39 - Az-Zumar ()

|

(1) อัลกุรอานนี้ถูกประทานลงมาจากอัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจ ซึ่งไม่มีใครสามารถเอาชนะพระองค์ได้ ผู้ทรงปรีชาญาณในการทรงสร้าง การจัดการ และบทบัญญัติของพระองค์ ไม่ได้ถูกประทนลงมาจากใครอื่นนอกจากพระองค์

(2) แท้จริงเราได้ประทานคัมภีร์อัลกุรอานมายังเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ที่ครอบคลุมด้วยความจริง ดังนั้นข่าวคราวของอัลกุรอานทุกอย่างล้วนเป็นความจริง และบทบัญญัติของพระองค์ทั้งหมดนั้นยุติธรรม ดังนั้นเจ้าจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ด้วยการเป็นผู้ที่เตาฮีดต่อพระองค์ และมีเตาฮีดที่บริสุทธิ์ต่อพระองค์ปราศจากการตั้งภาคีใดๆ

(3) พึงทราบเถิด การอิบาดะฮ์ที่บริสุทธิ์จากการตั้งภาคีนั้นเป็นของอัลลอฮ์องค์เดียว ส่วนบรรดาผู้ที่ยึดเอาสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์เป็นผู้คุ้มครองที่มาจากรูปปั้นต่างๆและบรรดาชัยฏอน ซึ่งพวกเขาเคารพต่อสิ่งเหล่านั้นอื่นจากอัลลอฮ์ โดยอ้างถึงการทำอิบาดะฮฺของพวกเขาต่อสิ่งเหล่านั้น ด้วยคำกล่าวที่ว่า “เรามิได้เคารพภักดีสิ่งเหล่านั้น เว้นแต่เพื่อให้สิ่งเหล่านี้ทำให้สถานะของเราได้เข้าใกล้อัลลอฮ์ ให้ความต้องการต่างๆของเราถูกยกไปยังพระองค์ และให้พวกเขาช่วยเหลือเรา ณ ที่พระองค์" แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงตัดสินระหว่างบรรดาผู้ศรัทธาผู้ทีเชื่อในความเป็นเอกะของพระองค์ และระหว่างบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ตั้งภาคีในวันกิยามะฮ์ ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกันในเรื่องการเตาฮีด(การศรัทธาในความเป็นเอกะของอัลลอฮ์) แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้นำสู่สัจธรรมแก่ผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์ที่เชื่อว่าอัลลอฮ์นั้นมีหุ้นส่วน ผู้ไม่สำนึกในความโปรดปราณของอัลลอฮ์ที่มีต่อเขา

(4) หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ที่จะมีบุตร แน่นอนพระองค์ก็จะทรงเลือกจากสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และทำให้เขาอยู่ในฐานะการเป็นบุตร พระองค์ทรงบริสุทธิ์ทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่บรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้นได้กล่าวไว้ พระองค์ผู้ทรงเอกะในตัวตน คุณลักษณะ และการกระทำ ไม่มีภาคีใดๆสำหรับพระองค์ ผู้ทรงพิชิตสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมา

(5) พระองค์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเพื่อเป็นฮิกมะฮฺ(วิทยปัญญา)ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่สร้างเพื่อไร้สาระตามที่บรรดาผู้อธรรมได้กล่าวไว้ พระองค์ทรงให้กลางคืนคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางวันและทรงให้กลางวันคาบเกี่ยวเข้าไปในกลางคืน เมื่อเวลาใดได้เข้ามา อีกเวลาหนึ่งก็จะหายไป และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์(แก่มนุษย์) ทั้งสองนี้จะโคจรไปตามระยะเวลาที่ถูกกำหนดไว้ นั่นคือเวลาแห่งการจบสิ้นของชีวิตดุนยานี้ พึงทราบเถิด พระองค์ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์ ผู้ทรงอำนาจที่ลงโทษบรรดาศัตรูของพระองค์ ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าพระองค์ ผู้ทรงอภัยต่อบาปของปวงบ่าวที่กลับตัวอยู่เสมอ

(6) พระเจ้าของพวกเจ้า - โอ้มนุษย์เอ๋ย – ทรงสร้างพวกเจ้าจากชีวิตหนึ่งคืออาดัม จากนั้นพระองค์ทรงสร้างฮาวาอ์จากอาดัมเพื่อเป็นคู่ครองของเขา และพระองค์ทรงสร้างปศุสัตว์แก่พวกเจ้า เช่น อูฐ วัว แกะ และแพะออกเป็นแปดชนิด ซึ่งจากแต่ละประเภทนั้นเป็นตัวผู้และตัวเมีย พระองค์ทรงสร้างพวกเจ้าในครรภ์มารดาของพวกเจ้าทีละขั้นในความมืดของช่องท้อง มดลูก และรก ผู้ทรงสร้างทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคืออัลลอฮ์ พระเจ้าของพวกเจ้า มีเพียงสำหรับพระองค์เท่านั้นคือการครอบครอง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เที่ยงแท้นอกนอกจากพระองค์ แล้วพวกเจ้าเปลี่ยนจากการอิบาดะฮ์ต่อพระองค์ไปสู่การอิบาดะฮ์ต่อผู้ที่ไม่ได้สร้างสิ่งใดๆเลย และเป็นผู้ที่ถูกสร้างมาได้อย่างไร?!

(7) หากพวกเจ้าปฏิเสธต่อพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า -โอ้มนุษย์เอ๋ย- ดังนั้นแท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงปราถรถนาต่อการศรัทธาของพวกเจ้า และการปฏิเสธศรัทธาของพวกเจ้าก็ไม่ทำให้เกิดผลกระทบใดๆ ต่อพระองค์ แต่ในทางกลับกัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเจ้านั้นจะตกอยู่ที่ตัวพวกเจ้าเอง และพระองค์ก็ไม่ทรงโปรดต่อปวงบ่าวของพระองค์ที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธา และพระองค์ไม่ได้สั่งให้พวกเขาปฏิเสธศรัทธา เพราะอัลลอฮ์จะไม่สั่งในสิ่งที่น่ารังเกียจและความชั่วร้าย และหากพวกเจ้ากตัญญูรู้คุณต่ออัลลอฮ์และศรัทธาต่อพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดต่อการกตัญญูของพวกเจ้า และจะตอบแทนต่อสิ่งนั้น และ (จงจำไว้ว่า) ชีวิตหนึ่งที่มีบาปจะไม่แบกรับบาปของอีกชีวิตหนึ่ง แต่ทุกชีวิตมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนได้ทำไว้ แล้ววันกิยามะฮ์ก็จะกลับคืนสู่พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าเท่านั้น และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเจ้าถึงสิ่งที่พวกเจ้าเคยกระทำไว้ในโลกดุนยา และจะทรงตอบแทนแก่พวกเจ้าตามที่พวกเจ้าได้กระทำกัน แท้จริงพระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์ ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในจิตใจของปวงบ่าวของพระองค์ จะไม่มีสิ่งใดที่อยู่ในจิตใจนั้นจะซ่อนเร้นจากพระองค์ได้

