(1) แน่นอนบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและปฏิบัติในสิ่งที่อัลลอฮฺได้บัญญัติไว้ได้ประสบความสำเร็จที่แท้จริง โดยจะได้รับสิ่งที่พวกเขาปรารถนาและรอดพ้นจากสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัว
(2) บรรดาผู้ที่นอบน้อมถ่อมตนในเวลาละหมาดของพวกเขา อวัยวะต่างๆของพวกเขาจะสงบนิ่งและหัวใจของพวกเขาจะไร้ซึ่งทุกสิ่งที่เป็นการงานดุนยา
(3) และบรรดาผู้ที่หลีกห่างจากสิ่งที่เป็นเท็จและสิ่งที่ไร้สาระต่างๆ และหลีกห่างจากสิ่งที่ทำให้เป็นบาปที่มาจากการพูดและการกระทำต่างๆ
(4) และบรรดาผู้ที่ชะล้างตัวเองจากคุณลักษณะต่างๆที่ชั่วร้าย และเป็นผู้ที่ชำระทรัพย์สมบัติของพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยการบริจาคซะกาต
(5) และบรรดาผู้ที่ปกป้องรักษา (ไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของ) ส่วนอันพึงสงวนของพวกเขาให้ห่างไกลจากการทำซินา (ผิดประเวณี) การลิวาต (การสังวาสที่ผิดธรรมชาติ) และการกระทำอนาจารต่างๆ ดังนั้นพวกเขานั้นเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์
(6) เว้นแต่กับบรรดาภรรยาของพวกเขา หรือผู้หญิงที่พวกเขาได้ครอบครอง (คือทาสี) ซึ่งพวกเขาจะไม่ถูกตำหนิใดๆในการที่จะเพลิดเพลินด้วยการมีเพศสัมพันธุ์หรืออื่นๆ กับพวกนาง
(7) สำหรับผู้ใดที่แสวงหาความเพลิดเพลินอื่นจากบรรดาภรรยาหรือบรรดาหญิงที่อยู่ในการครอบครองของเขาแล้ว(หมายถึงทาสี) ดังนั้นเขาจะเป็นผู้ที่ละเมิดกฏของอัลลอฮฺ โดยการละเมิดในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงอนุญาตให้เขากระทำไปสู่สิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้
(8) และบรรดาผู้ที่รักษาสิ่งที่ได้รับมอบหมายจากอัลลอฮฺ หรือสิ่งที่ได้รับมอบหมายจากบ่าวของพระองค์ และพวกเขาจะรักษาคำมั่นสัญญา โดยจะไม่ทำลายมัน แต่จะพิทักษ์รักษามัน
(9) และบรรดาผู้ที่รักษาการละหมาดของพวกเขา ด้วยการทำเป็นประจำและทำในเวลาของมัน ด้วยการรักษาองค์ประกอบต่างๆของมัน(สิ่งที่เป็นรุกุน)และสิ่งที่จำเป็นต่างๆ(สิ่งที่เป็นวาญิบ)และสิ่งที่ส่งเสริมให้ทำ(สิ่งที่เป็นสุนัต)
(10) ผู้ที่มีคุณลักษณะดังกล่าวนั้นพวกเขาคือทายาท
(11) ซึ่งพวกเขาจะได้รับมรดกสรวงสวรรค์ชั้นสูงสุด พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และความสุขสบายของพวกเขาในสรวงสวรรค์นั้นจะไม่ขาดหาย
(12) และโดยแน่นอนยิ่งเราได้สร้างบิดาแห่งมนุษยชาติ ท่านนบีอาดัม มาจากดิน ซึ่งเป็นดินที่ถูกคัดเลือกที่เป็นส่วนแก่นแท้ของมัน ที่เกิดขึ้นจากน้ำที่ผสมกับดินทุกส่วนของโลก
(13) หลังจากนั้นเราได้สร้างลูกหลานของเขาเป็นรุ่นๆ จากน้ำอสุจิที่พำนักอยู่อย่างมั่นคงในมดลูกจนคลอด
(14) แล้วหลังจากนั้นเราได้ทำให้เชื้ออสุจิที่พำนักอยู่ในมดลูกกลายเป็นก้อนเลือดสีแดง แล้วเราได้ทำให้ก้อนเลือดสีแดงนั้นกลายเป็นก้อนเนื้อ แล้วเราได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูกแข็งแรง แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง และให้เขาออกมามีชีวิต ดังนั้นความจำเริญยิ่งแด่อัลลอฮฺ ผู้ทรงเป็นเลิศยิ่งแห่งปวงผู้สร้าง
(15) หลังจากที่พวกเจ้า (โอ้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย)ได้ผ่านขั้นตอนเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าก็จะต้องตายเมื่อถึงเวลาที่กำหนด
(16) หลังจากความตายของพวกเจ้าได้เกิดขึ้น พวกเจ้าจะถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นจากหลุมฝังศพของพวกเจ้าในวันกิยามะฮฺ เพื่อเป็นการสอบสวนพวกเจ้าต่อการงานต่างๆที่พวกเจ้าได้กระทำไว้
(17) และแน่นอนยิ่ง เราได้สร้างเบื้องบนพวกเจ้า (โอ้บรรดามนุษย์เอ๋ย) ซึ่งชั้นฟ้าทั้งเจ็ดไว้เป็นชั้นๆ และเรามิได้เพิกเฉย หรือหลงลืมต่อสิ่งต่างๆที่เราสร้างมา
(18) และเราได้หลั่งน้ำให้ลงมาจากฟากฟ้าตามปริมาณที่จำเป็น ไม่มากเกินไป จนเกิดการเสียหาย และไม่น้อยเกินไปจนไม่พอใช้ แล้วเราได้ให้มันขังอยู่ในแผ่นดิน เพื่อให้มนุษย์และสัตว์ต่างๆ ได้รับประโยชน์ และแท้จริงเรามีความสามารถอย่างแน่นอนในการที่จะให้มันเหือดแห้งไป แล้วพวกเจ้าจะไม่ได้รับประโยชน์จากมันอีกเลย
(19) และด้วยน้ำนั้น เราได้ทำให้เกิดสวนต่างๆแก่พวกเจ้า เช่นต้นอินทผลัม และต้นองุ่น ในสวนนั้นมีผลไม้หลายชนิดและหลายสีสำหรับพวกเจ้า เช่น มะเดื่อ ทับทิม และแอปเปิล และส่วนหนึ่งพวกเจ้าก็บริโภคมัน
(20) และเราได้ทำให้ต้นไซตูนงอกออกมาจากเขตภูเขาซีนายให้แก่พวกเจ้า ซึ่งจากผลของมันจะสกัดน้ำมันออกมา เพื่อใช้ทาและบริโภค
(21) และแท้จริง (โอ้มนุษย์ทั้งหลาย) ในเรื่องปศุสัตว์ (อูฐ,วัว,แพะ,แกะ) นั้นเป็นข้อคิดและข้อยืนยันทีสัมคัญที่บ่งบอกถึงความสามารถของอัลลอฮฺและความอ่อนโยนที่มีต่อพวกเจ้า เราให้พวกเจ้าดื่มจากสิ่งที่อยู่ในท้องของสัตว์เหล่านี้ซึ่งน้ำนมบริสุทธิ์อันเป็นที่โอชาสำหรับผู้ดื่ม และในเรื่องที่เกี่ยวกับมัน ยังมีประโยชน์อีกมากมายสำหรับพวกเจ้า เช่น การขี่มัน หนังของมัน ขนของมัน และบริโภคเนื้อของมัน
(22) และพวกเจ้าถูกบรรทุกบนหลังอูฐเมื่ออยู่บนบท และถูกบรรทุกบนเรือเมื่ออยู่ในทะเล
(23) และแน่นอนยิ่ง เราได้ส่งนูหฺ อะลัยฮิสสลาม ไปยังหมู่ชนของเขา เพื่อเผยแพร่ให้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ดังนั้นเขาได้กล่าวว่า "โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย พวกเจ้าจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺองค์เดียวเถิด ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่แท้จริงสำหรับพวกเจ้านอกจากพระองค์เท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่ยำเกรงต่อพระองค์ด้วยการปฎิบัติตามในสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งใช้และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามกระนั้นหรือ?!"
(24) แล้วบรรดาหัวหน้า(ผู้มีอิทธิพล มีบารมี) ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺได้กล่าวแก่พรรคพวกและสาธารณะชนของพวกเขาว่า "เขาผู้นี้ที่อ้างตนว่าเป็นรอสูล แท้จริงเขามิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นปุถุชนคนธรรมดาเช่นเดียวกับพวกเจ้าที่ต้องการเป็นผู้ปกครองและเป็นผู้นำเหนือพวกเจ้า และหากอัลลอฮฺประสงค์ที่จะส่งรอสูลให้กับเราจริง แน่นอนพระองค์ต้องส่งเราะสูลที่เป็นมะลาอิกะฮฺลงมา ไม่ใช่ที่มาจากมนุษย์ เราไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้จากบรรพบุรุษของเราที่มาก่อนเราเลย"
(25) "และเขามิได้เป็นอะไรนอกจากเป็นคนบ้าเท่านั้น เขาไม่รู้ถึงสิ่งที่เขาพูด ดังนั้นพวกเจ้าจงอดทนรอคอยจนกว่าเรื่องของเขาจะเป็นที่ประจักษ์ชัดต่อผู้คน"
(26) นูหฺ อะลัยฮิสสะลาม ได้กล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้า ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยเหลือข้าพระองค์ ด้วยการลงโทษพวกเขาที่พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมเชื่อฟังข้าพระองค์"
(27) ดังนั้น เราจึงได้วะหฺยูแก่เขาให้ต่อเรือภายใต้สายตาของเราและการสอนของเราเพื่อเจ้าจะได้รู้ถึงวิธีการสร้างมัน และเมื่อคำบัญชาของเราว่าด้วยการเกิดหายนะได้มาถึง และน้ำในเตาก็จะเดือดพุ่ง เจ้าจงบรรทุกสัตว์มีชีวิตทุกชนิด ตัวผู้และตัวเมียเพื่อรักษาสายพันธ์ และครอบครัวของเจ้าด้วย นอกจากผู้ที่คำประกาศิตจากอัลลอฮฺได้บันทึกไว้ก่อนแล้วว่าจะเกิดหายนะ เช่น ภรรยาของเจ้า และลูกชายของเจ้า และเจ้าอย่าได้ขอความช่วยเหลือจากข้าให้กับบรรดาผู้ที่อธรรมที่ปฎิเสธศรัทธาต่อข้า ด้วยการขอให้พวกเขารอดและปล่อยไม่ให้เกิดความหายนะเกิดขึ้นแก่พวกเขา แท้จริงแล้วพวกเขาต้องประสบกับความหายนะ (โดยไม่มีทางเลือก) ด้วยการจมน้ำท่วมตาย
(28) ครั้นเมื่อเจ้าและผู้ที่อยู่ร่วมกับเจ้าที่เป็นผู้ศรัทธาที่รอดชีวิตได้ขึ้นไปอยู่บนเรือแล้ว ก็จงกล่าวเถิดว่า "มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ ผู้ทรงให้เราได้รอดจากหมู่ชนผู้อธรรม แล้วพระองค์ได้ทำลายพวกเขา"
(29) และจงกล่าวเถิดว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้า ขอพระองค์ทรงให้ข้าได้ลงจากเรือสู่พื้นดินด้วยการลงที่มีความจำเริญ และพระองค์เท่านั้นเป็นผู้เลิศยิ่งในบรรดาผู้ที่ทำให้ลงทั้งหลาย"
(30) แท้จริงในเรื่องราวที่ได้กล่าวมานั้น จากการให้นูหฺและผู้ศรัทธาที่ร่วมกับเขาได้รอดจากน้ำท่วม และการทำลายบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ถือว่าเป็นสัญญาณที่ชัดแจ้ง ที่บ่งบอกถึงความสามารถของเราในการช่วยเหลือบรรดารอสูลและการทำลายล้างบรรดาผู้ที่กล่าวเท็จต่อพวกเขา และแน่นอนที่สุดเราเป็นผู้ทดสอบประชาชาติของนูหฺ โดยส่งเขาแก่พวกเขาเพื่อให้เกิดความกระจ่างระหว่างผู้ศรัทธากับผู้ปฏิเสธ และระหว่างผู้ที่เชื่อฟังกับผู้ที่เนรคุณ
(31) แล้วหลังจากที่เราได้ทำลายล้างประชาชาตินูหฺแล้ว เราได้บังเกิดประชาชาติอีกกลุ่มหนึ่ง (พวกอ๊าด)
(32) ดังนั้นเราได้ส่งรอสูลคนหนึ่ง (ฮูด) ไปยังพวกเขาซึ่งมาจากพวกเขา โดยเขาได้กล่าวว่า "พวกเจ้าจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺองค์เดียวเถิด ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่แท้จริงสำหรับพวกเจ้านอกจากพระองค์เท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺด้วยการห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม และทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงให้ปฏิบัติกระนั้นหรือ?!"
(33) บรรดาผู้นำ(ผู้มีอำนาจ มีอิทธิพล) ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ ไม่เชื่อต่อวันปรโลกที่มีทั้งรางวัลและการลงโทษ ในหมู่พวกเขา และเป็นพวกที่ความสำราญต่างๆในโลกนี้ที่เราได้ประทานให้แก่พวกเขาได้ทำให้พวกเขาโอหังหยิ่งยโส พวกเขาได้กล่าวแก่ผู้ตามและปุถุชนของพวกเขาว่า "เขาผู้นี้มิใช่ใครอื่น นอกจากเป็นปุถุชนคนธรรมดาเช่นเดียวกับพวกเจ้า เขากินอาหารเช่นเดียวกับที่พวกเจ้ากิน และเขาดื่มเช่นเดียวกับพวกเจ้าดื่ม เขาไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเหนือพวกเจ้า ที่จะทำให้เขาถูกส่งมาเป็นรอสูลแก่พวกเจ้า"
(34) และหากพวกเจ้าเชื่อฟังมนุษย์ธรรมดาเช่นเดียวกับพวกเจ้า แน่นอนพวกเจ้าจะเป็นผู้ที่ขาดทุน เพราะพวกเจ้าจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆจากการเชื่อฟังเขา อันเนื่องจากการที่พวกเจ้าละทิ้งพระเจ้าต่างๆ ของพวกเจ้า แล้วไปตามคนที่ไม่มีอะไรดีเหนือพวกเจ้า
(35) เขาผู้นี้ที่อ้างตนว่าเป็นรอสูลได้สัญญากับพวกเจ้าใช่หรือไม่ว่า "แท้จริงเมื่อพวกเจ้าได้ตายไปแล้ว และพวกเจ้าได้กลายเป็นดินและกระดูก แน่นอนพวกเจ้าจะถูกนำออกมาจากหลุมฝังศพของพวกเจ้าในสภาพที่มีชีวิตอีกครั้ง?! มันเป็นไปได้หรือ?!"
(36) สิ่งที่พวกเจ้าได้ถูกสัญญาไว้ว่า"พวกเจ้าจะถูกนำออกมาจากหลุมฝังศพอีกครั้งในสภาพที่มีชีวิตหลังจากที่พวกเจ้าได้ตายไปแล้ว และได้กลายเป็นดิน เป็นกระดูดไปแล้วนั้น มันเป็นเรื่องที่ไกลเกินจริง"
(37) ไม่มีการมีชีวิตที่แท้จริง นอกจากการมีชีวิตในโลกนี้เท่านั้น จะไม่มีคำว่าชีวิตในปรโลอีก เมื่อคนที่มีชีวิตในหมู่พวกเราได้ตายไปก็จะไม่มีการฟื้นคืนชีพอีก และคนอื่นจะถูกคลอดออกมาแล้วมีชีวิตต่อ และพวกเราจะไม่ถูกนำให้ออกมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังจากที่ได้ตายไปแล้ว เพื่อสู่การพิพากษาในวันกิยามะฮฺ
(38) เขาผู้นี้ที่อ้างว่าเป็นรอสูลถูกส่งมายังพวกเจ้ามิใช่ใครอื่น นอกจากเป็นคนธรรมดาที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺโดยใช้การแอบอ้างสิทธิ์นี้เท่านั้น และเราไม่ยอมศรัทธาต่อเขาเป็นอันขาด
(39) รอสูล (ฮูด) ได้กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้า ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยเหลือข้า ด้วยการลงโทษพวกเขา เพราะพวกเขาปฏิเสธไม่ยอมเชื่อข้า
(40) พระองค์อัลลอฮฺได้ตอบเขาว่า "หลังจากชั่วเวลาอีกเล็กน้อย พวกเขาที่ปฏิเสธในสิ่งที่เจ้าได้นำมา จะกลายเป็นผู้เศร้าโศกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นจากการปฏิเสธไม่ยอมเชื่อของพวกเขา"
(41) ดังนั้นเสียงกัมปนาทที่หนักและผลาญชีวิตได้คร่าชีวิตพวกเขาอย่างสาสมที่สุด เพราะความหยิ่งยโสของพวกเขา ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้หายนะดั่งเศษขยะลอยน้ำ ฉะนั้นความหายนะ(และห่างไกลจากความเมตตาจากอัลลอฮฺ)จึงประสบแก่หมู่ชนผู้อธรรม
(42) หลังจากความหายนะของพวกเขาแล้ว เราได้บังเกิดหมู่ชนอีกหลายกลุ่ม เช่น หมู่ชนลูต หมู่ชนซุอายบฺ และหมู่ชนยูนุส
(43) ไม่มีประชาชาติใดจากประชาชาติที่ปฏิเสธเหล่านี้ที่จะได้รับการลงโทษก่อนกำหนดของมัน และก็จะไม่ล่าช้ากว่ากำหนดเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องมือป้องกันก็ตาม
(44) แล้วเราได้ส่งบรรดารอสูลของเรามาอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่รอสูลได้มายังประชาชาติหนึ่ง พวกเขาจะปฎิเสธรอสูลท่านนั้น ดังนั้นเราจึงทำให้พวกเขาบางกลุ่มได้พินาศตามอีกบางกลุ่ม จนไม่เหลือใครอีกเลย นอกจากเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับพวกเขาที่ผู้คนได้เล่าต่อกันมา ฉะนั้น ความหายนะจึงประสบแก่บรรดาผู้ที่ไม่ยอมศรัทธาในสิ่งที่รอสูลของพวกเขาได้นำมาจากพระเจ้าของพวกเขาเอง
(45) แล้วเราได้ส่งมูซาและพี่ชายของเขาคือฮารูน พร้อมด้วยสัญญาณทั้งหลายของเราเก้าชนิดด้วยกันคือ (ไม้เท้า มือ ตั๊กแตน เหา กบ เลือด น้ำท่วม ความแห้งแล้ง ขาดแคลนผลไม้) และด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง
(46) เราได้ส่งเขาทั้งสอง(มูซาและฮารูน)ไปยังฟิรเอานฺและบุคคลชั้นหัวหน้าของเขา แต่พวกเขาเย่อหยิ่งอวดใหญ่อวดโต พวกเขาจึงไม่ศรัทธาต่อทั้งสอง และพวกเขานั้นเป็นหมู่ชนที่เย่อหยิ่งจองหองต่อผู้คนด้วยการกดขี่และความอยุติธรรม
(47) พวกเขากล่าวว่า "จะให้พวกเราศรัทธาต่อบุคคลทั้งสองที่เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา ที่ไม่มีความโดดเด่นใดๆเหนือพวกเราเลยและพวกพ้องของเขาทั้งสอง (ลูกหลานอิสรออีล) ก็เป็นทาสรับใช้เรากระนั้นหรือ?!"
(48) ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธเขาทั้งสองในสิ่งที่ทั้งสองได้นำมาจากอัลลอฮฺ และด้วยเหตุที่พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมเชื่อฟังนั้น พวกเขาจึงอยู่ในหมู่ผู้ถูกทำลายจมน้ำตาย
(49) และแท้จริงเราได้ให้คัมภีร์ (อัตเตารอต) แก่มูซา เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องและปฏิบัติตามมัน
(50) และเราได้ทำให้อีซาบุตรของมัรยัม และแม่ของเขาเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกถึงความสามารถของเรา ที่ได้ทำให้มัรยัมได้ตั้งครรค์เขาโดยไม่ต้องมีพ่อ และเราได้ให้ที่พักพิงแก่เขาทั้งสอง ณ ที่ราบสูงแห่งหนึ่ง (บัยตุลมักดิส) เหมาะที่จะเป็นที่พักอาศัยอย่างสะดวกสบาย และมีธารน้ำไหล
(51) โอ้บรรดารอสูลเอ๋ย พวกเจ้าจงบริโภคสิ่งที่ข้าได้อนุญาตแก่พวกเจ้าจากสิ่งต่างๆที่มีประโยชน์ต่อพวกเจ้า และจงประกอบคุณงามความดีตามบทบัญญัติของข้า เพราะแท้จริง ข้ารอบรู้ถึงทุกสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ทุกการกระทำของพวกเจ้าจะไม่ถูกซ่อนเร้นสำหรับข้า
(52) และแท้จริงศาสนาของพวกเจ้า (โอ้บรรดารอสูลเอ๋ย) เป็นศาสนาเดียวกันคืออิสลาม และข้าคือพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ไม่มีผู้ใดเป็นพระผู้อภิบาลแก่พวกเจ้านอกจากข้า ฉะนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงต่อข้าด้วยการปฎิบัติตามคำสั่งใช้ของข้า และห่างไกลจากสิ่งต้องห้ามต่างๆของข้า
(53) แล้วบรรดาสาวกของพวกเขา(รอซูล)ก็ได้แตกแยกกันในเรื่องศาสนาของพวกเขา(หลังจากที่บรรดารอซูลได้จากไป) จนกลายเป็นพรรคเป็นพวก ซึ่งแต่ละฝ่ายจะพอใจในสิ่งที่ตนเองได้ยึดถือโดยเชื่อว่าเป็นศาสนาที่อัลลอฮฺทรงพอพระทัยและจะไม่สนใจต่อสิ่งใดๆของฝ่ายอื่นอีกเลย
(54) ดังนั้นเจ้า (มุหัมมัด) จงปล่อยพวกเขาให้อยู่อย่างที่พวกเขาเป็นอยู่ ในความโง่เขล่าและความสับสน จนกว่าเวลาแห่งการลงโทษจะลงมายังพวกเขา
(55) 55-56 บรรดาพรรคพวกที่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี พวกเขาคิดหรือว่า สิ่งที่เราได้ให้แก่พวกเขา เช่น ทรัพย์สินเงินทองและลูกหลานในชีวิตนี้นั้น มันเป็นการเร่งสิ่งที่ดีแก่พวกเขาที่พวกเขาสมควรจะได้รับกระนั้นหรือ?! มันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดไว้เลย แท้จริงที่เราให้แก่พวกเขานั้นเพื่อเป็นการต่อเติมและล่อลวงพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขานั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย
(56) 55-56 บรรดาพรรคพวกที่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี พวกเขาคิดหรือว่า สิ่งที่เราได้ให้แก่พวกเขา เช่น ทรัพย์สินเงินทองและลูกหลานในชีวิตนี้นั้น มันเป็นการเร่งสิ่งที่ดีแก่พวกเขาที่พวกเขาสมควรจะได้รับกระนั้นหรือ?! มันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดไว้เลย แท้จริงที่เราให้แก่พวกเขานั้นเพื่อเป็นการต่อเติมและล่อลวงพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขานั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย
(57) แท้จริงบรรดาผู้ที่อยู่กับความศรัทธาและความดีของพวกเขานั้น พวกเขาเป็นผู้มีจิตใจที่ยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา
(58) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อโองการต่างๆ แห่งคัมภีร์ของพระเจ้า
(59) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาถึงความเป็นเอกะของพระผู้อภิบาลของพวกเขาและไม่ตั้งภาคีใดๆต่อพระองค์
(60) และบรรดาผู้ที่มุ่งมั่นกับการทำความดี และพยายามสู่การใกล้ชิดอัลลอฮฺด้วยการปฎิบัติคุณงามความดีต่างๆ โดยที่พวกเขาหวั่นเกรงว่าอัลลอฮฺจะไม่ตอบรับสิ่งที่พวกเขาได้ใช้จ่ายไปและไม่ตอบรับความดีต่างๆของพวกเขา ในวันที่พวกเขากลับไปหาพระองค์ในวันกิยามะฮฺ
(61) ชนเหล่านั้นที่มีคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ พวกเขารีบเร่งในการประกอบความดีทั้งหลาย และพวกเขาเป็นผู้ที่รุดหน้าสู่ความดีเหล่านั้น และด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขานำหน้าคนอื่นๆ
(62) และเรามิได้วาง(สิ่งใดเพื่อ)เป็นภาระแก่ผู้ใด เว้นแต่(สิ่งนั้นอยู่ใน)ความสามารถของเขา(ผู้นั้น) และ ณ ที่เรานั้นมีบันทึก ที่เราได้บันทึกการงานของคนทุกคน ซึ่งบันทึกนั้นจะบอกแต่ความจริงเท่านั้นไม่มีข้อสงสัยใดๆอีกเลย โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอยุติธรรมอย่างแน่นอน ความดีจะไม่ถูกลดและความชั่วจะไม่ถูกเพิ่ม
(63) แต่ว่าหัวใจของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่ในสภาพที่เมินเฉยต่ออัลกุรอานที่บอกใว้ซึ่งความจริงและเป็นคัมภีร์ที่ได้ประทานลงมาแก่พวกเขา และสำหรับพวกเขานั้นมีการงานอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการปฏิเสธศรัทธา โดยที่พวกเขาต้องปฏิบัติมัน
(64) จนกระทั่งเมื่อเราได้เอาชีวิตบรรดาผู้ที่อยู่ในความสุขสำราญในโลกนี้จากหมู่พวกเขาด้วยการลงโทษในวันกิยามะฮฺ เมื่อนั้นพวกเขาก็ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
(65) และได้มีการกล่าวแก่พวกเขาเพื่อให้เกิดความท้อแท้สิ้นหวังจากความเมตตาของอัลลอฮฺว่า "พวกเจ้าอย่าได้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือใดๆเลยในวันนี้ แท้จริงจะไม่มีใครที่สามารถช่วยพวกเจ้าเพื่อยับยั้งพวกเจ้าจากบทลงโทษของอัลลอฮฺหรอก"
(66) แน่นอนบรรดาโองการจากคัมภีร์ของอัลลอฮฺนั้นได้ถูกนำมาอ่านแก่พวกเจ้ามาอย่างต่อเนื่องแล้วบนโลกนี้ แต่พวกเจ้าก็หันกลับไม่สนใจ เมื่อได้ฟังโองการนั้นเพราะเกลียดชังมัน
(67) การที่พวกเจ้าได้กระทำเช่นนั้น เพื่อต้องการแสดงถึงความหยิ่งจองหองของพวกเจ้าต่อผู้คนด้วยการอ้างว่า "แท้จริงแล้วพวกเจ้านั้นเป็นชาวหะร็อม ทั้งๆ ที่พวกเจ้านั้นไม่ใช่ชาวหะร็อม เพราะชาวหะร็อมที่แท้จริงนั้นคือ เหล่าบรรดาผู้ที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺเท่านั้น พร้อมกันนั้นพวกเจ้าจับกลุ่มสนทนาเกี่ยวกับมันอย่างผิดๆ แท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่ได้ให้เกียรติต่อมัน"
(68) บรรดาผู้ที่ตั้งภาคีเหล่านั้น พวกเขามิได้ใคร่ครวญในอัลกุรอานที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาเพื่อพวกเขาจะได้ศรัทธาต่อมันและปฏิบัติตามสิ่งที่มีอยู่ในนั้น หรือว่าได้มีมายังพวกเขาซึ่งสิ่งที่มิได้มีมายังบรรพบุรุษของพวกเขารุ่นก่อนๆ พวกเขาจึงต่อต้านและปฏิเสธมันกระนั้นหรือ?!
(69) หรือว่าพวกเขาไม่รู้จักมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม คนที่อัลลอฮฺได้ส่งไปยังพวกเขา จึงเป็นเหตุที่พวกเขาปฏิเสธต่อต้านเขากระนั้นหรือ?! แท้จริงแล้วพวกเขารู้จักเขาและรู้ถึงความจริงใจและความซื่อสัตย์ของเขาเป็นอย่างดี
(70) แต่พวกเขากล่าวว่า"เขาผู้นั้น(มุหัมมัด)เป็นคนบ้า" แท้จริงแล้วพวกเขาพูดโกหก แท้ที่จริงแล้วเขาได้นำมาซึ่งความจริงที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ว่าสิ่งที่ได้นำมานั้นมาจากอัลลอฮฺ แต่ส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้เกลียดชังความจริงและเกลียดชังต่อตัวเขาเพราะความอิจฉาที่มาจากตัวของพวกเขาเองและฝักใฝ่ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องของพวกเขา
(71) และหากว่าอัลลอฮ์ทรงทำให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปและบริหารจัดการสิ่งเหล่านั้นให้สอดคล้องกับความปรารถนาของอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาแล้ว แน่นอนบรรดาชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในนั้นต้องเสียหาย เพราะความไร้ซึ่งความรู้ของพวกเขาที่เกี่ยวกับผลกระทบต่าง ๆ ที่จะตามมา และไม่รู้ถึงความถูกต้องและความเสียหายจากการบริหารจัดการ แต่เราได้ประทานสิ่งที่เป็นเกียรติยิ่งให้แก่พวกเขา นั่นก็คืออัลกุรอาน แต่พวกเขาผินหลังให้กับมัน
(72) โอ๋ รอสูลเอ๋ย เจ้าได้ขอค่าจ้าง (ในการเผยแพร่ศาสนา) จากพวกเขา เลยทำให้พวกเขานั้นปฏิเสธการเผยแพร่ของเจ้ากระนั้นหรือ? สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นจากเจ้าอย่างแน่นอน เพราะการตอบแทนของพระผู้อภิบาลของเจ้าดีกว่าการตอบแทนจากพวกเขาเหล่านั้นและคนอื่นๆ และพระองค์เท่านั้นทรงเป็นเลิศยิ่งในหมู่ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ
(73) โอ้ รอสูลเอ๋ย แท้จริงเจ้านั้นต้องเชิญชวนพวกเขาและคนอื่นๆไปสู่เส้นทางที่เที่ยงตรงซึ่งเป็นเส้นทางที่ไม่คดเคี้ยว และมันก็คือเส้นทางของอิสลามนั้นเอง
(74) และแท้จริงบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อวันปรโลกและสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ที่มีทั้งการพิพากษา การลงโทษ และการตอบแทนความดี พวกเขาจะเอียงออกจากแนวทางอิสลามไปสู้แนวทางที่คดเคี้ยวอื่นๆ ที่เชื่อมไปสู้ไฟนรก
(75) หากเราเมตตาต่อพวกเขาและขจัดความแห้งแล้งและความหิวโหยออกจากชีวิตของพวกเขา แน่นอนพวกเขาก็ยังคงหลงจากความจริง ลังเลและสับสน
(76) และโดยแน่แท้เราได้ทดสอบพวกเขาด้วยประเภทต่างๆของภัยพิบัติ แต่พวกเขาก็ไม่ได้นอบน้อมถ่อมตนต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา และไม่วิงวอนขอจากพระองค์อย่างถ่อมตัว เพื่อที่พระองค์จะได้ให้พวกเขารอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆในขณะที่มันเกิดขึ้น
(77) จนกระทั่งเมื่อเราเปิดประตูแห่งการลงโทษอันสาหัสแก่พวกเขา เมื่อนั้นแหละพวกเขาก็จะเป็นผู้ที่ท้อแท้สิ้นหวังจากทุกสิ่งที่เป็นทางออกและทุกสิ่งที่เป็นความดี
(78) และอัลลอฮฺ สุบหานาฮุ วะตะอาลา คือผู้ที่สร้างให้แก่พวกเจ้า (โอ้ บรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพทั้งหลาย) ซึ่งสัมผัสการฟังเพื่อพวกเจ้าจะได้ยิน สายตาเพื่อพวกเจ้าจะได้มองเห็น และหัวใจเพื่อพวกเจ้าจะได้เข้าใจ แต่ถึงกระนั้นพวกเจ้าก็ยังไม่ขอบคุณพระองค์ที่ได้ทรงประทานความโปรดปรานแห่งประสาทสัมผัสเหล่านี้แก่พวกเจ้า นอกเสียจากผู้คนส่วนน้อยเท่านั้น
(79) โอ้ บรรดามนุษย์ทั้งหลาย พระองค์คือผู้ทรงสร้างพวกเจ้าในโลกนี้ และพวกเจ้าจะถูกรวบรวมให้กลับไปหาพระองค์ในวันปรโลกเพื่อพิพากษาและรับผลตอบแทน
(80) และอัลลอฮฺพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ทรงให้เป็นและไม่มีใครเป็นผู้ให้เป็นนอกจากพระองค์ และพระองค์เท่านั้นที่ทรงให้ตายและไม่มีใครเป็นผู้ให้ตายนอกจากพระองค์ และพระองค์เท่านั้นทรงสิทธิในการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกลางคืนกลางวัน ความมืดและความสว่าง ความยาวและความสั้น พวกเจ้ามิได้ใช้สติปัญญาพิจารณาถึงความสามารถและความเป็นเอกะของพระองค์ในการสร้างและการจัดการหรอกหรือ?!
(81) แต่ทว่าพวกเขาได้กล่าวเช่นเดียวกับการกล่าวของบรรพบุรุษและชนชาติก่อนๆ ของพวกเขาในการปฏิเสธศรัทธา
(82) พวกเขาได้กล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ยอมรับและปฏิเสธว่า "เมื่อเราได้ตายไปแล้ว และเราได้กลายเป็นฝุ่นดินและกระดูกป่น แล้วเราจะถูกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพื่อการพิพากษากระนั้นหรือ?!"
(83) แท้จริงเราได้ถูกสัญญากับสัญญานี้ (คือการฟื้นคืนชีพหลังจากความตาย) และบรรพบุรุษของเราก็ได้ถูกสัญญานี้มาก่อนแล้วเช่นกัน และเราไม่เคยได้เห็นว่าสัญญานี้เป็นความจริง มันมิใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นนิยายเหลวไหลของคนสมัยก่อนและเป็นการโกหกของพวกเขาเท่านั้น
(84) โอ้ รอสูลเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธผู้ที่ไม่ยอมรับการฟื้นคืนชีพเถิด ว่า "แผ่นดินนี้และผู้ที่อยู่ในนั้นเป็นของใคร หากพวกท่านรู้?"
(85) พวกเขาจะกล่าวว่า "แผ่นดินและผู้ที่อยู่บนแผ่นดินนั้น มันเป็นของอัลลอฮฺ" จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด (มุหัมมัด) "พวกเจ้าจะไม่พิจารณาใคร่ครวญบ้างหรือ? ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของแผ่นดินและผู้ที่อยู่บนแผ่นดิน มีความสามารถที่จะให้พวกเจ้าได้มีชีวิตอีกครั้งหลังจากที่พวกเจ้าตาย?"
(86) จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด (มุหัมมัด) "ใครเป็นเจ้าของชั้นฟ้าทั้งเจ็ด และเป็นเจ้าของบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีสิ่งใดที่ใหญ่กว่ามันอีก?"
(87) พวกเขาจะกล่าวว่า "ชั้นฟ้าทั้งเจ็ด และบัลลังก์อันยิ่งใหญ่มันเป็นของอัลลอฮฺ" ดังนั้นจงกล่าวแก่พวกเขาเถิด (มุหัมมัด) "ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าจะไม่ยำเกรงต่อพระองค์หรือ? ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ได้ห้ามไว้ เพื่อพวกเจ้าจะได้รอดพ้นจากการลงโทษของพระองค์"
(88) จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด (มุหัมมัด) "ผู้ใดคือผู้ที่อำนาจการครอบครองที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือของเขา โดยไม่มีสิ่งใดที่จะหลุดจากการครอบครองของเขา และเขาเป็นผู้คุ้มครองดูแลบรรดาบ่าวของเขาตามที่เขาต้องการ และจะไม่มีผู้ใดสามารถปกป้องคนที่เขาต้องการให้เกิดสิ่งเลวร้าย แล้วป้องกันเขาจากการลงโทษได้ หากพวกท่านรู้?"
(89) พวกเขาจะกล่าวว่า "อำนาจอันกว้างใหญ่ไพศาลทุกสิ่งอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ผู้ทรงศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด (มุหัมมัด) "สติปัญญาของพวกเจ้าหายไปได้อย่างไร? จนทำให้พวกเจ้าหันไปบูชาสิ่งอื่นนอกจากพระองค์ทั้งๆ ที่พวกเจ้าก็ยอมรับสิ่งนั้น?!"
(90) มันไม่ได้เป็นไปตามที่พวกเขากล่าวอ้าง แต่ตรงกันข้ามเราได้นำเอาความจริงที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆเลย มาให้แก่พวกเขา และแท้จริงพวกเขาเป็นกลุ่มชนผู้กล่าวเท็จต่อสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวอ้างไว้ เช่น อัลลอฮฺนั้นมีคู่ชีวิตและมีบุตร อัลลอฮฺทรงสูงส่งเหนือคำกล่าวของพวกเขาด้วยความสูงส่งที่ยิ่งใหญ่
(91) อัลลอฮฺมิได้ทรงมีบุตรดั่งที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้อ้างไว้ และไม่มีพระเจ้าอื่นที่ถูกเคารพอย่างแท้จริงเคียงคู่กับพระองค์ และหากมีพระเจ้าอื่นจริงเคียงคู่กับพระองค์ แน่นอนพระเจ้าแต่ละองค์ก็จะนำเอาสิ่งที่ตนได้สร้างไว้ไปจนหมด และพยายามเอาชนะซึ่งกันและกัน และทำให้ระบบของจักรวาลเสียหาย และในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นมันจึงเป็นการยืนยันว่าพระเจ้าที่แท้จริงนั้นมีเพียงองค์เดียวเท่านั้น นั่นคืออัลลอฮฺ พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากคำกล่าวที่ไม่เหมาะสมของบรรดาผู้ตั้งภาคีที่ว่าพระองค์ทรงมีบุตรและทรงมีคู่
(92) พระองคฺผู้ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งที่สิ่งถูกสร้างนั้นมองไม่เห็น และทรงรอบรู้ทุกสิ่งที่มองเห็นและสามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสได้ ไม่มีสิ่งใดจะซ่อนไปจากพระองค์ได้ พระองค์ทรงสูงส่งยิ่งและทรงบริสุทธิ์ยิ่งกว่าการที่พระองค์จะมีสิ่งอื่นมาเทียบพระองค์
(93) โอ้ รอสูลเอ๋ย (มุหัมมัด) จงกล่าวเถิด "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้า หากพระองค์จะทรงให้ข้าได้เห็นซึ่งการลงโทษต่อบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายตามที่พระองค์ได้สัญญากับพวกเขาไว้"
(94) ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้า หากพระองค์จะลงโทษพวกเขาโดยที่ข้ากำลังมองดูเหตุการณ์นั้นด้วยแล้ว ขอทรงอย่าทำให้ข้าต้องอยู่ในหมู่พวกเขา แล้วทำให้การลงโทษนั้นได้ประสบต่อข้าอย่างที่ได้ประสบต่อพวกเขา
(95) และแท้จริงเรามีความสามารถอย่างแน่นอนที่จะให้เจ้าได้เห็นการลงโทษที่เราได้สัญญากับพวกเขาไว้ ไม่มีคำว่าลำบากสำหรับเราในการที่จะทำสิ่งนั้น และสิ่งอื่นๆก็เช่นกัน
(96) โอ้ รอสูลเอ๋ย เจ้าจงปราบคนที่ทำร้ายเจ้าด้วยนิสัยที่ดียิ่ง ทำความเข้าใจ และอดทนต่อความชั่วของเขา เรารู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเขากล่าวหา เช่น การตั้งภาคีและปฏิเสธไม่เชื่อฟัง แล้วรวมทั้งที่พวกเขากล่าวหาเจ้าในสิ่งที่ไม่เหมาะกับเจ้า เช่น กล่าวหาเจ้าเป็นนักไสยศาสตร์ และเป็นคนบ้า
(97) และจงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้า ข้าขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจากการล่อลวงต่างๆและเสียงกระซิบกระซาบของชัยฏอน
(98) และข้าขอความคุ้มครองต่อพระองค์ ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้า ให้พ้นจากการที่พวกเขาจะนำความชั่วร้ายบางอย่างสู่การงานของข้าพระองค์
(99) จนกระทั่งเมื่อความตายได้มาหาคนใดคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่ตั้งภาคี และเขาจะได้เห็นสิ่งที่เขาต้องเผชิญ เขาจะกล่าวด้วยความเสียใจต่อสิ่งที่เขาได้พลาดไปจากอายุของเขาที่ผ่านมา และจากสิ่งที่เขาได้ละเลยไปในการเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺ โดยเขาจะกล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้า ขอพระองค์ทรงให้ข้ากลับไปมีชีวิตในดุนยา (โลกนี้) อีกครั้งด้วยเถิด"
(100) เพื่อข้าจะได้ประกอบคุณงามความดีเมื่อใดที่ข้ากลับไป มันจะไม่เป็นอย่างอย่างที่ขอแน่นอน แท้จริงมันเป็นแค่เพียงคำกล่าวอ้างเท่านั้น และหากเขาได้กลับมาสู่โลกนี้อีกครั้งเขาก็จะไม่ทำตามที่สัญญาไว้ และคนที่ตายไปแล้วก็จะยังคงอยู่ที่กั้นระหว่างโลกนี้กับปรโลกจนถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพ จะไม่มีใครกลับจากโลกบัรซัคไปโลกดุนยาเพื่อรับรู้ในสิ่งที่พวกเขาพลาดไปและแก้ไขในสิ่งที่พวกเขาทำลายไปได้
(101) ดังนั้นเมื่อมะลาอิกะฮฺที่ได้รับมอบหมายให้เป่าสังข์ได้เป่าสังข์ครั้งที่สองที่เป็นการประกาศถึงการเกิดวันกิยามะฮฺ ความสัมพันธ์ทางตระกูลระหว่างพวกเขาที่พวกเขาเคยโอ้อวดกันนั้น ในวันนั้นจะไม่มีอีกต่อไป พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับความน่าสะพรึงกลัวของวันปรโลกและพวกเขาจะไม่ไต่ถามซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนต่างหมกมุ่นกับเรื่องของตัวเอง
(102) ดังนั้นผู้ใดตราชูความดีของเขาหนักกว่าความชั่วแล้ว ชนเหล่านั้น พวกเขาคือผู้ที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริง โดยพวกเขาจะได้รับซึ่งสิ่งที่พวกเขาต้องการ และห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาสะพรึงกลัว
(103) ดังนั้นผู้ใดที่ตราชูความดีของเขาเบากว่าความชั่วแล้ว ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่ทำให้ตัวของพวกเขาเองขาดทุน ด้วยการทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง และละทึ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น การศรัทธา และการประกอบคุณงามความดี ฉะนั้นแล้วพวกเขาจะพำนักอยู่ในนรกตลอดกาลโดยไม่มีวันออกมาจากมัน
(104) ไฟนรกจะเผาไหม้ใบหน้าของพวกเขา ริมฝีปากบนและล่างของพวกเขาได้หดตัวจนเห็นฟันออกมาเนื่องจากการบูดเบี้ยวอย่างรุนแรง
(105) และได้มีการกล่าวแก่พวกเขาด้วยการตำหนิว่า "โองการทั้งหลายของอัลกุรุอานมิได้ถูกนำมาอ่านแก่พวกเจ้าบนโลกนี้ แล้วพวกเจ้าก็ปฏิเสธมัน ไม่ใช่หรือ?!"
(106) พวกเขากล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเราความชั่วช้าเลวทรามของพวกเราที่พระองค์เองทรงรู้ดีมาก่อนได้ครอบงำพวกเรา และพวกเราเป็นหมู่ชนผู้หลงทางจากความจริง"
(107) ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ขอพระองค์ทรงโปรดนำพวกเราออกจากนรกด้วยเถิด ถ้าหากเรากลับไปเหมือนที่พวกเราเคยเป็นอีก ทั้งการปฏิเสธศรัทธาและการหลงทาง ดังนั้นแน่นอนเราก็เป็นพวกอธรรมกับตัวของเราเอง และจะไม่มีข้ออ้างใดๆอีกสำหรับพวกเรา
(108) อัลลอฮฺ ตรัสว่า พวกเจ้าจงอาศัยอยู่ในนรกอย่างต่ำต้อยเถิด และพวกเจ้าอย่าได้มาพูดกับข้าอีก
(109) แท้จริงมีหมู่ชนกลุ่มหนึ่งจากปวงบ่าวของฉัน ที่ศรัทธาต่อฉัน พวกเขากล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา พวกเราได้ศรัทธาต่อพระองค์ ดังนั้นขอพระองค์โปรดอภัยโทษต่อบาปของเรา และขอพระองค์ทรงเมตตาต่อเราด้วยความเมตตาของพระองค์ด้วยเถิด และพระองค์เท่านั้น ทรงเป็นผู้เมตตาที่ดียิ่ง"
(110) แต่พวกเจ้าได้ถือเอาผู้ศรัทธาเหล่านั้นที่ร้องขอต่อพระเจ้าของพวกเขาเป็นที่ล้อเลียนขบขันพวกเขา และพวกเจ้าล้อเลียนพวกเขาจนกระทั่งลืมนึกถึงอัลลอฮฺ และพวกเจ้าก็หัวเราะเยาะเย้ยและล้อเลียนพวกเขา, sehingga hal itu melupakan kalian dari mengingat Allah, dan kalian juga selalu menertawakan mereka dengan tujuan mengolok-olok dan mencemooh merekaแต่พวกเจ้ากลับเอาผู้ศรัทธาที่วิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา กลายเป็นสิ่งล้อเลียน และพวกเจ้ายังคงดูแคลนพวกเขา ดูถูกเยาะเย้ยพวกเขา จนกระทั้งการกระทำของพวกเจ้าเหล่านั้น ทำให้พวกเจ้าลืมรำลึกถึงอัลลอฮฺ และพวกเจ้าหัวเราะต่อพวกเขาเป็นการเยาะเย้ยดูถูกดูแคลนพวกเขา
(111) แท้จริงข้าได้ตอบแทนรางวัลให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายให้ได้รับชัยชนะด้วยสรวงสวรรค์ในวันกิยามะฮฺ เพราะความอดทนของพวกเขาในการเชื่อฟังอัลลอฮฺ และอดทนในสิ่งที่พวกเขาได้รับอันตรายจากพวกเจ้า
(112) อัลลอฮฺจะถามพวกเขาว่า "พวกเจ้าพำนักอยู่ในแผ่นดินนานกี่ปี และพวกเจ้าได้เสียเวลาไปเท่าไรแล้ว?"
(113) พวกเขากล่าวตอบว่า "เราได้พำนักอยู่วันเดียวหรือบางส่วนของวันเท่านั้น ขอพระองค์ได้ถามผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณวันและเดือนเถิด"
(114) พระองค์ทรงกล่าวว่า "พวกเจ้ามิได้พำนักอยู่บนดุนยาเว้นแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น มันง่ายที่จะอดทนในการเชื่อฟัง หากพวกเจ้ารู้ถึงจำนวนของเวลาที่พวกเจ้าได้พำนักอย่างแท้จริง"
(115) พวกเจ้าคิดว่า (โอ้มนุษย์ทั้งหลาย) แท้จริงเราได้ให้พวกเจ้าบังเกิดขึ้นเพื่อความสนุกสนานโดยไร้วัตถุประสงค์ โดยไม่มีผลบุญหรือบทลงโทษเช่นปศุสัตว์ และแท้จริงพวกเจ้าจะไม่กลับไปหาเราในวันกิยามะฮฺ เพื่อพิพากษาและรับผลตอบแทนกระนั้นหรือ?!
(116) ความสูงส่งเป็นของอัลลอฮฺ ผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดอย่างแท้จริง ผู้ทรงกระทำการในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์คือสัจธรรมที่แท้จริง และสัญญาของพระองค์คือสัจธรรม และคำตรัสของพระองค์คือสัจธรรม ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกเคารพอิบาดะฮฺอย่างแท้จริงนอกจากพระองค์ พระผู้อภิบาลบัลลังก์อันทรงเกียรติ ซึ่งเป็นสิ่งถูกสร้างที่ยิ่งใหญ่สุด และผู้ใดที่เป็นพระผู้อภิบาลของสิ่งถูกสร้างที่ยิ่งใหญ่สุด เขาผู้นั้นเป็นพระผู้อภิบาลของสิ่งถูกสร้างทุกทั้งหมด
(117) และผู้ใดวิงวอนขอจากพระเจ้าอื่นร่วมกับอัลลอฮฺ ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดๆพิสูจน์ได้เลยว่าเขานั้นสมควรได้รับการเคารพอิบาดะฮฺ แท้จริงแล้วผลตอบแทนการกระทำที่ไม่ดีของเขาอยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะตะอาลา พระองค์คือผู้ให้การตอบแทนเขาด้วยการลงโทษเขา แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาร้องขอ และไม่รอดจากสิ่งที่พวกเขาความหวาดกลัว
(118) (โอ้ มุหัมมัด) จงกล่าวเถิด "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ขอพระองค์ทรงอภัยต่อฉันต่อบาปของฉัน และทรงเมตตาต่อฉัน ด้วยความเมตตาของพระองค์ และพระองค์เท่านั้นคือผู้ทรงเมตตาที่ดียิ่งต่อผู้ที่มีบาป แล้วพระองค์ก็ตอบรับการกลับใจ (เตาบะฮฺ) ของเขา"