่ความจริงของอัลลอฮ์ได้กระจ่างชัดซึ่งพวกเขาไม่สามารถโต้แย้งได้ (แต่พวกเขายังขัดแย้งกัน) เนื่องจากความอธรรมที่เกิดขึ้นจากพวกเขา ดังนั้นอัลลอฮ์จึงทรงแนะนำบรรดาผู้ศรัทธาให้แยกแยะระหว่างความจริงกับความเท็จ ด้วยการอนุมัติและความประสงค์ของพระองค์ และอัลลอฮ์ทรงชี้นำให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์สู่ทางอันเที่ยงตรงซึ่งไม่คดเคี้ยว นั้นคือทางแห่งศรัทธา

(214) 214 -โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย หรือพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ โดยที่ไม่ประสบกับความยากลำบากเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในอดีตก่อนหน้าพวกเจ้า ที่ประสบกับความยากจน ล้มป่วย และความหวาดกลัวต่างๆทำให้พวกเขาประสบกับความระส่ำระสาย จนกระทั่งความทุกข์ยากเหล่านั้นทำให้พวกเขาต้องรีบร้อนขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ จนรอสูลและบรรดาผู้ศรัทธากับเขา ต่างก็กล่าวขึ้นว่า เมื่อไรเล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮ์จะมา? พึงรู้เถิดว่าแท้จริงการช่วยเหลือจากอัลลอฮ์นั้นอยู่ใกล้กับบรรดาผู้ศรัทธาต่อพระองค์ และมอบหมายต่อพระองค์เสมอ

(215) 215- โอ้นบีเอ๋ย บรรดาเศาะฮาบะฮ์ของเจ้าได้ถามเจ้าว่า อะไรที่พวกเขาจะใช้จ่ายในทรัพย์สินที่หลากหลายของพวกเขา? และจะไปไว้ที่ไหน? จงตอบพวกเขาไปเถิดว่า ทรัพย์สินใดๆ ก็ตามที่พวกเจ้าใช่จ่ายไป ในสิ่งที่อนุมัติและเป็นสิ่งที่ดี ก็จงให้แก่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง และแก่ผู้ที่ลำบากที่เป็นญาติใกล้ชิดกับเจ้าตามความเหมาะสม และแก่บรรดาผู้ที่มีความจำเป็นที่ต้องการในทรัพย์สินเช่นเด็กกำพร้า บรรดาคนยากจนที่ไม่มีทรัพย์สิน และผู้ที่อยู่ในการเดินทางที่ไกลจากครอบครัวและแผ่นดินของเขา โอ้ ผู้ศรัทธาเอ๋ย ที่พวกเจ้ากระทำอยู่นั้นจะมากหรือน้อย แท้จริงแล้วอัลลอฮ์ทรงรู้ดี จะไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนไว้ ณ ที่พระองค์และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้า

(216) 216- โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์นั้นได้ถูกบัญญัติแก่พวกเจ้าแล้ว และโดยสัญชาตญาณแล้วสิ่งนี้ไม่เป็นที่พอใจสำหรับจิตวิญญาณของมนุษย์ เพราะมันเรียกร้องสู่การเสียสละทั้งทรัพย์สินและชีวิต แต่บางทีอาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีและให้ประโยชน์แก่พวกเจ้า เช่นการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ ซึ่งสิ่งที่จะได้มาพร้อมกับผลบุญที่ยิ่งใหญ่นั้น คือการได้รับชัยชนะเหนือศัตรูและเป็นการทำให้กะลิมะฮ์ของอัลลอฮ์ (ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ )ได้สูงส่งอีกด้วย และบางทีก็อาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้าชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดีและเป็นภัยร้ายต่อพวกเจ้า เช่นการไม่ออกไปต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ เพราะการไม่ออกไปต่อสู้นั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความตกต่ำและตกอยู่ภายใต้ปกครองของศัตรู และอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้อย่างสมบูรณ์ถึงสิ่งใดดีและสิ่งใดไม่ดี และพวกเจ้าไม่รู้ถึงสิ่งนั้น ดังนั้นจงตอบรับในคำบัญชาของพระองค์เถิด เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเจ้า

(217) 217- โอ้นบีเอ๋ย พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับการทำสงครามในเดือนอันทรงเกียรติ คือเดือนซุลเกาะอ์ดะฮ์ ซุลฮิจญะฮ์ มุฮัรรอมและรอญับ จงตอบพวกเขาเถิดว่า "การทำสงครามในเดือนนั้นถือเป็นบาปมหันต์และเป็นความชั่วร้าย ณ ที่อัลลอฮ์ เช่นเดียวกันกับการที่บรรดาผู้ตั้งภาคีได้ขัดขวางผู้คนให้ออกจากทางของอัลลอฮ์ก็เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นกัน และการกีดกันบรรดาผู้ศรัทธาไม่ให้เข้าไกล้มัสยิดอัลฮะรอมตลอดจนการขับไล่ผู้อยู่อาศัยในมัสยิดอัลฮะรอมออกจากมัสยิดเป็นบาปที่ยิ่งใหญ่กว่า ณ ที่อัลลอฮ์ มากกว่าการสู้รบในเดือนอันทรงเกียรติ และการตั้งภาคีของพวกเขานั้นบาปยิ่งกว่าการฆาตกรรม และบรรดาผู้ตั้งภาคีซึ่งด้วยความอธรรมของพวกเขาก็ยังคงทำสงครามกับพวกเจ้าต่อไป -โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย- จนกว่าพวกเขาจะทำให้พวกเจ้าออกจากศาสนาแห่งสัจธรรมที่แท้จริงของพวกเจ้าไปยังศาสนาเท็จที่อุปโลกน์ขึ้นมาของพวกเขา หากพวกเขาสามารถทำได้ และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าออกจากศาสนาของเขา แล้วตายในขณะที่เขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ การงานที่ดีของพวกเขาจะไร้ผล และในปรโลกเขาจะตกนรกและอยู่ในนั้นตลอดกาล

(218) 218-แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ และบรรดาผู้ที่อพยพออกจากแผ่นดินของพวกเขาไปยังอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ และได้เสียสละทำการต่อสู้เพื่อให้กะลิมะฮ์ของอัลลอฮ์นั้นสูงส่ง พวกเขาคือผู้ที่หวังในความเมตตาของอัลลอฮ์ และการอภัยโทษจากพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษต่อบาปต่างๆของปวงบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ

(219) 219-โอ้นบีเอ๋ย เศาะฮาบะฮ์ของเจ้าจะถามเจ้าเกี่ยวกับน้ำเมา(คือทุกอย่างที่ครอบสติปัญญาและที่ทำให้สติหายไป)ถึงหุก่ม(ของการดื่ม และการซื้อขายน้ำเมา และพวกเขาจะถามเจ้าถึงการพนัน(ทรัพย์สินสิ่งของที่ได้มาด้วยการแข่งขันซึ่งได้รับชดเชยโดยคู่สัญญาที่เกี่ยวข้อง)จงตอบพวกเขาเถิดว่า ในทั้งสองนั้นมีโทษซึ่งทำให้ศาสนาและทางโลกนั้นพินาศอย่างมาก ทั้งทำให้ขาดสติและให้ทรัพย์สินหมดไป และจะจมปักอยู่กับศัตรูและความเกลียดชัง และทั้งสองนั้นมีคุณอย่างน้อยนิด เช่นได้ผลกำไรทางการเงิน แต่โทษและบาปที่จะได้รับจากทั้งสองนั้นมากกว่าคุณของมัน เมื่อโทษของมันนั้นมากกว่าคุณของมันแล้ว คนที่มีความคิดเขาจะหลีกเลี่ยงจากมัน และคำกล่าวนี้มาจากอัลลอฮฺเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการห้ามน้ำเมา โอ้นบีเอ๋ย และเศาะหาบะฮฺจะถามเจ้าถึงปริมาณทรัพย์สินที่พวกเขาจะทำบุญและบริจาค จงตอบพวกเขาเถิดว่า พวกเจ้าจงจ่ายจากทรัพย์สินที่เหลือจากการใช้จ่ายของพวกเจ้า(และแท้จริงแล้วนี่เป็นคำสั่งแรก หลังจากนั้นอัลลอฮฺได้ทรงกำหนดจ่ายซะกาตของทรัพย์สินและด้วยปริมาณที่ถูกกำหนด)และคำกล่าวอันชัดเจนนี้ อัลลอฮฺจะทรงแจกแจงโองการทั้งหลายแก่พวกเจ้าเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ใคร่ครวญ

(220) 220-การที่ได้บัญญัติสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้ไตร่ตรองถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าทั้งในโลกดุนยานี้และปรโลก โอ้นบีเอ๋ย และบรรดาเศาะฮาบะฮ์ของเจ้าจะถามเจ้าเกี่ยวกับหน้าที่ของพวกเขาในเป็นผู้ดูแลเด็กกำพร้า พวกเขาจะปฏิบัติตนและอยู่ร่วมกับเด็กกำพร้าเหล่านั้นอย่างไร?ต้องรวมทรัพย์สินของพวกเขาในการใช้จ่ายบริโภคและที่อยู่อาศัยหรือไม่? จงตอบพวกเขาไปเถิดว่า "ความเต็มใจของพวกเจ้าที่มีต่อพวกเขาด้วยการดูแลทรัพย์สินของพวกเขา โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใดๆ หรือ(นำทรัพย์สิน)ไปรวมกับทรัพย์สินของพวกเขาด้วยกันนั้นเป็นสิ่งดียิ่งสำหรับพวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ์ และได้ผลบุญที่ใหญ่ยิ่ง และเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขาที่มีต่อทรัพย์สินของพวกเขา เพื่อเป็นการเก็บรักษาทรัพย์สินของพวกเขา และหากพวกเจ้าได้อยู่ร่วมกับพวกเขา แล้วเอาทรัพย์สินของพวกเขามารวมกับของพวกเจ้าในการใช้ชีวิต ที่อยู่อาศัยและสิ่งอื่นที่ใกล้เคียงก็ไม่ได้เป็นการผิดใดๆ พวกเขาก็คือพี่น้องร่วมศาสนากับพวกเจ้า และพี่น้องนั้นจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และบางคนจะช่วยในเรื่องของอีกคน และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดีว่าผู้ใดมีเจตนาก่อความเสียหายในหมู่ผู้ดูแลเด็กกำพร้าเหล่านั้น ด้วยการนำทรัพย์สินไปรวมกับทรัพย์สินของเด็กกำพร้า หรือผู้ใดมีเจตนาเพื่อการดูแลจริงๆ และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้พวกเจ้าลำบากในเรื่องของเด็กกำพร้า แน่นอนความลำบากก็จะเกิดขึ้นกับพวกเจ้า แต่พระองค์ทรงให้ความง่ายดายในการอยู่ร่วมกันกับพวกเขา เพราะบทบัญญัติของพระองค์อยู่บนความง่ายดาย แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณในการสร้าง การบริหารจัดการและการการกำหนดบทบัญญัติ