(8) และเมื่อผู้ปฏิเสธได้ประสบกับความทุกข์ยากใดๆ เช่นการล้มป่วย เสียทรัพย์ และกลัวจากการจมน้ำ เขาก็จะวิงวอนต่อพระเจ้าของเขา สุบฮานะฮ์(มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์)เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ยากนั้น โดยหันหน้าเข้าหาพระองค์เพียงผู้เดียว ครั้นเมื่อพระองค์ทรงประทานความโปรดปราณจากพระองค์ให้แก่เขา ด้วยการให้พ้นจากความทุกข์ยากที่ประสบแก่เขาแล้ว เขาก็ทิ้ง(อัลลอฮ์)ผู้ที่เขาเคยนอบน้อมต่อพระองค์ก่อนหน้านั้น และเขาได้ตั้งภาคีขึ้นมาเคียงคู่กับอัลลอฮ์ พวกเขาเคารพบูชาต่อสิ่งนั้นอื่นจากพระองค์ เพื่อให้ผู้อื่นได้หลงจากทางของอัลลอฮ์ที่นำไปสู่พระองค์ จงกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ในสภาพนี้เถิด (โอ้เราะสูลเอ๋ย) ว่า “เจ้าจงมีความสุขกับการปฏิเสธของเจ้า กับอายุที่เหลือของเจ้าเถิด ซึ่งเป็นเวลาอันน้อยนิด เพราะแท้จริงเจ้าเป็นหนึ่งในกลุ่มชนแห่งไฟนรกในวันกิยามะฮ์”

(9) หรือผู้ที่เขาเป็นผู้ภักดีต่ออัลลอฮ์ในยามค่ำคืน ในสภาพของผู้สุญูดต่อพระเจ้าของเขา และผู้ยืนละหมาดต่อพระองค์ โดยที่เขาหวั่นเกรงต่อบทลงโทษในปรโลก และหวังความเมตตาของพระเจ้าของเขา ดีกว่า หรือผู้ปฏิเสธคนนั้นที่เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ในยามทุกข์ยากและปฏิเสธพระองค์ในยามสุข และตั้งภาคีเคียงคู่กับอัลลอฮ์?! จงกล่าวเถิด (โอ้ เราะสูลเอ๋ย) บรรดาผู้ที่รู้ในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาแก่พวกเขาให้ปฏิบัติเพราะความรู้ของพวกเขาที่มีต่ออัลลอฮ์และชนเหล่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลยจะเท่าเทียมกันหรือ?! แท้จริงผู้ที่รู้ถึงความแตกระหว่างสองพวกนี้คือบรรดาผู้มีสติปัญญาที่ดีเท่านั้น

(10) จงกล่าวเถิด- โอ้ เราะซูลเอ๋ย- แก่ปวงบ่าวของฉันที่ศรัทธาในตัวฉันและบรรดาเราะสูลของฉันว่า “จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์ สำหรับบรรดาผู้ทำความดีในหมู่พวกเจ้าในโลกนี้ ย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดีในโลกนี้ ด้วยการได้รับชัยชนะ ความมั่นคงในสุขภาพ และความมั่งคั่งในทรัพย์สิน และได้รับสรวงสวรรค์ในปรโลก แผ่นดินของอัลลอฮ์นั้นกว้างใหญ่ ดังนั้นพวกเจ้าจงอพยพไปจนกว่าจะพบสถานที่ที่สามารถเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ได้ โดยไม่มีสิ่งใดมารบกวนพวกเจ้า แท้จริงบรรดาผู้อดทนจะได้รับการตอบแทนซึ่งรางวัลของพวกเขาในวันกิยามะฮ์โดยไม่ต้องคิดคำนวณและไม่ต้องวัดขนาด เนื่องด้วยจำนวนที่มากมายและความหลากหลายของมัน

(11) จงกล่าวเถิด-โอ้เราะสูลเอ๋ย- "แท้จริงอัลลอฮฺทรงบัญชาแก่ฉันให้เคารพภักดีต่อพระองค์เพียงองค์เดียว ด้วยการเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ในการทำอิบาดะฮ์"

(12) "และทรงบัญชาให้ฉันเป็นคนแรกที่ยอมจำนนต่อพระองค์และนอบน้อมจากประชาชาตินี้"

(13) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย - แท้จริงฉันกลัวการลงโทษแห่งวันอันยิ่งใหญ่ หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉัน และไม่เชื่อฟังพระองค์ นั้นคือวันกิยามะฮ์

(14) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย - "แท้จริงฉันเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น ด้วยการเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ในการทำอิบาดะฮ์ ฉันจะไม่เคารพภักดีพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับพระองค์"

(15) ดังนั้นพวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีเอ๋ย- จงเคารพสักการะสิ่งอื่นจากพระองค์ตามที่พวกเจ้าต้องการเถิด ที่มาจากรูปปั้นต่างๆ (เป็นคำสั่งเพื่อให้เกิดความกลัว) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ว่า แท้จริงบรรดาผู้ที่สูญเสียที่แท้จริงนั้นคือ บรรดาผู้ที่ทำตัวของพวกเขาเอง และครอบครัวของพวกเขาให้สูญเสีย ซึ่งพวกเขาจะไม่พบกับครอบครัวของพวกเขาในปรโลกเนื่องจากพวกเขาถูกแยกออกจากกันเนื่องด้วยการที่พวกเขาได้เข้าสวรรค์ หรือด้วยการที่พวกเขาได้เข้านรกร่วมกับครอบครัวของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีวันได้พบกัน พึงรู้เถิด นั่นคือความสูญเสียที่แท้จริงที่ไม่มีความคลุมเครือใดๆ

