(1) อะลีม ลาม ลีม คำประเภทนี้ได้กล่าวถึงแล้วในตอนต้นของสูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ
(2) มนุษย์คิดหรือว่า ด้วยคำกล่าวของพวกเขาที่ว่า: "เราศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว" จากนั้นพวกเขาจะถูกปล่อยไว้ตามลำพังโดยไม่ถูกทดสอบถึงข้อเท็จจริงที่พวกเขากล่าวออกไปว่าพวกเขาเป็นผู้ศรัทธาจริงหรือไม่?! ความจริงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด
(3) และโดยแน่นอน เราได้ทดสอบบรรดาผู้คนที่มาก่อนหน้าพวกเขาไปแล้ว ดังนั้นอัลลอฮฺจะทรงให้รู้แจ้งและจะเปิดเผยแก่พวกเจ้าถึงบรรดาผู้สัตย์จริงในการศรัทธาของพวกเขาและเปิดเผยถึงความเท็จของบรรดาผู้โกหก
(4) หรือบรรดาผู้กระทำความชั่วทั้งหลาย เช่น การตั้งภาคี และอื่นๆ คิดว่าพวกเขาสามารถหลบหนีและรอดจากการลงโทษของเราได้? การตัดสินของพวกเขามันชั่งเลวร้ายจริงๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถทที่จะหลบหนี้และเอาตัวรอดจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้อย่างแน่นอน หากพวกเขาเสียชีวิตในสภาพที่ปฏิเสธศรัทธา
(5) ผู้ใดหวังที่จะพบกับอัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺเพื่อรับการตอบแทนจากพระองค์ ดังนั้นเขาพึ่งรู้เถิดว่า เวลาที่อัลลอฮฺทรงกำหนดนั้นจะมาถึงในไม่ช้า และพระองค์นั้นทรงได้ยินถึงถ้อยคำของบ่าว และทรงรอบรู้ถึงการงานของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนต่อการงานของพวกเขา
(6) และผู้ใดที่ทุ่มเทในการเคารพภักดีและออกห่างจากความชั่ว และต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ แท้จริงเขาได้ทุ่มเทต่อสู้เพื่อตัวของเขาเอง เพราะประโยชน์ของการทุ่มเทต่อสู้นั้นจะกลับคืนสู่ตัวของเขาเอง และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงมั่งมีเหนือสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย การเคารพภัคดีและการทำบาปของพวกเขานั้นจะไม่ส่งผลใดๆ ต่อพระองค์
(7) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาและอดทนต่อบททดสอบของเราที่มีต่อพวกเขาและพวกเขาได้กระทำความดีทั้งหลาย แน่นอนเราจะลบล้างบาปทั้งหลายของพวกเขาด้วยความดีต่างๆที่พวกเขาได้กระทำไว้ และในโลกหน้าเราจะตอบแทนพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้ในโลกนี้
(8) และเราได้สั่งเสียมนุษย์ให้กระทำความดีแก่บิดามารดาของเขา และหากทั้งสองได้บังคับเจ้า -โอ้ มนุษย์เอ๋ย- ให้ตั้งภาคีร่วมกับข้า -อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับเศาะหาบะฮฺที่ชื่อ สะอัด บิน อบี วะกอศ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กับมารดาของเขา- เจ้าจงอย่าเชื่อฟังท่านทั้งสองในเรื่องดังกล่าว เพราะจะไม่มีการเชื่อฟังต่อสิ่งที่ถูกสร้างใดๆ ในเรื่องที่เป็นการฝ่าฝืนผู้สร้าง (อัลลอฮฺ) ในวันกิยามะฮฺยังข้าเท่านั้นที่พวกเจ้าจะต้องกลับมา แล้วข้าจะแจ้งแก่พวกเจ้าถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ในโลกนี้ และข้าจะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการกระทำนั้น
(9) และบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและกระทำความดีทั้งหลายนั้น ในวันกิยามะฮฺเราจะให้พวกเขารวมอยู่ในหมู่คนดีทั้งหลาย โดยเราจะจัดรวมผู้ศรัทธาร่วมกับบรรดาคนดี และเราจะตอบแทนพวกผู้ศรัทธาเหมือนผลตอบแทนของพวกคนดี
(10) และในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้กล่าวว่า: "เราศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว" เมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธได้สร้างความทุกข์ทรมานต่อการศรัทธาของเขา เขาก็จะถือเอาความทุกข์ยากของพวกเขานั้นเป็นเสมือนการลงโทษของอัลลอฮฺ เขาก็จะทิ้งการศรัทธาเพื่อให้สอดคล้องกับบรรดาผู้ปฏิเสธ และหากมีการช่วยเหลือจากพระผู้อภิบาลของเจ้าได้เกิดขึ้นแก่เจ้าแก่เจ้า -โอ้ รอสูลเอ๋ย- คนผู้นี้ก็จะกล่าวว่า: "แท้จริงพวกเราเคยอยู่ร่วมกับพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาด้วยกัน" -โอ้ ผู้ศรัทธาเอ๋ย- และมิใช่อัลลอฮฺหรือที่ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของมนุษย์?! การศรัทธาและการปฏิเสธศรัทธา ล้วนแล้วไม่สามารถจะปกปิดการรอบรู้ของพระองค์ได้ แล้วไฉนกัน พวกเขาจะปกปิดอัลลอฮฺต่อสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงรู้ดีเกี่ยวกับมันยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก
(11) และแน่นอนอัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ศรัทธาที่แท้จริง และทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้กลับหลอกที่เปิดเผยการศรัทธาแค่ภายนอกและปิดบังการปฏิเสธศรัทธาไว้ภายใน
(12) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺองค์เดียวว่า: "พวกเจ้าจงปฏิบัติตามศาสนาของเรา และเราจะแบกรับบาปต่างๆ ของพวกเจ้า แล้วเราจะรับผิดชอบต่อบาปต่างๆ นั้นแทนพวกเจ้า และพวกเขานั้นมิได้เป็นผู้แบกรับบาปต่างๆ ของพวกเขาเหล่านั้นแต่อย่างใด แท้จริงพวกเขาเป็นผู้โกหกในคำพูดของพวกเขาอย่างแน่นอน
(13) และแน่นอนบรรดาผู้ตั้งภาคีที่เชิญชวนสู่ความเท็จ พวกเขาจะแบกรับบาปต่างๆ ที่พวกเขาได้กระทำไว้และร่วมไปถึงบาปต่างๆ ของผู้ติดตามจากการเชิญชวนของพวกเขาอย่างเต็มๆ โดยจะไม่ลดแม้แต่น้อย และแน่นอนในวันกิยามะฮฺพวกเขาจะถูกสอบสวนในสิ่งที่พวกเขาได้ประดิษฐ์ขึ้นในดุนยาจากเรื่องมดเท็จทั้งหลาย
(14) และโดยแน่นอนเราได้ส่งนูหฺในฐานะรอสูลไปยังหมู่ชนของเขา และเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกับพวกเขาเก้าร้อยห้าสิบปีเพื่อเชิญชวนพวกเขาสู่การให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ ปรากฏว่าพวกเขาไม่ยอมรับและยังคงปฏิเสธต่อไป ดังนั้นอุทกภัยได้คร่าชีวิตพวกเขาไปในขณะที่พวกเขาเป็นผู้อธรรมด้วยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและไม่เชื่อฟังบรรดารอสูลของพระองค์ จนในที่สุดพวกเขาจมน้ำตาย
(15) ดังนั้นเราได้ช่วยนูหฺและบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่พร้อมร่วมกับเขาในเรือให้รอดพ้นจากอุทกภัย และเราได้ทำให้เรือนั้นเป็นบทเรียนหนึ่งแก่ผู้คน เพื่อพวกเขาจะได้ใคร่ครวญกับมัน
(16) และจงรำลึกเถิด -โอ้ รอสูลเอ๋ย- ถึงเรื่องราวของอิบรอฮีมขณะที่เขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า: "พวกเจ้าจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเถิด และจงเกรงกลัวบทลงโทษของพระองค์ ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และห่างไกลจากคำสั่งห้ามของพระองค์ สิ่งที่พวกท่านถูกสั่งใช้นั้น มันดีกว่าสำหรับพวกท่านหากพวกท่านรู้"
(17) แท้จริงแล้วพวกท่าน -โอ้ บรรดาผู้ตั้งภาคีเอ๋ย- ได้ทำการเคารพสักการะรูปปั้นที่ไม่ให้ประโยชน์และไม่ให้โทษ และพวกท่านได้ทำการประดิษฐ์สิ่งเท็จขึ้นมาโดยอ้างว่ามันสมควรได้รับการเคารพสักการะ แท้จริงสิ่งที่พวกท่านเคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮฺนั้น มันไม่มีอำนาจที่จะประทานเครื่องยังชีพแก่พวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงขอกับอัลลอฮฺเถิดเพราะพระองค์คือผู้ทรงประทานเครื่องยังชีพ และจงเคารพภักดีอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเถิด และจงขอบคุณพระองค์ที่ได้ประทานเครื่องยังชีพให้กับพวกท่าน ยังพระองค์เท่านั้นพวกท่านจะถูกนำกลับไปในวันกิยามะฮฺเพื่อสอบสวนและตอบแทน ซึ่งมิใช่ยังรูปปั้นต่างๆ ของพวกท่าน
(18) และหากพวกท่าน -โอ้ บรรดาผู้ตั้งภาคี- ปฏิเสธสิ่งที่นบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมา แท้จริงหลายประชาชาติที่มาก่อนหน้าพวกท่านก็ได้เคยปฏิเสธ เช่น หมู่ชนนูหฺ อ๊าด และษะมุด และหน้าที่ของรอสูลมิใช่อะไรอื่นนอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้งเท่านั้น และแน่นอนรอสูลได้ทำหน้าที่ตามคำบัญชาของพระผู้อภิบาลของเขาในการเผยแพร่แก่พวกท่านแล้ว
(19) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่เห็นหรือว่า อัลลอฮฺทรงเริ่มต้นการสร้างอย่างไร? แล้วจะทรงให้มันกลับฟื้นคืนชีพหลังจากที่มันพินาศแล้วอย่างไร? แท้จริงนั่นเป็นการง่ายดายสำหรับอัลลอฮฺ พระองค์คือผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์อ่อนแอได้