(221) 221-โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้าจงอย่าแต่งงานกับหญิงที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ จนกว่านางจะศรัทธาต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว และนางได้เข้าสู่ศาสนาอิสลาม และแท้จริงแล้วทาสหญิงที่เป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์นั้น ย่อมดีกว่าหญิงอิสระที่กราบไหว้บูชารูปปั้น แม้ว่าความงามและความมั่งคั่งของนางจะเป็นที่ดึงดูดใจของเจ้าก็ตาม และพวกเจ้าจงอย่าได้แต่งงาน(ผู้หญิงมุสลิมะฮ์)กับบรรดาชายที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ และทาสชายที่เป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์นั้นย่อมดีกว่าชายอิสระที่ตั้งภาคี แม้ว่าเขาจะเป็นที่ดึงดูดใจของเจ้าก็ตาม ชนเหล่านี้ที่มีคุณลักษณะของการตั้งภาคี ทั้งหญิงและชาย พวกเขาจะชักชวนด้วยคำพูดและการกระทำของพวกเขาที่นำไปสู่ไฟนรก และอัลลอฮ์นั้นทรงเชิญชวนสู่การประกอบคุณงามความดีที่นำไปสู่สรวงสวรรค์ และสู่การอภัยโทษจากบาปต่างๆด้วยการอนุมัติและความกรุณาของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อว่าพวกเขาจะรับเป็นบทเรียนในสิ่งที่ชี้แนะไว้และปฏิบัติตามมัน

(222) 222-โอ้นบีเอ๋ย พวกเขาจะถามเจ้าเกี่ยวกับประจำเดือน(คือเลือดปกติที่ไหลออกมาจากมดลูกของผู้หญิงในช่วงเวลาที่เฉพาะของมัน?) จงตอบพวกเขาเถิดว่า "มันเป็นสิ่งให้โทษสำหรับผู้ชายและผู้หญิง ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากการสมสู่กับพวกนางในเวลานั้น และจงอย่าเข้าใกล้พวกนางด้วยการร่วมเพศจนกว่าเลือดประจำเดือนของพวกนางจะหมดไป และพวกนางได้ทำความสะอาดด้วยการอาบน้ำวาญิบแล้ว ครั้นเมื่อประจำเดือนได้หมดไปและนางได้ชำระร่างกายสะอาดแล้ว ก็จงสมสู่กับพวกนางทางด้านหน้าของพวกนาง ตามที่ได้อนุญาตแก่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺ์ทรงรักบรรดาผู้ที่มากในการสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวจากการทำบาป และทรงรักบรรดาผู้ที่ใส่ใจในความสะอาดจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย

(223) 223-บรรดาภรรยาของพวกเจ้านั้น คือแหล่งเพาะปลูกของพวกเจ้า พวกนางได้คลอดบุตรให้พวกเจ้า เหมือนกับพื้นดินที่ออกผล ดังนั้นพวกเจ้าจงมายังแหล่งเพาะปลูกของพวกเจ้าคือด้านหน้า(ช่องคลอด) แล้วแต่ด้านไหนและอย่างไรตามแต่พวกเจ้าประสงค์ ถ้าเป็นด้านหน้า และจงประกอบคุณงามความดีเพื่อตัวของพวกเจ้าเอง เช่น การที่ผู้ชายได้สมสู่กับภรรยาของเขาด้วยเจตนาเพื่ออิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ และหวังลูกหลานที่ดี และพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิดด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และหลีกเลี่ยงจากข้อห้ามของพระองค์ หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่ถูกกำหนดสำหรับพวกเจ้าในเรื่องของผู้หญิง และพึงรู้ด้วยว่าแท้จริงพวกเจ้านั้นจะเป็นผู้พบกับพระองค์ในวันกิยามะฮ์ ซึ่งพวกเจ้าจะยืนอยู่ตรงหนัาของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ตอบแทนในการงานของพวกเจ้า โอ้นบีเอ๋ย จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเถิดด้วยสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุขเมื่อพวกเขาได้พบพระผู้อภิบาลของพวกเขา นั่นคือความเพลิดเพลินชั่วนิรันดร์และการได้มองพระพักตร์ของพระองค์

(224) 224-และพวกเจ้าจงอย่าให้คำสาบานต่ออัลลอฮ์นั้นเป็นอุปสรรคขัดขวางพวกเจ้าจากการกระทำความดี การยำเกรง และในการที่พวกเจ้าจะทำการประนีประนอมระหว่างผู้คน หากพวกเจ้าได้สาบานที่จะละทิ้งการทำความดีแล้ว พวกเจ้าจงทำความดีเถิด และจ่ายค่าชดเชย (กัฟฟาเราะฮ์) เนื่องจากการสาบานของพวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินในทุกคำพูดของพวกเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ในทุกการกระทำของพวกเจ้า และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำ

(225) 225-อัลลอฮฺจะไม่ทรงเอาโทษพวกเจ้าเนื่องด้วยคำพูดพล่อยๆที่ไม่มีเจตนาในการสาบานของพวกเจ้า อย่างที่บางคนในหมู่พวกเจ้ากล่าวออกมาว่า "ไม่ใช่ ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์" หรือกล่าวว่า "ใช่ ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์" ก็ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย(กัฟฟาเราะฮ์)และไม่มีโทษใดๆ แต่ทว่าพระองค์จะทรงเอาโทษแก่พวกเจ้า ด้วยการสาบานที่หัวใจของพวกเจ้ามุ่งหมายด้วย และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษบาปของบ่าวของพระองค์ ผู้ทรขันติไม่ทรงรีบเร่งในการลงโทษพวกเขา

(226) 226-สำหรับบรรดาผู้ที่สาบานว่า จะไม่สมสู่ภรรยาของเขานั้น ให้มีการรอคอยไว้ไม่เกินสี่เดือน เริ่มจากวันที่พวกเขาได้สาบาน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ (อัลอีลาอ์) แล้วถ้าหากพวกเขากลับสมสู่ภรรยาของพวกเขาหลังจากที่ได้สาบานว่าจะไม่สมสู่เป็นเวลาสี่เดือนหรือน้อยกว่านั้น แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยเสมอ ทรงอภัยในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจากพวกเขา และพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตาพวกเขาเสมอโดยที่กำหนดให้จ่ายค่าชดเชย(กัฟฟาเราะฮ์)ซึ่งสิ่งนี้เป็นทางออกของคนที่ได้สาบานไว้

(227) 227-และหากพวกเขาปรารถนาการหย่าร้าง ด้วยการละทิ้งการสมสู่กับภรรยาอย่างต่อเนื่องและไม่ต้องการที่จะกลับมาสมสู่อีก แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยินคำพูดของพวกเขา รวมถึงการกล่าวคำหย่า และผู้ทรงรอบรู้ถึงสภาพและความตั้งใจของพวกเขา และจะทรงตอบแทนพวกเขาตามนั้น

(228) 228-และบรรดาหญิงที่ถูกหย่าร้าง พวกนางจะต้องรอคอยตัวของพวกนาง ด้วยการมีประจำเดือนสามครั้ง และห้ามพวกนางแต่งงานในช่วงเวลานั้น และจะไม่เป็นการอนุญาตสำหรับพวกนาง ที่จะปกปิดสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงสร้างไว้ในครรภ์ของพวกนาง นั้นคือการตั้งครรภ์ หากพวกนางศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อวันปรโลก และบรรดาสามีของพวกนางที่ได้หย่าพวกนางนั้นมีสิทธิที่จะนำพวกนางกลับคืนมา(คืนดีกัน)ในช่วงเวลาแห่งการรอคอยของพวกนาง หากพวกเขาปรารถนาที่จะคืนดีกันและลบล้างสิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการหย่าร้างกัน และสำหรับบรรดาภรรยานั้นมีสิทธิและหน้าที่(ที่ตองรับผิดชอบต่อสามี)เช่นเดียวกับบรรดาสามีของพวกนาง(ที่มีสิทธิและหน้าที่รับผิดชอบพวกนาง) ตามความเหมาะสม และ(ในการนั้น)สำหรับผู้ชาย มีความไดเปรียบเหนือกว่าผู้หญิงหนึ่งขั้น นั่นคือการเป็นผู้นำในครอบครัวและการหย่าร้าง และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ไม่มีสิ่งใดสามารถเอาชนะพระองค์ได้ และพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการออกกฏหมายและบริหารจัดการ

(229) 229-การหย่าที่สามีมีสิทธิที่จะกลับมาคืนดีได้นั้นมีสองครั้ง นั้นก็คือการที่เขานั้นได้หย่าครั้งหนึ่งแล้วก็กลับคืนดี หลังจากนั้นก็มีการหย่าอีกครั้งหนึ่งแล้วก็กลับคืนดีอีก หลังจากได้มีการหย่ากันสองครั้ง เขาอาจครองนางให้อยู่ในการดูแลของเขาพร้อมกับการใช้ชีวิตด้วยกันด้วยความชอบธรรม หรือหย่านางเป็นครั้งที่สาม พร้อมด้วยการปฏิบัติดีต่อนางและดูแลรับผิดชอบในด้านสิทธิต่างๆของนาง โอ้บรรดาสามีทั้งหลายเอ๋ย ไม่อนุญาตแก่พวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะเอาสิ่งใดๆ จากสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนาง(มะฮัร) นอกจากในกรณีที่ภรรยานั้นเกลียดสามีของนางจากสาเหตุด้านความประพฤติหรือรูปร่างหน้าตา และจากสาเหตุความเกลียดชังนี้ทำให้ทั้งคู่คิดว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะคู่ครองได้แล้ว ดังนั้นทั้งสองจึงนำเรื่องที่เกิดขึ้นมาเสนอแก่ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับทั้งสองที่มีความสัมพันธ์เป็นญาตที่ไกล้ชิดหรือผู้อื่น ดังนั้นหากผู้ปกครองเกรงว่าพวกเขาทั้งสองไม่สามารถที่จะธำรงไว้ซึ่งสิทธิของแต่ละฝ่ายในฐานะคู่ครองแล้ว ก็ไม่เป็นการผิดอะไรสำหรับทั้งสองที่จะให้ฝ่ายหญิงทำการไถ่ตัวของนางด้วยการมอบทรัพย์สินให้สามีเพื่อแลกกับการหย่ากับนาง นี์คือกฎเกณฑ์ต่างๆทางศาสนาที่แยกระหว่างสิ่งที่ฮะลาล(สิ่งที่อนุมัติ)กับสิ่งที่หะรอม(สิ่งที่ห้าม)จงอย่าละเมิดกฎเกณฑ์นี้ และผู้ใดที่ละเมิดกฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์ระหว่างฮะลาล(สิ่งที่อนุมัติ)และหะรอม(สิ่งที่ห้าม)แล้ว พวกเขาคือผู้ที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองที่นำตัวเองสู่ความหายนะและนำตัวเองสู่ความโกรธกริ้วและการลงโทษของอัลลอฮ์

(230) 230-ถ้าหากสามีของนางได้ทำการหย่านางเป็นครั้งที่สาม ก็จะไม่เป็นที่อนุมัติแก่เขาที่จะแต่งงานกับนางอีก จนกว่านางจะแต่งงานกับชายอื่น ซึ่งเป็นการแต่งงานที่ถูกต้องบนพื้นฐานของความรักซึ่งกันและกัน มีการสมสู่กันจากการแต่งงานนั้นจริง ไม่ใช่แต่งเพื่อทำให้สองคนในอดีตได้เป็นที่อนุมัติแต่งงานกัน แล้วหากสามีคนที่สองนั้นหย่านางหรือเสียชีวิตไป ก็จะไม่เป็นบาปอะไรสำหรับนางและอดีตสามีของนาง ที่จะคืนดีกันใหม่ โดยทำการสัญญาการสมรสใหม่และสินสอดทองหมั้นใหม่ หากเขาทั้งสองมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถดำรงอยู่ภายในกฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์ได้ และนั่นคือกฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้มันเป็นที่แจ่มชัดเพื่อให้มวลมนุษย์รับรู้ถึงกฎเกณฑ์และขอบเขตของพระองค์ เพราะพวกเขานั้นเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากมัน

(231) 231-และเมื่อพวกเจ้าหย่ารางบรรดาสตรีของพวกเจ้า แล้วพวกนางใกล้จะหมดเวลาที่กำหนดแล้ว ดังนั้นพวกเจ้ามีสิทธิ์ที่จะรับพวกนางกลับหรือปล่อยพวกนางไปโดยชอบธรรมจนกว่าระยะเวลารอของพวกนางสิ้นสุดลง และจงอย่ากลับคืนดีกับพวกนางเพื่อมุ่งก่อความเดือดร้อนและทำร้ายพวกนางเหมือนที่คนญาฮิลียะฮ์(คนยุคก่อนอิสลาม)ได้ทำไว้ และผู้ใดกระทำเช่นนั้น แท้จริงแล้วเขาได้อธรรมต่อตัวของเขาเองด้วยการนำตัวเองสู่ความผิดและการลงโทษ และจงอย่าทำให้บรรดาโองการของอัลลอฮ์เป็นที่เยาะเย้ย และหยอกล้อกัน และพึงระลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่ได้ประทานให้แก่พวกเจ้า และความโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเจ้า คือคัมภีร์อัลกรุอานและอัซ-ซุนนะฮ์ พระองค์ทรงตักเตือนพวกเจ้าด้วยสิ่งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริม(ในสิ่งที่ดี)และเป็นการตักเตือน(ให้ห่างไกลจากสิ่งที่ไม่ดี) และพวกเจ้าพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิดโดยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และหลีกเลี่ยงจากข้อห้ามของพระองค์ และพวกเจ้าจงรู้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นไม่มีสิ่งใดเป็นสิ่งซ่อนเร้นสำหรับพระองค์ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าด้วยการงานของพวกเจ้า

(232) 232-และเมื่อพวกเจ้าหย่าบรรดาสตรีของพวกเจ้าที่ยังไม่ถึงสามครั้ง แล้วระยะเวลารอคอยของพวกนางได้หมดลง พวกเจ้า(โอ้บรรดาผู้ปกครองทั้งหลาย) อย่าขัดขวางพวกนาง ในการที่จะกลับคืนดีกับบรรดาสามีของพวกนางด้วยการทำสัญญาและแต่งงานใหม่ ถ้าหากพวกนางมีความปรารถนาเช่นนั้น และพวกนางก็พอใจกับบรรดาสามีของพวกนางในการนั้น(กลับคืนดีกันด้วยการแต่งงานใหม่) บทบัญญัติดังกล่าวที่ประกอบด้วยการห้ามมิให้ขัดขวางพวกนาง เพื่อเป็นการตักเตือนผู้คนในหมู่พวกเจ้าที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละคือสิ่งที่จะทำให้เกิดความดีที่เพิ่มพูนแก่พวกเจ้า และเป็นสิ่งที่ทำให้เกียรติและการกระทำของพวกเจ้า บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน และอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ถึงความจริงของแต่ละสิ่งและผลที่จะตามมา แต่พวกเจ้าไม่รู้

(233) 233-และมารดาทั้งหลายนั้น จะให้นมแก่ลูกๆของนางเป็นเวลาสองปีเต็ม สำหรับผู้ที่ต้องการจะให้ครบถ้วนในการให้นม และหน้าที่ของพ่อเด็กนั้น คือต้องรับผิดชอบปัจจัยยังชีพและเครื่องนุ่งห่มของพวกนาง ตามความเหมาะสมของแต่ละสังคมที่ไม่ผิดต่อหลักศาสนา อัลลอฮ์จะไม่ทรงให้ชีวิตใดต้องแบกรับในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มากกว่ากำลังความสามารถของชีวิตนั้น และไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับคนหนึ่งคนใดที่เป็นบิดามารดาของลูกนั้นที่จะเอาลูกมาเป็นเครื่องมือที่จะก่อความเดือดร้อนให้แก่อีกคน และทายาทของเด็ก - หากบิดาของเขาเสียชีวิตและไม่ทิ้งมรดกไว้ - ก็มีภาระผูกพันเช่นเดียวกับบิดาของเขา และถ้าหากทั้งสองต้องการที่จะให้เด็กหย่านมก่อนกำหนดสองปี ก็จะไม่เป็นการบาปใดๆสำหรับเขาทั้งสองหลังจากที่ทั้งสองได้ตกลงกันและพอใจกันเพื่อประโยชน์ของเด็ก และหากพวกเจ้าประสงค์ที่จะให้มีแม่นมขึ้นแก่ลูกๆ ของพวกเจ้าแล้ว ก็ย่อมไม่มีบาปใดๆแก่พวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าได้ตกลงกับแม่นมที่จะให้ค่าเลี้ยงดูแก่นางโดยชอบธรรม โดยไม่มีการตัดค่าจ้างหรือผัดวันประกันพรุ่ง และจงยำเกรงอัลลอฮ์เถิดด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และหลีกเลี่ยงจากข้อห้ามของพระองค์ และพวกเจ้าพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นจากอัลลอฮ์พระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าในการงานที่พวกเจ้าได้ปฏิบัติมา

(234) 234-และบรรดาผู้ที่เสียชีวิตลงและทิ้งภรรยาที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ไว้นั้น พวกนางจำเป็นที่จะต้องรอคอยตัวของพวกนางเอง เป็นระยะเวลาสี่เดือนกับสิบวัน และห้ามพวกนางออกจากบ้านของสามีและห้ามการแต่งตัวและการแต่งงาน ครั้นเมื่อเวลาของพวกนางครบกำหนดแล้ว ก็จะไม่เป็นเรื่องที่ผิดอะไรสำหรับพวกเจ้า -โอ้ บรรดาผู้ปกครองเอ๋ย- ที่พวกนางจะกระทำเกี่ยวกับตัวของพวกนางซึ่งเป็นสิ่งที่พวกนางได้ถูกห้ามไว้ในช่วงนั้น บนฐานแห่งความเหมาะสมในด้านศาสนาและสังคม และอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ จะไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นจากพระองค์ทั้งภายนอกและภายในของพวกเจ้า และพระองค์จะทรงตอบแทนสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำ

(235) 235-และไม่เป็นเรื่องที่ผิดอะไรสำหรับพวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวเป็นนัยในการขอแต่งงานหญิงที่อยู่ในระยะเวลารอคอยหลังจากที่สามีของนางได้สิ้นชีวิตลงหรือหย่าร้าง โดยไม่เปิดเผยความปรารถนานั้น เช่นการกล่าวว่า "เมื่อใดที่ระยะเวลาที่กำหนดได้สิ้นสุดลง เจ้าจงบอกฉันเถิด" และไม่เป็นเรื่องที่ผิดเช่นกัน ในสิ่งที่พวกเจ้าเก็บงำในใจของพวกเจ้าซึ่งความปรารถนาของพวกเจ้าที่จะแต่งงานกับหญิงที่อยู่ในระยะเวลารอคอยหลังจากที่ระยะเวลารอคอยนั้นได้สิ้นสุดลง อัลลอฮ์ทรงรู้ว่าพวกเจ้าจะคิดถึงนางเพราะความปรารถนาอย่างสูงของพวกเจ้าที่มีต่อนาง ดังนั้นจึงอนุญาตให้กล่าวเป็นนัยโดยไม่เปิดเผยชัดเจน และจงหลีกเลี่ยงการแอบสัญญาว่าจะแต่งงานกัน ในขณะที่นางยังอยู่ในระยะเวลารอคอย นอกจากเป็นคำพูดที่สุภาพที่เป็นที่ยอมรับกัน และจงอย่าปลงใจซึ่งการทำพิธีแต่งงานในช่วงเวลานี้ และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าแอบซ่อนไว้ในหัวใจของพวกเจ้าทั้งสิ่งที่เป็นที่อนุญาตและที่ต้องห้ามสำหรับพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงหลีกเลี่ยงสิ่งต้องห้ามนั้นเถิด และจงอย่าละเมิดคำบัญชาของพระองค์ และพึงรู้ไว้เถิดว่า อัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษบ่าวของพระองค์ที่สำนึกผิด ผู้ทรงผ่อนปรนไม่รีบเร่งต่อการลงโทษ

(236) 236-ไม่เป็นการผิดอะไรสำหรับพวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าหย่าภรรยาของพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้แต่งงาน โดยที่พวกเจ้ายังมิได้สมสู่กับนาง หรือยังมิได้กำหนดมะฮัร(สินสอดทองหมั้น)ใดๆแก่พวกนาง เมื่อพวกเจ้าหย่าพวกนางในลักษณะนี้ ก็ไม่จำเป็นสำหรับพวกเจ้าที่จะต้องจ่ายมะฮัรแก่พวกนาง แต่ที่จำเป็นคือการมอบให้แก่พวกนางซึ่งสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่พวกนาง ที่พวกเจ้าได้ทำลายจิตใจของพวกนาง ตามความเหมาะสมกับสถานะ อาจเป็นการให้มากสำหรับผู้ที่มั่งมี และให้น้อยสำหรับผู้ที่ยากจน และการมอบให้ซึ่งประโยชน์ในลักษณะนี้นั้น ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ผู้กระทำดีทั้งหลายต้องตระหนักต่อการกระทำต่างๆและการคบค้าสมาคมของพวกเขา

(237) 237-และถ้าหากพวกเจ้าหย่าภรรยาของพวกเจ้าที่ได้ทำสัญญาแต่งงานแล้ว ก่อนที่พวกเจ้าจะสมสู่กับพวกนาง และพวกเจ้าได้กำหนดมะฮัร(สินสอดทองหมั้น)แล้ว ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องให้มะฮัร(สินสอดทองหมั้น)แก่พวกนางครึ่งหนึ่งจากมะฮัรที่พวกเจ้ากำหนดไว้ นอกจากว่าพวกนางจะยกให้พวกเจ้า -หากพวกนางบรรลุศาสนภาวะแล้ว- หรือบรรดาสามียอมที่จะยกมะฮัรทั้งหมดแก่พวกนาง และการที่พวกเจ้าอภัยซึ่งกันและกันในสิทธิระหว่างพวกเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงและการเชื่อฟังอัลลอฮ์มากกว่า พวกเจ้า-โอ้มวลมนุษย์เอ๋ย- อย่าละทิ้งการทำคุณซึ่งกันและกันและให้อภัยในสิทธิต่างๆ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ดังนั้นจงมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ดีที่ชอบธรรมเพื่อที่จะได้รับผลบุญจากอัลลอฮ์

(238) 238-พวกเจ้าจงรักษาการละหมาดด้วยพิธีการที่ครบถ้วนสมบูรณ์ดังที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาไว้ และจงรักษาละหมาดที่อยู่กึ่งกลางระหว่างละหมาดทั้งหลาย นั้นก็คือละหมาดอัสรี และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์ในละหมาดของพวกเจ้าด้วยการยืนที่นอบน้อมถ่อมตน