(16) สำหรับพวกเขานั้นมีควัน เปลวไฟ และความร้อน ปกคลุมเหนือพวกเขา และเบื้องล่างของพวกเขาก็เช่นกัน มีควัน เปลวไฟ และความร้อน สิ่งที่ได้กล่าวมาที่เป็นบทลงโทษนั้น อัลลอฮ์ทำให้ปวงบ่าวของพระองค์หวาดกลัว โอ้ปวงบ่าวของข้าเอ๋ย จงยำเกรงต่อข้าเถิด ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของข้าและห่างไกลจากข้อห้ามของข้า

(17) และบรรดาผู้หลีกห่างจากการเคารพบูชารูปปั้นและทุกสิ่งที่เป็นการเคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮ์ และหันกลับมาหาอัลลอฮ์ด้วยการสำนึกผิด พวกเขาจะได้รับข่าวดีด้วยสวรรค์ขณะที่พวกเขาเสียชีวิต และอยู่ในหลุมฝังศพ และในวันกิยามะฮ์ ดังนั้นเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย-จงแจ้งข่าวดีแก่ปวงบ่าวของข้าเถิด

(18) (พวกเขาคือ)บรรดาผู้ที่แสวงหาที่จะได้ยินคำกล่าวต่างๆ และพวกเขาแยกแยะระหว่างคำที่ดีของมันจากคำที่ไม่ดี แต่พวกเขาก็เลือกที่จะปฏิบัติตามสิ่งที่ดีที่สุดของมันเพราะประโยชน์ที่มีอยู่กับมัน พวกเขาที่มีคุณลักษณะดังกล่าวนั้นคือบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกสู่เส้นทางแห่งทางนำ และพวกเขาคือกลุ่มชนผู้มีสติปัญญาที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

(19) ใครก็ตามที่จะถูกตัดสินว่าจะถูกลงโทษ เพราะการคงอยู่ของเขาในการปฏิเสธศรัทธา และการหลงผิด ดังนั้นไม่มีทางสำหรับเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ในการให้คำแนะนำและชี้แนะแก่เขาได้ แล้วเจ้า - โอ้ เราะสูลเอ๋ย - สามารถช่วยเหลือผู้ที่มีลักษณะดังกล่าวออกจากไฟนรกกระนั้นหรือ?!

(20) แต่บรรดาผู้ยำเกรงพระเจ้าของพวกเขานั้น ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์ สำหรับพวกเขาจะมีคฤหาสน์ที่สูงสง่า เป็นชั้นๆ ซึ่งภายใต้ของมันมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน มันเป็นสัญญาของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขา และอัลลอฮ์จะไม่ทรงผิดกับสัญญา

(21) แท้จริงพวกเจ้ารู้ดีอยู่แล้วโดยผ่านสายตาของพวกเจ้า ว่าอัลลอฮ์ได้ทรงส่งน้ำฝนจากฟากฟ้าลงมายังแผ่นดิน แล้วทรงทำให้มันเข้าไปสู่ในตาน้ำและในแม่น้ำ แล้วด้วยน้ำนี้ พระองค์ทรงทำให้พืชผลได้งอกออกมาเป็นหลากสี จากนั้นพืชผลเหล่านี้ก็เหี่ยวแห้ง ซึ่งเจ้าเองก็เห็นว่ามันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหลังจากที่มันเป็นสีเขียว เมื่อมันเหี่ยวแห้งแล้ว พระองค์ก็ทรงทำให้มันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แท้จริงในสิ่งที่ได้กล่าวมานั้นย่อมเป็นข้อเตือนใจให้ผู้ที่มีใจที่มีชีวิต

(22) ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเปิดทรวงอกของเขาเพื่ออิสลาม แล้วเขาก็จะได้รับการชี้นำสู่อิสลาม จากนั้นเขาก็อยู่บนแสงสว่างจากพระเจ้าของเขา เขาจะเหมือนกับผู้ที่มีหัวใจที่แข็งกระด้างต่อการรำลึกถึงอัลลอฮ์กระนั้นหรือ?!จะไม่เท่าเทียมกันเป็นอันขาด เพราะความสำเร็จเป็นของผู้ที่ได้รับทางนำ และความวิบัติจะประสบแด่ผู้ที่มีหัวใจที่แข็งกระด้างต่อการรำลึกถึงอัลลอฮ์ ชนเหล่านี้อยู่ในการหลงผิดจากความจริงอันชัดแจ้ง

(23) อัลลอฮ์ได้ทรงประทานอัลกุรอานแก่เราะสูลของพระองค์ มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม และมันเป็นคำกล่าวที่ดียิ่ง เป็นคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาที่มีเนื้อหาที่เทียบเท่ากันในด้านความจริงและความงดงาม ด้านสร้างความปรองดองและไม่สร้างความขัดแย้ง ในคัมภีร์อัลกุรอานจะมีเรื่องเล่ามากมายและบทบัญญัติต่างๆ มีคำมั่นสัญญาต่อสิ่งที่ดีและไม่ดี และกล่าวถึงคุณลักษณะของผู้ที่อยู่ในความจริงและผู้ที่อยู่ในความเท็จเป็นต้น เมื่อได้มีการได้ฟัง(หรือได้อ่าน)โองการต่างๆของมันที่กล่าวถึงบทลงโทษและการข่มขู่ ผิวหนังของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขาจะลุกชันขึ้น แล้วผิวหนังของพวกเขาและหัวใจของพวกเขาจะสงบลงมุ่งสู่การรำลึกถึงอัลลอฮ์ เมื่อพวกเขาได้ฟังโองการที่พูดถึงความหวังและข่าวดีต่างๆ สิ่งที่กล่าวมาจากอัลกุรอาน และผลของมันนั้น มันคือทางนำของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์จะทรงชี้นำแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้เขาหลงทาง และไม่ทรงชี้นำสู่ทางที่เที่ยงตรงแก่เขาแล้ว ดังนั้นสำหรับเขาก็จะไม่มีผู้ใดเป็นผู้ชี้นำทางให้แก่เขา

