41 - Fussilat ()

|

(1) ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้วในตอนต้นของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์

(2) คัมภีร์อัลกุรอานนี้เป็นการประทานลงมาจากอัลลอฮ์พระผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

(3) เป็นคัมภีร์ที่โองการทั้งหลายของมันนั้นได้รับการอธิบายไว้อย่างละเอียดและสมบูรณ์ที่สุด และทรงทำให้อัลกุรอานนั้นเป็นภาษาอาหรับสำหรับหมู่ชนผู้มีความรู้ เพราะพวกเขาคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากความหมายของมัน และจากเนื้อหาของมันที่เป็นแนวทางสู่สัจธรรม

(4) เป็นการแจ้งข่าวดีสำหรับผู้ศรัทธาในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้เตรียมไว้ให้แก่พวกเขาจากการตอบแทนที่ดีเลิศ และเป็นการตักเตือจให้เกิดความเกรงกลัวแก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธต่อบทลงโทษที่เจ็บปวด และส่วนมากของพวกเขาผินหลังให้ พวกเขาไม่ได้ยินคำแนะนำใด ๆ ที่แสดงถึงการได้ยินเพื่อการตอบรับ

(5) พวกเขากล่าวว่า หัวใจของเราถูกปกปิดด้วยการปกปิดหลายชั้น จึงไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเจ้าเชิญชวน และในหูของเราก็หนวกไม่ได้ยินอะไร และระหว่างเราและเจ้านั้นมีสิ่งกีดกั้นไม่สามารถมาถึงเราได้ในสิ่งที่เจ้ากล่าวมา ดังนั้นเจ้าจงปฏิบัติตามเส้นทางของเจ้า และฉันก็จะปฏิบัติตามเส้นทางของฉันและเราก็จะไม่ตามเจ้า

(6) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะสูล แก่บรรดาผู้ที่ดื้อดึงเหล่านั้น แท้จริงฉันก็เป็นสามัญชนเยี่ยงพวกท่าน แต่ได้มีวะห์ยูจากอัลลอฮ์แก่ฉันว่า แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านที่สมควรเคารพบูชานั้นคือพระเจ้าองค์เดียวคืออัลลอฮ์ ดังนั้นจงมุ่งตรงสู่เส้นทางสู่พระองค์เถิด และจงขออภัยต่อพระองค์ในบาปของพวกเจ้า และความวิบัติและบทลงโทษจงมีแด่บรรดาผู้ตั้งภาคีที่เคารพบูชาสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์หรือเคารพสิ่งอื่นพร้อมกับอัลลอฮ์

(7) บรรดาผู้ที่ไม่จ่ายซะกาตจากทรัพย์สินของพวกเขาและพวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อวันปรโลก พวกเขาจะไม่มีความสุขในนั้นและจะถูกลงโทษที่เจ็บปวดทรมาน

(8) แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูล และกระทำการงานที่ดี สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับผลบุญอย่างถาวรโดยไม่ขาดสายนั้นก็คือสวรรค์

(9) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะสูล แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีว่า เพราะเหตุใดพวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ที่ทรงสร้างแผ่นดินเพียงสองวัน ในวันอาทิตย์และวันจันทร์และพวกเจ้าให้พระองค์มีคู่เคียง เคารพบูชาสิ่งเหล่านั้นอื่นจากพระองค์? พระองค์นั่นคือพระเจ้าของสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหมด

(10) และในแผ่นดินนั้น อัลลอฮ์ได้สร้างภูเขาตั้งอยู่บนมันเพื่อยึดไม่ให้มันสั่นคลอน และพระองค์ได้กำหนดปัจจัยยังชีพในนั้นแก่ผู้คนและปศุสัตว์ในสี่วันเพื่อให้ครบรวมกับสองวันที่ผ่านมา นั่นคือวันอังคารและวันพุธอย่างเท่าเทียมกันแก่บรรดาผู้ที่ต้องการไต่ถามในสิ่งนี้

(11) แล้วพระองค์ทรงมุ่งสู่การสร้างท้องฟ้า ซึ่งขณะนั้นมันเป็นไอหมอก พระองค์จึงตรัสแก่ชั้นฟ้าและแผ่นดินว่า เจ้าทั้งสองจงมาจะโดยเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตามไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับทั้งสองที่จะทำเช่นนั้นมันทั้งสองกล่าวว่า ข้าพระองค์มาอย่างเต็มใจแล้ว ไม่มีความประสงค์ใดๆสำหรับเราโดยปราศจากความประสงค์ของพระองค์ โอ้พระอภิบาลของเรา

(12) ดังนั้นพระองค์ทรงสร้างมันสำเร็จเป็นชั้นฟ้าทั้งเจ็ดในระยะเวลาสองวัน คือวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ และด้วยสองวันนี้ทำให้การสร้างท้องฟ้าและแผ่นดินได้เสร็จสมบูรณ์ในเวลาหกวัน และพระองค์ประกาศแก่ทุกชั้นฟ้าซึ่งสิ่งที่พระองค์ได้กำหนดไว้ และสิ่งที่เป็นคำสั่งของพระองค์ในเรื่องการเชื่อฟังและการเคารพสักการะต่อพระองค์ และพระองค์ได้ประดับท้องฟ้าแห่งโลกนี้ด้วยดวงดาวทั้งหลาย และเราได้ปกป้องชั้นฟ้าด้วยดาวเหล่านั้นให้พ้นจากการได้ยินของชัยฏอน สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นคือการกำหนดแห่งพระผู้ทรงอำนาจที่ไม่มีผู้ใดจะเอาชนะได้ ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งทึ่พระองค์ทรงสร้าง

(13) ถ้าพวกเขาผินหลังให้กับการศรัทธาในสิ่งที่เจ้านำมา ก็จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- ฉันขอเตือนพวกเจ้าถึงบทลงโทษที่จะเกิดขึ้นแก่พวกเจ้าดังเช่นบทลงโทษที่เกิดมาแล้วกับกลุ่มชนอ๊าดที่เป็นกลุ่มชนของฮูดและษะมูดที่เป็นกลุ่มชนของซอและฮฺ หลังจากที่พวกเขาได้ปฏิเสธเขาทั้งสอง

(14) เมื่อบรรดาเราะสูลได้มายังพวกเขาคนแล้วคนเล่า ด้วยการเรียกร้องพวกเขาสู่สิ่งเดียวกัน ได้สั่งใช้พวกเขาไม่ให้เคารพสักการะเว้นแต่พระองค์อัลลอฮเท่านั้น บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจากพวกเขากล่าวว่า หากพระเจ้าของเราทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะต้องส่งมลาอิกะฮ์ลงมาแก่พวกเขา ดังนั้นเราจึงปฏิเสธศรัทธาในสิ่งที่พวกท่านถูกส่งมา เพราะพวกเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรา

(15) ส่วนพวกอ๊าดกลุ่มชนฮูดด้วยกับการปฏิเสธของพวกเขาต่ออัลลอฮ์ ด้วยการหยิ่งผยองบนแผ่นดินโดยไม่เป็นธรรมและอธรรมต่อคนรอบข้าง และพวกเขากล่าว ในสภาพที่พวกเขาถูกหลอกโดยอำนาจของพวกเขา ว่า ผู้ใดจะมีพลังเข้มแข็งกว่าพวกเรา?! ไม่มีใครที่มีพลังเข้มแข็งเท่าพวกเขา อัลลอฮ์ก็ได้ตอบโต้แก่พวกเขาว่า พวกเจ้าไม่รู้และไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างพวกเขานั้นทรงพลังเข้มแข็งกว่าพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงปฏิเสธสัญญาณต่าง ๆ ของอัลลอฮที่ท่านนบีฮูดได้นำมายังพวกเขา

(16) ดังนั้นเราได้ส่งพายุมาด้วยเสียงที่น่ารำคาญในวันแห่งความทุกข์ยากเนื่องด้วยการลงโทษที่มีอยู่ในนั้น ทั้งหมดนั้นเพื่อเราจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสแห่งการลงโทษอันน่าอัปยศในชีวิตแห่งโลกนี้ และแน่นอนการลงโทษในวันปรโลกนั้นย่อมอัปยศยิ่งกว่าแก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครในการถูกลงโทษของพวกเขา

(17) ส่วนพวกษะมูดกลุ่มชนของฮูด เราได้ชี้แนะทางให้แก่พวกเขาโดยการชี้ทางที่ถูกต้องแก่พวกเขา แต่พวกเขาเลือกทางที่หลงเหนือทางนำ ดังนั้นการลงโทษอันอัปยศได้เกิดขึ้นแก่พวกเขาเพราะสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาไว้ ด้วยการปฏิเสธศรัทธาและการเนรคุณ

(18) และเราได้ช่วยบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาเราะสูลของพระองค์ และพวกเขาเป็นผู้ยำเกรงต่ออัลลอฮโดยปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ต้องห้าม เราได้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษที่เกิดขึ้นกับชนชาติของพวกเขา

(19) และในวันที่อัลลอฮ์ได้จัดบรรดาศัตรูของพระองค์ได้ชุมนุมเข้าสู่ไฟนรก มลาอีกะฮ์ซะบานียะฮ์จะคอยจัดแถวจากคนแรกจนคนสุดท้าย พวกเขาจะถูกจัดเป็นแถว ๆ ไม่สามารถที่จะหนีให้พ้นจากไฟนรกได้

(20) จนกระทั่งเมื่อพวกเขามาถึงนรก พวกเขาถูกส่งไปและพวกเขาปฏิเสธสิ่งที่พวกเขาได้กระทำในโลกดุนยา หูของพวกเขา ตาของพวกเขาและผิวหนังของพวกเขาก็จะเป็นพยานคัดค้านพวกเขาตามที่พวกเขาได้กระทำไว้ในโลกดุนยาในการปฏิเสธศรัทธาและกระทำบาป

(21) และพวกปฏิเสธศรัทธากล่าวแก่ผิวหนังของพวกเขาว่า ทำไมพวกเจ้าจึงเป็นพยานคัดค้านแก่เราเล่าในสิ่งที่เราได้กระทำบนโลกดุนยา ผิวหนังกล่าวแก่เจ้าของมันว่า อัลลอฮ์ทรงให้เราพูด พระองค์คือผู้ทรงให้ทุกสิ่งพูด และพระองค์คือผู้ทรงสร้างพวกเจ้าเป็นครั้งแรกเมื่อพวกเจ้าอยู่ในโลกดุนยา และยังพระองค์เท่านั้นที่พวกเจ้าจะถูกนำกลับไปในวันอาคีเราะฮ์เพื่อคิดบัญชีและตอบแทน

(22) ขณะที่พวกเจ้าทำบาป พวกเจ้าประเมินต่ำไปว่าหู ตา และผิวหนังของพวกเจ้าจะไม่เป็นพยานปรักปรำพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าไม่ศรัทธาว่ามีการคิดบัญชี มีการลงโทษและการตอบแทนความดีหลังความตาย แต่พวกเจ้าคิดว่าอัลลอฮ์ -ซุบฮานาฮู วา ตาอาลา - ไม่รู้หลายสิ่งที่พวกเจ้าทำ ตรงกันข้าม มันถูกซ่อนจากพระองค์ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเจ้าถูกหลอก

(23) ความคิดเห็นที่ไม่ดีของพวกเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเจ้านั้นได้ทำลายพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจึงอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุนในโลกนี้และในปรโลก

(24) หากบรรดาผู้ที่การได้ยิน การมองเห็น และผิวหนังเป็นพยานให้การต่อพวกเขา แล้วพวกเขาก็อดทน สุดท้าย นรกคือที่พำนักของพวกเขา ที่พำนักที่พวกเขาจะกลับมา หากพวกเขาวิงวอนขอความพอพระทัยของอัลลอฮ์และหวังว่าจะได้เข้าสวรรค์ พวกเขาจะไม่พบมันและจะไม่เข้าสวรรค์

(25) และเราได้เตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นซึ่งสหายที่มาจากชัยฏอนที่คอยติดตามพวกเขา ดังนั้นพวกมันได้ทำให้ความชั่วเป็นสิ่งสวยงามให้แก่พวกเขา ในโลกดุนยานี้ และได้ทำให้สิ่งต่างๆ ในปรโลกเป็นสิ่งสวยงามสำหรับพวกเขา แล้วทำให้พวกเขาลืมวันปรโลกและการกระทำเพื่อวันนั้น และแล้วพวกเขาต้องถูกลงโทษต้องอยู่ในกลุ่มบรรดาประชาชาติที่ล่วงลับไปก่อนจากพวกญินและมนุษย์ แท้จริงพวกเขาเป็นผู้ที่ขาดทุนด้วยการขาดทุนต่อตัวเองและครอบครัวของพวกเขาในวันกิยามะฮ์ ด้วยการเข้านรก

(26) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าว เพื่อเป็นการสั่งเสียระหว่างกันหลังจากที่ไม่สามารถเผชิญหน้ากับข้อโต้แย้งได้ว่า พวกเจ้าอย่าฟังอัลกุรอ่านนี้ที่มูฮัมมัดได้อ่านแก่พวกเจ้า และอย่าเอาคำแนะนำในสิ่งที่อยู่ในนั้น และพวกเจ้าจงตะโกนและส่งเสียงให้ดังเมื่อมูฮัมมัดอ่าน พวกเจ้าอาจได้รับชัยชนะเหนือเขา และจงละทิ้งการอ่านของเขาและการเชิญชวน แล้วเราก็จะพักไปจากเขา

(27) และโดยแน่นอน เราจะให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิเสธต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์ได้ลิ้มรสแห่งการลงโทษอย่างแสนสาหัสในวันกียามะฮ์ และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาเลวร้ายยิ่งกว่าที่พวกเขาได้กระทำไว้จากการตั้งภาคีและกระทำการบาปเป็นการลงโทษแก่พวกเขา

(28) การลงโทษนี้เป็นการตอบแทนสำหรับบรรดาศัตรูของอัลลอฮ์ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์และปฏิเสธท่านเราะสูลของพระองค์ คือไฟนรก สำหรับพวกเขาจะพำนักอยู่ในนรกนั้นตลอดกาลเป็นการตอบแทนตามที่พวกเขาปฏิเสธโองการต่าง ๆ ของอัลลอฮ์ และไม่ศรัทธาต่อบรรดาโองการเหล่านั้นทั้งที่มันชัดเจนและมีน้ำหนัก

(29) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิเสธต่อท่านเราะสูลกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของเราได้โปรดให้เราได้เห็นผู้ที่ทำให้เราหลงทั้งสองด้วยที่มาจากญินและมนุษย์ อิบลิสคือต้นแบบแห่งการปฏิเสธและเชิญชวนผู้คนสู่มัน และบุตรชายของอาดัมคือต้นแบบผู้หลั่งเลือด เราจะให้มันทั้งสองอยู่ในนรกภายใต้เท้าของเรา เพื่อว่ามันทั้งสองจะได้อยู่ใต้สุดในหมู่ผู้เลวทรามยิ่งของชาวนรกที่ถูกลงโทษ

(30) แท้จริงบรดาผู้ที่กล่าวว่า พระผู้อภิบาลของเราคืออัลลอฮ์ ไม่มีผู้ใดเป็นพระผู้ทรงอภิบาลสำหรับเรานอกจากพระองค์ และพวกเขาได้ยืนหยัดในคำสั่งใช้และหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ต้องห้าม บรรดามลาอิกะฮ์จะลงมาหาพวกเขาในขณะที่พวกเขากำลังจะจากโลกนี้ไป โดยกล่าวแก่พวกเขาว่า "พวกท่านอย่าได้หวาดกลัวความตายและสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น และอย่าเสียใจกับสิ่งที่เหลืออยู่ในโลกนี้ และจงบอกข่าวดีด้วยการที่ได้เข้าสวรรค์ที่เราได้สัญญาไว้แก่พวกท่านบนโลกดุนยาในการเชื่อศรัทธาต่ออัลลอฮ์และการกระทำความดีของพวกท่าน

(31) พวกเราเป็นผู้อารักษ์ขาพวกเจ้าทั้งในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้โดยเราเคยให้การสนับสนุนพวกเจ้าและปกป้องพวกเจ้า และพวกเราเป็นผู้อารักษ์ขาพวกท่านในวันปรโลกเช่นกัน ดังนั้นการเป็นผู้อารักษ์ขาของเราจะเกิดอย่างไม่จบสิ้นสำหรับพวกเจ้า และสำหรับพวกเจ้าในสรวงสวรรค์นั้นจะได้สิ่งที่จิตใจปรารถนาจากความสุขและความเพลิดเพลิน และสำหรับพวกเจ้าในสรวงสวรรค์นั้นจะได้ในสิ่งที่พวกเจ้าเรียกร้อง

(32) เป็นปัจจัยที่ได้ถูกเตรียมไว้สำหรับการต้อนรับพวกเจ้าจากพระเจ้า ผู้ทรงอภัยต่อความผิดบาปของผู้ที่กลับตัวต่อพระองค์จากปวงบ่าวของพระองค์และทรงเมตตาแก่พวกเขา

(33) ไม่มีผู้ใดที่คำพูดของเขาจะดีไปกว่าผู้ที่เชิญชวนสู่การให้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ของพระองค์ และทำความดีที่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าของเขา และเขากล่าวว่า "แท้จริงฉันเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่ยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ " ดังนั้นใครก็ตามที่ทำเช่นนี้ครบถ้วนแล้ว ดังนั้นเขาเป็นคนที่พูดที่ดีที่สุด

(34) และไม่เท่าเทียมกันระหว่างการกระทำความดีและและการเชื่อฟังต่างๆ ที่เป็นที่พอพระทัยต่ออัลลอฮ์ และการกระทำความชั่วและบาปที่อัลลอฮ์โกรธกริ้ว เจ้าจงตอบโต้ความชั่วของผู้ที่ทำไม่ดีกับเจ้าด้วยวิธีที่ดีกว่า แล้วเมื่อนั้นผู้ที่มีความเป็นศัตรูกันระหว่างเจ้ากับเขาก่อนหน้านี้ หากตอบโต้เขาด้วยวิธีที่ดีกว่าแก่พวกเขา เขาก็จะเป็นมิตรที่ดี

(35) และไม่มีผู้ใดที่จะมีคุณลักษณะที่ดีนี้ได้นอกจากบรรดาผู้อดทนต่อการละเมิด และสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ จากผู้คน และจะไม่มีผู้ใดที่จะมีคุณลักษณะนั้น นอกจากผู้ที่มีโชคลาภอันใหญ่หลวงเพราะคุณลักษณะนั้นมีความดีและให้ประโยชน์อันมากมาย

(36) และหากชัยฏอนยุแหย่อยู่ตลอดเวลาด้วยสิ่งที่ไม่ดี พวกเจ้าจงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ และจงวอนขอต่อพระองค์เถิด แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินในคำพูดของเจ้าผู้ทรงรอบรู้สถานะของพวกเจ้า

(37) และหนึ่งในสัญญาณของอัลลอฮ์ที่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์คือกลางคืนและกลางวัน ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ พวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย อย่าได้สุญูดให้แก่ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ แต่จงสุญูดแด่อัลลอฮ์เพียงองค์เดียวผู้ที่ทรงสร้างพวกมัน หากพวกเจ้าจะเคารพภักดีแก่พระองค์อย่างแท้จริง

(38) แต่ถ้าพวกเจ้าหยิ่งยโสและผินหลังให้ และไม่สูญูดต่ออัลลอฮ์ผู้เป็นผู้สร้าง ดังนั้นมลาอิกะฮ์ที่อยู่ ณ ที่อัลลอฮ์ ก็จะสรรเสริญพระองค์และสดุดีพระองค์ในเวลากลางคืนและกลางวันด้วยกันโดยที่พวกเขาจะไม่เหนื่อยหน่ายในการเคารพภักดีของพวกเขา

(39) และหนึ่งในสัญญาณของอัลลอฮ์ที่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่และความเป็นเอกภาพของพระองค์ และบ่งบอกถึงความสามารถของพระองค์ในการฟื้นคืนชีพนั้น คือการที่คุณเห็นว่าแผ่นดินที่ไม่มีต้นไม้ใดๆ เมื่อพระองค์ทรงหลั่งน้ำฝนลงมาบนมันก็จะมีการขยับเนื่องจากการเจริญเติบโตของเมล็ดที่ซ่อนอยู่ และจะงอกเงยขึ้นมา แท้จริงพระองค์ผู้ซึ่งให้แผ่นดินที่ตายแล้วมีชีวิตด้วยต้นไม้ต่างๆ ขึ้นมานั้น แน่นอนพระองค์สามารถฟื้นคืนชีพคนที่ตายและนำพวกเขาไปสู่การสอบสวนและตอบแทน แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอนุภาพเหนือทุกสิ่งไม่เป็นการลำบากเลยสำหรับพระองค์ที่จะฟื้นแผ่นดินหลังจากการตายของมันได้หรือการฟื้นคืนชีพของคนตายและการให้มีชีวิตขึ้นมาจากหลุมฝังศพของพวกเขา

(40) แท้จริงบรรดาผู้ที่บิดเบือนในสัญญาณของอัลลอฮ์จากความถูกต้องด้วยการปฏิเสธและกล่าวโกหกและบิดเบือนสถานะของพวกเขาไม่ได้ถูกซ่อนหรือปกปิดจากเรา เรารู้จักพวกเขาดี ผู้ที่ถูกโยนลงในนรกจะดีกว่าหรือผู้ที่มาอย่างปลอดภัยจากการลงโทษในวันกิยามะฮฺ? จงกระทำตามสิ่งที่พวกเจ้าปรารถนาเถิดจากสิ่งที่ดีหรือชั่ว แท้จริงเราได้ให้ความชัดเจนแก่พวกเจ้าในความดีและความชั่วแล้ว แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรู้เห็นทั้งสองในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ไม่มีอะไรปกปิดได้ในการงานของพวกเจ้า

(41) แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลกุรอ่าน เมื่อได้มายังพวกเขา จากอัลลอฮ์ แน่นอนพวกเขาจะถูกลงโทษในวันกิยามะฮ์ และแท้จริงคำภีร์อัลกุรอ่านเป็นคัมภีร์ที่มีเกียรติยิ่ง ไม่สามารถที่จะบิดเบือนอัคระได้และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้

(42) ความเท็จจากข้างหน้าและจากข้างหลังจะไม่คืบคลานด้วยการเพิ่มหรือลด เปลี่ยนแปลงหรือบิดเบือนเข้าไปสู่อัลกุรอ่านได้ เพราะเป็นการประทานจากพระผู้ทรงปรีชาญาณในการสร้างผู้ทรงสามารถและบทบัญญัติของเขา ผู้ที่อ่อนโยนในทุกสถานการณ์

(43) โอ้ ท่านเราะสูล ไม่มีสิ่งใดที่ถูกกล่าวแก่เจ้าจากการปฏิเสธเว้นแต่สิ่งที่ได้กล่าวแก่เราะสูลก่อนหน้าพวกท่านว่า จงอดทน แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นผู้ทรงให้อภัยแก่บ่าวที่กลับใจต่อพระองค์ และทรงเป็นผู้ลงโทษอย่างเจ็บปวดสำหรับผู้ที่ยังคงมีความผิดบาปอยู่และไม่กลับใจ

(44) และหากเราได้ประทานอัลกุรอ่านมาเป็นภาษาที่ไม่ไช่ภาษาอาหรับ แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวว่า ทำไมไม่อธิบายจนให้เรามีความเข้าใจ อัลกุรอ่านนั้นเป็นภาษาต่างชาติ และ ผู้ที่นำมาเป็นคนอาหรับกระนั้นหรือ? จงกล่าวเถิดโอ้ท่านเราะสูล แก่พวกเขา อัลกุรอ่านนั้นสำหรับผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮและเชื่อต่อท่านเราะสูล และเป็นการชี้แนะสำหรับผู้ที่หลง และเป็นยาบำบัดหัวใจจากความโง่เขลา ส่วนบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์นั้น อัลกุรอ่านจะทำให้หูของพวกเขาหนวก และนัยน์ตาของพวกเขาบอดไม่เข้าใจในอัลกุรอ่าน ผู้ที่ถูกอธิบายถึงคุณลักษณะเหล่านี้เสมือนว่าเป็นคนที่ถูกร้องเรียกจากสถานที่อันไกล แล้วพวกเขาจะได้ยินการเชิญชวนได้อย่างไร?

(45) และแน่นอนเราได้ประทานคมภีร์อัต-เตาเราะฮฺแก่ท่านนบีมูซาแล้วได้เกิดการขัดเเย้งกันขึ้น บางคนในพวกเขาเชื่อศรัทธาต่อคัมภีร์และอีกบางคนปฏิเสธมัน และถ้าอัลลอฮ์ไม่ได้สัญญาไว้ว่าจะแยกปวงบ่าวในวันกิยามะฮ์ในขณะที่พวกเขาแตกต่างกันไปในการตัดสินที่แตกต่างกันในอัต-เตาเราะฮ์ พระองค์ทรงทำให้ชัดเจนระหว่างความถูกต้องและผิด ทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่ทำถูกต้องและดูถูกผู้ที่ทำผิดและแท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากำลังสงสัยจากอัลกุรอ่านเป็นที่น่าสงสัย

(46) ผู้ใดกระทำความดีดังนั้นประโยชน์ของความดีนั้นก็จะได้แก่ตัวของเขาเอง พระเจ้าไม่ได้รับประโยชน์จากความดีของผู้ใดเลย และผู้ใดกระทำความชั่วก็จะได้แก่ตัวของเขาเอง และพระเจ้าก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากความชั่วของบ่าวเลย และพระองค์จะทรงตอบแทนทั้งหมดในสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ และพระเจ้าของเจ้านั้น โอ้ท่านเราะสูล ไม่ทรงอธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จะไม่ทรงตัดออกจากความดีของพวกเขา และไม่ทรงเพิ่มในความชั่วของพวกเขา

(47) ความรู้แห่งวันอวสานนั้นขึ้นกับพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น,ดังนั้นพระองค์เท่านั้นคือผู้ที่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่,จึงไม่มีผู้ใดอื่นจากพระองค์รู้เรื่องดังกล่าว,และไม่มีผลไม้ใดออกมาจากกลีบดอกที่ห่อหุ้มมัน และไม่มีหญิงใดตั้งครรภ์ หรือให้กำเนิด เว้นแต่ด้วยความรอบรู้ของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจากเรื่องดังกล่าวจะผ่านพ้นพระองค์ไปได้ และวันที่พระองค์ทรงเรียกบรรดาผู้ที่ตั้งภาคี ที่เคยสักการะบูชาบรรดาเจว็ดพร้อมกับพระองค์ เพื่อเป็นการเยาะเย้ยพวกเขาที่ได้ทำการเคารพสักการะบรรดาเจว็ดเหล่านั้นว่า "ไหนเล่าภาคีทั้งหลายของข้า ที่พวกเจ้านั้นอ้างว่าพวกเขาเป็นภาคี?" พวกเขากล่าวว่า "เราขอสารภาพต่อหน้าพระองค์ วันนี้ไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเราเป็นพยานว่าพระองค์มีภาคี"

(48) และบรรดาเจว็ดที่พวกเขาเคยวิงวอนกราบไหว้นั้นได้เตลิดหนีไปจากพวกเขา และพวกเขาเชื่อมั่นว่า พวกเขานั้นไม่มีทางหนีสำหรับพวกเขาที่จะหลบหนีการลงโทษของอัลลอฮ์ไปได้

(49) มนุษย์ไม่เคยเบื่อหน่ายต่อการวิงวอนขอการมีสุขภาพที่ดี ความมั่งคั่ง ลูก และความสุขทางโลกอื่นๆ แต่เมื่อความยากจนและโรคภัยไข้เจ็บมาประสบแก่พวกเขาเข้า เขาก็จะท้อถอยหมดอาลัยจากความเมตตาของอัลลอฮ์เป็นอย่างมาก

(50) และเมื่อเราได้ให้เขาลิ้มรสการมีสุขภาพที่ดี ความมั่งคั่งและความสุขสบายหลังจากที่ได้ประสบกับความทุกข์ยากและโรคภัยต่างๆ แน่นอนเขาก็จะกล่าวว่า นี่คือความสามารถของฉัน เพราะฉันเป็นผู้ที่คู่ควรและเหมาะสมกับมัน และฉันไม่คิดว่าวันแห่งการอวสานนั้นจะเกิดขึ้น แต่ถ้าหากว่าวันแห่งการอวสานเกิดขึ้นจริง แน่นอนฉันก็จะอยู่ในฐานะที่ร่ำรวยและมีทรัพย์สิน ณ ที่อัลลอฮ์ ดั่งที่พระองค์ได้ทรงประทานให้แก่ฉันในโลกดุนยา เพราะความเหมาะสมของฉันต่อเรื่องดังกล่าว พระองค์จึงทรงประทานให้แก่ฉันในวันอาคิเราะฮ์ด้วย ดังนั้นเรา(อัลลอฮ์)จะให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้รู้เห็นในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธศรัทธาและการฝ่าฝืน และแน่นอนเราจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษอันรุนแรง

(51) และเมื่อเราประทานความโปรดปรานแก่มนุษย์ ด้วยการให้มีสุขภาพที่ดีและควมสุขสบายอื่น ๆ เขาก็จะละเลยการรำลึกถึงอัลลอฮ์และการเชื่อฟังต่อพระองค์ และเขาก็เหินห่างและปลีกตัวออกไปข้าง ๆ อย่างโอหัง และเมื่อโรคภัยไข้เจ็บ ความยากจนและอื่น ๆ มาประสบแก่เขา เขาก็เป็นผู้วิงวอนขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์อย่างมาก ด้วยการระบายต่อพระองค์ถึงความทุกข์ที่ประสบแก่เขา เพื่อให้พระองค์ขจัดทุกข์นั้นไปจากเขา แต่เขาไม่ขอบคุณผู้อภิบาลของเขาเมื่อพระองค์ทรงประทานความโปรดปรานให้แก่เขา และไม่อดทนต่อบททดสอบของพระองค์เมื่อพระองค์ทรงทดสอบเขา

(52) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย -แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า “จงบอกฉันมาเถิดว่า หากอัลกุรอานนี้มาจากอัลลอฮ์ แล้วพวกเจ้าปฏิเสธและไม่ศรัทธาตอมัน ดังนั้นพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?! และใครกันแน่ที่จะหลงทางมากกว่าคนที่ดื้อรั้นต่อความจริง ทั้งที่ความจริงนั้นปรากฎชัดเจน ด้านการเป็นหลักฐานที่กระจ่างชัดและมีน้ำหนัก?!

(53) เราจะให้พวกปฏิเสธศรัทธากุร็อยชฺได้เห็นสัญญาณทั้งหลายของเราในแผ่นดินอันไกลโพ้น จากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงพิชิตมันให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาและเราจะให้พวกเขาได้เห็นสัญญาณทั้งหลายของเราในตัวของพวกเขาเองด้วยการพิชิตเมืองมักกะฮ์ จนเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาด้วยกับสิ่งที่ทำให้หายสงสัยว่า อัลกุรอานนั้นเป็นความจริงที่ไม่มีการเคลือบแคลงใดๆในนั้น บรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้นยังไม่พอเพียงอีกหรือว่า อัลกุรอานคือสัจธรรม ด้วยการเป็นพยานของอัลลอฮ์ ว่ามันนั้นมาจากพระองค์?! แล้วจะมีใครเป็นพยานที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าอัลลอฮ์?! ดังนั้นถ้าหากพวกเขาปรารถนาในสัจธรรมอย่างแท้จริง แน่นอนพวกเขาย่อมพอเพียงต่อการเป็นพยานของพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา

(54) พึงรู้เถิดว่า แท้จริงบรรดาผู้ตั้งภาคีนั้น อยู่ในการสงสัยของพวกเขาเกี่ยวกับการพบพระเจ้าของพวกเขาในวันกิยามะฮ์ เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธการฟื้นคืนชีพ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธาต่อวันอาคิเราะฮ์ ด้วยเหตุนี้ชี้ถึงว่า พวกเขาไม่ได้เตรียมการงานที่ดีสำหรับวันนั้นเลย พึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงครอบคลุมทุกสิ่งด้วยความรู้และความสามารถ