(239) ถ้าหากพวกเจ้ากลัวศัตรูหรืออื่น ๆ และไม่สามารถที่จะประกอบพิธีละหมาดอย่างครบถ้วนได้ พวกเจ้าก็จงละหมาดพลางเดินด้วยเท้าหรือขี่อูฐ ม้า และพาหนะอื่น ๆ หรือในลักษณะที่พวกเจ้าสามารถละหมาดได้ ครั้นเมื่อพวกเจ้าปลอดภัยแล้ว จงรำลึกถึงอัลลอฮ์ดังที่พระองค์ทรงสอนพวกเจ้า ระลึกถึงพระองค์อย่างครบถ้วนที่สุดในการละหมาด นอกจากนี้ จงระลึกถึงพระองค์ที่ได้ทรงสอนพวกเจ้าได้รู้จักทางนำและทางสว่างแก่พวกเจ้าซึ่งพวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน

(240) 240-และบรรดาผู้ที่จะถึงแก่ชีวิตลงในหมู่พวกเจ้า และละทิ้งคู่ครองไว้นั้น จงให้มีพินัยกรรมไว้แก่คู่ครองของพวกเขาซึ่งสิ่งอำนวยประโยชน์แก่นาง เช่นที่อยู่อาศัย และค่าครองชีพถึงหนึ่งปี อย่าทำให้พวกนางไม่ได้สืบทอดจากพวกเจ้า มันเป็นสิ่งที่พวกนางควรจะได้รับในสิ่งที่เกิดขึ้นต่อพวกนาง และเป็นความจงรักภักดีสำหรับผู้ตาย แต่ถ้าพวกนางออกไปเองก่อนที่ครบกำหนดหนึ่งปี ก็ไม่เป็นบาปใดๆแก่พวกเจ้าและพวกนาง ในสิ่งที่พวกนางได้กระทำในส่วนตัวของพวกนางด้วยการแต่งตัวประดับตัวให้สวยและใส่น้ำหอม และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพที่เหนือกว่าสิ่งใด ผู้ทรงปรีชาญาณในการบริหารจัดการ การกำหนดบัญญัติทางศาสนา และการกำหนดสภาวการณ์ และนักอัฐฐาธิบายอัลกุรอานส่วนใหญ่ได้เห็นว่าหุก่มของโองการนี้ได้ถูกยกเลิกด้วยโองการที่อัลลอฮฺตรัสไว้ใน ซุเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ 234 ความว่า (และบรรดาผู้ที่ถึงแก่ชีวิตลงในหมู่พวกเจ้าและทิ้งคู่ครองไว้นั้น พวกนางจะต้องรอคอยตัวของพวกนางเอง สี่เดือนกับสิบวัน)

(241) 241-และสำหรับบรรดาหญิงที่ถูกหย่านั้นจะได้รับสิ่งอำนวยประโยชน์ เช่นเครื่องนุ่งห่มหรือทรัพย์สินเงินทองและอื่นๆ บังคับต้องให้แก่พวกนางจากการสูญเสียความรู้สึกของการหย่าร้าง ตามความชอบธรรมโดยการคำนึงถึงสภาพของสามีที่มีน้อยหรือมาก และหุก่มนี้เป็นสิทธิหน้าที่ที่มั่นคงสำหรับผู้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺทั้งหลาย ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และหลีกเลี่ยงจากข้อห้ามของพระองค์

(242) 242-ตามที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น อัลลอฮ์จะอธิบายแก่พวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย- เกี่ยวกับโองการต่างๆของพระองค์ที่ประกอบด้วยขอบเขตและข้อกำหนดต่างๆของพระองค์ เพื่อที่พวกเจ้าจะได้เข้าใจและปฏิบัติตามนั้น แล้วพวกเจ้าจะได้พบความสุขในโลกนี้และในโลกหน้า

(243) 234-โอ้นบีเอ๋ย เจ้ามิได้รับรู้บรรดาผู้ที่ออกจากบ้านของพวกเขาดอกหรือ ที่พวกเขานั้นได้กลัวความตายมากเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคหรืออื่นๆ พวกเขาคือกลุ่มหนึ่งจากวงศ์วานของอิสราอีล และอัลลอฮ์ได้ตรัสแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าทั้งหลายจงตายเสียเถิด แล้วพวกเขาก็ตาย หลังจากนั้นพระองค์ทำให้พวกเขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพื่อต้องการแสดงให้พวกเขาได้เห็นว่า ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และพวกเขาไม่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและไม่มีอำนาจที่จะยับยั้งสิ่งที่เป็นโทษได้ อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปรานีและทรงโปรดปรานแก่มนุษย์เสมอ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่เนรคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์

(244) 244-โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้าจงต่อสู้กับศัตรูของอัลลอฮ์เถิด เพื่อชัยชนะแก่ศาสนาของพระองค์และเพื่อยกกะลิมะฮฺ (ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์) ของพระองค์ และพึงรู้ด้วยว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินในคำพูดของพวกเจ้า ผู้ทรงรอบรู้เจตนาและการกระทำของพวกเจ้า และพระองค์จะทรงตอบแทนการกระทำของพวกเจ้า

(245) 245-มีใครบ้างไหมที่ทำงานเป็นผู้ให้ยืม แล้วเขาได้ใช้จ่ายทรัพย์สินของเขาในหนทางของอัลลอฮ์ด้วยเจตนาที่ดีและจิตวิญญาณที่ดี เพื่อที่จะให้ทรัพย์สินได้กลับคืนแก่เขามากมายหลายเท่า และอัลลอฮ์ทรงทำให้ปัจจัยยังชีพและการมีสุขภาพที่ดีและอื่นๆนั้นคับแคบลง และทรงทำให้กว้างขวางเช่นกัน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยความปรีชาญานและความยุติธรรมของพระองค์ และยังพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่พวกเจ้าจะถูกนำกลับไปในปรโลก และพระองค์จะทรงตอบแทนในการงานของพวกเจ้า

(246) 246-โอ้นบีเอ๋ย เจ้ามิได้รับรู้ถึงเรื่องราวของเหล่าบรรดาผู้มีอำนาจในหมู่วงศ์วานอิสรออีลหลังจากยุคของมูซา อลัยฮิสะลามหรอกหรือ? ขณะที่พวกเขาได้กล่าวแก่นบีของพวกเขาว่า "โปรดแต่งตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งให้แก่พวกเราเถิด พวกเราจะได้ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์" แล้วนบีของพวกเขาได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "อาจเป็นไปได้ว่าพวกเจ้าจะไม่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ ถ้าหากการสู้รบได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้า"พวกเขาปฏิเสธข้อสันนิษฐานของนบีของพวกเขาโดยกล่าวว่า "อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เราไม่ต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์เมื่อเรามีเหตุผลหนักแน่นที่จะต่อสู้ ศัตรูที่ได้ขับไล่พวกเราจากบ้านเกิดและจับลูกหลานของพวกเราเป็นเชลย ดังนั้นเราจะต่อสู้เพื่อเอาบ้านเกิดของเรากลับคืนมาและปลดปล่อยลูกๆ ของเราที่พวกเขาถูกจับไปเป็นเชลย” แล้วเมื่ออัลลอฮ์ได้กำหนดให้พวกเขาซึ่งการสู้รบ พวกเขาก็ผินหลังให้ เว้นแต่ส่วนน้อยเท่านั้นจากพวกเขา และอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ถึงบรรดาผู้อธรรมและผินหลังให้จากพระบัญชาของพระองค์ และทำผิดสัญญาของพระองค์ และจะทรงตอบแทนพวกเขาอย่างยุติธรรม

(247) 247-และนบีของพวกเขาได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงแต่งตั้งฏอลูตมาเป็นกษัตริย์แก่พวกเจ้าแล้วเพื่อให้พวกเจ้าต่อสู้ภายใต้ร่มธงของเขา" บรรดาแกนนำของพวกเขาไม่เห็นด้วยและคัดค้านการคัดเลือกนี้โดยกล่าวว่า "เขาจะมีอำนาจเหนือพวกเราได้อย่างไร? ทั้งๆที่พวกเราเป็นผู้ที่เหมาะสมกับอำนาจนั้นยิ่งกว่าเขา เขาไม่ได้เป็นลูกหลานของกษัตริย์และเขาไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายเพื่อเป็นทางสู่การเป็นกษัตริย์?!" นบีของพวกเขาได้กล่าวว่า "อัลลอฮ์ได้ทรงคัดเลือกเขาให้มีอำนาจเหนือพวกเจ้าแล้ว และได้ทรงเพิ่มให้แก่เขาอีกซึ่งความกว้างขวางในความรู้ และพลังของร่างกายอย่างมหาศาล และอัลลอฮ์นั้นจะทรงประทานอำนาจของพระองค์ให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความปรีชาญานและความเมตตาของพระองค์ และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงโปรดปรานที่กว้างขวางให้กับคนที่พระองค์ทรงประสงค์ ผู้ทรงรอบรู้คนที่สมควรที่จะได้รับ"

(248) 248-และนบีของพวกเขาได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "แท้จริงสัญญาณแห่งความจริงของการเลือกเขาให้เป็นกษัตริย์ของพวกเจ้านั้น คืออัลลอฮ์จะทรงนำหีบกลับมาหาพวกเจ้า ซึ่งเป็นหีบที่วงค์วานของอิสรออีลได้ยกย่องและได้ถูกยึดไปจากพวกเขา ซึ่งในหีบนั้น มีความสงบที่มาพร้อมกับมัน และมีบางสิ่งที่มาจากวงศ์วานของมูซา และวงศ์วานของฮารูนได้ละทิ้งไว้ เช่นไม้เท้าและบางส่วนของแผ่นจารึก แท้จริงในเรื่องนั้นมีสัญญาณหนึ่งแน่นอนสำหรับพวกท่าน หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง"

(249) 249-ครั้นเมื่อฏอลูตได้นำกำลังทหารออกไปจากหมู่บ้าน เขาได้แก่พวกเขาว่า "แท้จริงอัลลอฮ์จะเป็นผู้ทดสอบพวกเจ้า ด้วยแม่น้ำสายหนึ่ง ผู้ใดดื่มน้ำจากแม่น้ำนั้น เขาจะไม่ใช่พวกของฉัน และเขาจะต้องไม่ออกรบพร้อมกับฉัน และผู้ใดที่ไม่ดื่มน้ำจากแม่น้ำนั้นแท้จริงเขานั้นเป็นพวกของฉัน และจะออกรบพร้อมกับฉัน นอกจากคนที่จำเป็นที่ต้องดื่มก็จงดื่มเท่าที่มือของเขาวักน้ำขึ้นได้เท่านั้น ก็จะไม่เป็นการผิดใดๆต่อเขา" และแล้วบรรดาทหารของเขาเหล่านั้นก็ดื่มน้ำจากแม่น้ำนั้น นอกจากส่วนน้อยในหมู่พวกเขาเท่านั้นที่อดทนไม่ดื่มน้ำถึงแม้จะกระหายน้ำเป็นอย่างมากก็ตาม ครั้นเมื่อฏอลูตและบรรดาผู้ศรัทธาที่ร่วมอยู่กับเขาได้ข้ามแม่น้ำนั้นไป ทหารของเขาบางคนได้กล่าวว่า "วันนี้พวกเราไม่มีกำลังใดๆจะต่อสู้กับญาลูตและบรรดาไพร่พลของเขา" และในขณะนั้นบรรดาผู้ที่มีความเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะต้องพบกับอัลลอฮ์ในวันปรโลกได้กล่าวว่า "กี่มากน้อยแล้วที่กลุ่มผู้ศรัทธาที่มีจำนวนน้อยกว่า เอาชนะกลุ่มผู้ปฏิเสธศรัทธาที่มีจำนวนมากกว่า ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์และความช่วยเหลือของพระองค์ และบทเรียนที่จะได้รับชัยชนะนั้นอยู่ที่ความศรัทธาไม่ใช่ที่จำนวน และอัลลอฮ์นั้นทรงอยู่กับบ่าวของพระองค์ที่มีความอดทนทั้งหลาย พระองค์จะทรงสนับสนุนและช่วยเหลือพวกเขา"