(24) ผู้ที่อัลลอฮฺทรงชี้นำทางและตอบรับเขาในดุนยาและเอาเขาเข้าสวรรค์ในอาคิเราะฮฺนั้นจะเทียบเท่ากับผู้ที่ปฏิเสธและตายในสถานะเป็นผู้ปฏิเสธและเอาเขาเข้านรกพร้อมล่ามโซ่ที่มือทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้าง โดยที่เขาไม่สามารถที่จะป้องกันจากไฟนรกได้เว้นแต่ด้วยใบหน้าของเขาที่เขาคว่ำกระนั้นหรือ?! และจะมีเสียงกล่าวแก่บรรดาผู้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองด้วยการปฏิเสธและกระทำบาป เพื่อเป็นการตำหนิว่า "จงลิ้มรสสิ่งที่พวกเจ้าแสวงหาไว้ซึ่งการปฏิเสธและกระทำบาปเถิด และมันคือรางวัลตอบแทนสำหรับพวกเจ้า"

(25) บรรดาหมู่ชนก่อนหน้าบรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้นได้ปฏิเสธมาแล้ว ดังนั้นการลงโทษได้มีมายังพวกเขาอย่างเร่งด่วน โดยที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัว เพื่อที่พวกเขาจะได้เตรียมตัวเพื่อการกลับตัวสำนึกผิด

(26) ดังนั้น อัลลอฮ์ทรงให้พวกเขาลิ้มรสบทลงโทษเหล่านั้นที่มีความอัปยศและอื้อฉาวในชีวิตของโลกนี้ และแน่นอนการลงโทษในปรโลกที่กำลังรอพวกเขาอยู่นั้นยิ่งใหญ่กว่าและโหดร้ายยิ่งกว่าหากพวกเขาได้รู้

(27) แท้จริงเราได้ยกเป็นอุทาหรณ์แก่มนุษย์ในอัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาแก่มูฮัมหมัด –ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม- ซึ่งหลากหลายเรื่อง ในเรื่องความดีและความชั่ว ความจริงและความเท็จ การศรัทธาและการปฏิเสธและอื่นๆ โดยหวังว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้จากอุทาหรณ์เหล่านั้น แล้วปฏิบัติกับความจริงและละทิ้งความเท็จ

(28) เราได้ทำให้อัลกุรอานเป็นภาษาอาหรับ ไม่มีการคดเคี้ยว ไม่มีการดัดแปลง และไม่มีความคลุมเครือใดๆในนั้นหวังเพื่อพวกเขาจะได้ยำเกรงอัลลอฮ์ ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์

(29) อัลลอฮ์ทรงยกอุทาหรณ์แก่ผู้ตั้งภาคีและผู้ศรัทธาด้วยชายคนหนึ่งที่เป็นทาสซึ่งเขาเป็นหุ้นส่วนของคนหลายคน พวกเขาขัดแย้งไม่ลงรอยกัน หากทำให้คนหนึ่งพอใจอีกคนก็ไม่พอใจ ดังนั้นเขาอยู่ในสภาพที่สับสน และชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นทาสของชายคนหนึ่งมีเจ้าของเพียงผู้เดียว เขารู้ถึงเจตนาของนายเขา จึงทำให้เขารู้สึกสงบและไม่กังวลอะไร ทั้งสองคนนี้จะไม่เท่าเทียมกัน การสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลลอฮ์ แต่ว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้ ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งภาคีต่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์เคียงคู่กับพระองค์

(30) แท้จริงเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- จะต้องตาย และแท้จริงพวกเขาจะต้องตายซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

(31) แล้วแท้จริงพวกเจ้า -โอ้ มนุษย์เอ๋ย- ในวันกิยามะฮ์จะถกเถียงในสิ่งที่ขัดแย้งกันต่อหน้าพระเจ้าของพวกเจ้า แล้วความจริงก็จะเป็นที่ประจักษ์เหนือความเท็จ

(32) และไม่มีผู้ใดที่อธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่กล่าวหาอัลลอฮ์ในสิ่งที่ไม่เหมาะกับพระองค์ เช่น การมีภาคี มีคู่สมรส และมีบุตร และไม่มีผู้ใดที่อธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ปฏิเสธต่อวะห์ยูที่เราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮ์ อะลัยฮิ วะสัลลัมได้นำมา และมิไช่ในนรกดอกหรือ ที่เป็นสถานที่พำนักสำหรับบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และสิ่งที่เราะซูลของพระองค์ได้นำมา แน่นอนแท้จริงสถานที่ของพวกเขานั้นคือในนรก

(33) และผู้ที่นำมาซึ่งความจริงในคำพูดและการกระทำของเขา ทั้งบรรดานบีและคนอื่น ๆ และเขาได้เชื่อมั่นศรัทธาต่อความจริงพร้อมกับได้ปฏิบัติสอดคล้องกับความจริงนั้น พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ยำเกรงที่แท้จริง ที่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าของพวกเขาและห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม

(34) สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับความสุขอันถาวรตามที่พวกเขาต้องการ ณ ที่พระเจ้าของพวกเขา ซึ่งนั่นคือการตอบแทนของบรรดาผู้กระทำความดีในการงานของพวกเขาที่มีต่ออัลลอฮ์และบ่าวของพระองค์

(35) เพื่อที่อัลลอฮ์จะทรงลบล้างความชั่วออกจากพวกเขาที่พวกเขาได้กระทำไว้ในโลกนี้ เนื่องด้วยการเตาบะฮ์กลับเนื้อกลับตัวของพวกจากการกระทำชั่วและการกลับไปหาพระองค์ของพวกเขา และเพื่อที่พระองค์จะทรงตอบแทนรางวัลของพวกเขาแก่พวกเขาด้วยสิ่งที่ดียิ่งตามความดีต่าง ๆ ที่พวกเขาได้กระทำไว้

