42 - Ash-Shura ()

|

(1) ฮา มีม อัยนฺ ซีน กอฟ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้วในตอนต้นของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์

(2) ฮา มีม อัยนฺ ซีน กอฟ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้วในตอนต้นของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์

(3) ดังเช่นวะฮ์ยูนี้แหละ ที่ได้วะฮ์ยูให้แก่เจ้า โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย และแก่บรรดานบีของอัลลอฮ์ก่อนหน้าเจ้า อัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจในการจัดการกับศัตรูของพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในการบริหารจัดการและการสร้างของพระองค์

(4) สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง การครอบครองและการบริหารจัดการ ล้วนเป็นสิทธิของพระองค์ทั้งสิ้น และพระองค์เป็นผู้สูงส่งด้วยตัวของพระองค์เองและอำนาจและการปกครองของพระองค์เอง ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในตัวตนของพระองค์

(5) ส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ก็คือท้องฟ้าทั้งที่ความยิ่งใหญ่และความสูงของมันเกือบจะแยกออกจากกันเหนือแผ่นดิน มลาอิกะฮ์ต่างเชิดชูสรรเสริญพระเจ้าของพวกเขา ด้วยการยอมจำนนและด้วยความเคารพต่อพระองค์ และพวกเขาขออภัยโทษจากอัลลอฮ์แด่ผู้ที่อยู่ในแผ่นดิน พึงรู้เถิด แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษบาปของปวงบ่าวของพระองค์ที่สำนึกผิด และพระองค์ทรงเมตตาพวกเขา

(6) และบรรดาผู้ที่ยึดถือเอาเจว็ดเป็นผู้คุ้มครองพวกเขา และพวกเขาก็เคารพสักการะมันอื่นจากพระองค์นั้น อัลลอฮ์ทรงเฝ้าดูพวกเขา จดบันทึกการงานต่าง ๆ ของพวกเขา และจะตอบแทนพวกเขาตามการงานนั้น ๆ และเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- มิใช่ผู้ถูกมอบหมายให้ดูแลการงานต่าง ๆ ของพวกเขา ดังนั้นเจ้าจะไม่ถูกถามเกี่ยวกับการงานของพวกเขา เจ้าเป็นเพียงแค่ผู้เผยแผ่เท่านั้น

(7) และดั่งเช่นที่เราได้วะฮ์ยูแก่บรรดานบีก่อนหน้าเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เราก็ได้วะฮ์ยูอัลกุรอานเป็นภาษาอาหรับแก่เจ้า เพื่อเจ้าจะได้ตักเตือนชาวมักกะฮ์ และผู้คนที่อยู่รอบเมืองนั้น จากเมืองอาหรับต่าง ๆ แล้วมวลมนุษย์ทั้งหลาย และจงตักเตือนให้ผู้คนเกรงกลัวต่อวันกิยามะฮ์ซึ่งเป็นวันที่พระองค์จะทรงรวบรวมทั้งผู้คนในยุคแรก ๆ และยุคสุดท้าย ไว้ในแผ่นดินเดียวกันเพื่อการสอบสวนและการตอบแทน ไม่มีการสงสัยใดๆ เกี่ยวกับการที่วันนั้นจะเกิดขึ้น และผู้คนจะถูกแบ่งออกเป็น สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะอยู่ในสวรรค์ ซึ่งพวกเขาคือบรรดาผู้ศรัทธา และอีกกลุ่มหนึ่งจะอยู่ในไฟที่ลุกโชติช่วง ซึ่งพวกเขาคือ พวกปฏิเสธศรัทธา

(8) และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ทำให้พวกเขาเป็นประชาชาติเดียวกันอยู่ในศาสนาอิสลาม แน่นอนพระองค์จะทรงทำให้พวกเขาเป็นประชาชาติเดียวกันอยู่บนศาสนาอิสลาม และให้ทั้งหมดได้เข้าสวรรค์ แต่มันเป็นความปรีชาญาณของพระองค์ที่ได้กำนดไว้ว่าพระองค์จะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เข้าสู่อิสลาม และให้เขาได้เข้าสวรรค์ ส่วนบรรดาผู้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง ด้วยการปฏิเสธศรัทธาและการฝ่าฝืนนั้น พวกเขาไม่มีผู้คุ้มครอง ที่จะคุ้มครองพวกเขา และไม่มีผู้ช่วยเหลือ ที่จะช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้

(9) แต่ว่าบรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้นได้ยึดเอาผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮ์ คุ้มครองพวกเขา และอัลลอฮ์คือผู้คุ้มครองที่แท้จริง ดังนั้นสิ่งอื่นใดจากพระองค์ไม่สามารถให้ประโยชน์และให้โทษใด ๆ ได้ และพระองค์คือผู้ทรงให้ชีวิตแก่คนตาย โดยการทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพเพื่อการสอบสวนและการตอบแทน และไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์อ่อนแอได้

(10) และสิ่งใดที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน โอ้มนุษย์เอ๋ย ในเรื่องใดๆก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักการของศาสนาหรือเรื่องปลีกย่อยของมัน ดังนั้นการชี้ขาดตัดสินย่อมกลับไปหาอัลลอฮ์ ดังนั้นจงนำเรื่องนั้นกลับไปยังคัมภีร์ของอัลลอฮ์และแบบอย่างของท่านเราะสูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ผู้ที่มีคุณลักษณะเช่นนี้นั้น คือพระเจ้าของฉัน แด่พระองค์เท่านั้น ฉันขอมอบหมายการงานทั้งหมดของฉันต่อพระองค์ และยังพระองค์เท่านั้นฉันจะกลับไปหาด้วยการกลับเนื้อกลับตัวสำนึกผิด

(11) อัลลอฮ์คือผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินโดยไม่มีแบบอย่างใดๆ พระองค์ทรงสร้างจากพวกเจ้าซึ่งคู่ครองสำหรับพวกเจ้า พระองค์ทรงสร้างอูฐ วัวควาย และแกะเป็นคู่ๆ สำหรับพวกเจ้า เพื่อพวกมันจะได้มีจำนวนที่เพิ่มขึ้นเพื่อพวกเจ้า พระองค์ทรงสร้างพวกเจ้าพร้อมกับคู่ครองเพื่อพวกเจ้าโดยการแต่งงาน พระองค์ทรงให้การดำรงชีวิตของพวกเจ้าผ่านทางปศุสัตว์ที่พระองค์ทรงทำเพื่อพวกเจ้า จากเนื้อและนมของพวกมัน ไม่มีสิ่งใดจากสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมาเหมือนพระองค์ พระองค์คือผู้ทรงได้ยินคำกล่าวของบรรดาบ่าวของพระองค์ และพระองค์ผู้ทรงเห็นการกระทำของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดหลุดรอดจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาสำหรับการกระทำของพวกเขา ถ้าดีก็ด้วยดี และหากชั่วก็ด้วยการตอบแทนที่ชั่ว

(12) กุญแจคลังแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นสิทธิ์ของพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงเพิ่มพูนปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ เพื่อเป็นการทดสอบว่า เขาจะขอบคุณหรือจะเนรคุณ และทรงให้มันคับแคบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เพื่อเป็นการทดสอบว่า เขาจะอดทนหรือจะไม่พอใจในการกำหนดของอัลลอฮ์? แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้ในทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดปกปิดพระองค์ จากสิ่งที่มีให้คุณประโยชน์แก่ปวงบ่าวของพระองค์ได้

(13) พระองค์ได้ทรงกำหนดศาสนาแก่พวกเจ้าเช่นเดียวกับที่เราได้ทรงบัญชาแก่นูหฺให้เผยแผ่และปฏิบัติมัน และที่เราได้วะฮฺยูแก่เจ้า โอ้เราะสูลเอ๋ย ก็เช่นเดียวกับที่เราได้บัญชาแก่อิบรอฮีม และมูซา และอีซาว่าให้เผยแผ่และปฏิบัติมัน จึงสรุปพระบัญชานั้นได้ว่า ให้พวกเจ้าจงดำรงศาสนาไว้ให้มั่นคง และละทิ้งการแตกแยกกันในเรื่องของศาสนา แต่การการเรียกร้องสู่การให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ และการละทิ้งการเคารพสักการะสิ่งอื่นจากพระองค์นั้น มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบรรดาผู้ตั้งภาคี อัลลอฮ์ทรงเลือกผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์และช่วยเหลือเขาเพื่อการเคารพภักดีและการเชื่อฟังพระองค์ และทรงชี้แนะทางผู้ที่หันหน้ากลับสู่พระองค์จากหมู่พวกเขา ด้วยการกลับเนื้อกลับตัวสำนึกผิดจากบาปของเขา

(14) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและผู้ตั้งภาคีพวกเขามิได้แตกแยกกัน เว้นแต่หลังจากที่หลักฐานแห่งการแต่งตั้งท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้มายังพวกเขา และความแตกแยกของพวกเขาที่เกิดขึ้นมิได้มาจากสาเหตุใดเลย นอกจากความริษยาและการอธรรม และหากมิใช่การกำหนดของอัลลอฮ์ที่มีก่อนหน้านี้ ว่าพระองค์จะทรงประวิงเวลาการลงโทษพวกเขาออกไปจนการทั่งถึงวาระที่พระองค์ทรงกำหนดไว้แล้ว นั่นคือวันกิยามะฮ์ แน่นอนอัลลอฮ์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเขา และจะรีบลงโทษพวกเขา เนื่องจากการปฏิเสธของพวกเขาที่มีต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ และแท้จริงบรรดายะฮูดผู้ที่สืบทอดคัมภีร์เตารอต และคริสเตียนผู้สืบทอดคัมภีร์อินญีลหลังจากบรรพบุรุษของพวกเขาและหลังบรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านี้ จะอยู่ในการสงสัยกังขาเกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอาน ที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นำมา แล้วพวกเขาก็ปฏิเสธมัน

(15) จงเรียกร้องเชิญชวนสู่ศาสนาที่เที่ยงธรรมนี้เถิด และจงดำรงมั่นอยู่บนมันตามที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาเจ้า และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา และจงกล่าวขณะโต้ตอบกับพวกเขาว่า "ฉันได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมาแก่บรรดาเราะสูลของพระองค์ และอัลลอฮ์ทรงบัญชาฉันให้ตัดสินระหว่างพวกท่านด้วยความเที่ยงธรรม อัลลอฮ์คือผู้ที่ฉันเคารพภักดี พระองค์คือพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่านทั้งหมด ผลของการงานที่ดีหรือไม่ดีของฉันก็จะได้แก่ฉันและผลของการงานที่ดีหรือไม่ดีของพวกท่าน ก็จะได้แก่พวกท่าน ไม่มีการโต้แย้งใด ๆ ระหว่างพวกเรากับพวกท่านหลังจากเหตุผลและเป้าหมายถูกทำให้ชัดเจนแล้ว อัลลอฮ์จะทรงรวบรวมพวกเราทั้งหมด และยังพระองค์คือทางกลับไปในวันกิยามะฮ์และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเราทุกคนอย่างเหมาะสม จากนั้นจะเห็นได้ชัดว่าใครถูกใครผิด ใครจริงและใครเท็จ

(16) และบรรดาผู้ที่โต้แย้งด้วยข้อโต้แย้งที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสนาที่ถูกประทานลงมายังมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม หลังจากที่ผู้คนได้ยอมรับมันแล้ว บรรดาผู้โต้แย้งเหล่านั้น การโต้แย้งของพวกเขาก็ไร้ค่าและไร้ประโยชน์ในทัศนะของพระเจ้าของพวกเขาและบรรดาผู้ศรัทธา มันไม่มีผลใดๆเลย และพวกเขาจะได้รับความกริ้วโกรธจากอัลลอฮ์ เนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาและการปฏิเสธสัจธรรมของพวกเขา และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างสาหัสที่รอพวกเขาอยู่ในวันกิยามะฮ์

(17) อัลลอฮ์คือผู้ประทานคัมภีร์อัลกุรอานลงมาด้วยความจริงที่ไม่มีการสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับกุรอานนั้นและทรงประทานความยุติธรรมมาเพื่อตัดสินระหว่างมนุษย์ด้วยความเที่ยงธรรม และวันอวสานที่พวกเขาเหล่านั้นปฏิเสธนั้น อาจอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง และเป็นที่รู้กันว่าทุกสิ่งที่ย่างเข้ามา มันใกล้เสมอ

(18) บรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อวันอวสานได้เร่งเร้าจะให้มันเกิดขึ้น เนื่องจากพวกเขาไม่ศรัทธาต่อการสอบสวน การตอบแทนและการลงโทษ ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาก็มีความหวั่นกลัวในเรื่องวันอวสานนั้น เพราะพวกเขากลัวต่อผลที่พวกเขาต้องไปพบเจอในวันนั้น และพวกเขารู้อย่างเชื่อมั่นว่ามันเป็นความจริง ที่ไม่มีการสงสัยใด ๆ ในเรื่องนี้ พึงรู้เถิดว่า แท้จริงบรรดาผู้โต้เถียงและโต้แย้งกันเกี่ยวกับเรื่องวันอวสานและสงสัยในการเกิดขึ้นขอดงมัน แน่นอนพวกเขาจะอยู่ในการหลงออกจากสัจรรมอย่างไกลพ้น

(19) อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเอ็นดูต่อปวงบ่าวของพระองค์ ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยทรงทำให้ริสกีกว้างขวางแก่เขา และทรงทำให้มันคับแคบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ด้วยกับวิทยปัญญาและความอ่อนโยนของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงพลังที่ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ ผู้ทรงอำนาจที่สามารถกำจัดศัตรูของพระองค์

(20) ผู้ใดปรารถนาผลตอบแทนในปรโลก โดยเป็นผู้ปฏิบัติการงานของเขาเพื่อวันปรโลก เราจะตอบแทนให้แก่เขาหลายเท่า เพราะ 1 ความดีจะเท่ากับ 10 ความดีของความดีนั้น ไปจนถึง 700 เท่า และอีกหลายๆ เท่า และผู้ใดปรารถนาผลตอบแทนในโลกดุนยาอย่างเดียว เราจะให้แก่เขาบางส่วนที่ถูกกำหนดไว้สำหรับเขาในดุนยานี้ และสำหรับเขาจะไม่ได้ส่วนใด ๆ อีกในปรโลก เพราะเขาได้ใช้มันไปแล้วในโลกดุนยา

(21) หรือว่าพวกตั้งภาคีเหล่านั้นมีพระเจ้าต่าง ๆอื่นจากอัลลอฮ์ และบรรดาพระเจ้าเหล่านั้นก็ได้กำหนดศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮ์มิได้ทรงอนุมัติให้กำหนดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งภาคีต่อพระองค์และการทำให้สิ่งที่พระองค์ทรงอนุมัติเป็นที่ต้องห้าม และทำสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามให้เป็นที่อนุมัติ และหากมิใช่เวลาที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้ว เพื่อตัดสินระหว่างบรรดาผู้ขัดแย้ง พระองค์จะทรงชะลอพวกเขาออกไปยังพระองค์ เพื่อที่จะตัดสินระหว่างพวกเขา และแท้จริงบรรดาผู้ที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองด้วยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์และการฝ่าฝืนต่อพระองค์นั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันแสนเจ็บปวดที่กำลังรอพวกเขาอยู่ในวันกิยามะฮ์

(22) เจ้าจะเห็น -โอ้เราะสูลเอ๋ย- บรรดาผู้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองโดยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์และทำการฝ่าฝืนจะเป็นผู้หวั่นกลัวการลงโทษ เนื่องจากความผิดบาปที่พวกเขาขวนขวายเอาไว้ และการลงโทษนั้นจะต้องเกิดขึ้นแก่พวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นความหวาดกลัวที่ปราศจากการกลับเนื้อกลับตัวสำนึกผิด จะไม่เกิดประโยชน์แก่พวกเขา ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์และปฏิบัติการงานที่ดีต่าง ๆ ที่ทำตรงกันข้ามกับผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะเพลิดเพลินอยู่ในอุทยานแห่งสรวงสวรรค์ สำหรับพวกเขาจะได้รับความโปรดปรานที่ไม่มีวันสิ้นสุด ณ ที่พระเจ้าของพวกเขา นั่นคือความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้

(23) นั่นคือข่าวดีอันยิ่งใหญ่ ที่อัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีนั้นโดยผ่านเราะซูลของพระองค์แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและบรรดาเราะซูลของพระองค์ และปฏิบัติความดีต่าง ๆ จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะซูลเอ๋ย ฉันมิได้ร้องขอค่าตอบแทนใด ๆ ในการเผยแผ่สัจธรรมจากพวกเจ้าเลย เว้นแต่เพียงค่าตอบแทนเดียวเท่านั้นที่ประโยชน์ของมันย้อนกลับไปยังพวกเจ้า นั่นคือ พวกเจ้าต้องมีความรักใคร่ต่อฉัน เสมือนว่าฉันเป็นเครือญาติใกล้ชิดของพวกเจ้า และผู้ใดกระทำความดี เราจะเพิ่มพูนความดีในนั้นให้แก่เขา ซึ่ง 1 ความดีนั้น เท่ากับ10 เท่าของความนั้น แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยยิ่งสำหรับความผิดบาปของปวงบ่าวของพระองค์ที่กลับเนื้อกลับตัวสู่พระองค์ ผู้ทรงขอบคุณยิ่งสำหรับการงานต่าง ๆ ที่ดีของพวกเขา ที่พวกเขาปฏิบัติมันเพื่อพระองค์

(24) ส่วนหนึ่งจากคำกล่าวอ้างของบรรดาผู้ตั้งภาคีนั้น คือ มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้อุปโลกน์อัลกุรอานนี้ขึ้นมา แล้วอ้างว่าเป็นของพระเจ้าของเขา และอัลลอฮ์ทรงโต้ตอบพวกเขาไปว่า ถ้าหากว่าเจ้าพูดกับตัวเจ้าเองว่า เจ้าจะทำการอุปโลกน์ความเท็จขึ้นมา แน่นอนเราจะผนึกหัวใจของเจ้า และเราจะขจัดความเท็จที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาให้หมดไป และเราจะทำให้ความจริงยังคงอยู่ แต่เมื่อเรื่องราวมันมิได้เป็นเช่นนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความสัจจะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่าแท้จริงท่านนั้นคือผู้ที่ถูกประทานวะฮ์ยูมาให้จากพระเจ้าของเขา แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในหัวใจของปวงบ่าวของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจากเรื่องดังกล่าวปกปิดพระองค์ได้

(25) และพระองค์คือผู้ทรงรับการขออภัยโทษของปวงบ่าวของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธศรัทธาและการฝ่าฝืน เมื่อพวกเขาได้กลับเนื้อกลับตัวสู่พระองค์และพระองค์ทรงผ่อนปรนความผิดบาปที่พวกเขากระทำไว้ และพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดจากการงานของพวกเจ้าปกปิดพระองค์ได้และพระองค์จะทรงตอบแทนสิ่งที่กระทำไปนั้น

(26) และพระองค์ทรงตอบรับการวิงวอนของบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาเราะสูลของพระองค์ และพวกเขากระทำความดีต่างๆ และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนจากความโปรดปรานของพระองค์แก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขามิได้ขอ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์นั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรงที่กำลังรอพวกเขาอยู่ในวันกิยามะฮ์

(27) และหากอัลลอฮ์ทรงให้ปัจจัยยังชีพอย่างกว้างขวางแก่ปวงบ่าวของพระองค์ทั้งหมด แน่นอนพวกเขาก็จะก่อความเสียหายขึ้นในแผ่นดินด้วยการอธรรม แต่พระองค์ทรงให้ปัจจัยยังชีพให้ตามปริมาณที่พระองค์ทรงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้กว้างขวางหรือจำกัดให้คับแคบ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงตระหนักรู้และทรงเห็นถึงสภาพต่าง ๆ ของปวงบ่าวของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงให้ด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง และทรงระงับด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง เช่นเดียวกัน

(28) และพระองค์คือผู้ทรงหลั่งน้ำฝนลงมายังปวงบ่าวของพระองค์ หลังจากที่พวกเขาหมดหวังจากการตกของมัน และพระองค์ทรงทำให้ฝนแผ่กระจายออกไป แผ่นดินจึงงอกเงย และพระองค์เป็นผู้ทรงควบคุมดูแลกิจการต่าง ๆ ของปวงบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญในทุกสภาพการณ์

(29) และส่วนหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ์ที่บ่งบอกถึงความเกรียงไกรและความเป็นเอกภาพของพระองค์ คือการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและสร้างแผ่นดิน และสิ่งถูกสร้างต่างๆ ที่แปลกประหลาดที่พระองค์ทรงทำให้กระจายออกไปในทั้งสองและพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพที่จะรวบรวมและให้การตอบแทนพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงประสงค์ สิ่งดังกล่าวนั้นมิได้ทำให้ความสามารถของพระองค์อ่อนลง ดั่งเช่นการสร้างพวกเขาขึ้นมาในครั้งแรกก็มิได้ทำให้ความสามารถของพระองค์อ่อนลงแต่อย่างใด

(30) และเคราะห์กรรมอันใดที่ประสบแก่ตัวของพวกเจ้าหรือทรัพย์สินของพวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย ก็เนื่องด้วยน้ำมือของพวกเจ้าได้ขวนขวายไว้จากการฝ่าฝืน และพระองค์ทรงอภัยต่อความผิดให้แก่พวกเจ้ามามากต่อมากแล้ว โดยไม่เอาโทษพวกเจ้า

(31) และพวกเจ้าไม่สามารถจะหนีรอดไปจากพระเจ้าของเจ้าได้ หากพระองค์ทรงประสงค์ที่จะลงโทษพวกเจ้า และสำหรับพวกเจ้านั้นไม่มีผู้คุ้มครองใด ที่จะคุ้มครองดูแลกิจการต่าง ๆ ของพวกเจ้า, และไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ที่จะช่วยปกป้องพวกเจ้าจากการถูกลงโทษ ถ้าหากพระองค์ประสงค์ที่จะลงโทษพวกเจ้า

(32) และส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญญาณของอัลลอฮ์ที่แสดงถึงความสามารถและเอกภาพของพระองค์ คือเรือที่แล่นไปในทะเลเหมือนภูเขาสูงตระหง่าน

(33) หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้ลมที่พัดเรือนั้นให้นิ่ง พระองค์ก็จะทรงทำอย่างนั้น แล้วเรือนั้นก็จะหยุดนิ่งในมหาสมุทรไม่ขยับไปไหน แท้จริงในสิ่งที่ได้กล่าวมาที่เกี่ยวกับการสร้างเรือและการใช้ลมนั้น ย่อมเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่แสดงถึงอำนาจของอัลลอฮ์สำหรับทุกคนที่อดทนต่อความทุกข์ยากและบททดสอบต่างๆ และผู้ที่ขอบคุณสำหรับความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อเขา

(34) หรือพระองค์จะทรงทำให้เรือนั้นอับปางลงก็ได้โดยการส่งลมพายุมาทำลายมัน เนื่องด้วยความชั่วที่มนุษย์นั้นขวนขวายเอาไว้ และพระองค์ทรงมองข้ามบาปมากมายของปวงบ่าวของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ลงโทษพวกเขาในความผิดนั้น

(35) และเพื่อให้บรรดาผู้โต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ์จะได้รู้ว่า ขณะที่เรือกำลังถูกทำลายด้วยลมพายุที่ถูกส่งมานั้น สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะหลบหนีไปจากความพินาศนั้นได้ เนื่องจากเรืออับปางไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะไม่วิงวอนขอจากผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์ และพวกเขาจะละทิ้งทุกสิ่งนอกจากพระองค์

(36) และสิ่งใดที่พวกเจ้าได้รับนั้น -โอ้มนุษย์เอ๋ย- ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียงหรือลูก ๆ มันเป็นเพียงความเพลิดเพลินแห่งชีวิตทางโลกนี้เท่านั้น แล้วมันก็จะสลายหายไป และความสุขที่ยั่งยืน คือความสุขแห่งสรวงสวรรค์ ที่อัลลอฮ์ทรงตระเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์ และแด่พระเจ้าของพวกเขาพระองค์เดียวเท่านั้นที่พวกเขามอบหมายไว้วางใจในกิจการต่าง ๆ ของพวกเขาทุกอย่าง

(37) และบรรดาผู้ที่หลีกเลี่ยงจากบาปใหญ่และสิ่งที่น่ารังเกียจผิดศีลธรรม เมื่อพวกเขาโกรธผู้ที่ทำผิดต่อพวกเขาด้วยคำพูดหรือการกระทำ พวกเขาจะยกโทษให้กับความผิดของพวกเขาและไม่เอาความใดๆ กับพวกเขา และการให้อภัยนี้เป็นเป็นความกรุณาจากพวกเขา หากในนั้นมีความดีและเกิดประโยชน์

(38) และบรรดาผู้ตอบรับพระบัญชาของพระเจ้าของพวกเขา โดยการปฏิบัติสิ่งที่พระองค์ทรงใช้และละทิ้งสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม และดำรงไว้ซึ่งการละหมาดในรูปแบบที่สมบูรณ์ และบรรดาผู้ที่ปรึกษาหารือกันในกิจการต่างๆ ที่สำคัญของพวกเขา และพวกเขาบริจาคสิ่งที่เราได้ให้แก่พวกเขาเพื่ออัลลอฮ์

(39) และบรรดาผู้ที่เมื่อมีความอยุติธรรมเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็แก้แค้นเพื่อเป็นการเคารพและให้เกียรติแก่ตัวของพวกเขาเอง หากผู้อธรรมนั้นไม่ใช่ผู้ที่ควรได้รับการให้อภัย และการแก้แค้นนี้นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรม โดยเฉพาะเมื่อมีการให้อภัยแล้ว ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

(40) และผู้ใดที่ต้องการสิทธิ์ของเขาคืน เขาก็สามารถกระทำได้ แต่ต้องเท่าๆกัน โดยไม่มีการล่วงเกินหรือการล่วงละเมิดใดๆ และผู้ใดให้อภัยแก่ผู้ที่ทำผิดต่อเขา และไม่เอาผิดเขาในความผิดที่เขาได้ทำไว้ และไกล่เกลี่ยคืนดีกันระหว่างเขากับพี่น้องของเขาแล้ว ดังนั้นรางวัลตอบแทนของเขาอยู่ที่อัลลอฮ์ แท้จริงพระองค์ไม่ทรงรักผู้ที่อธรรมต่อผู้อื่น ต่อชีวิต ทรัพย์สินหรือเกียรติยศของพวกเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงเกลียดบรรดาผู้อธรรมเหล่านั้น

(41) และผู้ใดแก้แค้นเพื่อตัวของเขาเองแล้ว ดังนั้นชนเหล่านั้นจะไม่มีการเอาผิดใดๆ กับพวกเขา เนื่องจากพวกเขาได้เอาสิทธิ์ของพวกเขาคืน

(42) แท้จริงการเอาผิดและการลงโทษนั้นมีไว้สำหรับผู้ที่อธรรมต่อผู้อื่น และพวกเขาจะกระทำบนหน้าแผ่นดินี้ด้วยการฝ่าฝืน ชนเหล่านี้พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันแสนเจ็บปวดในอาคีเราะฮ์

(43) ส่วนผู้ที่อดทนกับผลกระทบจากผู้อื่นมาที่ทำต่อเขา และได้ให้อภับต่อเขา ดังนั้น แท้จริงการอดทนนั้นคือสิ่งที่จะนำความดีมาสู่ตัวเขาและสังคมและมันเป็นเรื่องที่น่ายกย่องเชิดชูและไม่มีผู้ใดได้รับการช่วยเหลือเช่นนี้ นอกจากผู้ที่มีความโชคดีอันใหญ่หลวง

(44) และผู้ใดถูกอัลลอฮ์ทำให้หันเหไปจากทางนำและหลงทางจากความจริงแล้ว ดังนั้นจะไม่มีสำหรับเขาผู้คุ้มครองใด ๆ หลังจากพระองค์ที่จะคอยคุ้มครองกิจการของเขาอีก และเจ้าจะเห็นบรรดาผู้อธรรมที่อธรรมต่อตนเองด้วยการปฏิเสธศรัทธาและทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม ซึ่งเมื่อพวกเขาได้เห็นการลงโทษในวันกิยามะฮ์ด้วยสายตาของพวกเขาเอง พวกเขาจะกล่าวด้วยสภาพของผู้ที่หวังอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ว่า "จะมีทางกลับสู่โลกนี้อีกไหม เพื่อเราจะสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลลอฮ์?"

(45) และเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- จะเห็นบรรดาผู้อธรรมเหล่านั้นขณะที่พวกเขาถูกนำมาอยู่ตรงหน้าไฟนรก ซึ่งพวกเขานั้นตกต่ำและน่าสังเวช พวกเขามองดูผู้คนอย่างหลบสายตา เนื่องจากความกลัวของพวกเขาที่มีต่อไฟนรก และบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาเราะสูลของพระองค์จะกล่าวว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่สูญเสียที่แท้จริงคือ บรรดาผู้ที่ทำตัวของพวกเขาและครอบครัวของพวกเขาเกิดความสูญเสียในวันกิยามะฮ์ ด้วยสิ่งที่พวกเขาต้องพบเจอกับการลงโทษของอัลลอฮ์” พึงทราบเถิด แท้จริงบรรดาผู้ที่อธรรมต่อตัวเองด้วยการปฏิเสธศรัทธาและกระทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมนั้น พวกเขาจะอยู่ในการลงโทษที่นิรันดร์ ไม่มีวันจบสิ้น

(46) และสำหรับพวกเขาจะไม่มีผู้คุ้มครองให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขา ด้วยการทำให้พวกเขารอดพ้นจากการลงโทษของออัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์ได้ และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทำให้หันเหไปจากสัจธรรมและหลงทางจากความจริงแล้ว ดังนั้นจะไม่มีสำหรับเขาหนทางที่จะนำพาเขาไปสู่การดลใจสู่สัจธรรมได้อย่างแน่นอน

(47) โอ้มนุษย์เอ๋ย พวกเจ้าทั้งหลายจงตอบรับการเรียกร้องของพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด โดยการรีบเร่งไปสู่การปฏิบัติสิงที่พระองค์ทรงใช้และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามและละทิ้งการผลัดวันประกันพรุ่ง ก่อนที่วันกิยามะฮ์จะมาถึง ซึ่งถ้ามันมาถึงแล้ว ไม่มีผู้ใดขวางมันได้ สำหรับพวกเจ้านั้นจะไม่มีที่พักพิงใดให้พวกเจ้าหลบอาศัย และพวกเจ้าก็จะไม่มีทางปฏิเสธใด ที่จะปฏิเสธความผิดที่พวกเจ้าได้ก่อไว้ในโลกดุนยาด้วย

(48) และหากพวกเขาผินหลังให้ในสิ่งที่เจ้าสั่งใช้พวกเขา ดังนั้น โอ้เราะสูลเอ๋ย เรามิได้ส่งเจ้ามายังพวกเขาเพื่อเป็นผู้คุ้มกันรักษาการงานของพวกเขา หน้าที่ของเจ้ามิใช่อื่นใด นอกจากการเผยแผ่สิ่งเจ้าถูกใช้ให้เผยแผ่เท่านั้น และการสอบสวนพวกเขาเป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์ และแท้จริงถ้าเราจะให้มนุษย์ลิ้มรสความเมตตาจากเราไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่งและการมีสุขภาพพลานามัยที่ดีหรืออื่น ๆ เขาก็จะยินดีปรีดาต่อความเมตตานั้น และหากมนุษย์ประสบกับเคราะห์กรรมที่พวกเขาไม่ชอบ ซึ่งเกิดจากความผิดบาปของพวกเขา แท้จริงโดยธรรมชาติพวกเขานั้น คือการเนรคุณต่อความโปรดปรานของอัลลอฮ์และจะไม่สำนึกในความโปรดปราณนั้นและไม่พอใจต่อสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดด้วยวิทยปัญญาของพระองค์

(49) อำนาจเด็ดขาดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ พระองค์ทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงหรือสิ่งอื่น ๆ พระองค์ทรงประทานลูกสาวแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และไม่ประทานลูกชายให้แก่เขา และทรงประทานลูกชายแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และไม่ประทานลูกหญิงให้แก่เขา หรือทรงประทานทั้งลูกชายและลูกสาวให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เป็นหมัน ไม่สามารถมีลูกได้ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ต่อสิ่งที่เป็นปัจจุบันและรอบรู้ต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และนี่คือการรอบรู้และฮิกมะฮ์ของพระองที่สมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดปกปิดพระองค์ได้และไม่มีสิ่งใดบั่นทอนความสามารถของพระองค์ได้

(50) อำนาจเด็ดขาดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ พระองค์ทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงหรือสิ่งอื่น ๆ พระองค์ทรงประทานลูกสาวแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และไม่ประทานลูกชายให้แก่เขา และทรงประทานลูกชายแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และไม่ประทานลูกหญิงให้แก่เขา หรือทรงประทานทั้งลูกชายและลูกสาวให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เป็นหมัน ไม่สามารถมีลูกได้ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ต่อสิ่งที่เป็นปัจจุบันและรอบรู้ต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และนี่คือการรอบรู้และฮิกมะฮ์ของพระองที่สมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดปกปิดพระองค์ได้และไม่มีสิ่งใดบั่นทอนความสามารถของพระองค์ได้

(51) และไม่เป็นการบังควรแก่มนุษย์คนใดที่จะให้อัลลอฮ์สนทนากับเขา เว้นแต่โดยทางวะฮ์ยูด้วยการดลใจหรือด้วยวิธีอื่น หรือโดยที่พระองค์ทรงตรัสแก่เขา โดยที่มนุษย์คนนั้นได้ยินพระองค์แต่มองไม่เห็นพระองค์ หรือด้วยการส่งทูตมายังเขา เช่น ญิบรีล แล้วเขา(มะลัก) ก็จะนำวะฮ์ยูมาให้เราะสูล ตามสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้วะฮ์ยู แท้จริงพระองค์ -มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์- เป็นผู้ทรงสูงส่งทั้งในด้านตัวตนและคุณลักษณะของพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในการสร้าง การกำหนดสภาวะการณ์และการกำหนดบทบัญญัติของพระองค์

(52) และดังที่เราได้ประทานลงมาแก่บรรดานบีก่อนหน้าเจ้า -โอ้ เราะสูลเอ๋ย- เราได้ประทานอัลกุรอานจากเราแก่เจ้า ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอะไรคือคัมภีร์แห่งฟากฟ้าที่ถูกประทานลงมาแก่บรรดาเราะสูล และก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยรู้เลยว่าคำว่า “ศรัทธาคืออะไร?” แต่เราได้ส่งอัลกุรอานนี้ลงมาเป็นแสงสว่าง ซึ่งเราได้ชี้แนะผู้ที่เราประสงค์จากปวงบ่าวของเรา และแท้จริงพระองค์ทรงแนะนำมนุษย์ไปสู่แนวทางอันเที่ยงตรง นั่นคือศาสนาแห่งอิสลาม

(53) คือทางของอัลลอฮ์ พระองค์ผู้ซึ่งทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและทุกสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว ทั้งในด้านการสร้าง การครอบครอง และการบริหารจัดการ ทุกกิจการขึ้นกับอัลลอฮ์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ทั้งในด้านการกำหนดและการจัดการ