(250) 250-และเมื่อพวกเขาได้ออกไปประจัญหน้ากับญาลูต และบรรดาไพร่พลของเขาแล้ว พวกเขาก็ได้วิงวอนต่ออัลลอฮฺ ว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดทรงประทานความอดทนแก่หัวใจของเรา และโปรดให้เท้าของเราได้ยืนหยัดมั่นคง เราจะได้ไม่หนีและไม่พ่ายแพ้ต่อหน้าศัตรูของเรา และโปรดทรงช่วยพวกเราด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์และการสนับสนุนของพระองค์ให้ชนะเหนือพวกปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย"

(251) 251-ดังนั้นด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์พวกเขาก็สามารถปราบบรรดาผู้ปฏิเสธได้อย่างราบคาบ และดาวูดได้ฆ่าญาลูตซึ่งเป็นหัวหน้าของพวกเขา และอัลลอฮ์ได้ทรงประทานตำแหน่งการเป็นกษัตริย์และเป็นนบี และได้สอนวิชาความรู้ต่างๆแก่เขาที่พระองค์ทรงประสงค์ และได้มอบให้แก่เขาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์ในโลกนี้และในปรโลก และถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะวิถีแห่งกฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์ในการปกป้องมนุษย์บางกลุ่มจากจากความชั่วของอีกบางกลุ่ม แน่นอนแผ่นดินนี้ย่อมเสื่อมเสีย เพราะตกอยู่ภายใต้การจัดการของบรรดาคนชั่ว แต่อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นผู้มีพระคุณแก่ทุกสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย

(252) 252-โอ้นบีเอ๋ย นั้นแหละคือบรรดาโองการที่ชัดแจ้งของอัลลอฮฺซึ่งเราได้อ่านโองการเหล่านั้นให้เจ้าฟังที่ประกอบไปด้วยความจริงที่เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ และประกอบด้วยความยุติธรรมด้านการตัดสิน และแท้จริงเจ้านั้นเป็นผู้หนึ่งในบรรดาเราะสูลทั้งหลาย จากผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก

(253) บรรดาเราะสูลเหล่านั้นที่เราได้บอกเล่าให้แก่เจ้านั้น บางคนจากพวกเขาเราได้ให้ความประเสริฐเหนือกว่าบางคน ในเรื่องของวะห์ยู บรรดาผู้ติดตาม และยศศักดิ์ บางคนเป็นผู้ที่อัลลอฮ์สนทนาด้วย เช่น ท่านนบีมูซา อลัยฮิสสลาม และบางคนเป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลื่อนยศศักดิ์ให้สูงขึ้นหลายขั้น เช่น ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยท่านได้ถูกส่งมายังมนุษยชาติทั้งมวล และให้ท่านเป็นนบีท่านสุดท้าย และได้ให้ประชาชาติของท่านประเสริฐกว่าประชาชาติอื่น และเราได้ประทานหลักฐานอันชัดแจ้ง(ปาฏิหาริย์)แก่อีซาบุตรของมัรยัมที่แสดงถึงการเป็นนบีของท่าน เช่น การให้คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมา การรักษาคนตาบอด การรักษาคนเป็นโรคเรื้อน และเราได้เสริมกำลังแก่เขาโดยให้ญิบรีลเป็นผู้สนับสนุนในการดำรงคำสั่งของอัลลอฮ์ และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์แล้วไซร้ บรรดากลุ่มคนที่มาหลังจากบรรดาเราะสูลคงจะไม่ฆ่าฟันกัน หลังจากที่หลักฐานต่างๆ อันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาแล้ว แต่ทว่าพวกเขาขัดแย้งกัน แล้วพวกเขาก็แตกแยกกัน บางคนก็ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และบางคนก็ปฏิเสธที่จะศรัทธาต่อพระองค์ และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ที่ไม่ให้พวกเขาจะฆ่าฟันกัน พวกเขาก็ไม่ฆ่าฟันกัน แต่ทว่าอัลลอฮฺทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์จะทรงนำทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์สู่การศรัทธา ด้วยความเมตตาและความโปรดปรานของพระองค์ และให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงออกจากแนวทางที่ถูกต้อง ด้วยความยุติธรรมและความปรีชาญานของพระองค์

(254) โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย พวกเจ้าจงบริจาคส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า จากทรัพย์สินต่างๆที่ฮะลาล ก่อนที่วันกิยามะฮ์จะมาถึง ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ไม่มีการซื้อขายที่มนุษย์จะได้รับประโยชน์จากมัน ไม่มีความเป็นมิตรที่จะยังประโยชน์ในเวลาที่คับขัน และไม่มีคนกลางที่จะคอยปกป้องจากอันตรายหรือให้ประโยชน์ใดๆ เว้นแต่หลังจากได้รับอนุญาตจากอัลลอฮ์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และพอพระทัยแล้วเท่านั้น และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น พวกเขาคือเหล่าผู้อธรรมที่แท้จริง เนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาต่ออัลลอฮ์ตะอาลา

(255) อัลลอฮ์คือผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกเคารพสักการะอันเที่ยงแท้ นอกจากพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ผู้ทรงมีชีวิต ด้วยชีวิตที่สมบูรณ์ไม่มีการตายและไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ผู้ทรงดำรงด้วยพระองค์เองไม่ต้องพึ่งพาเหล่าสิ่งถูกสร้างของพระองค์ และสิ่งถูกสร้างทั้งหมดจะต้องพึ่งพาพระองค์ตลอดเวลาไม่สามารถขาดได้ การง่วงและการนอนไม่สามารถทำอะไรพระองค์ได้ เนื่องด้วยความสมบูรณ์ของการมีชีวิตและการยืนยงของพระองค์ อำนาจของสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีผู้ใดที่จะมีอำนาจในการขอความช่วยเหลือ ณ ที่พระองค์แก่คนอื่นได้ เว้นแต่หลังจากการอนุมัติและพอพระทัยของพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่เป็นอดีตจากกิจการต่างๆของสิ่งถูกสร้างที่ได้เกิดขึ้นแล้ว และสิ่งที่เป็นอนาคตของพวกเขาที่ยังไม่เกิดขึ้น และพวกเขาจะไม่สามารถล่วงรู้สิ่งใดๆจากความรอบรู้ของพระองค์ เว้นแต่สิ่งทีพระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขารู้ กุรซีย์ของพระองค์นั้นกว้างขวาง ซึ่งกุรซีย์นั้นคือที่วางเท้าทั้งสองของพระองค์ ซึ่งมันแผ่กว้างเท่าความกว้างใหญ่และยิ่งใหญ่ของชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และการรักษามันทั้งสอง(ชั้นฟ้าและแผ่นดิน)ก็ไม่เป็นภาระหนักอึ้งแก่พระองค์ และพระองค์นั้นคือผู้ทรงสูงส่ง ในด้านตัวตนและลักษณะของพระองค์ สูงส๋งด้านการกำหนดการต่างๆของพระองค์และด้านเดชานุภาพของพระองค์ และผู้ทรงยิ่งใหญ่ ในอำนาจและการปกครองของพระองค์

(256) ไม่มีการบังคับในการเข้ารับศาสนาอิสลามแก่ผู้ใด เพราะอิสลามคือศาสนาอันเที่ยงแท้และชัดเจน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดๆในการบังคับใครเข้าศาสนา ความถูกต้องและความผิดได้ถูกแยกแยะออกจากกันแล้ว ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธสิ่งที่ถูกเคารพสักการะต่างๆ อื่นจากอัลลอฮ์และปลีกตัวออกห่างจากสิ่งเหล่านั้น และศรัทธาต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว แน่นอนเขาได้ยึดมั่นกับศาสนาด้วยการยึดมั่นต่อสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่เป็นสาเหตุที่ทำให้รอดปลอดภัยในวันกิยามะฮ์ และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงได้ยินในทุกคำพูดของบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงรอบรู้ในทุกการกระทำของพวกเขา และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาในสิ่งที่ได้กระทำไว้

(257) อัลลอฮ์ทรงปกครองบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์ ทรงทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ทรงช่วยเหลือพวกเขา และนำพวกเขาออกจากบรรดาความมืดมิดของการปฏิเสธศรัทธาและความโง่เขลา สู่แสงสว่างของการศรัทธาและความรู้ ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น ผู้ปกครองของพวกเขาคือบรรดาภาคีและเจว็ดทั้งหลาย ผู้ซึ่งทำให้การปฏิเสธนั้นเป็นสิ่งดีงามสำหรับพวกเขา แล้วมันก็นำพวกเขาออกจากแสงรัศมีของการศรัทธาไปสู่บรรดาความมืดมิดของการปฏิเสธและความโง่เขลา พวกเขาเหล่านั้นคือบรรดาชาวนรก และพวกเขาก็จะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล

(258) โอ้นบีเอ๋ย เจ้าเห็นถึงความแปลกประหลาดที่เกิดจากความโอหังของผู้อธรรม ผู้ซึ่งโต้เถียงกับอิบรอฮีมในเรื่องการเป็นพระผู้ทรงอภิบาลของอัลลอฮ์และการเป็นพระเจ้าองค์เดียวของพระองค์หรือไม่ เรื่องมันเกิดขึ้นเพียงเพราะว่าอัลลอฮ์ได้ทรงประทานอำนาจให้แก่เขา จึงทำให้เขาดื้อดึงละเมิด ดังนั้นท่านนบีอิบรอฮีมจึงชี้แจงคุณลักษณะของพระผู้อภิบาลของเขา โดยกล่าวว่า "พระผู้อภิบาลของฉันคือผู้ทรงทำให้ทุกสิ่งมีชีวิต และให้ทุกสิ่งตาย" ผู้อธรรมคนนั้นตอบกลับอย่างดื้อดึงว่า "ฉันก็ทำให้เป็นและทำให้ตายได้" โดยการฆ่าผู้ที่ฉันต้องการ และปล่อย(ไม่ฆ่า) ผู้ที่ฉันต้องการ แล้วท่านนบีอิบรอฮีมก็ได้นำหลักฐานอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่ามาแสดงให้เขาเห็น โดยกล่าวแก่เขาว่า "แท้จริงพระผู้อภิบาลของฉัน ผู้ซึ่งฉันเคารพสักการะนั้น พระองค์ทรงนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันออก ดังนั้นท่านจงนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันตกซิ" แล้วผู้อธรรมผู้นั้นก็ตกอยู่ในความงงงวยและอัปจนปัญญาที่จะต่อกรกับหลักฐานอันทรงพลังอันนี้ได้ และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงประทานแนวทางที่ถูกต้องแก่บรรดาผู้อธรรม เพื่อสู่แนวทางของพระองค์ อันเนื่องจากความอธรรมและความดื้อดึงละเมิดของพวกเขาเอง