(36) อัลลอฮ์มิทรงเป็นที่พอเพียงสำหรับบ่าวของพระองค์ มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในกิจการศาสนาและกิจการแห่งโลกดุนยาของท่าน และทรงปกป้องท่านจากศตัรูดอกหรือ แน่นอน พระองค์ทรงเป็นที่พอเพียงแล้วสำหรับท่านเราะซูล และพวกเขาขมขู่เจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย ด้วยความอวิชชาและความโง่เขลาของพวกเขาให้เจ้ากลัวเจว็ดต่าง ๆ ที่พวกเขาเคารพบูชานอกจากอัลลอฮ์ ว่าเจว็ด้หล่านั้นจะทำร้ายเจ้า และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงทอดทิ้งและไม่ชี้ทางนำให้แก่เขา ดังนั้นสำหรับเขาก็จะไม่มีผู้ใดมาแนะนำและให้ทางนำแก่เขาได้

(37) และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงชี้ทางนำแก่เขา ดังนั้นก็จะไม่มีผู้ใดทำให้เขาหลงทางได้ อัลลอฮ์มิใช่เป็นผู้ทรงอำนาจที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะพระองค์ได้ และเป็นผู้ทรงตอบโต้อย่างเด็ดขาดสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธาและฝ่าฝืนต่อพระองค์ดอกหรือ แน่นอน พระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงตอบโต้อย่างเด็ดขาด

(38) และถ้าหากเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย ถามบรรดามุชรีกีน(ผู้ตั้งภาคี)ว่า ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่าอัลลอฮ์เป็นผู้สร้างมัน จงกล่าวแก่พวกเขาเพื่อเป็นการแสดงถึงความไร้อำนาจของพระเจ้าของพวกเขาว่า พวกเจ้าจงบอกแก่ฉันมาว่ารูปปั้นที่พวกเจ้ากราบไหว้นอกจากอัลลอฮ์นี้ หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์จะให้ความทุกข์ยากแก่ฉันแล้ว พวกมันจะปลดเปลื้องความทุกข์ยากของพระองค์ออกจากฉันได้ไหม? หรือหากพระองค์ประสงค์จะให้ความเมตตาแก่ฉัน พวกมันสามารถจะยับยั้งความเมตตาของพระองค์ได้ไหม? จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า อัลลอฮ์องค์เดียวพอเพียงแล้วสำหรับฉัน แด่พระองค์เท่านั้นที่ฉันยึดมั่นในกิจการของฉันทั้งหมด และแด่พระองค์องค์เดียวเท่านั้นที่บรรดาผู้มอบหมายจะยึดมั่น

(39) จงกล่าวเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย โอ้ประชาชาติของฉัน จงกระทำการภาคีต่ออัลลอฮ์ตามที่พวกเจ้าพึงพอใจ แท้จริงฉันก็กระทำในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้สั่งใช้ใว้แก่ฉัน เช่น การเผยแพร่เชิญชวนไปสู่การให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์องค์เดียวและการมีความบริสุทธ์ใจในการเคารพภักดีต่อพระองค์ แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ถึงจุดจบของทุกแนวทาง

(40) แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าผู้ใดที่การลงโทษอันอัปยศอดสูจะมาสู่เขาในโลกนี้ และการลงโทษที่ต่อเนื่องถาวรจะประสบกับเขาในปรโลก

(41) โอ้เราะซูลเอ๋ย แท้จริงเราได้ประทานคัมภีร์อัลกุรอ่านแก่เจ้าเพื่อมนุษยชาติด้วยสัจธรรม เพื่อที่เจ้าจะได้ตักเตือนพวกเขา ดังนั้นผู้ใดได้รับทางนำที่ถูกต้อง ประโยชน์ของทางนำนั้นจะส่งผลให้กับตัวเขาเอง โดยที่ทางนำของเขานั้นจะไม่ส่งผลประโยชน์ใด ๆ ต่ออัลลอฮ์ เพราะพระองค์ทรงร่ำรวยไม่ต้องการสิ่งนั้น และผู้ใดหลงทาง อันตรายของการหลงทางนั้นจะส่งผลให้กับตัวเขาเอง โดยที่การหลงทางของเขานั้นจะไม่ส่งผลอันตรายใด ๆ ต่ออัลลอฮ์ และเจ้ามิได้เป็นผู้รับผิดชอบที่จะบังคับพวกเขาให้ได้รับทางนำ ดังนั้นหน้าที่ของเจ้าไม่มีอื่นใดนอกจากการเผยแพร่ในสิ่งที่เจ้าได้ถูกสั่งไว้

(42) อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงปลิดวิญญาณเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของมัน และทรงปลิดวิญญานที่ยังไม่ถึงเวลาของมันในขณะที่นอนหลับ แล้วพระองค์จะทรงปลิดชีวิตที่พระองค์ได้ทรงกำหนดความตายให้แก่มัน และพระองค์จะทรงยืดชีวิตอื่นไปจนถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้ในความรอบรู้ของพระองค์ แท้จริงในการนี้ไม่ว่าจะเป็นการปลิดชีวิต การยืดชีวิต การให้ตาย และการให้มีชีวิตนั้นย่อมเป็นหลักฐานแก่หมู่ชนที่ใคร่ครวญว่าผู้ที่กระทำดังกล่าวย่อมมีความสามารถที่จะทรงฟื้นคืนชีพมนุษย์หลังความตายของพวกเขาอีกครั้งเพื่อคิดบัญชีและตอบแทน

(43) บรรดาผู้ตั้งภาคีได้ยึดเอารูปปั้นของพวกเขาเป็นผู้ช่วยเหลือเพื่อหวังที่จะได้ประโยชน์จากรูปปั้นนั้นอื่นจากอัลลอฮ์ จงกล่าวเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย พวกเจ้าจะยึดเอารูปปั้นนั้นเป็นผู้ช่วยเหลือกระนั้นหรือ? ทั้งที่พวกมันไม่ได้มีอำนาจใด ๆ ต่อพวกเจ้าและต่อตัวของพวกมันเอง และพวกมันก็ไม่มีสติปัญญาเลย พวกมันเป็นแค่วัตถุที่ใบ้ พูดไม่ได้ ไม่ได้ยิน มองไม่เห็น และไม่สามารถให้ประโยชน์หรือให้โทษได้