(20) จงกล่าวเถิด -โอ้ รอสูลเอ๋ย- แก่บรรดาผู้ปฏิเสธต่อวันฟื้นคืนชีพว่า: พวกท่านจงท่องไปในแผ่นดิน แล้วพิจารณาดูว่าอัลลอฮฺทรงเริ่มต้นการสร้างอย่างไร แล้วอัลลอฮฺจะทรงให้มนุษย์มีชีวิตขึ้นมาเป็นครั้งที่สองหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตเพื่อสอบสวน แท้จริงอัลลอฮฺทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์อ่อนแอได้ จะไม่เป็นเรื่องยากสำหรับพระองค์ในการทำให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพ อย่างที่พระองค์ไม่ได้รู้สึกลำบากในการสร้างพวกเขามาในตอนแรก (คือเริ่มจากไม่มีอะไรเลย)
(21) พระองค์จะทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบ่าวของพระองค์ด้วยความยุติธรรม และจะทรงเมตตาผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบ่าวของพระองค์ด้วยความกรุณาของพระองค์ และยังพระองค์เท่านั้นพวกท่านจะถูกนำกลับไปในวันกิยามะฮฺเพื่อสอบสวนหลังจากพวกท่านถูกให้ฟื้นขึ้นมาจากหลุมฝังศพ
(22) และพวกเจ้าไม่สามารถที่จะหนีจากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าได้ และไม่มีทางจะรอดพ้นจากบทลงโทษของพระองค์ได้ ทั้งในแผ่นดินและในฟากฟ้า และไม่มีผู้ใดอื่นจากอัลลอฮฺที่จะเป็นผู้คุ้มครองและผู้ดูแลกิจการของพวกเจ้า และไม่มีผู้ใดอื่นจากอัลลอฮฺที่จะช่วยให้พวกเจ้ารอดพ้นจากการลงโทษของพระองค์ได้
(23) และบรรดาผู้ปฏิเสธโองการทั้งหลายของอัลลอฮฺและการพบพระองค์ในวันกิยามะฮฺนั้นพวกเขาจะสิ้นหวังต่อความเมตตาของฉัน พวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์อย่างแน่นอนเพราะการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา และพวกเขาเหล่านั้น สำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันเจ็บปวดที่กำลังรอพวกเขาในโลกหน้า
(24) (หลังจากที่อิบรอฮีมได้สั่งใช้พวกเขาให้เคารพภักดีต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียวและให้ละทิ้งจากการเคารพสักการะรูปปั้นต่างๆ) ดังนั้นคำตอบของหมู่ชนอิบรอฮีม - มิใช่อื่นใดนอกจากกล่าวว่า: "จงฆ่าเขาหรือเอาเขาโยนลงไปในไฟเพื่อแก้แค้นให้กับบรรดาพระเจ้าของพวกเจ้า แต่อัลลอฮฺทรงช่วยเขาให้พ้นจากไฟ แท้จริงในการให้เขาได้รอดจากไฟหลังจากถูกโยนลงไปในนั้นย่อมเป็นบทเรียนสำหรับหมู่ชนผู้ศรัทธา เพราะพวกเขาเท่านั้นคือผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากบทเรียนนี้
(25) และอิบรอฮีมได้กล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า: "แท้จริงการที่พวกท่านได้เคารพสักการะต่อรูปปั้นต่างๆ และได้ยึดเป็นพระเจ้านั้น ก็เพื่อเป็นการทำความรู้จักและความรักระหว่างพวกท่านในชีวิตแห่งโลกนี้เท่านั้น แล้วในวันกิยามะฮฺความรักนั้นจะถูกตัดขาดระหว่างพวกท่านไป และบางคนในหมู่พวกท่านจะถอดตัวออกจากกันเมื่อได้เห็นการลงโทษและจะสาปแช่งกันและกัน และที่พำนักของพวกท่านคือไฟนรก และสำหรับพวกท่านจะไม่มีผู้ช่วยเหลือให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นต่างๆ ที่พวกท่านเคารพสักการะมันนอกไปจากอัลลอฮฺ และอื่นๆ ก็เช่นกัน"
(26) หลังจากนั้นลูฏ อะลัยฮิสสะลาม ก็ได้ศรัทธาต่อเขา และอิบรอฮีมได้กล่าวว่า: "แท้จริงฉันเป็นผู้อพยพไปยังพระผู้อภิบาลของฉันยังแผ่นดินชามอันมีเกียรติ แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่งและพระองค์จะไม่ดูถูกผู้ที่อพยพไปยังพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการกำหนดและบริหารทุกสรรพสิ่ง"
(27) และเราได้ประทานบุตรชายให้กับอิบรอฮีมชื่ออิสหาก และลูกชายของเขาชื่อยะอฺกู๊บ และเราได้ทำให้ลูกหลานของเขาเป็นนบีและได้ประทานคัมภีร์ต่างๆ ที่ลงมาจากอัลลอฮฺให้แก่พวกเขา และเรายังได้ให้ผลตอบแทนต่อการยืนยัดบนสัจธรรมของเขาในโลกนี้ด้วยลูกหลานที่ดี และคำสดุดีที่ดี และแท้จริงเขาในโลกหน้าจะถูกตอบแทนด้วยผลตอบแทนของคนดี ซึ่งผลตอบแทนที่ถูกให้ในโลกนี้นั้นจะไม่ลดหย่อนเท่าสิ่งที่ถูกเตรียมไว้สำหรับเขาในโลกหน้าแม้แต่นิดเดียว
(28) และจงรำลึก -โอ้ รอสูลเอ๋ย- ถึงลูฏขณะที่เขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า: "แท้จริงพวกท่านได้กระทำบาปลามกที่ไม่เคยมีใครคนใดก่อนหน้าพวกท่านกระทำมาก่อน พวกท่านคือกลุ่มแรกที่ได้ทำบาปนี้ขึ้นมาซึ่งมันขัดกับสัญชาตญาณที่บริสุทธิ์ของมนุษย์"