(259) หรือเจ้ารู้เรื่องราวที่ของผู้ที่ได้เดินผ่านมายังเมืองหนึ่ง ซึ่งหลังคาของเมืองนั้นได้ถล่มลงมา และพนังของมันได้พังทลาย และผู้อาศัยก็ได้ตายกันหมด แล้วเมืองนั้นก็กลายเป็นเมืองเปลี่ยวเมืองร้าง ชายคนนั้นก็ได้กล่าวอย่างประหลาดใจว่า "อัลลอฮ์จะทรงทำให้ชาวเมืองนี้มีชีวิตขึ้นมาอีกได้อย่างไร หลังจากที่มันได้ตายและพินาศไปแล้ว?!" แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงทำให้เขาตายไป เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี แล้วได้ทรงทำให้เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และได้ถามเขาว่า "เจ้าได้พำนักเป็นเวลาเท่าใด? เขากล่าวตอบว่า "ฉันได้พำนักเป็นเวลาหนึ่งวันหรือบางส่วนของวันเท่านั้น" พระองค์ทรงกล่าวว่า "ไม่ใช่ แต่ว่าเจ้าได้พำนักเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีเต็ม เจ้าจงมองดูอาหารและเครื่องดื่มของเจ้าที่เจ้านำติดตัวมา มันยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งที่อาหารและเครื่องดื่มนั้นมันจะเสียง่ายอย่างรวดเร็ว และจงมองดูลาของเจ้าที่มันตายไปแล้ว เพื่อเราจะได้ทำให้เจ้า เป็นหลักฐานอันชัดแจ้งแก่มนุษยชาติที่แสดงถึงเดชานุภาพของอัลลอฮ์ในการให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ จงมองไปยังกระดูกของลาที่มันกระจัดกระจายไป เราได้ยกมันขึ้นมาและประกอบร่างของมัน แล้วก็ให้เนื้อมาหุ้มกระดูกไว้ และเราได้ทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเขาได้เห็นอย่างนั้น ทำให้ความจริงได้เป็นที่ประจักษ์แก่เขา และทำให้เขาได้รู้ถึงเดชานุภาพของอัลลอฮ์ แล้วเขาก็ได้กล่าวอย่างยอมจำนนว่า "ฉันรู้แล้วว่าอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง"

(260) โอ้นบีเอ๋ย จงรำลึก ขณะที่อิบรอฮีม อลัยฮิสลาม กล่าวว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของข้า โปรดให้ข้าได้เห็นด้วยตาของข้า ถึงวิธีการทำให้สิ่งที่ตายไปแล้วกลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งได้อย่างไร อัลลอฮ์ทรงตรัสแก่เขาว่า "เจ้าไม่เชื่อต่อเรื่องนั้นใช่ไหม?" อิบรอฮีมตอบว่า "ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าเชื่ออย่างแน่นอน แต่เพื่อเพิ่มความสงบนิ่งให้แกหัวใจของข้าเท่านั้น" แล้วอัลลอฮ์ก็ได้สั่งแก่เขาว่า "เจ้าจงนำนกมาสี่ตัว แล้วมารวมไว้ที่เจ้า แล้วทำการสับมันให้เป็นชิ้นๆ และจงนำชิ้นส่วนแต่ละชิ้นของมัน ไปวางไว้ตามภูเขาแต่ละลูก ที่อยู่รอบๆตัวเจ้า และจงเรียกพวกนกนั้นกลับมาหาเจ้า มันจะกลับมาหาเจ้าอย่างรีบเร่ง โดยมันได้กลับมามีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง อิบรอฮีมเอ๋ย เจ้าจงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพในอำนาจของพระองค์ และทรงปรีชาญาณในกิจการของพระองค์ ในด้านการบัญญัติ และการสร้าง

(261) อุปมาผลบุญของบรรดาผู้ศรัทธาที่บริจาคทรัพย์สินของพวกเขาในหนทางของอัลลอฮ์ อุปมัยดั่ง เมล็ดพันธุ์เมล็ดหนึ่งที่ชาวไร่ได้ปลูกไว้ในดินที่ดี แล้วมันก็งอกเงยขึ้นเป็นเจ็ดรวง ซึ่งในแต่ละรวงนั้นมีหนึ่งร้อยเมล็ด และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเพิ่มพูนผลบุญทวีคูณให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงให้รางวัลพวกเขาอย่างไม่คิดคำนวณ และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงกว้างขวางในความโปรดปรานและการให้ ผู้ทรงรอบรู้ว่าผู้ใดสมควรได้รับผลบุญทวีคูณ

(262) บรรดาผู้ซึ่งบริจาคทรัพย์สินของพวกเขาในการเชื่อฟังอัลลอฮ์และเพื่อความพอพระทัยของพระองค์ เมื่อพวกเขาบริจาคไป แล้วพวกเขาก็ไม่ทำในสิ่งที่เป็นเหตุแห่งการลบล้างผลบุญของการบริจาคนั้น ไม่ว่าจะเป็นการล้ำเลิกต่อผู้อื่นด้วยการพูดและการกระทำ สำหรับพวกเขานั้นคือรางวัลของพวกเขา ณ ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาจะไม่มีความกลัวใดๆต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า และไม่มีความโศกเศร้าใดๆกับสิ่งที่ได้ผ่านมาในอดีต เนื่องด้วยความสุขที่ล้นหลามของพวกเขา

(263) คำพูดที่ดีที่สามารถส่งความสุขเข้าสู่หัวใจของผู้ศรัทธา และการให้อภัยแก่ผู้ที่ทำร้ายเจ้านั้น ย่อมประเสริฐกว่าการบริจาคทานที่ตามด้วยการก่อความเดือดร้อนด้วยการไปล้ำเลิกแก่ผู้ที่รับบริจาค และอัลลอฮ์คือผู้ทรงมั่งมี (ทรงอยู่เหนือการพึ่งพาใดๆจากปวงบ่าวของพระองค์) ผู้ทรงสุขุมหนักแน่น ไม่ทรงเร่งรีบลงโทษพวกเขา

(264) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย พวกเจ้าอย่าได้ลบล้างผลบุญของการบริจาคของพวกเจ้า ด้วยการล้ำเลิกบุญคุณหรือการก่อความเดือดร้อนแก่ผู้รับบริจาค ผู้ที่กระทำเช่นนั้น ก็เปรียบดั่งเช่นผู้ที่บริจาคทรัพย์สินของเขาโดยมีเจตนาเพื่ออวดผู้คน ให้ผู้คนชมเชยเขา และเขาก็คือผู้ปฏิเสธศรัทธา ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ อีกและต่อวันกิยามะฮ์และต่อการตอบแทนและการลงโทษที่มีในวันกิยามะฮ์ อุปมาเขาคนนั้น เสมือนดั่งหินเกลี้ยงที่มีฝุ่นจับ แล้วหินนั้นก็ได้ประสบกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนักแล้วฝนนั้นมันก็ได้ชะล้างฝุ่นออกจากหินนั้นจนเกลี้ยงเกลา ดังกล่าวนั้นแหละคือผู้ที่โอ้อวดการงาน ผลบุญของการงานและการบริจาคของพวกเขาได้อันตธานหายไปหมด ไม่หลงเหลือสิ่งใดเลย ณ ที่อัลลอฮ์ และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงนำทางแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไปสู่สิ่งที่พระองค์พอพระทัยและสิ่งที่จะยังประโยชน์แก่พวกเขาในการงานและการบริจาคของพวกเขา

(265) และอุปมาบรรดาผู้ศรัทธาที่บริจาคทรัพย์สินของพวกเขา เพื่อปรารถนาความพอพระทัยของอัลลอฮ์ เพื่อความสงบมั่นต่อจิตใจของพวกเขาด่อความสัจจริงแห่งสัญญาของอัลลอฮ์ โดยไม่ได้ถูกบังคับใดๆ เปรียบเสมือนดั่งสวนหนึ่งซึ่งอยู่บนเนินสูงที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งมีฝนตกหนักลงมา แล้วมันก็ทำให้พืชผลงอกเงยออกมามากมายทวีคูณ และถึงแม้ว่าสวนนั้นจะไม่ได้ประสบกับฝนตกหนัก แต่ก็ประสบกับฝนที่โปรยปราย มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ดินนั้นสมบูรณ์ และเช่นเดียวกันเมื่อเทียบกับการบริจาคทรัพย์สินของผู้มีความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ อัลลอฮ์ทรงตอบรับมัน และเพิ่มพูนผลบุญให้ทวีคูณ แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อย และอัลลอฮ์ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ การกระทำของบรรดาผู้บริสุทธิ์ใจและบรรดาผู้โอ้อวดย่อมไม่อาจซ่อนเร้นจากพระองค์ได้ พระองค์ทรงตอบแทนทุกคนด้วยสิ่งที่คนนั้นสมควรได้รับ

(266) มีคนใดในหมู่พวกเจ้าที่ปรารถนาจะมีสวนผลไม้บ้าง ซึ่งในสวนนั้นมีต้นอินทผลัมและต้นองุ่น มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านในสวนนั้น และพืชผลที่ดีงามต่างๆหลากหลายชนิดทั้งหมดล้วนเป็นของเขา และแล้วเจ้าของสวนนั้นได้แก่ชราลง เขาก็ได้กลายเป็นคนที่ไม่สามารถทำงานและเก็บเกี่ยวได้ โดยเขานั้นมีลูกๆที่ยังเล็กๆ ยังไม่สามารถทำงานใดๆได้ แล้วสวนนั้นก็ได้ประสบกับพายุที่รุนแรง ซึ่งในพายุนั้นมีไฟที่ร้อนแรง แล้วไฟนั้นก็ได้เผาผลาญสวนจนหมดสิ้น โดยที่เขาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยเนื่องด้วยความชราภาพของเขาและความอ่อนแอของลูกๆ ดังนั้น สภาพของผู้ที่บริจาคทานเพื่อการโอ้อวดต่อเพื่อนมนุษย์ ก็เหมือนดั่งเช่นสภาพของชายผู้นี้ เขาจะกลับไปหาอัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์ด้วยสภาพที่ไม่มีความดีเลย ในเวลาที่เขาต้องการความดีมากที่สุด คำชี้แจงในลักษณะนี้ อัลลอฮ์ทรงชี้แจงแก่พวกเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าทั้งในดุนยาและปรโลก เพื่อว่าพวกท่านจะได้คิดใคร่ครวญ