(44) จงกล่าวเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายว่า การให้ความช่วยเหลือทั้งหมดเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น จะไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเหลือ ณ พระองค์ เว้นแต่ด้วยการอนุญาตจากพระองค์ และจะไม่สามารถช่วยเหลือผู้ใด เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย สำหรับพระองค์เท่านั้นที่มีกรรมสิทธิ์แห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสำหรับพระองค์เท่านั้นที่พวกเจ้าจะต้องกลับไปในวันกิยามะฮ์เพื่อคิดบัญชีและรับผลตอบแทน ซึ่งพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการงานของพวกเจ้าที่ได้กระทำไว้

(45) และเมื่อพระนามของอัลลอฮ์ได้ถูกกล่าวเพียงพระองค์เดียว จิตใจของบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายที่ไม่ศรัทธาต่อปรโลกและสิ่งที่มีอยู่ในวันนั้น เช่น การฟื้นคืนชีพ การคิดบัญชี และการตอบแทน ก็จะสั่นไหว และเมื่อบรรดาเจว็ดที่พวกเขาเคารพบูชานอกเหนือจากอัลลอฮ์ได้ถูกกล่าวถึง เมื่อนั้นพวกเขาก็จะดีใจยิ้มแย้ม

(46) จงกล่าวเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินโดยไม่มีตัวอย่างใดมาก่อน ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่เร้นลับและที่เปิดเผย ไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ พระองค์เท่านั้นที่จะตัดสินระหว่างปวงบ่าวในวันกียามะฮ์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกันในโลกดุนยา แล้วจะได้รู้ว่าใครถูกใครผิด และใครคือคนดีใครคือคนชั่ว

(47) และหากบรรดาผู้ที่อธรรมต่อตัวเองด้วยการตั้งภาคีและทำบาปต่างๆ มีทุกสิ่งที่มีอยู่ในแผ่นดิน เช่น สิ่งของล้ำค่าและทรัพย์สินเงินทองต่าง ๆ แน่นอน พวกเขาจะขอไถ่ด้วยสิ่งนั้นให้พ้นจากการลงโทษที่เจ็บแสบที่พวกเขาได้มองเห็นหลังจากการฟื้นคืนชีพ แต่พวกเขาไม่มีโอกาสดังกล่าว และถ้าหากพวกเขามีโอกาส การกระทำของพวกเขาดังกล่าวก็จะถูกปฏิเสธ และรูปแบบการลงโทษต่าง ๆ ของอัลลอฮ์ที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดถึงมันมาก่อนก็ได้ปรากฏแก่พวกเขา

(48) และความชั่วที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ เช่น การตั้งภาคีและการฝ่าฝืนกระทำบาปก็จะปรากฏแก่พวกเขา และการลงโทษที่เมื่อพวกเขาถูกเตือนให้ระวังในโลกดุนยาพวกเขาจะเยาะเย้ยกับมันก็จะห้อมล้อมพวกเขา

(49) และเมื่อมนุษย์ที่ปฏิเสธศรัทธาประสบกับความเจ็บป่วยหรือความยากลำบาก และอื่น ๆ เขาก็จะวอนขอต่อเราเพื่อให้ปลดปล่อยสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา จากนั้นเมื่อเราได้ประทานความโปรดปราน เช่น สุขภาพดีหรือทรัพย์สินแก่เขาแล้ว เขาจะกล่าวว่า แท้จริงสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ให้แก่ฉันนั้นเนื่องจากพระองค์ทรงรู้ว่าฉันสมควรที่จะได้รับสิ่งนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันคือการทดสอบและการล่อใจ แต่ส่วนมากของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่รู้และหลงไหลในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้กับพวกเขา

(50) คำกล่าวนี้ได้ถูกกล่าวแล้วโดยบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก่อนหน้าพวกเขา ดังนั้นทรัพย์สินและฐานะตำแหน่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ใด ๆ แก่พวกเขาได้เลย

(51) ดังนั้นพวกเขา(ผู้ปฏิเสธศรัทธารุ่นก่อน)จึงได้ประสบกับการลงโทษแห่งความชั่วทั้งหลายที่พวกเขาได้กระทำไว้ เช่น การตั้งภาคีและการฝ่าฝืนกระทำบาป และบรรดาผู้อธรรมต่อตัวเองด้วยการตั้งภาคีและการฝ่าฝืนกระทำบาปที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะได้ประสบกับการลงโทษแห่งความชั่วทั้งหลายที่พวกเขาได้กระทำไว้เหมือนกับผู้ปฏิเสธศรัทธารุ่นก่อนเช่นกัน และพวกเขาไม่สามารถจะหนีให้รอดพ้นจากอัลลอฮ์และไม่สามารถเอาชนะเหนือพระองค์ได้

(52) บรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้นได้กล่าวในสิ่งที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก่อนหน้าพวกเขาได้กล่าวไว้โดยที่พวกเขาไม่รู้ดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแผ่ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เพื่อเป็นการทดสอบว่าเขาจะขอบคุณหรือจะเนรคุณ? และทรงให้มันคับแคบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เพื่อเป็นการทดสอบว่าเขาว่าจะอดทนหรือไม่พอใจต่อการลิขิตของอัลลอฮ์ และในสิ่งที่ได้กล่าวมาทั้งการแผ่ปัจจัยยังชีพและการทำให้มันคับแคบล้วนเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงการวางแผนจัดการของอัลลลฮ์สำหรับบรรดาผู้ศรัทธา เพราะพวกเขาเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากหลักฐานดังกล่าว ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาพวกเขาจะผ่านพ้นหลักฐานเหล่านั้นโดยที่พวกเขาเมินเฉยหันหลังให้กับมัน

(53) จงกล่าวเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย แก่ปวงบ่าวของข้าที่ละเมิดต่อตัวของพวกเขาเองด้วยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์และฝ่าฝืนกระทำบาปว่า พวกเจ้าอย่าได้สิ้นหวังต่อพระเมตตาของอัลลอฮ์และการให้อภัยของพระองค์ต่อบาปของพวกเจ้าเถิด เพราะแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงให้อภัยบาปทั้งหมดสำหรับผู้ที่กลับตัว พระองค์เป็นผู้ทรงให้อภัยบาปต่าง ๆ ของผู้ที่กลับตัวและทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ

(54) และพวกเจ้าจงกลับเข้าหาพระเจ้าของพวกเจ้าด้วยการเตาบะฮ์(สำนึกผิด)และการกระทำความดีต่าง ๆ ก่อนที่การลงโทษในวันกิยามะฮ์จะมายังพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากบรรดารูปเจว็ดของพวกเจ้าและสาวกของพวกเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้

(55) และพวกเจ้าจงปฏิบัติตามอัลกุรอานซึ่งเป็นสิ่งที่ดียิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมายังเราะซูลของพวกเจ้า แล้วจงปฏิบัติตามคำสั่งใช้ต่าง ๆ ของมัน และจงห่างไกลจากสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ ของมัน ก่อนที่การลงโทษจะมายังพวกเจ้าโดยฉับพลันโดยที่พวกเจ้าไม่รู้สึกตัว ดังนั้นพวกเจ้าจงเตรียมพร้อมด้วยเตาบะฮ์(การสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว)สู่อัลลอฮ์อยู่เสมอ

(56) จงปฏิบัติตามที่กล่าวมานั้นเถิด ก่อนที่ชีวิตหนึ่งจะกล่าวด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งในวันกิยามะฮ์ว่า 'โอ้ ความวิบัติที่เกิดขึ้นกับชีวิตที่ละเลยต่ออัลลอฮ์ด้วยการปฏิเสธศรัทธาและการทำบาปต่างๆ และการเยาะเย้ยผู้คนที่มีศรัทธาและการเชื่อฟัง.

(57) หรือเขาจะอ้างการลิขิตของอัลลอฮ์ โดยกล่าวว่า หากอัลลอฮ์ทรงชี้แนะทางแก่ข้าพระองค์ แน่นอนข้าพระองค์ก็จะอยู่ในหมู่ผู้ยำเกรง จะเชื่อฟังคำสั่งใช้และหลีกเลี่ยงสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ ของพระองค์

(58) หรือเขาจะกล่าวในขณะที่เห็นการลงโทษโดยหวังว่า หากข้าพระองค์มีโอกาสได้กลับสู่โลกดุนยาอีกครั้ง ข้าพระองค์จะสำนึกผิดกลับตัวสู่อัลลอฮ์ และข้าพระองค์ก็จะได้อยู่ในหมู่ผู้กระทำความดีในการงานทั้งหลาย

(59) เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าอ้างว่าหวังจะได้รับทางนำ เพราะแน่นอน สัญญาณทั้งหลายของข้าได้มายังเจ้าแล้ว แต่เจ้าได้ปฏิเสธมันและได้หยิ่งยโส และเจ้าได้อยู่ในหมู่ผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ สัญญาณต่าง ๆ และบรรดาเราะซูลของพระองค์

(60) และในวันกียามะฮ์เจ้าจะได้เห็นบรรดาผู้ที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์ด้วยการอ้างภาคีและบุตรถึงพระองค์ โดยใบหน้าของพวกเขาดำคล้ำเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความทุกข์ระทมของพวกเขา ดังนั้น มิใช่นรกดอกหรือ ที่เป็นที่พำนักของบรรดาผู้หยิ่งยะโสต่อการศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาเราะซูลของพระองค์? แน่นอน แท้จริงในนรกนั้นเป็นที่พำนักของพวกเขา

(61) และอัลลอฮ์จะทรงให้บรรดาผู้ยำเกรงต่อพระองค์ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ต่าง ๆ และหลีกห่างสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ ของพระองค์ให้รอดพ้นจากการลงโทษ ด้วยการให้พวกเขาได้เข้าไปในสถานที่แห่งชัยชนะ นั้นก็คือสวนสวรรค์ โดยที่การลงโทษจะไม่ประสบกับพวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศกเสียใจกับความดีแห่งโลกดุนยาที่พวกเขาไม่ได้รับ

(62) พระองค์อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่งไม่มีผู้สร้างอื่นนอกจากพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงดูแลจัดการทั้งหมด พระองค์จะบริหารกิจการของพระองค์ตามที่พระองค์ทรงประสงค์

(63) สำหรับพระองค์เท่านั้นที่มีสิทธิครอบครองกุญแจคลังสมบัติแห่งความดีในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ซึ่งพระองค์จะมอบให้กับใครก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะห้ามให้กับใครก็ได้ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และบรรดาผู้ปฏิเสธสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ์ ชนเหล่านั้น จะเป็นผู้ขาดทุน เพราะพวกเขาไม่ได้รับการศรัทธาในชีวิตบนโลกดุนยา และในปรโลกพวกเขาจะต้องเข้าไปอยู่ในนรกตลอดกาล

(64) จงกล่าวเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีที่พยายามจะให้เจ้าบูชารูปเจว็ดต่าง ๆ ของพวกเขาว่า โอ้บรรดาผู้โง่เขลาทั้งหลาย พวกเจ้าจะใช้ให้ฉันเคารพต่อพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ? ไม่มีพระเจ้าองค์ใดที่มีสิทธิได้รับการเคารพอิบาดะฮ์นอกจากอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว ดังนั้นฉันจะไม่เคารพอิบาดะฮ์สิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์

(65) และแน่นอนอัลลอฮ์ได้ประทานวะห์ยูแก่เจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย และได้ประทานมันแก่บรรดาเราะซูลก่อนหน้าเจ้าว่า หากเจ้าตั้งภาคีเคารพสิ่งอื่นพร้อมกับอัลลอฮ์ แน่นอนผลบุญของการงานที่ดีของเจ้าก็จะไร้ผล และแน่นอนเจ้าก็จะอยู่ในกลุ่มผู้ที่ขาดทุนในโลกดุนยาด้วยการขาดทุนในศาสนาของเจ้า และในปรโลกด้วยการถูกลงโทษ

(66) แต่เจ้าจงเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว อย่าได้ตั้งผู้ใดเป็นภาคีกับพระองค์ และจงอยู่ในหมู่ผู้กตัญญูต่อพระองค์ที่ได้ประทานความโปรดปรานต่าง ๆ ให้แก่เจ้า

(67) และบรรดาผู้ตั้งภาคีไม่ได้ให้ความยิ่งใหญ่ต่ออัลลอฮ์อย่างแท้จริงในขณะที่พวกเขาได้ตั้งภาคีต่อพระองค์ด้วยกับสิ่งอื่นที่อ่อนแอและไร้ความสามารถ โดยที่พวกเขาเผลอไม่คำนึงถึงอำนาจของอัลลอฮ์ที่ส่วนหนึ่งของมันคือ แผ่นดินและสิ่งที่มีอยู่บนแผ่นดินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ และทะเล จะอยู่ในกำพระหัตถ์หนึ่งของพระองค์ในวันกิยามะฮ์ และชั้นฟ้าทั้งเจ็ดจะถูกม้วนกลิ้งด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์ พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่ง และทรงสูงส่งเหนือคำกล่าวและความเชื่อของบรรดาผู้ตั้งภาคี

(68) ในวันที่มลาอิกะฮ์ที่ได้ทำการเป่าสังข์ ทุกชีวิตที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินจะล้มตายหมด หลังจากนั้นมลาอิกะฮ์จะเป่าสังข์เป็นครั้งที่สองเพื่อฟื้นคืนชีพ ซึ่งในขณะนั้นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็จะลุกขึ้นยืนดูว่าอัลลอฮ์จะทำอะไรกับพวกเขา

(69) และแผ่นดินก็ได้ส่องสว่างขึ้นด้วยรัศมีของพระเจ้าในตอนที่พระองค์ปรากฏตัวเพื่อทำการตัดสินระหว่างปวงบ่าว สมุดบันทึกของมนุษย์จะถูกเปิดเผย บรรดานบีจะถูกนำมา บรรดาประชาชาติของมูหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ก็จะถูกนำมาเพื่อเป็นพยานให้กับบรรดานบีที่ได้เชิญชวนประชาชาติของพวกเขา และอัลลอฮ์ได้ทรงตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยความยุติธรรมโดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอธรรมในวันนั้น ไม่มีการเพิ่มความชั่วและไม่มีการลดความดีให้กับผู้ใด

(70) และอัลลอฮ์ได้ทรงตอบแทนทุกชีวิตอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ดีหรือที่ชั่วช้า อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเขากระทำ ไม่มีการงานใดของพวกเขาทั้งที่ดีและที่ชั่วจะซ่อนเร้นพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาในวันนี้ตามการงานของพวกเขา

(71) และมะลาอิกะฮ์จะนำบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไปสู่นรกญะฮันนัมเป็นกลุ่ม ๆ อย่างไร้ศักดิ์ศรี จนกระทั่งเมื่อพวกเขามาถึงนรก มะลาอิกะฮ์ผู้เฝ้าประตูนรกก็จะเปิดประตูต่าง ๆ ของมัน และจะต้อนรับพวกเขาด้วยการสำทับกล่าวว่า บรรดาเราะซูลจากพวกเจ้ามิได้มายังพวกเจ้าเพื่ออ่านโองการต่าง ๆ ของพระเจ้าของพวกเจ้า และเตือนพวกเจ้าเกี่ยวกับการต้องพบเจอวันกียามะฮ์ว่ามีการลงโทษอันรุ่นแรงดอกหรือ ? บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ได้ตอบอย่างยอมรับว่า ครับ แน่นอนทั้งหมดนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ว่าพระประกาศิตแห่งการลงโทษได้เป็นที่กำหนดแล้วแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และพวกเราก็เคยเป็นบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา

(72) จะมีการกล่าวแก่พวกเขาโดยการดูถูกและทำให้สิ้นหวังจากความเมตตาของอัลลอฮ์และจากการออกจากไฟนรกว่า พวกเจ้าจงเข้าประตูต่าง ๆ ของนรกญะฮันนัมโดยพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล ดังนั้นที่พำนักของบรรดาผู้หยิ่งผยองไม่ยอมรับสัจธรรมนั้นมันช่างชั่วช้าและน่าเกลียดยิ่ง

(73) และมะลาอีกะฮ์ได้นำบรรดาผู้ศรัทธาที่ยำเกรงต่อพระเจ้าของพวกเขาด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และหลีกห่างคำสั่งห้ามต่าง ๆ ของพระองค์ไปสู่สวนสวรรค์ด้วยความอ่อนโยนเป็นกลุ่ม ๆ อย่างมีเกียรติ จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้มาถึงสวนสวรรค์โดยที่ประตูต่าง ๆ ของมันได้ถูกเปิดตอนรับพวกเขาไว้แล้ว มะลาอีกะฮ์ที่เฝ้าประตูสวรรค์ก็จะกล่าวแก่พวกเขาว่า ความศานติจงมีแด่พวกเจ้าที่ปลอดภัยจากอันตรายทุกอย่างและจากสิ่งที่พวกเจ้าไม่พึ่งประสงค์ จิตใจและการงานของพวกเจ้าได้ดีงาม ดังนั้น พวกเจ้าจงเข้าไปในสวนสวรรค์โดยพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล

(74) บรรดาผู้ศรัทธาได้กล่าวในขณะเข้าสวนสวรรค์ว่า บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลลอฮ์ ผู้ซึ่งได้ทำให้สัญญาของพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเราโดยผ่านบรรดาเราะซูลของพระองค์เป็นที่สมจริงแก่พวกเราแล้ว ซึ่งพระองค์ได้ทรงสัญญากับพวกเราว่าจะให้พวกเราได้เข้าสวนสวรรค์และครอบครองแผ่นดินแห่งสวนสวรรค์ เพื่อที่พวกเราจะได้พำนักอยู่ตามที่พวกเราประสงค์ ดังนั้นรางวัลของบรรดาผู้กระทำความดีด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อพระองค์มันช่างยอดเยี่ยมยิ่ง

(75) และในวันที่มีสักขีพยานนั้นจะมีมะลาอีกะฮ์ห้อมล้อมรอบ ๆ บัลลังก์ โดยที่พวกเขาจะให้ความบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์จากสิ่งที่ไม่คู่ควรกับพระองค์ที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวไว้ และพระองค์ทรงตัดสินระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดด้วยความยุติธรรม แล้วให้เกียรติแก่ผู้ที่สมควรได้รับเกียรติและลงโทษแก่ผู้ที่สมควรได้รับโทษ และจะมีเสียงกล่าวว่า บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของสรรพสิ่งทั้งหมดที่ได้ตัดสินด้วยความเมตตาแก่ปวงบ่าวผู้ศรัทธาและด้วยการลงโทษแก่ปวงบ่าวผู้ปฏิเสธศรัทธา