(29) มันเป็นการควรแล้วหรือที่พวกท่านสมสู่พวกผู้ชายด้วยกันทางทวารเพื่อสนองอารมณ์ใคร่ของพวกท่าน ปล้นสะดมผู้คนบนถนนหนทางทำให้พวกเขาไม่กล้าเดินผ่านพวกท่าน เพราะกล้วว่าพวกท่านจะกระทำลามกกระทำอนาจารต่อพวกเขา และพวกท่านยังประพฤติชั่วในที่ชุมนุมของพวกท่าน เช่น แก้ผ้า และทำร้ายผู้สัญจรไปมาทั้งด้วยคำพูดและกระทำ? แต่คำตอบของหมู่ชนของเขาหลังจากที่เขาได้มีการปรามถึงการประพฤติชั่วนั้น ด้วยคำตอบที่ไม่ใช่อื่นใดนอกจากกล่าวว่า: "จงนำการลงโทษของอัลลอฮฺที่ท่านขู่เราอยู่นั้นมาให้แก่พวกเราสิ หากท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริงในสิ่งที่ท่านอ้างมา"
(30) ลูฏ อะลัยฮิสสะลาม ได้วิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลของเขา หลังจากความดื้อรั้นของหมู่ชนของเขาที่ขอให้นำการลงโทษลงบนพวกเขาว่า: "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของฉัน ขอพระองค์โปรดช่วยเหลือฉันให้อยู่เหนือหมู่ชนผู้บ่อนทำลายในแผ่นดินนี้ด้วยการปฏิเสธศรัทธา เนรคุณ และประพฤติความชั่วที่พวกเขาเผยแพร่กัน"
(31) และครั้นเมื่อมะลาอิกะฮฺที่เราได้ส่งไปนั้น พวกเขาได้แจ้งข่าวดีแก่อิบรอฮีมว่า เขาจะมีลูกชายชื่ออิสฮากและหลังจากนั้น อิสฮากก็จะมีลูกชายชื่อยะกู๊บ แล้วพวกเขาก็กล่าวแก่เขาว่า "แท้จริงพวกเราจะเป็นผู้ทำลายชาวเมืองสะดุมซึ่งเป็นเมืองของลูฏ เพราะชาวเมืองนั้นพวกเขาเป็นผู้อธรรมด้วยการกระทำสิ่งที่ชั่วช้าน่ารังเกียจ"
(32) อิบรอฮีม อะลัยฮิสสะลาม ได้กล่าวแก่มะลาอิกะฮฺ ว่า "แท้จริงชาวเมืองที่พวกท่านต้องการจะทำลายนั้นมีลูฏอยู่ด้วย โดยที่เขามิได้อยู่ในหมู่ผู้อธรรม" มะลาอิกะฮฺจึงกล่าวว่า" เรารู้ดีว่ามีใครอยู่ในเมืองนั้นบ้าง แน่นอนเราจะช่วยเหลือเขาและครอบครัวของเขาให้รอดพ้นจากการถูกทำลายนี้ นอกจากภรรยาของเขาซึ่งนางคือหนึ่งในบรรดาผู้ที่ถูกทำลาย ฉะนั้นเราจะทำลายนางไปพร้อมๆ กับพวกเขา (ชาวเมืองนั้น)"
(33) และเมื่อมะลาอิกะฮฺที่เราได้ส่งไปเพื่อทำลายหมู่ชนของลูฏได้มาหาลูฏ เขาก็เกิดทุกข์ใจกังวลเพราะกลัวว่าพวกเขาจะถูกหมู่ชนของเขาจะประพฤติชั่วต่อพวกเขา โดยที่มะลาอิกะฮฺเหล่านั้นได้มาในรูปร่างผู้ชาย ซึ่งหมู่ชนของเขาจะสมสู่พวกผู้ชายด้วยตัณหาแทนพวกผู้หญิง มะลาอิกะฮฺจึงกล่าวแก่เขาว่า "จงอย่ากลัว เพราะหมู่ชนของท่านไม่มีทางที่จะเข้าทำร้ายถึงท่านได้เหรอก และจงอย่าเศร้าโศกเสียใจต่อสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านเกี่ยวกับการทำลายพวกเขา แท้จริงเราเป็นผู้ช่วยเหลือท่านและบริวารของท่านจากการถูกทำลาย ยกเว้นภรรยาของท่านซึ่งนางคือหนึ่งในบรรดาผู้ที่ถูกทำลาย ฉะนั้นเราจะทำลายนางไปพร้อมๆ กับพวกเขา"
(34) แท้จริงเราเป็นผู้นำการลงโทษจากฝากฟ้าสู่ชาวเมืองนี้ เพราะความชั่วที่พวกเขาได้กระทำไว้ นั่นก็คือ ก้อนหินจากนรกเพื่อเป็นการลงโทษพวกเขาที่ได้หันเหออกจากการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺแล้วหันมาประพฤติชั่วที่เป็นลามก นั่นก็คือ การสมสู่พวกผู้ชายด้วยตัณหาแทนพวกผู้หญิง
(35) และแท้จริงเราได้ทิ้งสัญญาณหนึ่งที่ชัดแจ้งจากเมืองนี้ ไว้สำหรับหมู่ชนผู้มีปัญญาพิจารณา เพราะพวกเขาคือผู้ที่จะได้รับบทเรียนจากสัญญาณต่างๆ เหล่านี้
(36) และเราได้ส่งพี่น้องทางสายเลือดของพวกเขาคือ ชุอัยบ์ อะลัยฮิสสะลาม ไปยังหมู่ชนมัดยัน ซึ่งเขาได้กล่าวขึ้นว่า "โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย จงเคารพภักดีอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเถิด และจงหวังผลตอบแทนในโลกหน้าจากพระองค์ด้วยการเคารพภักดีของพวกท่าน และอย่าได้ก่อความเสียหายในหน้าแผ่นดินด้วยการกระทำความชั่วและเผยแพร่มันออกไป"
(37) แต่หมู่ชนของเขาได้ปฏิเสธเขา ดังนั้นแผ่นดินไหวอย่างรุ่นแรงได้เคร่าชีวิตพวกเขา แล้วพวกเขาได้นอนสิ้นชีวิตอยู่ในที่อาศัยของพวกเขาซึ่งใบหน้าของพวกเขาติดแน่นอยู่กับดินโดยที่พวกเขาจะไม่ถูกเคลื่อนย้าย
(38) และเช่นเดียวกัน เราได้ทำลายพวกอ๊าดซึ่งเป็นหมู่ชนของฮูด และพวกษะมูดซึ่งเป็นหมู่ชนของศอลิห์ และได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเจ้า -โอ้ ชาวมักกะฮ์- แล้วว่าที่พำนักของพวกเขาที่ทำมาจากต้นไม้และก้อนหินจากเมืองหัฎเราะเมาตฺ (เยเมน) นั้น ได้บ่งบอกแก่พวกเจ้าถึงการลงโทษพวกเขา และสถานที่พักอาศัยอันว่างเปล่าของพวกเขายังคงมีให้เห็นอย่างชัดเจน และชัยฏอนได้ทำให้การงานของพวกเขา เช่น การปฏิเสธศรัทธา และความชั่วอื่น ๆ ให้เป็นที่ดูดี แล้วได้ให้พวกเขาหลงออกจากแนวทางที่เที่ยงตรง ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นผู้มีสติปัญญาในการที่จะใคร่ควรญสัจธรรม การหลงทาง การชี้นำ และความหลงผิด ตามที่บรรดาเราะสูลของพวกเขาได้สอนให้แก่พวกเขาไว้ หากแต่พวกเขาเลือกที่จะปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำแทนที่จะปฏิบัติตามทางนำ
(39) และเราได้ทำลายกอรูน -เนื่องจากเขาหยิ่งผยองต่อหมู่ชนของมูซา- ด้วยการให้ธรณีสูบเขาพร้อมกับเคหะสถานของเขา และเราก็ได้ทำลายฟิรเอานฺพร้อมกับฮามานซึ่งเป็นมุขมนตรีของเขาด้วยการให้จมน้ำตายในทะเล และแน่นอนมูซาได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้งที่บ่งชี้ถึงความสัจจริงของเขา แต่พวกเขาหยิ่งผยองไม่ยอมศรัทธาในแผ่นดินอียิปต์ และพวกเขาไม่อาจจะหลุดรอดจากการลงโทษของเราด้วยการหลบหนีจากเราได้
(40) ดังนั้น ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เราได้ลงโทษพวกเขาอย่างรุ่นแรง เช่น หมู่ชนลูฏ เราได้ส่งก้อนหินจากนรกแกร่งหล่นพรูลงมาบนพวกเขา และหมู่ชนศอลิหฺและชุอัยบ์ เราได้ลงโทษด้วยเสียงกัมปนาททำลายพวกเขา และกอรูน เราได้ให้ธรณีสูบเขาพร้อมกับเคหะสถานของเขา และหมู่ชนนูหฺ ฟิรเอานฺ และฮามาน เราได้ทำลายพวกเขาด้วยการให้จมน้ำตาย และอัลลอฮฺมิได้ทรงอธรรมแก่พวกเขาที่ได้ทำลายพวกเขาโดยปราศจากบาป แต่พวกเขาเองต่างหากที่อธรรมต่อตัวของเขาเองที่กระทำบาป ฉะนั้น พวกเขาคู่ควรที่จะได้รับการลงโทษ
(41) อุปมาบรรดาผู้ตั้งภาคีที่ยึดเอาบรรดาเจว็ดเป็นที่เคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮฺโดยหวังประโยชน์และให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาเปรียบดั่งแมงมุมที่ได้ยึดเอาใยของมันเป็นรังเพื่อคุ้มกันจากการถูกทำร้าย และแท้จริงรังที่บอบบางที่สุดคือรังของแมงมุม ซึ่งมันไม่สามารถจะปกป้องจากการถูกทำร้ายได้ เช่นเดียวกับบรรดาเจว็ดของพวกเขาที่ไม่สามารถจะให้ประโยชน์ ให้โทษ และให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด หากบรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านี้รู้ พวกเขาคงไม่ยึดเอาบรรดาเจว็ดเป็นที่เคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮฺแน่นอน
(42) แท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะอื่นจากพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจะปกปิดจากการรอบรู้ของพระองค์ได้ พระองค์คือผู้ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่ง และทรงปรีชาญาณในการสร้างการกำหนดปริมาณและการบริหารจัดการ
(43) และนี้คืออุปมาอุปไมยที่เราได้ยกมาให้แก่มนุษย์เพื่อให้พวกเขาได้ตื่นตัวและได้ไตร่ตรองถึงสัจธรรมและเพื่อจะได้ชี้นำพวกเขาไปในหนทางที่ถูกต้อง แต่ไม่มีผู้ใดที่สามารถจะเข้าถึงมันอย่างถ่องแท้ได้นอกจากผู้มีความรู้ในบทบัญญัติและหิกมะฮ์ของอัลลอฮ์เท่านั้น
(44) อัลลอฮ์ตะอาลาทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินด้วยความจริง ซึ่งพระองค์มิได้ทรงสร้างมันด้วยความเท็จไม่ได้อย่างไร้เป้าหมาย แท้จริงในการสร้างนี้ย่อมเป็นสัญญาณอันชัดแจ้งถึงความเดชานุภาพของอัลลอฮ์แก่บรรดาผู้ศรัทธา เพราะพวกเขาเท่านั้นที่อาศัยสิ่งถูกสร้างเป็นหลักฐานยืนยันถึงอัลลอฮ์ผู้ทรงสร้าง ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาแท้จริงพวกเขาจะพบเห็นสัญญาณต่างๆเหล่านี้ที่อยู่ในฟากฟ้า และในร่างกายโดยไม่สนใจถึงความยิ่งใหญ่และความเดชานุภาพของอัลลอฮ์ ตะอาลา เลย
(45) จงอ่านเถิด -โอ้ รอสูลเอ๋ย- แก่มนุษย์ถึงสิ่งที่อัลลอฮฺได้วะห์ยุแก่เจ้าจากอัลกุรอาน และจงดำรงการละหมาดอย่างสมบูรณ์ แท้จริงการละหมาดที่สมบูรณ์นั้นจะยับยั้งผู้ละหมาดจากการตกหลุมพรางในเรื่องที่เป็นบาปและความชั่ว เพราะรัศมีที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขาจะยับยั้งจากการกระทำบาปและจะชี้นำสู่การกระทำความดี และการรำลึกถึงอัลลอฮฺนั้นยิ่งใหญ่กว่าเหนือทุกสิ่ง และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ซึ่งการงานของพวกเจ้าไม่สามารถจะปกปิดถึงการรอบรู้ของพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบพวกเจ้าตามการงานของพวกเจ้า ถ้าการงานดีก็จะได้ผลตอบแทนที่ดี และถ้าการงานชั่วก็จะได้ผลตอบแทนที่ชั่ว
(46) และพวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย-จงอย่าโต้เถียง อย่าทะเลาะกับชาวยิวและชาวคริสต์ เว้นแต่ด้วยวิธีการที่ดีกว่า และรูปแบบที่ประเสริฐกว่า นั่นคือการเชิญชวนด้วยการตักเตือนที่ดี และด้วยหลักฐานที่ชัดเจน นอกจากกับบรรดาผู้ที่อธรรมในหมู่พวกเขาเท่านั้นที่ดื้อรั้นและหยิ่งผยอง และประกาศสงครามกับพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงต่อสู้กับพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะยอมสยบ หรือยอมจ่ายภาษีอย่างเชื่อฟังในขณะที่พวกเขาอยู่ในภาวะยอมจำนน และจงกล่าวแก่ชาวยิวและคริสต์ว่า “ พวกเราศรัทธาในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมาแก่เรานั่นคือคัมภีร์อัลกุรอาน และพวกเราศรัทธาในสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้าที่เป็นคัมภีร์เตารอฮ์และอินญีล และพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกเจ้าคือพระเจ้าองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ ร่วมกับพระองค์ทั้งในด้านการเป็นพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะ ในด้านการเป็นพระผู้ทรงอภิบาลผู้ทรงสร้าง ทรงเป็นเจ้าของและการบริหารจัดการทุกสิ่ง และด้านความสมบูรณ์ของพระองค์ และแด่พระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้นเรายอมจำนน”
(47) และเช่นเดียวกับการที่เราได้ประทานบรรดาคัมภีร์ต่างๆ ลงมาแก่ผู้ที่มาก่อนหน้าเจ้า เราจึงประทานคัมภีร์อัลกุรอานแก่เจ้า ดังนั้นบางคนในหมู่พวกเขาที่อ่านคัมภีร์เตารอฮ์ -เช่น อัลดุลเลาะฮ์ บิน สลาม- พวกเขาได้ศรัทธาต่อมัน เพราะพวกเขาได้พบลักษณะของมันที่ได้ระบุในคัมภีร์ของพวกเขา และในหมู่ผู้ตั้งภาคีก็มีผู้ที่ศรัทธาต่อมันเช่นกัน และไม่มีการปฏิเสธต่อบรรดาโองการของเรานอกจากบรรดาผู้ที่ปฏิเสธผู้ซึ่งลักษณะของพวกเขานั้นคือการปฏิเสธและการดื้อรั้นต่อความจริงทั้งที่ความจริงนั้นเป็นที่เปิดเผยชัดเจน
(48) และเจ้าไม่เคยอ่านหนังสือใด ๆ ก่อนคัมภีร์อัลกุรอาน -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- และเจ้าก็ไม่เคยเขียนสิ่งใด ๆ ด้วยมือขวาของเจ้าเช่นกัน เนื่องจากเจ้านั้นเป็นผู้ที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และถ้าหากว่าเจ้านั้นอ่านเขียนได้ แน่นอนมันจะทำให้เกิดการสงสัยแก่ผู้ที่โง่เขลาต่อการเป็นนบีของเจ้า และพวกเขาก็จะพูดกันว่าเจ้านั้นได้เขียนคัมภีร์โดยอ้างจากคัมภีร์เล่มก่อน ๆ
(49) แต่ในทางกลับกัน อัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้านั้น มันคือโองการต่าง ๆ อันชัดแจ้ง(ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้)ในทรวงอกของบรรดาผู้ที่ได้รับความรู้ในหมู่ผู้ศรัทธา และไม่มีผู้ใดปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรานอกจากบรรดาผู้ที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองโดยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และตั้งภาคีต่อพระองค์
(50) และพวกที่ตั้งภาคีกล่าวว่า “ทำไมจึงมิถูกประทานลงมายังมูฮัมหมัด ซึ่งสัญญาณ ต่าง ๆ จากพระเจ้าของเขา ดั่งที่ได้ถูกประทานลงมายังบรรดาเราะสูลก่อนหน้าเขา จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ว่า "แท้จริงสัญญาณเหล่านั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ พระองค์จะทรงประทานมันลงมาเมื่อพระองค์ทรงประสงค์ และไม่ใช่อำนาจของฉันที่จะส่งมันลงมา แท้จริงฉันเป็นเพียงผู้ตักเตือนอันชัดแจ้งแก่พวกเจ้าถึงการลงโทษของอัลลอฮ์เท่านั้น"
(51) ไม่เพียงพอสำหรับคนเหล่านี้ที่ได้เสนอสัญญาณต่างๆ ด้วยการที่เราได้ประทานอัลกุรอานแก่เจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ซึ่งมันถูกอ่านให้แก่พวกเขากระนั้นหรือ? แท้จริงในอัลกุรอานที่ประทานลงมาแก่พวกเขานั้นมีความเมตตาและคำแนะนำแก่บรรดาผู้ศรัทธา เพราะพวกเขาคือผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากสิ่งที่อยู่ในนั้น ดังนั้นสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเขานั้นดีกว่าสิ่งที่พวกเขาเสนอแนะที่ได้ถูกประทานลงมาแก่บรรดาเราะสูลก่อนหน้านี้
(52) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- “เพียงพอแล้วกับการที่อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเป็นพยานถึงความสัจจริงของฉันในสิ่งที่ฉันนำมา และในฐานะพยานถึงการที่พวกเจ้าปฏิเสธมัน พระองค์คือผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และรู้สิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนั้น ไม่มีสิ่งใดในทั้งสองนั้นจะซ่อนเร้นจากพระองค์ได้ และบรรดาผู้ศรัทธาในความเท็จจากทุกสิ่งที่เคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ และปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงสิทธิเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิได้รับการเคารพสักการะ พวกเขาคือผู้สูญเสียที่แท้จริง เพราะพวกเขาคือผู้ที่แทนที่การศรัทธาด้วยการปฏิเสธ
(53) บรรดาผู้ตั้งภาคีขอให้เจ้า -โอ้ เราะสูลเอ๋ย- โปรดเร่งการลงโทษตามที่เจ้าได้เคยตักเตือนพวกเขาไว้ และหากมิใช่เพราะอัลลอฮ์ได้กำหนดจังหวะเวลาสำหรับการลงโทษพวกเขาไว้แล้วโดยจะไม่มีการเลื่อนเข้ามาและไม่มีการเลื่อนออกไป แน่นอนมันก็จะมาถึงพวกเขาอย่างแน่นอน และมันจะมาถึงพวกเขาทันทีทันใดโดยที่พวกเขาไม่คาดคิด
(54) พวกเขาได้เร่งเร้าเจ้าให้มีการลงโทษที่เจ้าได้สัญญาไว้แก่พวกเขาโดยเร็ว และแท้จริงนรกญะฮันนัมที่อัลลอฮ์ได้ทรงสัญญาไว้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น จะปกคลุมพวกเขาไว้ เพื่อที่พวกเขานั้นจะไม่สามารถหนีรอดจากมันได้
(55) วันซึ่งการลงโทษจะปกคลุมพวกเขาจากเบื้องบนพวกเขาและมันจะเป็นที่นอนสำหรับพวกเขาจากใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา และอัลลอฮ์ทรงตรัสแก่พวกเขาอย่างเย้ยหยันว่า “พวกเจ้าจงลิ้มรสผลตอบแทนจากสิ่งที่พวกเจ้าได้ก่อกรรมไว้จากการตั้งภาคีและการฝ่าฝืนทั้งหลาย"
(56) โอ้ปวงบ่วงของข้า ที่ศรัทธาต่อข้าเอ๋ย พวกเจ้าทั้งหลายจงอพยพออกจากแผ่นดินที่พวกเจ้าไม่สามารถเคารพสักการะต่อข้าเถิด แท้จริงแผ่นดินของข้านั้นกว้างใหญ่ไพศาล ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงเคารพภัคดีต่อข้าเท่านั้น และพวกเจ้าจงอย่าเอาผู้ใดมาเป็นหุ้นส่วนกับข้า
(57) และการกลัวความตายนั้นจะไม่ยับยั้งพวกเจ้าจากการอพยพได้ ทุก ๆ ชีวิตเป็นผู้ลิ้มรสความตาย แล้วพวกเจ้าจะถูกนำกลับยังเราในวันกิยามะฮ์ เพื่อสอบสวนและตอบแทน
(58) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และประกอบคุณงามความดีที่ทำให้ได้ใกล้ชิดกับพระองค์นั้น แน่นอนเราจะประทานห้องพิเศษจากสวรรค์ให้แก่พวกเขา ซึ่งมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน ณ เบื้องล่างของมัน พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล การสูญสลายจะไม่ประสบกับพวกเขาในนั้น มันช่างเป็นรางวัลที่ประเสริฐแท้ สำหรับผู้ที่เชื่อฟังอัลลอฮ์
(59) มันช่างเป็นรางวัลที่ประเสริฐแท้สำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อฟังอัลลอฮ์ คือบรรดาผู้ที่อดทนต่อการเชื่อฟังพระองค์และอดทนจากการหลีกห่างสิ่งที่่เป็นการฝ่าฝืนพระองค์ และยังพระผู้อภิบาลของพวกเขาเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ที่พวกเขามอบหมายไว้วางใจในทุก ๆ เรื่องของพวกเขา
(60) สัตว์ทุกชนิด -แม้ว่าจะมีจำนวนมาก- มันไม่สามารถรวบรวมเครื่องยังชีพและดำเนินการได้ อัลลอฮ์เท่านั้นทรงประทานเครื่องยังชีพแก่พวกมัน และแก่พวกเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่พวกเจ้าจะไม่อพยพไปเพราะกลัวความหิวโหย และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินคำพูดของพวกเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ถึงเจตนารมณ์และการกระทำต่างๆ ของพวกเจ้า ไม่มีสิ่งใดจากเรื่องดังกล่าวนั้นจะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการกระทำเหล่านั้น
(61) และถ้าเจ้า -โอ้ท่านเราะซูลเอ๋ย- ได้ถามพวกที่ตั้งภาคีเหล่านั้นว่า “ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย? และใครเป็นผู้สร้างแผ่นดิน? และเป็นผู้ทำให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ผลัดกัน? แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า “อัลลอฮ์เป็นผู้สร้างมัน” แล้วทำไมเล่าพวกเขาจึงหันเหออกจากการศรัทธาต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว แล้วไปเคารพบูชาบรรดาพระเจ้าอื่นจากพระองค์ที่มันไม่ได้ให้คุณประโยชน์และไม่ให้โทษใดๆ ได้?
(62) อัลลอฮ์ทรงให้เครื่องยังชีพกว้างขวางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ และทรงทำให้มันคับแคบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ อันเนื่องด้วยความปรีชาญาณที่พระองค์เท่านั้นทรงรอบรู้ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ ดังนั้นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ปวงบ่าวของพระองค์จากการบริหารจัดการนั้นจึงไม่สามารถปกปิดเหนือพระองค์ได้
(63) และถ้าเจ้า -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- ได้ถามบรรดาผู้ตั้งภาคีว่า “ ใครเล่าทรงหลั่งน้ำลงมาจากฟากฟ้าแล้วทรงทำให้แผ่นดินงอกงามด้วยน้ำนั้นหลังจากที่แห้งแล้ง” แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า “ผู้ทรงหลั่งน้ำฝนลงมาจากฟากฟ้าและทรงทำให้แผ่นดินงอกงามด้วยน้ำนั้นคือ อัลลอฮ์ จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะซูลเอ๋ย- บรรดาการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเปิดเผยเหตุผลให้ประจักษ์แก่พวกเจ้า แต่ว่าสิ่งที่ได้รับนั้นคือ ส่วนมากของพวกเขาไม่ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ ถ้าหากพวกเขาใช้สติปัญญาใคร่ครวญถึงสิ่งที่พวกเขานำเจว็ดมาเป็นหุ้นส่วนกับอัลลอฮ์แล้ว จะพบว่ามันไม่ให้คุณประโยชน์และไม่ให้โทษใด ๆ เลย
(64) และการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้นั้น -ด้วยสิ่งต่างๆ ที่เป็นเรื่องของตัณหาและความบันเทิงต่างๆ ที่อยู่ในนั้น- มันมิใช่อื่นใดเลย เว้นแต่เป็นการละเล่นสำหรับหัวใจของผู้ที่ยึดติดกับมันและการสนุกสนานร่าเริงเท่านั้น ไม่อยากให้มันสิ้นสุดเร็วๆ และแท้จริงสถานที่ในปรโลกนั้น แน่นอนมันคือชีวิตที่แท้จริง เนื่องจากว่ามันจะคงอยู่ตลอดไป หากพวกเขารู้ แน่นอนพวกเขานั้นจะไม่เอาสิ่งที่จะสูญสลายนำหน้าสิ่งที่จะยืนยงถาวร
(65) และเมื่อบรรดาผู้ตั้งภาคีอยู่ในเรือกลางมหาสมุทร พวกเขาวิงวอนต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียวโดยอธิษฐานอย่างจริงใจต่อพระองค์ เพื่อให้พระองค์ช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากการจมน้ำ แต่เมื่ออัลลอฮ์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากการจมน้ำ พวกเขาก็กลับไปสู่การเป็นผู้ตั้งภาคี โดยทำการวิงวอนต่อรูปเคารพของพวกเขาพร้อมกับพระองค์
(66) พวกเขากลายเป็นผู้ตั้งภาคี เพื่อพวกเขาจะได้เนรคุณต่อความโปรดปรานต่าง ๆ ที่เราได้ประทานแก่พวกเขา และเพื่อพวกเขาจะได้หลงระเริงกับสิ่งที่พวกเขาได้รับ จากความเพริศแพร้วของชีวิตบนโลกดุนยา แน่นอนพวกเขาก็จะได้รู้ถึงบทลงโทษอันชั่วร้ายของพวกเขาเมื่อพวกเขาได้เสียชีวิตไป
(67) บรรดาผู้ที่ปฏิเสธความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขาเมื่ออัลลอฮ์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากการจมน้ำ และด้วยการประทานความโปรดปรานอื่นอีก นั่นคือ เราได้ทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับพวกเขาที่พวกเขารู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา พวกเขาไม่เห็นหรอกหรือ? ในขณะที่ผู้คนนอกเหนือจากพวกเขาถูกครอบงำด้วยสงคราม พวกเขาถูกฆ่า ถูกควบคุมตัว ผู้หญิงและครอบครัวถูกจับ ทรัพย์สินของพวกเขาถูกริบ ดังนั้น ต่อความเท็จจากบรรดาพระเจ้าที่พวกเขาอ้างนั้น พวกเขาศรัทธา ขณะที่ความโปรดปรานที่อัลลอฮ์ได้ประทานให้นั้น พวกเขาปฏิเสธ? ทำไมพวกเขาไม่ขอบคุณต่ออัลลอฮ์สำหรับเรื่องนี้?!
(68) ไม่มีผู้ใดที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้กุความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ โดยการอ้างว่าอัลลอฮ์ทรงมีภาคีหุ้นส่วน หรือปฏิเสธสัจธรรมที่เราะสูลของพระองค์ได้นำมา แน่นอนว่าในนรกญะฮันนัมนั้นมีที่พำนักสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธาและพวกที่คล้ายกับพวกเขา
(69) และบรรดาผู้ต่อสู้กับตัวของพวกเขาเองเพื่อหวังในความพึงพอพระทัยของเรา แน่นอนเราจะช่วยเหลือพวกเขาให้ได้พบกับหนทางที่เที่ยงตรง และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงอยู่กับบรรดาผู้กระทำความดี ด้วยการสนับสนุน ให้การช่วยเหลือและชี้แนะแนวทาง