(267) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์แล้วทั้งหลาย พวกเจ้าจงบริจาคส่วนหนึ่งจากทรัพย์สินที่ฮะลาล(อนุมัติ)และดีงาม ซึ่งที่พวกเจ้าได้แสวงหามาได้ และจงบริจาคส่วนหนึ่งจากพืชผลที่เราได้ให้งอกเงยขึ้นมาบนดินแก่พวกเจ้า และจงอย่าตั้งใจที่จะนำแต่สิ่งไม่ดีของมันมาบริจาค ซึ่งหากว่ามีคนให้มันแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จะไม่รับมันอย่างเด็ดขาด นอกจากว่าจะหลับตารับอย่างไม่เต็มใจ เนื่องด้วยความไม่ดีงามของมัน แล้วพวกเจ้าพอใจได้อยางไรที่จะให้สิ่งนั้นแด่อัลลอฮ์ทั้งที่พวกเจ้าเองไม่พอใจที่จะให้สิ่งนั้นแก่ตัวเอง พึงรู้เถิดว่า อัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงมั่งมี อยู่เหนือการพึ่งพาการบริจาคของพวกเจ้า เป็นผู้ทรงควรแก่การสรรเสริญยิ่ง ทั้งต่อตัวตนและการกระทำของพระองค์

(268) ชัยฏอนจะทำให้พวกเจ้าหวาดกลัวต่อความยากจน และส่งเสริมให้พวกเจ้าตระหนี่ถี่เหนียว และเรียกร้องเชิญชวนพวกเจ้าให้กระทำความชั่วและกระทำสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนต่างๆ และอัลลอฮ์นั้นทรงสัญญาแก่พวกเจ้าถึงการอภัยโทษที่ยิ่งใหญ่สำหรับบาปของพวกเจ้า และสัญญาด้วยริซกี (ปัจจัยยังชีพ) ที่กว้างขวาง และอัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงกว้างขวางในความเมตตากรุณา และเป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงสภาพต่างๆของปวงบ่าวของพระองค์

(269) ความถูกต้องด้านการพูดและถูกต้องด้านการกระทำนั้นอัลลอฮ์จะมอบให้แก่บ่าวของพระองค์ที่ทรงประสงค์เท่านั้น และผู้ใดที่ได้รับสิ่งดังกล่าวนั้น เขาผู้นั้นคือผู้ได้รับความดีงามอย่างมากมาย และจะไม่มีผู้ใดที่จะคิดและใคร่ครวญในสัญญาณต่างๆทั้งหลายของอัลลอฮ์ นอกจากบรรดาผู้มีสติปัญญาที่สมบูรณ์ ที่ได้รับแสงสว่างและการชี้นำจากพระองค์

(270) และสิ่งใดที่พวกเจ้าได้บริจากไปเพื่อหวังในความพอพระทัยจากอัลลอฮ์ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะน้อยนิดหรือมากมาย หรือการที่พวกเจ้าได้ยืนหยัดในการทำสิ่งที่เป็นการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์ ที่ไม่ใช่เป็นการบังคับตัวเองทำผ่านๆ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดีถึงสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด และพระองค์จะไม่ทรงทำให้มันหายไปเลยสักนิด และจะทรงตอบแทนพวกเจ้าด้วยรางวัลที่ยิ่งใหญ่ และบรรดาผู้อธรรมผู้ที่ไม่ยอมจ่ายในสิ่งที่วาญิบเหนือพวกเขา ผู้ที่ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์ พวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีผู้ช่วยใดๆที่จะคอยปกป้องพวกเขาจากการลงโทษในวันกิยามะฮ์ได้

(271) หากพวกเจ้าเปิดเผยสิ่งที่ได้บริจาคไปจากทรัพย์สินของพวกเจ้า ดังนั้นการบริจาคที่ดีคือการบริจาคของพวกเจ้า และหากพวกเจ้าปกปิดมันไว้และบริจาคให้แก่ผู้ยากไร้ มันจะเป็นการดีกว่าการที่พวกเจ้าจะเปิดเผยมัน เพราะมันใกล้ความอิคลาศ (บริสุทธ์ใจ) มากกว่า และการบริจาคทานของบรรดาผู้บริสุทธิ์ใจนั้น ก็คือการปกปิดความผิดของพวกเขาและการอภัยโทษในความผิดเหล่านั้น และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ไม่มีสิ่งใดจากสภาพการณ์ของพวกเจ้าจะเล็ดลอดจากพระองค์ไปได้

(272) โอ้นบีเอ๋ย ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าในการที่จะให้ทางนำพวกเขาให้ยอมรับ นอบน้อมยอมจำนนต่อความถูกต้องเที่ยงตรง หรือนำพวกเขาสู่การศรัทธา แท้จริงหน้าที่ของเจ้าคือการชี้แนะพวกเขาสู่ความถูกต้อง และการทำให้พวกเขารู้ถึงมัน และแท้จริงการทำให้เกิดการยอมรับในสัจธรรม และการให้ได้รับทางนำสู่สัจธรรมนั้น อยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์คือผู้ทรงชี้นำสู่สัจธรรมแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรัพย์สินที่ชอบธรรมใดๆ ที่พวกเจ้าบริจาคไปนั้น ผลประโยชน์ของมันย่อมกลับคืนสู่ตัวของพวกเจ้าเอง เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ทรงไม่ต้องการอะไรจากมันเลย ดังนั้นจงทำให้การบริจาคของพวกเจ้านั้น มีความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮ์ เพราะแท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริงนั้นพวกเขาจะไม่บริจาคสิ่งใดนอกจากเพื่อหวังความพอพระทัยของอัลลอฮ์เท่านั้น และทรัพย์สินที่ชอบธรรมที่พวกเจ้าบริจาคไปนั้นถึงแม้ว่ามันจะน้อยนิดหรือมากมายเพียงใดก็ตาม แน่นอนพวกท่านก็จะได้รับผลบุญของมันอย่างสมบูรณ์ไม่มีขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด เพราะแท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงอธรรมต่อผู้ใด

(273) จงทำให้ทรัพย์สินที่บริจาคนั้นให้แก่คนยากจนที่ถูกขัดขวางด้วยการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ไม่สามารถที่เดินทางหาปัจจัยเลี้ยงชีพ ซึ่งผู้ที่ไม่รู้ถึงสถานะของพวกเขาต่างก็คิดว่าพวกเขาเป็นคนรวย เนื่องจากพวกเขารักษาเกียรติของพวกเขาด้วยการห่างไกลจากการขอทาน และผู้ที่รู้จักพวกเขาก็คือผู้ที่สังเกตุการใช้ชีวิตของพวกเขาด้วยเครื่องหมายต่างๆของพวกเขาจากความต้องการพื้นฐานของชีวิต สังเกตุจากร่างกายหรือ เสื้อผ้าของพวกเขา ซึ่งชีวิตของพวกเขาจะไม่เหมือนกับคนจนทั่วไป ที่จะขอทานจากผู้คน และสิ่งที่พวกเจ้าได้บริจาคไปที่เป็นทรัพย์สินหรืออื่นๆนั้น แท้จริงอัลลอ์ทรงรู้ดีและพระองค์จะตอบแทนพวกเจ้าด้วยรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

(274) บรรดาผู้ที่บริจาคทรัพย์สินของพวกเขาเพื่อความโปรดปรานของอัลลอฮ์ทั้งในเวลากลางคืนและกลางวันทั้งโดยปกปิดและเปิดเผย โดยไม่โอ้อวดหรือชื่อเสียงใดๆ พวกเขาจะได้รับรางวัลของพวกเขา ณ ที่พระผู้อภิบาลของพวกเขาในวันกียามะฮ์และไม่มีความกลัวสำหรับพวกเขากับอนาคตที่ต้องเผชิญ และพวกเขาจะไม่เศร้าโศกเสียใจกับอดีตที่พวกเขาต้องเสียไปในเรื่องดุนยา เพราะหวังในความโปรดปรานและความสุขสบายจากอัลลอฮ์

(275) บรรดาผู้ที่ทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยและรับดอกเบี้ย ในวันกิยามะฮ์จะไม่สามารถยืนขึ้นจากหลุมศพของพวกเขาได้ เว้นแต่เหมือนกับการยืนขึ้นของบุคคลที่ถูกชัยฏอนครอบงำ เขาลุกขึ้นจากหลุมศพของเขาในสภาพที่เซเหมือนคนถูกชัยฏอนครอบงำ ในตอนที่ลุกขึ้นยืนและตอนที่ล้มลง นั้นเป็นเพราะพวกเขากินดอกเบี้ย และพวกเขาไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยกับสิ่งที่อัลลอฮ์อนุญาตที่มาจากการค้าขาย โดยพวกเขากล่าวว่า "ที่จริงการค้าขายนั้นก็เหมือนการเอาดอกเบี้ยในสถานะที่มันเป็นเรื่องฮะลาล ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต่างก็นำไปสู่การเพิ่มขึ้นและการงอกเงยของเงิน ดังนั้นอัลลอฮ์ทรงโต้พวกเขาและได้ทำลายการเปรียบเทียบของพวกเขาและการโกหกของพวกเขาเป็นโมฆะ และพระองค์ได้อธิบายว่า "การที่อนุญาตการค้าขายนั้น เพราะในการค้าขายนั้น เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและส่วนตัว และการที่ห้ามไม่ให้กินดอกเบี้ยนั้นเพราะในนั้นประกอบด้วยความอยุติธรรมและเป็นการกินทรัพย์สินของผู้อื่นด้วยความเท็จโดยไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน ดังนั้นผู้ใดที่การตักเตือนจากพระผู้อภิบาลของเขาได้มายังเขา ดังนั้นจงหยุดและกลับตัวไปหาอัลลอฮ์ สำหรับอดีตที่ผ่านมาจากการเอาดอกเบี้ยจะไม่เป็นการบาปใด ๆ และเรื่องอนาคตของเขานั้นขึ้นกับอัลลอฮ์ และผู้ใดที่กลับมาเอาดอกเบี้ยอีกหลังจากที่อัลลอฮ์ได้ตักเตือนไว้แล้วและความจริงได้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ดังนั้นพวกเขาสมควรที่จะเข้าไฟนรกและอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล หมายถึงอยู่ในนรกอย่างยาวนาน เพราะการอยู่อย่างชั่วนิรันดรอย่างถาวรนั้น มันจะไม่เกิดแก่ผู้ใดนอกจากเฉพาะผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาเท่านั้น ส่วนผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์นั้นพวกเขาไม่ได้อยู่ถาวรในนั้น

(276) อัลลอฮ์จะทรงทำลายทรัพย์สินที่ได้จากดอกเบี้ยและจะทำให้มันเกิดความหายนะไป ไม่ว่าจะเป็นด้านรูปธรรมด้วยการทำลายให้สูณเสียไป หรือในรูปแบบที่เป็นนามธรรมด้วยการสูญเสียความจำเริญจากทรัพย์สิน และอัลลอฮ์จะทรงเพิ่มและขยายทานโดยเพิ่มการตอบแทนเป็นสองเท่า เพราะทุกหนึ่งความดีจะได้รับการตอบแทนสิบเท่าถึง 700 เท่า จนนับไม่ถ้วน อัลลอฮ์จะทำให้เกิดความจำเริญแก่ทรัพย์สินของผู้ให้ทาน และอัลลอฮ์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและดื้อดึง ทำสิ่งที่ต้องห้ามให้เป็นที่อนุญาต และหมกมุ่นอยู่กับความชั่วและบาป

(277) แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามท่านเราะสูลของพระองค์ และประกอบสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย และดำรงค์ไว้ซึ่งการละหมาดอย่างสมบูรณ์อย่างที่อัลลอ์ทรงบัญญัติไว้และจ่ายซะกาตทรัพย์สินของพวกเขาแก่ผู้ที่สมควรได้รับ พวกเขาจะได้รับรางวัลของพวกเขา ณ พระผู้อภิบ่ลของพวกเขา และไม่มีความกลัวใดๆสำหรับพวกเขาที่เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาที่จะตามมา และพวกเขาไม่เสียใจกับอดีตของพวกเขาที่พวกเขาได้พลาดไปในเรื่องดุนยาและความสุขมัน

(278) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามท่านเราะสูลของพระองค์ทั้งหลาย จงยำเกรงต่ออัลลอฮ์เถิดโดยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์ และจงอย่าขอสิ่งที่เป็นส่วนที่เหลือของทรัพย์สินที่เป็นดอกเบี้ยที่อยู่กับผู้อี่น หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์อย่างแท้จริงและในสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามพวกเจ้าจากดอกเบี้ย

(279) และถ้าพวกเจ้ามิได้ปฏิบัติตามในสิ่งที่พระองค์ได้สั่งพวกเจ้า ก็พึงรับรู้และเชื่อไว้ด้วยว่า ด้วยสงครามจากอัลลอฮ์ และเราะสูลของพระองค์ และหากพวกเจ้าสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลลอฮ์และละทิ้งดอกเบี้ยแล้ว ดังนั้นสำหรับพวกเจ้าก็คือต้นทุนแห่งทรัพย์สินของพวกเจ้า โดยที่พวกเจ้าจะไม่อธรรมผู้ใดโดยการเอาเพิ่มจากต้นทุนของพวกเจ้า และไม่ถูกอธรรมด้วยการถูกตัดให้น้อยลงจากต้นทุน

(280) และหากว่าลูกหนี้นั้นเป็นผู้ยากไร้ไม่สามารถหาชำระหนี้ของเขาได้ ก็จงให้เวลาแก่พวกเขาไปจนกว่าเขาจะมีเงิน จนกระทั้งเขาสามารถใช้หนี้ของเขาได้ และการบริจาคให้แก่เขาด้วยการปลดหนี้หรือหักหนี้ไปบางส่วน ย่อมเป็นการดีสำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้ถึงความประเสริฐในสิ่งนี้ ณ ที่อัลลอฮ

(281) และพวกเจ้าจงเกรงกลัวต่อบทลงโทษในวันที่พวกเจ้าทั้งหมดจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮ์ และพวกเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ แล้วแต่ละชีวิตจะได้รับการตอบแทนโดยครบถ้วนในสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้จากสิ่งที่ดีและชั่ว พวกเขาจะไม่ถูกอธรรมโดยการถูกตัดความดีต่างๆของพวกเขา และจะไม่เพิ่มการลงโทษเกินกว่าความชั่วที่พวกเขากระทำกัน

(282) โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาในอัลลอฮ์และปฏิบัติตามรอสูลของพระองค์ เมื่อพวกเจ้าได้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหนี้สิน เช่น เมื่อคุณให้เงินกู้แก่กันและกันในระยะเวลาที่กำหนด ก็จงจดบันทึกไว้ และจงบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้าโดยบุคคลหนึ่งอย่างเป็นธรรมและสอดคล้องกับหลักศาสนา และไม่ควรปฏิเสธที่จะจดหนี้ตามสิ่งที่อัลลอฮ์ได้สอนเขาเกี่ยวกับการเขียนอย่างยุติธรรม ดังนั้นเขาควรเขียนสิ่งที่กำหนดไว้ตามความจริงจนกว่าสิ่งนั้นเป็นที่ยอมรับจากเขา และจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ และอย่าให้เขาตัดลดสิ่งใดๆจากจำนวนของวงเงินหรือประเภทของมันหรือรูปแบบของมัน แต่ถ้าลูกหนี้เป็นบุคคลที่มีความเข้าใจที่จำกัดไม่สมประกอบ อ่อนแอด้วยวัยที่ยังอ่อน วิกลจริต หรือไม่สามารถบอกได้เพราะเป็นคนใบ้หรือด้วยเหตุผลอื่น ผู้ปกครองที่มีอำนาจควรทำการแทนด้วยความเป็นธรรม และให้เรียกชายที่มีมีสติสมบูรณ์และเที่ยงธรรมสองคนเป็นพยานด้วย ถ้าไม่พบชายสองคน ให้เรียกชายหนึ่งคนกับหญิงสองคนที่คุณพอใจในศาสนาและความซื่อสัตย์ เพื่อว่าถ้าผู้หญิงคนหนึ่งลืม อีกคนหนึ่งจะเตือนเธอได้ พยานไม่ควรปฏิเสธที่จะเป็นพยานในหนี้และต้องให้การเป็นพยานหากจำเป็น อย่าเกียจคร้านที่จะจดบันทึกหนี้ ไม่ว่าจำนวนเงินจะน้อยนิดหรือมากมายเพียงใดจนถึงเวลาที่กำหนด เนื่องจากเป็นกฎหมายของอัลลอฮ์ที่ยุติธรรมมากกว่า มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเพื่อเป็นหลักฐาน และขจัดข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับประเภท จำนวน หรือระยะเวลาของหนี้ อย่างไรก็ตาม หากการทำธุรกรรมเป็นรายการที่มีอยู่เพื่อแลกกับราคาสด การไม่จดบันทึกก็ไม่เสียหายอะไร เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น และอนุญาตให้พวกเจ้ามีการใช้พยานกันเพื่อไม่ให้เกิดข้อพิพาทขึ้น ไม่อนุญาตทำอันตรายแก่พยานหรือผู้ที่เขียน และไม่อนุญาตพวกเขาจะก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ผู้ที่ขอให้พวกเขาเขียนหรือเป็นพยาน หากผู้ใดก่ออันตราย เขาก็จะเป็นผู้ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ์ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงยำเกรงต่ออัลลอฮ์โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของพระองค์ และหลีกเลี่ยงข้อห้ามของพระองค์ อัลลอฮ์จะสอนพวกเจ้าถึงสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเจ้าในโลกนี้และชีวิตหลังความตาย อัลลอฮ์ทรงรู้ทุกสิ่งและไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดจากพระองค์

(283) และถ้าพวกเจ้าอยู่ในระหว่างเดินทางและไม่มีผู้ทำการบันทึกหนี้สินให้ ก็เพียงพอที่จะให้มีสิ่งค้ำประกันให้เจ้าหนี้ได้ยึดถือไว้ เพื่อเป็นหลักประกัน จนกว่าลูกหนี้จะจ่ายหนี้ แต่ถ้าหากมีความไว้วางใจระหว่างกัน ก็ไม่จำเป็นต้องบันทึกไม่จำเป็นต้องมีพยานและไม่จำเป็นต้องมีของมาค้ำกัน เมื่อเป็นนั้น หนี้ก็อยู่ในความรับผิดชอบของลูกหนี้ จำเป็นต้องจ่ายให้เจ้าหนี้ และจำเป็นสำหรับลูกหนี้ต้องยำเกรงต่ออัลลอฮ์ในการรับผิดชอบหนี้ อย่าได้ปฏิเสธความรับผิดชอบเป็นอันขาด หากมีการปฏิเสธ ก็จำเป็นสำหรับผู้ที่เป็นพยานทำหน้าที่ของการเป็นพยาน และไม่อนุญาตสำหรับพวกเขาปกปิดการให้การ และผู้ใดปกปิดมัน แท้จริงหัวใจของเขาเป็นหัวใจที่ชั่ว และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ไม่มีสิ่้งใดจะเล็ดลอดจากพระองค์ได้และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาในการงานของพวกเขา

(284) ทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และทุกสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้น ล้วนเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เพียงผู้เดียว ทั้งการสร้าง การเป็นเจ้าของ และบริหารจัดการ และถ้าหากพวกเจ้าเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเจ้า หรือปกปิดมันไว้ อัลลอฮ์ทรงรู้ถึงสิ่งนั้นดี และพระองค์จะทรงนำสิ่งนั้นมาสอบสวนพวกเจ้า แล้วหลังจากนั้นพระองค์จะทรงอภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความกรุณาและเมตตาของพระองค์ และจะทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เนื่องด้วยความยุติธรรมและความปรีชาญาณของพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

(285) เราะซูล นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ศรัทธาทั้งหมดในสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เขา จากพระผู้อภิบาลของเขา และมุมินทั้งหลายก็ศรัทธาด้วยเช่นกัน ทุกคนศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮ์ของพระองค์ ต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ที่ประทานลงมายังบรรดานบี และต่อบรรดาเราะสูลที่พระองค์ได้ส่งมา ได้ศรัทธาต่อพวกเขาโดยกล่าวว่า "เราจะไม่แยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาเราะสูลของพระองค์ และพวกเขาได้กล่าวว่า "พวกเราได้ยินสิ่งที่พระองค์ได้บัญชาใช้ให้พวกเราทำ และสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามพวกเราละทิ้ง และพวกเราได้ทำตามสิ่งที่พระองค์ได้สั่งใช้ และละทิ้งสิ่งที่พระองค์ได้ห้ามไว้ และพวกเราขอให้พระองค์โปรดอภัยต่อพวกเราโอ้พระผู้อภิบาลของเรา และยังพระองค์เท่านั้น ที่พวกเราต้องกลับไปหา ในทุกกิจการของเรา"

(286) อัลลอฮจะไม่ทรงทำให้หลักปฏิบัติต่างๆเป็นภาระสำหรับชีวิตหนึ่งชีวิตใดนอกจากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ชีวิตนั้นทำได้เท่านั้น เนื่องจากศาสนาของอัลลอฮนั้นเกิดขึ้นจากฐานของความง่ายดาย ดังนั้นไม่มีความยากลำบากใดๆในศาสนา ผู้ใดที่แสวงหาความดีสำหรับเขาก็จะได้รับผลบุญจากการงานของเขาโดยที่ไม่มีขาดเลยแม้แต่น้อย และผู้ใดที่แสวงหาความชั่ว เขาก็จะได้รับผลตอบแทนจากสิ่งที่เขากระทำจากบาปที่ไม่มีใครจะรับแบกแทนได้ และท่านเราะสูลกับบรรดาผู้ศรัทธากล่าวว่า "ข้าแต่ผู้อภิบาลของเรา ขออย่าทรงลงโทษเรา หากเราลืมหรือผิดพลาดในการทำหรือการพูดโดยไม่ได้เจตนา ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ขอทรงโปรดอย่าให้เป็นภาระแก่เราด้วยสิ่งที่ยากสำหรับเราและเราไม่สามารถทำได้ดังที่พระองค์ทรงทำให้คนก่อนหน้าเรา จากกลุ่มชนที่พระองค์ได้ลงโทษพวกเขา เนื่องด้วยความอธรรมของพวกเขา เช่นพวกยิว และขอพระองค์โปรดอย่าให้เราแบกสิ่งที่ลำบากและเกินความสามารถสำหรับเราที่เป็นข้อใช้และข้อห้ามต่างๆ ขอพระองค์มองข้ามบรรดาบาปของเรา โปรดยกโทษให้เราและเมตตาเรา ด้วยพระคุณของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นผู้พิทักษ์ของเราและเป็นผู้ช่วยเหลือเรา ดังนั้นโปรดช่วยเหลือเราให้ประสบกับชัยชนะเหนือผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย"