(1) โอ้มนุษย์ทั้งหลาย จงยำเกรงต่อพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด พระองค์คือผู้ทรงสร้างพวกเจ้ามาจากหนึ่งชีวิต คืออาดัมผู้เป็นบิดาของพวกเจ้า และพระองค์ได้ทรงสร้างจากอาดัมซึ่งคู่ครองของเขา คือพระนางเฮาวาอ์ผู้เป็นมารดาของพวกเจ้า และพระองค์ได้ทรงแพร่ขยายจากทั้งสองซึ่งมนุษย์ชาติที่เป็นผู้ชายและผู้หญิงอันมากมายทั่วทุกสารทิศบนแผ่นดินนี้ และพวกเจ้าจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ที่พวกเจ้าต่างเรียกร้องสิทธิซึ่งกันและกันด้วยกับ(พระนามของ)พระองค์ โดยกล่าวว่า: ฉันขอร้องด้วย(พระนามของ)อัลลอฮ์ให้เจ้ากระทำสิ่งนี้ และจงยำเกรงการตัดขาดวงเครือญาติที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเฝ้าดูพวกเจ้าอยู่เสมอ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดจากการงานของพวกเจ้าจะพลาดจากพระองค์ได้ หากแต่พระองค์นั้นจะทรงคิดมันและจะทรงตอบแทนแก่พวกเจ้าตามการงานนั้น
(2) และ (โอ้บรรดาผู้ดูแลเด็กกำพร้า) จงมอบให้แก่บรรดาเด็กกำพร้า (คือบรรดาผู้ที่เสียบิดาโดยที่พวกเขานั้นยังไม่บรรลุศาสนภาวะ) ซึ่งทรัพย์สินของพวกเขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อพวกเขาบรรลุศาสนภาวะและฉลาด และพวกเจ้าอย่าได้เปลี่ยนเอาของหะรอมแทนด้วยของหะลาล ด้วยการที่พวกเจ้าเอาทรัพย์ที่ดีของเด็กกำพร้า แล้วให้ทรัพย์ที่เลวของพวกเจ้าแทน และอย่าได้เอาทรัพย์สมบัติของเด็กกำพร้าปะปนกับทรัพย์สมบัติของเจ้า เพราะแท้จริงมันเป็นบาปอันมหันต์ ณ ที่อัลลอฮ์
(3) และหากพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมได้เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกับบรรดาหญิงกำพร้าที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเจ้า โดยเกรงว่าจะลดค่าสินสอดที่จำเป็นหรือปฏิบัติไม่ดีแก่พวกนาง ดังนั้นจงอย่าแต่งงานกับพวกนาง แล้วหันมาแต่งงานกับบรรดาหญิงที่ดีที่มิใช่พวกนาง ถ้าหากพวกเจ้าประสงค์ก็จงแต่งงานสองคน หรือสามคน หรือสี่คน แต่ถ้าหากพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมระหว่างพวกนางได้ ก็จงจำกัดการแต่งงานกับผู้หญิงคนเดียว หรือจะเข้าหาความสำราญจากทาสหญิงที่อยู่ในความครอบครองของพวกเจ้า เพราะพวกนางจะไม่ได้รับสิทธิต่าง ๆ เหมือนกับที่บรรดาผู้ที่เป็นภรรยาจะได้รับ ฉะนั้นสิ่งที่กล่าวถึงในโองการที่เกี่ยวกับเด็กกำพร้า การจำกัดให้แต่งงานกับผู้หญิงคนเดียว หรือหาความสำราญกับทาสหญิงนั้นมีความใกล้เคียงกว่าที่จะไม่ให้พวกเจ้าอธรรมและโน้มเอียง(ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง)
(4) และพวกเจ้าจงให้สินสอดแก่บรรดาผู้หญิง(ที่พวกเจ้าแต่งงาน) ซึ่งถือเป็นของขวัญที่บังคับ แต่ถ้าหากพวกนางเห็นชอบด้วยความเต็มใจที่จะมอบส่วนหนึ่งจากสินสอดดังกล่าวแก่พวกเจ้าแล้ว ก็จงบริโภคสิ่งนั้นด้วยความเอร็ดอร่อยและอย่าได้หนักใจในสิ่งนั้นเลย
(5) และพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้เป็นผู้ปกครองเอ๋ย) อย่าได้ให้ทรัพย์สมบัติแก่บรรดาผู้ที่ใช้จ่ายไม่เป็น ซึ่งทรัพย์สมบัตินี้อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้มันเป็นสาเหตุในการอำนวยความสะดวกและการใช้ชีวิตของปวงบ่าว โดยที่พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถที่จะดูแลและจัดเก็บรักษาทรัพย์สินได้ และพวกเจ้าจงให้ใช้จ่ายมันแก่พวกเขา จงให้เครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขา จงกล่าววาจาที่ดีแก่พวกเขา และจงให้สัญญาที่ดีแก่พวกเขาว่าพวกเจ้าจะให้ทรัพย์สินของพวกเขากลับคืนเมื่อพวกเขาฉลาดไหวพริบและใช้จ่ายเป็น
(6) และพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้เป็นผู้ปกครองเอ๋ย) จงทดสอบบรรดาเด็กกำพร้า เมื่อพวกเขาใกล้บรรลุศาสนภาวะ ด้วยการให้พวกเขาใช้จ่ายส่วนหนึ่งจากทรัพย์สมบัติของพวกเขา ถ้าหากพวกเขาใช้จ่ายเป็นและเป็นที่แน่ชัดแก่พวกเจ้าถึงความมีไหวพริบของพวกเขา พวกเจ้าก็จงมอบทรัพย์สมบัติของพวกเขาให้แก่พวกเขาทั้งหมดโดยไม่ขาดบกพร่อง และพวกเจ้าอย่าได้กินทรัพย์สมบัติของพวกเขาจนเลยขอบเขตที่อัลลอฮ์ได้ทรงอนุญาตให้แก่พวกเจ้าในยามที่จำเป็น และอย่าได้รีบเร่งในการกินทรัพย์สมบัตินั้น เพราะกลัวว่าพวกเขาจะเอามันไปเมื่อโตขึ้น และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเป็นผู้มั่งมี ก็จงงดเอาทรัพย์สมบัติเด็กกำพร้าเสีย และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเป็นผู้ยากจน ก็จงกินด้วยปริมาณที่เขาจำเป็น และเมื่อพวกเจ้าได้มอบทรัพย์สมบัติของพวกเขาให้แก่พวกเขาหลังจากบรรลุศาสนภาวะและเป็นที่แน่ชัดถึงความมีไหวพริบของพวกเขา พวกเจ้าก็จงให้มีพยานยืนยันในการมอบนั้น เพื่อเป็นการรักษาสิทธิต่าง ๆ และเพื่อป้องกันจากสาเหตุของความขัดแย้ง และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮ์ทรงเป็นพยานในเรื่องนั้น และทรงเป็นผู้สอบสวนปวงบ่าวที่มีต่อการงานทั้งหลายของพวกเขา
(7) สำหรับบรรดาผู้ชายนั้น มีส่วนได้รับจากสิ่งที่บิดามารดาและบรรดาญาติที่ใกล้ชิด เช่น พี่น้องและลุงได้ทิ้งไว้ภายหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิต จะได้น้อยหรือจะได้มากก็ตาม และสำหรับบรรดาผู้หญิงนั้น ก็มีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นได้ทิ้งไว้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะต่างกับยุคสมัยงมงาย(อัลญาฮิลียะฮ์)ที่ห้ามสิทธิของบรรดาผู้หญิงและเด็ก ๆ จากกองมรดก โดยส่วนแบ่ง(มรดก)นี้คือสิทธิที่ได้ถูกแจกแจงอัตราและได้ถูกกำหนดไว้แล้วจากอัลลอฮ์ ตะอาลา
(8) และเมื่อผู้ที่ไม่มีสิทธิได้รับมรดกที่มาจากบรรดาญาติที่ใกล้ชิด บรรดาเด็กกำพร้า และบรรดาผู้ขัดสนมาร่วมอยู่ด้วยในขณะที่มีการแบ่งมรดก นับเป็นการส่งเสริมอย่างยิ่งให้พวกเจ้ามอบบางส่วนจากทรัพย์สมบัตินั้นให้แก่พวกเขาก่อนที่จะทำการแบ่งด้วยจำนวนที่พวกเจ้าพอใจ เพราะพวกเขามีความปรารถนาต่อสิ่งนั้น และพวกเจ้าได้ทรัพย์สมบัตินั้นมาโดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ และพวกเจ้าจงกล่าวแก่พวกเขาด้วยถ้อยคำที่ดี ไม่ใช่ถ้อยคำที่หยาบคาย
(9) และบรรดาผู้ที่หากพวกเขาเสียชีวิตและได้ละทิ้งบรรดาลูกเล็กที่ยังอ่อนแอไว้เบื้องหลังของพวกเขา โดยกลัวว่าบรรดาลูก ๆ จะได้รับความยากลำบากนั้น พวกเขาจงกลัว(อัลลอฮ์)เถิด แล้วจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ในการดูแลบรรดาเด็กกำพร้าที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขา ด้วยการไม่อธรรมต่อบรรดาเด็กกำพร้า เพื่อที่อัลลอฮ์จะทรงให้มีผู้ดูแลกระทำดีต่อลูก ๆ ของพวกเขาหลังจากที่พวกเขาได้เสียชีวิต ดั่งที่พวกเขาได้เคยกระทำดี และจงกระทำดีต่อสิทธิของลูก ๆ ของผู้ที่พวกเขาอยู่ร่วมด้วยในตอนที่เขาให้คำสั่งเสีย ด้วยการกล่าวถ้อยคำที่ถูกต้องโดยไม่อธรรมต่อคำสั่งเสียของเขาที่ส่งผลต่อสิทธิของผู้รับมรดกของเขาหลังจากที่เขาได้เสียชีวิต และอย่าได้ปิดกั้นตัวเขาจากความดี ด้วยการละทิ้งคำสั่งเสีย
(10) แท้จริงบรรดาผู้ที่ฉวยเอาทรัพย์สมบัติของบรรดาเด็กกำพร้า และใช้จ่ายมันอย่างไม่เป็นธรรและก้าวร้าว แท้จริงพวกเขากำลังกินไฟที่กำลังลุกโชนเข้าไปในท้องของพวกเขา และในวันกิยามะฮ์ไฟนรกจะเผ่าไหม้พวกเขา
(11) อัลลอฮ์ได้ทรงสั่งใช้พวกเจ้าในเรื่องมรดกของลูก ๆ ของพวกเจ้า โดยมรดกนั้นจะถูกแบ่งให้แก่พวกเขา สำหรับลูกชายนั้นจะได้รับเท่ากับส่วนได้ของลูกสาวสองคน ถ้าหากผู้ตายมีลูกสาวมากกว่าสองคนโดยที่ไม่มีลูกชายเลย พวกนางก็จะได้สองในสามจากสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้ และถ้าหากมีลูกสาวคนเดียว นางก็จะได้ครึ่งหนึ่งจากสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้ และแต่ละคนจากบิดามารดาของผู้ตายจะได้หนึ่งในหกจากสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้ หากว่าเขานั้นมีลูกชายหรือลูกสาว แต่ถ้าหากผู้ตายไม่มีบุตรและไม่มีผู้รับมรดกคนอื่นนอกจากบิดามารดาของเขาเท่านั้น มารดาจะได้รับหนึ่งในสาม และส่วนที่เหลือจะตกเป็นของบิดาของเขา และถ้าหากผู้ตายมีพี่น้องมากกว่าสองคน จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงที่ร่วมบิดามารดาเดียวกันหรือไม่ร่วมกัน สำหรับมารดานั้นจะได้หนึ่งในหกดังที่ได้กำหนดไว้ และส่วนที่เหลือจะตกเป็นของบิดาในฐานะผู้ได้รับส่วนที่เหลือ โดยที่พี่น้องจะไม่ได้รับส่วนแบ่งใด ๆ เลย ซึ่งการแบ่งส่วนมรดกนี้ จะมีขึ้นภายหลังจากที่ได้จัดการกับพินัยกรรมที่ผู้ตายได้สั่งเสียมันไว้ โดยมีเงื่อนไขว่า พินัยกรรรมของเขานั้นจะต้องไม่เกินหนึ่งในสามของทรัพย์สมบัติของเขา และภายหลังจากที่ได้ชำระหนี้สินที่เขาติดคนอื่น และแน่นอนอัลลอฮ์ได้ทรงบัญญัติการแบ่งมรดกในรูปแบบดังกล่าว เพราะพวกเจ้าไม่รู้ว่าใครกันเล่า จะเป็นบรรดาบิดาหรือลูก ๆ ที่มีคุณประโยชน์ให้กับพวกเจ้าใกล้มากที่สุดทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ซึ่งบางทีผู้ตายอาจจะคิดดีกับทายาทคนหนึ่งของเขา แล้วเขาก็จะมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาให้กับทายาทนั้น หรืออาจจะคิดร้าย แล้วเขาก็จะห้ามไม่ให้อะไรแก่ทายาทคนนั้น และบางทีสภาพความเป็นจริงอาจจะต่างกับที่ได้คิดไว้ และผู้ที่รู้ยิ่งในเรื่องดังกล่าวคืออัลลอฮ์ที่ไม่มีสิ่งใดจะปกปิดพระองค์ได้ ด้วยเหตุนี้ พระองค์ได้แบ่งส่วนมรดกตามที่ได้แจกแจ้งไว้ และได้ทรงทำให้มันเป็นภาคบังคับเหนือบ่าวทั้งหลายของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ที่ไม่มีสิ่งใดจากสิ่งอำนวยประโยชน์ของบ่าวจะปกปิดจากการรอบรู้ของพระองค์ได้ และพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการกำหนดบทบัญญัติและบริหารจัดการ
(12) และสำหรับพวกเจ้า(โอ้บรรดาผู้เป็นสามีเอ๋ย)จะได้รับครึ่งหนึ่งของสิ่งที่บรรดาภรรยาของพวกเจ้าได้ทิ้งไว้ ถ้าหากว่าพวกนางนั้นไม่มีบุตร(ทั้งบุตรชายและบุตรสาว)ที่เกิดจากพวกเจ้าหรือคนอื่น แล้วถ้าหากพวกนางมีบุตร(จะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว) พวกเจ้าจะได้รับหนึ่งในสี่จากทรัพย์สมบัติของพวกนางที่ได้ทิ้งไว้ โดยมันจะถูกแบ่งแก่พวกเจ้าหลังจากที่ได้จัดการกับพินัยกรรมและชำระหนี้สินของพวกนางเสียก่อน และสำหรับบรรดาผู้เป็นภรรยาจะได้รับหนึ่งในสี่จากสิ่งที่พวกเจ้าได้ทิ้งไว้ (โอ้บรรดาผู้เป็นสามีเอ๋ย) ถ้าหากว่าพวกเจ้านั้นไม่มีบุตร(ทั้งบุตรชายและบุตรสาว)ที่เกิดจากพวกนางหรือคนอื่น แล้วถ้าหากพวกเจ้ามีบุตร(จะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว) พวกนางจะได้รับหนึ่งในแปดจากสิ่งที่พวกเจ้าได้ทิ้งไว้ โดยมันจะถูกแบ่งแก่พวกนางหลังจากที่ได้จัดการกับพินัยกรรมและชำระหนี้สินของพวกเจ้าเสียก่อน และถ้าหากมีผู้ชายหรือผู้หญิงคนหนึ่งเสียชีวิตโดยที่เขาและนางไม่มีบิดาและบุตร แต่ผู้เสียชีวิตจากทั้งสองนั้นมีพี่น้องชายหรือพี่น้องสาวหนึ่งคนร่วมมารดา ดังนั้นแต่ละคนจากพี่น้องชายหรือพี่น้องสาวร่วมมารดาของเขาจะได้รับหนึ่งส่วนหกดังที่ได้กำหนดไว้ แล้วถ้าหากเขามีพี่น้องชายหรือพี่น้องสาวร่วมมารดามากกว่าหนึ่งคน พวกเขาทุกคนจะได้รับหนึ่งในสามร่วมกันดังที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งจะได้รับอย่างเท่าเทียมกันระหว่างพวกเขาทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยพวกเขาจะได้รับส่วนแบ่งของพวกเขาเหล่านี้หลังจากที่ได้จัดการกับพินัยกรรมและชำระหนี้สินของผู้ตายเสียก่อน โดยมีเงื่อนไขว่าพินัยกรรมของเขานั้นจะต้องไม่ส่งผลเสียให้แก่ทายาท เช่น การการทำพินัยกรรมที่มากกว่าหนึ่งในสามของทรัพย์สินของเขา บทบัญญัติในโองการนี้เป็นพันธสัญญาจากอัลลอฮ์โดยมีผลบังคับใช้เหนือพวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อบ่าวของพระองค์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และเป็นผู้ทรงขันติไม่รีบเร่งลงโทษผู้ฝ่าฝืน
(13) ข้อกำหนดที่เกี่ยวกับบรรดาลูกกำพร้าและบุคคลอื่นดังกล่าวนั้นเป็นบทบัญญัติของอัลลอฮ์ที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติให้แก่บ่าวของพระองค์เพื่อพวกเขาจะได้ปฏิบัติตาม และผู้ใดเชื่อฟังอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ด้วยการน้อมรับคำสั่งใช้และออกห่างจากคำสั่งห้ามต่าง ๆ พระองค์ อัลลอฮ์จะทรงให้เขาเข้าสวนสวรรค์อันหลากหลายที่มีลำน้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างคฤหาสน์ของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลอย่างไม่พินาศ และผลตอบแทนของพระเจ้านั้นคือชัยชนะอันใหญ่หลวงซึ่งไม่มีชัยชนะใดจะเปรียบได้
(14) และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ด้วยการปฏิเสธบทบัญญัติของพระองค์และละทิ้งการปฏิบัติมัน หรือสงสัยเกี่ยวกับมัน และละเมิดขอบเขตที่พระองค์ได้บัญญัติไว้ พระองค์จะทรงให้เขาเข้านรกโดยที่เขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และในนรกนั้นเขาจะได้รับการลงโทษอันอัปยศ
(15) และบรรดาผู้ที่กระทำการผิดประเวณีในหมู่สตรีของพวกเจ้าที่แต่งงานแล้วและยังไม่แต่งงานอีกนั้น พวกเจ้าจงให้มีพยานผู้ชายมุสลิมที่เที่ยงธรรมสี่คนมายืนยันต่อพวกนาง ถ้าหากพวกเขายืนยันถึงการกระทำของพวกนางแล้ว พวกเจ้าจงกักขังพวกนางไว้ในบ้านเพื่อเป็นการลงโทษแก่พวกนาง จนกว่าความตายจะคร่าชีวิตพวกนางไป หรือจนกว่าอัลลอฮ์จะทรงให้มีทางออกอื่นที่มิใช่การกักขัง ซึ่งหลังจากนั้นอัลลอฮ์ได้ทรงชี้แจงทางออกให้แก่พวกเขา โดยได้ทรงบัญญัติการเฆี่ยนหนึ่งรอยทีพร้อมเนรเทศหนึ่งปี สำหรับผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน และขว้างด้วยหินจนเสียชีวิต สำหรับผู้หญิงที่ผ่านการแต่งงานแล้ว
(16) และคนสองคน(ชาย-หญิง)ที่กระทำการผิดประเวณี -ทั้งที่แต่งงานแล้วหรือยังไม่แต่งงานอีก- นั้น พวกเจ้าจงลงโทษทั้งสองด้วยคำพูดและการกระทำที่ทำให้เกิดการดูหมิ่นและการหยุดยั้ง แล้วหากทั้งสองสำนึกผิดจากสภาพที่ทั้งสองเป็นอยู่และการงานต่าง ๆ ของทั้งสองปรับตัวดีขึ้น พวกเจ้าจงละทิ้งการทำร้ายทั้งสอง เพราะผู้เตาบะฮ์(กลับเนื้อกลับตัว)จากการกระทำบาปเสมือนกับว่าเขานั้นไม่มีบาป แท้จริงอัลลอฮ์เป็นทรงผู้อภัยโทษยิ่งแก่ปวงบ่าวของพระองค์ที่เตาบะฮ์ และเป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขา ซึ่งการจำกัดการลงโทษด้วยรูปแบบดังกล่าวนี้มีอยู่ในช่วงแรกของอิสลาม แล้วหลังจากนั้นมันถูกยกเลิกด้วยการเฆี่ยนและเนรเทศผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน และขว้างหินผู้ที่ผ่านการแต่งงานแล้วจนเสียชีวิต
(17) แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงตอบรับการสำนึกผิดของบรรดาผู้ที่ล่วงเกินกระทำบาปและฝ่าฝืนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถึงบทลงโทษและความชั่วของมัน -และนี่ถือเป็นกรณีของผู้กระทำบาปที่เจตนาหรือไม่ได้เจตนา- แล้วหลังจากนั้นพวกเขากลับเนื้อกลับตัวต่อพระเจ้าของพวกเขาก่อนประสบกับความตาย พวกเขาเหล่านั้นอัลลอฮ์จะทรงตอบรับการสำนึกผิดของพวกเขา และพระองค์จะทรงยกโทษความชั่วทั้งหลายของพวกเขา และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงสถานะของสิ่งถูกสร้างทั้งหมด และพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการกำหนดและการบัญญัติมัน
(18) และอัลลอฮ์จะไม่ทรงตอบรับการสำนึกผิดของบรรดาผู้ที่ยึดติดอยู่กับการกระทำบาปตลอดโดยที่พวกเขาไม่สำนึกผิดจากการกระทำบาปดังกล่าวจนกระทั่งพวกเขาใกล้จะตาย แล้วเมื่อนั้นคนหนึ่งจากพวกเขาจะกล่าวว่า: แท้จริงบัดนี้ฉันได้สำนึกผิดแล้ว จากบาปที่ฉันได้ฝ่าฝืนกระทำมันไป และอัลลอฮ์จะไม่ทรงตอบรับ -เช่นกัน- การสำนึกผิดของบรรดาผู้ที่ตายในสภาพที่ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาเหล่านั้นที่ยึดติดอยู่กับการกระทำบาปตลอด และที่ตายในสภาพที่ปฏิเสธศรัทธา เราได้เตรียมการลงโทษอันเจ็บแสบให้แก่พวกเขาไว้แล้ว
(19) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ทั้งหลาย ไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเอาบรรดาภรรยาของบิดาของพวกเจ้าและเครือญาติใกล้ชิดของพวกเจ้ามาเป็นมรดกเหมือนทรัพย์สิน และจัดการกับพวกนางด้วยการแต่งงานกับพวกนาง หรือให้พวกนางแต่งงานกับคนใดคนหนึ่งที่พวกเจ้าปรารถนา หรือห้ามพวกนางไม่ให้แต่งงาน และไม่อนุญาตให้พวกเจ้าขัดขวางบรรดาภรรยาของพวกเจ้าที่พวกเจ้าไม่ชอบเพื่อเป็นการทำร้ายพวกนาง จนทำให้พวกนางต้องสละให้แก่พวกเจ้าด้วยบางส่วนจากสินสอดและอื่น ๆ ที่พวกเจ้าได้ให้พวกนางไป เว้นแต่พวกนางจะกระทำสิ่งลามกอันชัดแจ้ง เช่น การผิดประเวณี ดังนั้นเมื่อใดที่พวกนางได้กระทำดังกล่าว ก็อนุญาตให้พวกเจ้าขัดขวางและกดดันพวกนาง จนกว่าพวกนางจะคืนกลับในสิ่งที่พวกเจ้าได้เคยให้แก่พวกนาง และพวกเจ้าจงอยู่ร่วมกับบรรดาภรรยาของพวกเจ้าด้วยดี โดยงดการทำร้ายและมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำดี ถ้าหากพวกเจ้าเกลียดพวกนางในเรื่องที่เกี่ยวกับดุนยา ก็จงอดทนต่อพวกนางเถิด อาจเป็นไปได้ว่าอัลลอฮ์จะทรงให้มีความดีอันมากมายทั้งในโลกนี้และโลกหน้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่พอใจกัน
(20) และถ้าหากพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้เป็นสามีเอ๋ย) ต้องการจะหย่าภรรยา และแต่งงานกับภรรยาอื่นมาแทนนาง ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดแก่พวกเจ้าในเรื่องดังกล่าว และถ้าหากว่าพวกเจ้าได้ให้ทรัพย์สินอันมากมายที่เป็นสินสอดแก่นางที่พวกเจ้าตั้งใจจะหย่ากับนางแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ายึดเอาสิ่งใดจากทรัพย์สินนั้นกลับคืนมา แล้วถ้าหากพวกเจ้ายึดเอาสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนางกลับคืนมา จะถือว่าเป็นการทำร้ายและกระทำบาปอันชัดแจ้ง
(21) และพวกเจ้าจะยึดเอาสินสอดที่พวกเจ้าได้ให้พวกนางหลังจากที่ได้มีความสัมพันธ์ ความรัก การสมสู่ และรวมถึงความลับต่าง ๆ ระหว่างพวกเจ้าแล้วได้อย่างไร เพราะการโลภมากในทรัพย์สินที่เป็นของนางหลังจากที่ได้มีสิ่งดังกล่าวนี้นั้นถือเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายและน่ารังเกียจ และแท้จริงนางก็ได้เอาคำมั่นสัญญาอันหนักแน่นจากพวกเจ้าแล้ว นั้นก็คือ การทำให้พวกนางเป็นที่อนุญาตด้วยพระดำรัสของอัลลอฮ์และบทบัญญัติของพระองค์
(22) และพวกเจ้าจงอย่าแต่งงานกับบรรดาหญิงที่บิดาของพวกเจ้าได้แต่งงานมาก่อนแล้ว เพราะสิ่งดังกล่าวนั้นเป็นที่หะรอม นอกจากที่ได้เกิดขึ้นผ่านพ้นมาแล้วก่อนอิสลาม ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิด ทั้งนี้เพราะการที่บรรดาลูก ๆ ได้แต่งงานกับบรรดาภรรยาของบิดาของพวกเขานั้นถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกลียดยิ่ง เป็นสาเหตุให้อัลลอฮ์ทรงโกรธเกรี้ยวแก่ผู้กระทำดังกล่าว และเป็นวิธีทางที่ชั่วช้าสำหรับผู้ที่ยึดปฏิบัติกับมัน
(23) อัลลอฮ์ได้ทรงห้ามพวกเจ้ามิให้แต่งงานกับมารดาของพวกเจ้าและที่สูงขึ้นไป คือ ย่าและยายที่มาจากฝั่งบิดาหรือมารดา ลูกสาวของพวกเจ้าและที่ต่ำลงมา คือ ลูกสาวและหลานสาวของลูกสาวและลูกชายของพวกเจ้า พี่น้องสาวของพวกเจ้าที่ร่วมบิดามารดาเดียวกันหรือร่วมคนใดคนหนึ่ง พี่น้องสาวของบิดาของพวกเจ้า พี่น้องสาวของปู่และตาของพวกเจ้าและที่สูงขึ้นไป พี่น้องสาวของมารดาของพวกเจ้า พี่น้องสาวของยายและย่าของพวกเจ้าและที่สูงขึ้นไป ลูกสาวและหลานสาวของพี่น้องชายหญิงของพวกเจ้าและที่ต่ำลงมา แม่นมที่ให้นมแก่พวกเจ้า พี่น้องสาวที่ร่วมน้ำนมกับพวกเจ้า มารดาของภรรยาของพวกเจ้า ไม่ว่าพวกเจ้าได้สมสู่กับพวกนางแล้วหรือไม่ก็ตาม ลูกสาวของภรรยาของพวกเจ้าที่เกิดจากสามีอื่นที่เติบโตและได้รับการเลี้ยงดูในบ้านของพวกเจ้า และไม่ได้รับการเลี้ยงดูในบ้านของพวกเจ้า หากพวกเจ้าได้สมสู่กับมารดาของหล่อน แต่ถ้าหากพวกเจ้ายังมิได้สมสู่นาง ก็ไม่เป็นบาปใด ๆ สำหรับพวกเจ้าที่จะแต่งงานกับหล่อน และพระองค์ได้ทรงห้ามพวกเจ้ามิให้แต่งงานกับภรรยาของลูกชายของพวกเจ้าที่มาจากสายเลือดของพวกเจ้า ถึงแม้ว่าเขายังมิได้สมสมสู่กับนางก็ตาม ซึ่งบทบัญญัตินี้ยังได้รวมถึงภรรยาของลูกชายของพวกเจ้าที่ร่วมน้ำนม และพระองค์ยังได้ทรงห้ามพวกเจ้ามิให้แต่งงานกับหญิงสาวสองพี่น้องรวมกัน ทั้งที่มาจากสายเลือดหรือมาจากการดื่มน้ำนมร่วมกัน นอกจากสิ่งที่ได้เกิดขึ้นผ่านพ้นไปแล้วในยุคก่อนอิสลาม(อัลญาฮิลียะฮ์) ซึ่งอัลลอฮ์ได้ทรงอภัยให้กับสิ่งนั้นแล้ว แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยให้แก่ปวงบ่าวที่กลับเนื้อกลับตัวยังพระองค์ เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ และได้มีปรากฏในสุนนะฮ์เช่นเดียวกันว่าไม่อนุญาตให้แต่งงานรวมกับระหว่างหญิงสาวกับป้าและอา หรือป้าและน้าของนาง
(24) และเป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเจ้าที่จะแต่งงานด้วยคือบรรดาสตรีที่แต่งงานแล้ว,เว้นแต่บรรดาสตรีที่พวกท่านครอบครองที่เป็นเชลยศึกในสงครามในหนทางของอัลลอฮ์ ดังนั้นจึงเป็นที่อนุญาตสำหรับพวกเจ้าในการที่จะหลับนอนกับพวกนางหลังจากที่ครรภ์ของพวกนางนั้นสะอาดโดยการมีประจำเดือนหนึ่งครั้ง อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงกำหนดสิ่งนั้นให้แก่พวกเจ้า และพระองค์ได้ทรงอนุมัติให้แก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาสตรีที่นอกเหนือจากนั้น ในการที่พวกเจ้าจะแสวงหามาด้วยทรัพย์ของพวกเจ้า เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของพวกเจ้าและความบริสุทธิ์ของนางอย่างถูกต้อง โดยมิได้มีเจตนาที่จะเป็นผู้ล่วงประเวณี ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเจ้าได้เสพสุขกับพวกนางโดยการแต่งงานแล้ว ก็จงให้แก่พวกนางซึ่งสินสอดที่อัลลอฮ์ทรงทำให้มันเป็นฟัรฎูเหนือพวกท่าน และไม่เป็นความผิดแก่พวกเจ้าในการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการกำหนดจำนวนสินสอดที่เป็นวาญิบไว้แล้ว ที่จะมีการเพิ่มจำนวนสินสอดขึ้นหรือมีการผ่อนปรนในบางส่วน แท้จริงอัลลอฮ์คือผู้ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่พระองค์สร้าง ไม่มีสิ่งใดจากพวกเขาซ่อนเร้นเหนือพระองค์ไปได้,ทรงปรีชาญาณในการบริหารจัดการและบทบัญญัติของพระองค์
(25) และผู้ใดในหมู่พวกเจ้า -โอ้บรรดาสุภาพบุรุษเอ๋ย- ที่ไม่มีกำลังความสามารถเนื่องจากมีทรัพย์สินน้อยในการที่จะแต่งงานกับบรรดาหญิงอิสระ ก็เป็นที่อนุญาตสำหรับเขาที่จะแต่งงานกับบรรดาทาสหญิงที่ไม่ได้อยู่ในการครอบครองของพวกเจ้า หากปรากฏว่าพวกนางเป็นผู้ศรัทธาตามที่พวกเจ้าเห็น และพระองค์อัลลอฮ์ ทรงรอบรู้ยิ่งถึงการศรัทธาที่แท้จริงและสภาพการเบื้องลึกของพวกเจ้า พวกเจ้าและพวกนางนั้นเท่าเทียมกันในศาสนาและความเป็นมนุษย์ ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงอย่าหยิ่งที่จะแต่งงานกับพวกนาง พวกเข้าจงแต่งงานกับพวกนางด้วยการอนุมัติจากผู้เป็นนายของพวกนาง และจงให้แก่พวกนางซึ่งสินตอบแทนของพวกนางโดยไม่ขาดตกบกพร่องหรือผัดวันประกันพรุ่ง นี่ถ้าหากว่าพวกนางเป็นหญิงที่บริสุทธิ์ ไม่เป็นผู้ผิดประเวณีอย่างโจ่งแจ้ง และไม่ใช่หญิงที่ยึดเอาชายเป็นเพื่อนสนิทเพื่อผิดประเวณีกับพวกนางอย่างลับๆ ดังนั้นเมื่อพวกนางได้รับการแต่งงานแล้ว ต่อมาพวกนางได้กระทำความชั่วโดยการผิดประเวณี ดังนั้นโทษของพวกนางคือครึ่งหนึ่งของโทษที่บรรดาหญิงอิสระได้รับ คือการเฆี่ยน 50 ครั้ง และไม่ต้องขว้างพวกนาง โดยต่างจากบรรดาหญิงอิสระที่ได้รับการแต่งงานแล้ว หากพวกนางได้ผิดประเวณี การอนุญาติให้แต่งงานกับทาสหญิงผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์ที่ได้กล่าวมานั้นคือ ข้อผ่อนปรนสำหรับผู้ที่กลัวว่าตัวเองจะล่วงประเวณี และไม่สามารถแต่งงานกับบรรดาหญิงอิสระได้ แท้จริงการอดทนในการแต่งงานกับทาสหญิงนั้นเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพื่อให้ลูกๆห่างไกลจากความเป็นทาส,และอัลลอฮ์คือผู้ทรงอภัยยิ่งสำหรับผู้กลับเนื้อกลับตัวจากบรรดาบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขา และส่วนหนึ่งจากความเมตตาของพระองค์คือ การบัญญัติให้แก่พวกเขาซึ่งการแต่งงานกับทาสหญิงในสภาพที่ไม่มีความสามารถที่จะแต่งงานกับบรรดาหญิงอิสระ ขณะที่กลัวว่าจะเกิดการผิดประเวณี
(26) อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงปรารถนาด้วยกับการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆของพระองค์แก่พวกเจ้านั้น ก็เพื่อแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งจุดสำคัญของบทบัญญัติและศาสนาของพระองค์ และสิ่งที่มีคุณประโยชน์แก่พวกเจ้าทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์ และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะชี้นำพวกเจ้าไปสู่หนทางของบรรดานบีก่อนหน้าพวกเจ้าในเรื่องข้ออนุมัติและข้อห้าม และครรลองอันทรงเกียรติของพวกเขา และชีวประวัติที่น่าสรรเสริญของพวกเขา เพื่อพวกเจ้าจะได้เจริญรอยตามพวกเขา และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะนำพวกเจ้ากลับจากการไม่เชื่อฟังพระองค์ ไปสู่การเคารพภักดีต่อพระองค์ และอัลลอฮ์คือผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่มีคุณประโยชน์ต่อบรรดาบ่าวของพระองค์ พระองค์จึงบัญญัติมันให้แก่พวกเขา ผู้ทรงปรีชาญาณในการบัญญัติและการบริหารของพระองค์ในกิจการต่างๆของพระองค์
(27) และอัลลอฮ์ทรงประสงค์ที่จะยอมรับการสำนึกผิดของพวกเจ้า และผ่อนปรนในความผิดต่างๆของพวกเจ้า ในขณะที่ผู้ที่ปฏิบัติตามความปรารถนาต่ำของพวกเขาต้องการให้พวกเจ้าหันหลังให้ห่างไกลจากวิถีชีวิตที่ถูกต้อง
(28) อัลลอฮ์ ทรงปรารถนาที่จะผ่อนผันให้แก่พวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติขึ้น และพระองค์จะมิทรงทำให้เป็นที่ลำบากแก่พวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความสามารถ เพราะพระองค์คือผู้ทรงรอบรู้ถึงความอ่อนแอของมนุษย์ทั้งในเรื่องรูปลักษณ์และลักษณะนิสัยของเขา
(29) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย บางคนในหมู่พวกเจ้าจงอย่าเอาทรัพย์สินของอีกบางคนโดยมิชอบ เช่น การจี้ชิงทรัพย์ การลักขโมย การติดสินบนและอื่นๆ เป็นต้น นอกเสียจากว่าทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มาจากการค้าขาย โดยเกิดขึ้นจากความพึงพอใจของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย จึงเป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าที่จะใช้จ่ายและบริหารจัดการมัน และพวกเจ้าจงอย่าเข่นฆ่ากันระหว่างพวกเจ้า อย่าฆ่าตัวเอง และจงอย่าทิ้งตัวเองสู่ความพินาศ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ และส่วนหนึ่งจากความเมตตาของพระองค์ คือ พระองค์ทรงทำให้เลือดเนื้อของพวกเจ้า ทรัพย์สินของพวกเจ้าและเกียรติยศของพวกเจ้าเป็นเรื่องต้องห้าม(ที่จะละเมิดต่อกัน)
(30) และผู้ใดก็ตามที่กระทำในสิ่งที่เราได้ห้ามพวกเจ้าไว้นั้น เช่นการที่เขากินทรัพย์สินของผู้อื่นหรือละเมิดด้วยการฆ่าโดยเจตตนา ไม่ได้เป็นผู้โง่เขล่าหรือหลงลืม ดังนั้นอัลลอฮ์ก็จะให้เขาเข้าไปในไฟนรกอันยิ่งใหญ่ในวันกิยามะฮ์ ทุรนทุรายจากความร้อนของมัน และจะได้พบกับบทลงโทษ และเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับอัลลอฮ์ เพราะพระองค์คือผู้ทรงสามารถ ไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์อ่อนแอได้
(31) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย หากพวกเจ้าออกห่างจากการฝ่าฝืนที่เป็นบาปใหญ่ๆ เช่น การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์,เนรคุณต่อบิดามารดา,การฆ่าตัวตาย,และการกินดอกเบี้ย เราก็จะมองข้ามในสิ่งที่เป็นบาปเล็กๆให้แก่พวกเจ้าด้วยการปกปิดและลบล้างมัน และเราจะให้พวกเจ้าเข้าอยู่ในสถานที่อันมีเกียรติ ณ ที่อัลลอฮ์ นั่นก็คือสรวงสวรรค์นั่นเอง
(32) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าจงอย่าปรารถนาในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้แก่บางคนในหมู่พวกเจ้าเหนือกว่าอีกบางคน เพื่อมิให้นำไปสู่ความไม่พอใจและการอิจฉาริษยา ดังนั้นจึงไม่เป็นการสมควรสำหรับบรรดาสตรีที่จะหวังในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดสิ่งที่เป็นการเฉพาะสำหรับผู้ชาย เพราะแท้จริงแล้วสำหรับแต่ละฝ่ายนั้นจะมีความได้เปรียบในการทำงานที่เหมาะสมกับเขา และพวกเจ้าจงขอจากอัลลอฮ์เถิด เพื่อให้พระองค์ได้เพิ่มพูนปัจจัยต่างๆของพระองค์แก่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์จึงประทานให้แก่ทุก ๆ กลุ่มซึ่งการงานที่เหมาะสมกับเขา
(33) และสำหรับแต่ละคนในหมู่พวกเจ้านั้น เราได้ทำให้เขามีส่วนที่จะได้รับมรดกที่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง และญาติที่ใกล้ชิดได้ทิ้งไว้ และบรรดาผู้ที่พวกเจ้าได้ผูกสัญญาแห่งการเป็นพันธมิตรกันและการช่วยเหลือกัน ก็จงให้แก่พวกเขาที่เป็นส่วนของพวกเขาจากมรดก แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นพยานในทุกสิ่ง และส่วนหนึ่งจากเรื่องดังกล่าว คือ การเป็นพยานของพระองค์ต่อคำสาบานและคำสัญญาของพวกเจ้า และการรับมรดกโดยการทำสนธิสัญญานั้นมีในช่วงแรกของอิสลาม หลังจากนั้นก็ถูกยกเลิกไป
(34) ผู้ชายเป็นผู้ปกครองเลี้ยงดูผู้หญิงและจัดการดูแลเรื่องต่างๆของพวกนาง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮ์ได้ทรงเลือกสรรให้แก่พวกเขาเป็นการเฉพาะให้อยู่เหนือพวกนาง และด้วยสิ่งที่เป็นวาญิบเหนือพวกเขาในการให้ค่าเลี้ยงดูและการจัดการเรื่องต่างๆต่อพวกนาง และบรรดากุลสตรีที่จงรักภักดีต่อพระผู้อภิบาลของพวกนาง พวกนางคือผู้ที่เชื่อฟังต่อสามี ผู้ที่ดูแลสิทธิ์ต่างๆของสามีในยามที่สามีไม่อยู่ เนื่องด้วยการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกนาง และบรรดาสตรีที่พวกเจ้าหวั่นเกรงต่อการยกตนเหนือการเชื่อฟังต่อสามี จะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ตาม ดังนั้น-โอ้บรรดาสามีเอ๋ย- จงเริ่มด้วยการตักเตือนพวกนางและทำให้พวกนางเกรงกลัวต่ออัลลอฮ์,แต่ถ้าหากว่านางยังดื้อดึง ก็จงทอดทิ้งนางไว้แต่ลำพังในที่นอน โดยการผินหลังให้แก่นาง และไม่ร่วมหลับนอนกับนาง แต่ถ้าพวกนางยังดื้อดึงอีก ก็จงตีพวกนางเบาๆ ดังนั้นถ้าหากพวกนางกลับมาสู่การเชื่อฟัง พวกท่านทั้งหลายก็จงอย่าละเมิดต่อพวกนางอย่างอธรรมหรือต่อว่าพวกนาง แท้จริงอัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงสูงส่งเหนือทุกสิ่ง ผู้ทรงเกรียงไกรทั้งในด้านตัวตนและคุณลักษณะของพระองค์ ดังนั้นจงยำเกรงต่อพระองค์เถิด
(35) และถ้าหากพวกเจ้าหวั่นเกรง -โอ้บรรดาผู้ปกครองของคู่สามีภรรยาเอ๋ย- ว่าความขัดแย้งระหว่างทั้งสองนั้นจะนำไปสู่การเป็นศัตรูและการผินหลังให้แก่กัน ก็จงส่งผู้ชายที่มีความยุติธรรมจากครอบครัวฝ่ายสามี และผู้ชายที่มีความยุติธรรมจากครอบครัวฝ่ายภรรยา เพื่อทั้งสองนั้นจะได้มาตัดสินด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ดีกว่าการแตกแยก หรือด้วยการให้ทั้งสองคืนดีกัน และการคืนดีกันนั้นย่อมดีกว่าและจำเป็นกว่า ดังนั้นหากผู้ตัดสินทั้งสองคนปรารถนาที่ให้การช่วยเหลือและดำเนินไปด้วยวิธีที่ถูกต้องแล้ว อัลลอฮ์ก็จะทรงช่วยเหลือคู่สามีภรรยานั้น และขจัดความขัดแย้งระหว่างเขาทั้งสองออกไป แท้จริงสำหรับอัลลอฮ์นั้น ไม่มีปวงบ่าวคนใดซ่อนเร้นเหนือพระองค์ไปได้ และพระองค์ผู้ทรงรอบรู้ทุกรายละเอียดถึงสิ่งที่พวกเขาซ่อนไว้ในหัวใจของพวกเขา
(36) และพวกเจ้าจงเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวโดยการยอมจำนนต่อพระองค์เถิดและจงอย่าเคารพอิบาดะฮ์ผู้ใดพร้อมกับพระองค์ และจงทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง ด้วยการให้เกียรติและทำดีต่อท่านทั้งสอง และจงทำดีต่อผู้เป็นญาติใกล้ชิด ทำดีต่อเด็กกำพร้า และผู้ขัดสน และพวกเจ้าจงทำดีต่อเพื่อนบ้านที่เป็นญาติ และเพื่อนบ้านที่ไม่ได้เป็นญาติกัน และพวกเจ้าจงทำดีต่อเพื่อนสนิทที่เคียงข้างพวกเจ้า และจงทำดีต่อผู้เดินทางแปลกหน้า ที่เดินทางมาไกล และจงทำดีต่อผู้ที่เป็นทาสที่พวกเจ้าครอบครอง แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงชอบผู้ที่หลงตัวเอง ผู้หยิ่งยโสเหนือบรรดาบ่าวของพระองค์ ผู้ชื่นชมเยินยอตัวเองเหนือผู้คนอย่างโอ้อวด
(37) และอัลลอฮ์ ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ไม่กระทำสิ่งที่เป็นคำสั่งของพระองค์ ในการบริจาคทานจากสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้แก่พวกเขาจากริสกีของพระองค์ และพวกเขายังสั่งใช้ผู้อื่นให้ทำเรื่องดังกล่าวด้วยคำพูดและการกระทำของพวกเขา และปกปิดสิ่งที่อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานให้แก่พวกเขาที่เป็นความโปรดปรานต่างๆจากพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยยังชีพความรู้และอื่นๆ พวกเขาจึงไม่อธิบายสัจธรรมให้แก้ผู้คน แต่กลับปกปิดมันไว้ และเปิดเผยสิ่งที่ไม่ดีออกมา และคุณลักษณะเหล่านี้เป็นคุณลักษณะของการปฏิเสธศรัทธา และแน่นอนเราได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศ แก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
(38) และเช่นเดียวกัน เราได้เตรียมการลงโทษไว้สำหรับผู้ที่บริจาคทรัพย์ของพวกเขา ด้วยเจตนาให้ผู้คนได้รู้และชื่นชมพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และไม่ศรัทธาต่อวันกิยามะฮ์ เราได้เตรียมการลงโทษที่น่าอัปยศนั้นไว้สำหรับพวกเขา และไม่มีสิ่งใดทำให้พวกเขาหลงผิด เว้นแต่การที่พวกเขานั้นปฏิบัติตามชัยฏอน และผู้ใดที่มีชัยฏอนเป็นเพื่อนสนิทของเขาแล้วนั้น แน่นอนมันเป็นเพื่อนสนิทที่เลวทรามที่สุด
(39) และจะมีอะไรทำอันตรายพวกเขา หากพวกเขานั้นศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลกอย่างแท้จริง และพวกเขาได้บริจาคปัจจัยต่างๆ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้แก่พวกเขาในหนทางที่อัลลอฮ์ทรงรัก ทรงพอใจ และเช่นเดียวกันกับทุกความดีทั้งหมด และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้เกี่ยวกับพวกเขาดี ไม่มีสภาพการใด ๆ ซ่อนเร้นสำหรับพระองค์ และพระองค์จะทรงตอบแทนทุกคนตามการงานของเขา
(40) แท้จริงอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีความยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงอธรรมต่อบรรดาบ่าวของพระองค์เลยแม้แต่น้อยนิด ดังนั้นความดีต่างๆของพวกเขาจะไม่ขาดตกบกพร่องลงไป แม้มีขนาดเท่ามดตัวเล็กๆ และความชั่วต่างๆของพวกเขาก็จะไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด และถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีมีน้ำหนักเท่าผงธุลี พระองค์ก็จะทรงเพิ่มพูนผลบุญของมันนั้นเป็นทวีคูณ ด้วยความกรุณาของพระองค์ และพระองค์จะทรงประทานให้ซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวงจากพระองค์
(41) และเรื่องราวจะเป็นอย่างไรเล่าในวันปรโลก เมื่อเราได้นำนบีของทุกประชาชาติมาเป็นพยานต่อประชาชาตินั้นๆในสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติ และเราได้นำเจ้า-โอ้เราะสูลเอ๋ย-มาเป็นพยานต่อประชาชาติของเจ้า ?!
(42) ในวันอันยิ่งใหญ่นั้น บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และดื้อดึงต่อเราะสูลของพระองค์ต่างก็ปรารถนาว่า หากพวกเขากลายเป็นฝุ่นดิน โดยที่พวกเขาและแผ่นดินเป็นเนื้อเดียวกัน และพวกเขาก็ไม่สามารถปิดบังอัลลอฮ์ซึ่งสิ่งต่างๆที่พวกเขากระทำได้ เพราะเนื่องจากว่าอัลลอฮ์ได้ทรงปิดปากพวกเขาจนไม่สามารถพูดได้ และทรงอนุญาตให้อวัยวะส่วนอื่นๆของพวกเขาทำการพูดแทน มันจึงเป็นพยานต่อพวกเขาในการงานต่างๆของพวกเขา
(43) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย พวกเจ้าอย่าละหมาดในขณะที่พวกจ้ากำลังมึนเมาอยู่ จนกว่าพวกเจ้าจะส่างจากการเมานั้นและสามารถแยกแยะสิ่งที่พวกเจ้าพูดได้ -เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการห้ามดื่มสุรา- และพวกเจ้าอย่าได้ทำการละหมาดในขณะที่พวกเจ้ามีญะนาบะฮ์ และอย่าเข้ามัสยิดไปในสภาพนั้น เว้นแต่เป็นผู้ที่เดินผ่านไปโดยไม่หยุดนิ่งในมัสยิด จนกว่าพวกเจ้าจะอาบน้ำ และหากว่าพวกเจ้าป่วยไม่สามารถใช้น้ำได้ หรืออยู่ในการเดินทาง หรือคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้ามีหะดัษ หรือว่าพวกเจ้าได้ร่วมหลับนอนกับผู้หญิง แล้วพวกเจ้าไม่พบน้ำ ดังนั้นพวกเจ้าจงทำการตะยัมมุมด้วยดินที่สะอาด แล้วจงลูบใบหน้าของพวกเจ้าและมือของพวกเจ้าด้วยดินนั้น แท้จริงอัลลอฮ์คือผู้ทรงอภัยยิ่งต่อข้อบกพร่องของพวกเจ้า ผู้ทรงยกโทษให้พวกเจ้าเสมอ
(44) โอ้เราะสูลเอ๋ย เจ้ารู้เรื่องราวของชาวยิวหรือไม่ ที่อัลลอฮ์ทรงประทานความรู้ส่วนหนึ่งให้แก่พวกเขาโดยผ่านคัมภีร์เตารอต พวกเขาได้ทำการแลกเปลี่ยนการหลงผิดด้วยทางนำ และพวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้พวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย- ได้หลงจากทางที่เที่ยงตรงที่เราะสูลนำมา เพื่อพวกเจ้าจะได้เดินตามแนวทางของพวกเขาที่คดเคี้ยว?!
(45) และอัลลอฮ์ อัซซะวะญัล ทรงรู้ดียิ่งกว่าพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาศัตรูของพวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย- พระองค์จึงบอกแก่พวกเจ้าถึงเรื่องราวของพวกเขา และอธิบายให้แก่พวกเจ้าถึงการเป็นศัตรูของพวกเขา และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์ ทรงเป็นผู้คุ้มครองดูแลพวกเจ้าจากความเดือดร้อนต่างๆจากพวกเขา และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์ ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือ คอยปกป้องพวกเจ้าจากกลอุบายและอันตรายต่างๆของพวกเขาและทรงช่วยเหลือพวกเจ้าให้มีชัยเหนือพวกเขา
(46) ในหมู่ผู้เป็นยิวนั้น มีบางกลุ่มที่ไม่ดี พวกเขาบิดเบือนถ้อยคำที่อัลลอฮ์ ทรงประทานมันลงมา แล้วพวกเขาก็ตีความมันไม่ตรงกับที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมา แล้วพวกเขาก็กล่าวแก่เราะสูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เมื่อท่านได้สั่งใช้พวกเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ว่า “เราได้ยินคำพูดของท่านแล้ว และเราก็ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านแล้ว” แล้วพวกเขาก็กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “ท่านจงฟังสิ่งที่เราจะพูด โดยที่ท่านไม่ได้ยิน” และพวกเขาก็อ้างด้วยคำพูดของพวกเขาที่ว่า“รออินา”ซึ่งมีความหมายว่า “จงสดับฟังเรา” แท้จริงพวกเขาต้องการจะสื่อว่า “ท่านจงสดับฟังเรา” แต่ที่จริงแล้วพวกเขาต้องการด้วยความหมายว่า“เราะอูนะฮ์” ซึ่งแปลว่า “ชั่วร้าย” โดยที่พวกเขาได้บิดลิ้นของพวกเขา พวกเขาต้องการดุอาอ์ร้ายให้แก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และมีเจตตนาจาบจ้วงศาสนา แต่ถ้าหากพวกเขากล่าวว่า “เราได้ยินคำพูดของท่านแล้ว และเราก็ได้เชื่อฟังคำสั่งของท่านแล้ว” แทนคำพูดของพวกเขาที่ว่า “เราได้ยินคำพูดของท่านแล้ว และเราก็ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านแล้ว” และพวกเขากล่าวว่า “จงฟัง” แทนคำพูดของพวกเขาที่ว่า “ท่านจงฟัง โดยที่ท่านไม่ได้ยิน” และกล่าวว่า “ท่านจงรอพวกเราสักครู่ พวกเราจะทำความเข้าในสิ่งที่ท่านพูด”แทนคำพูดของพวกเขาที่ว่า “ท่านจงสดับรับฟังเรา” แน่นอนคำพูดต่างๆเหล่านี้ย่อมดีกว่าสำหรับพวกเขาจากสิ่งที่พวกเขาพูดในตอนแรก และมีความยุติธรรมมากกว่า เนื่องจากสิ่งที่มีอยู่ในนั้น จากการมีมารยาทที่ดีงาม เหมาะสมแก่การเป็นเพื่อนบ้านของ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แต่อัลลอฮฺได้ทรงสาปแช่งพวกเขา แล้วขับไล่พวกเขาออกจากความเมตตาของพระองค์ เนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาไม่ศรัทธาด้วยการศรัทธาที่ยังคุณประโยชน์แก่พวกเขา
(47) โอ้บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลายที่เป็นชาวยิวและคริสต์ จงศรัทธาต่อสิ่งที่เราได้ประทานลงมายังมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เถิด เพื่อยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับพวกเจ้า นั่นคือคัมภีร์เตารอตและอิลญีล ก่อนที่เราจะลบสิ่งที่อยู่บนใบหน้า จากสัมผัสต่างๆ แล้วทำให้มันไปอยู่ทางด้านหลังของพวกเขา หรือจะให้เราขับไล่พวกเขาให้ออกจากความเมตตาของอัลลอฮ์ เฉกเช่นที่เราได้ขับไล่ชนชาววันเสาร์ออกจากความเมตตาของพระองค์ ผู้ซึ่งทำการละเมิด โดยการออกหาปลาในวันดังกล่าว หลังที่พวกเขาได้ถูกห้ามแล้ว ดังนั้นอัลลอฮ์จึงสาปพวกเขาให้เป็นลิง และพระบัญชาและพระกำหนดของพระองค์นั้นย่อมเป็นจริงอย่างแน่นอน
(48) แท้จริงอัลลอฮ์ จะไม่ทรงอภัยโทษต่อการทำภาคีกับสิ่งใดๆที่เป็นสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ และพระองค์จะทรงผ่อนปรนจากสิ่งเป็นการฝ่าฝืนที่ไม่ใช่การตั้งภาคีและการปฏิเสธศรัทธาแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ หรือพระองค์จะทรงลงโทษต่อการฝ่าฝืนนั้นต่อผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากหมู่พวกเขาตามขนาดความผิดบาปของพวกเขาอย่างยุติธรรม และผู้ใดให้มีภาคีขึ้นแก่อัลลอฮ์แล้ว แน่นอนเขาก็ได้อุปโลกน์บาปกรรมอันใหญ่หลวงขึ้น จะไม่ได้รับการอภัยโทษสำหรับผู้ที่เสียชีวิตบนสภาพที่ได้ตั้งภาคี
(49) โอ้เราะสูลเอ๋ย เจ้ารู้เรื่องราวของบรรดาผู้ที่ชื่นชมเยินยอให้กับตัวเองและการงานต่างๆของพวกเขาให้ดูดีบริสุทธิ์หรือไม่ ? เปล่าเลย อัลลอฮ์ พระองค์เดียวต่างหาก ที่เป็นผู้ชื่นชมผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบรรดาบ่าวของพระองค์และทำให้พวกเขานั้นบริสุทธิ์ เนื่องจากพระองค์คือผู้ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ และผลบุญจากการงานต่างๆของพวกเขาจะไม่ลดลงไปแต่อย่างใด แม้เพียงขนาดเท่าเส้นที่อยู่ในร่องเมล็ดอินทผลัม
(50) จงดูเถิด-โอ้เราะสูลเอ๋ย-ว่า พวกเขาได้อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์อย่างไร ด้วยการที่พวกเขาสรรเสริญเยินยอต่อตัวของพวกเขาเอง และเพียงพอแล้วที่ความเท็จนั้นเป็นบาปอันชัดแจ้ง ที่อธิบายถึงการหลงผิดของพวกเขา
(51) โอ้เราะสูลเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่? และแปลกใจบ้างหรือเปล่า? เกี่ยวกับสภาพของชาวยิว ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงประทานความรู้ส่วนหนึ่งให้แก่พวกเขา พวกเขาศรัทธาต่อสิ่งที่พวกเขายึดเหนี่ยวมันจากบรรดาสิ่งบูชาทั้งหลาย ที่นอกเหนือจากอัลลอฮ์ แล้วพวกเขาก็กล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาอย่างประจบประแจงว่า “แท้จริงพวกเขาเป็นผู้อยู่ในทางที่เที่ยงตรงมากกกว่าบรรดาอัครสาวกของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม”
(52) ชนเหล่านี้ที่ยึดมั่นในความเชื่อที่ผิด พวกเขาคือผู้ที่อัลลอฮ์ ทรงขับไล่พวกเขาให้ออกจากความเมตตาของพระองค์ และผู้ใดก็ตามที่อัลลอฮ์ ทรงขับไล่เขา ดังนั้นเจ้าจะไม่พบผู้ใด เป็นผู้ช่วยเหลือเขาที่คอยปกป้องดูแลเขา
(53) ไม่มีส่วนแบ่งใดๆจากอำนาจสำหรับพวกเขา และถ้าหากว่าพวกเขามีอำนาจจริง แน่นอนพวกเขาจะไม่ให้อำนาจนั้นแก่ผู้ใดเลย แม้ว่าจะขนาดเพียงเท่าจุดที่อยู่บนร่องของเมล็ดอินทผาลัมก็ตาม
(54) เปล่าเลย! พวกเขานั้นอิจฉามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาสาวกของท่าน ในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่พวกเขา ซึ่งการเป็นนบี,ความศรัทธา,และการมีอำนาจบนหน้าแผ่นดิน,ดังนั้นพวกเขาจะอิจฉาท่านนบีและบรรดาสาวกของท่านทำไม เพราะแท้จริงเราได้ประทานลงมาให้แก่วงศ์วานของอิบรอฮีมมาแล้วซึ่งคัมภีร์,และเราไม่ได้วะฮีย์มันให้แก่พวกเขา นอกจากคัมภีร์เท่านั้น,และเราได้ให้แก่พวกเขาซึ่งอำนาจอันกว้างขวางเหนือผู้คน
(55) ชาวคัมภีร์บางคนศรัทธาต่อสิ่งที่อัลลอฮ์ ทรงประทานลงมาแก่อิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม และที่ประทานแก่บรรดานบี ในหมู่ลูกหลานของเขา และในหมู่พวกเขา มีผู้ปฏิเสธการศรัทธาต่อสิ่งนั้น และนี่เป็นจุดยืนของพวกเขาที่มีต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่นบีมุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และไฟนรกนั้น คือ บทลงโทษที่เพียงพอแล้วสำหรับผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาในหมู่พวกเขา
(56) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อสัญญาณและโองการของเรา ในวันกิยามะฮ์นั้นเราจะโยนลงไปในไฟนรกซึ่งจะปกคลุมพวกเขา เมื่อใดที่ไฟแห่งนรกแผดเผาผิวหนังของพวกมัน เราจะเปลี่ยนผิวหนังที่ไหม้เกรียมด้วยผิวหนังใหม่ เพื่อให้พวกเขารู้สึกถึงการทรมานต่อไป แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพสูงส่ง ไม่มีใครสามารถเอาชนะพระองค์ได้ และทรงเป็นผู้ทรงปรีชาญาณในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนด
(57) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และเจริญรอยตามบรรดาเราะสูลของพระองค์ และประกอบสิ่งดีงามทั้งหลายนั้น เราจะให้พวกเขาเข้าในบรรดาสรวงสวรรค์ในวันกิยามะฮ์ ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่ภายใต้คฤหาสน์แห่งสรวงสวรรค์เหล่านั้น โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล ซึ่งในนั้นพวกเขาจะได้รับคู่ครองที่บริสุทธิ์จากมลทินทั้งปวง และเราจะให้เขาเข้าอยู่ในเงาร่มอันแน่นหนา ในนั้นจะไม่ร้อนและไม่หนาว
(58) แท้จริงอัลลอฮ์ทรงใช้พวกเจ้าให้มอบคืนทุกสิ่งที่พวกเจ้าถูกมอบหมายให้ดูแลแก่เจ้าของของมัน และใช้พวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าตัดสินระหว่างผู้คน พวกเจ้าก็จะต้องตัดสินด้วยความยุติธรรมและอย่าลำเอียงและเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในการตัดสิน แท้จริงอัลลอฮ์ทรงตักเตือนแนะนำพวกเจ้าด้วยสิ่งซึ่งดีจริงๆ ในทุกๆ สภาพการณ์ของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยินคำพูดต่างๆของพวกเจ้าและเป็นผู้ทรงเห็นการกระทำต่างๆของพวกเจ้า
(59) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และปฏิบัติตามเราะสูลเอ๋ย พวกเจ้าทั้งหลายจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเชื่อฟังเราะสูลของพระองค์เถิด โดยการปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม และเชื่อฟังบรรดาผู้ปกครองของพวกเจ้าด้วย ตราบใดที่พวกเขาไม่สั่งใช้ให้กระทำในสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืน แต่ถ้าพวกเจ้าได้ขัดแย้งกันในสิ่งใด พวกเจ้าก็จงนำสิ่งนั้นกลับไปอ้างถึงคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และซุนนะฮ์นบีของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละคือการกลับไปยังอัลกุรอานและซุนนะฮ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่าการที่ความขัดแย้งนั้นยังคงดำเนินต่อไปและพูดโดยการใช้ความคิดตัวเอง และเป็นผลลัพธ์ที่สวยงามยิ่งสำหรับพวกท่าน
(60) โอ้เราะสูลเอ๋ย เจ้าไม่เห็นถึงการย้อนแย้งกันของบรรดาผู้ที่กลับกลอกที่มาจากชาวยิวหรอกหรือ? ผู้ที่อ้างตนอย่างเป็นเท็จว่าพวกเขานั้นศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าและสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่บรรดาเราะสูลก่อนหน้าเจ้า โดยที่พวกเขาเหล่านั้นต้องการที่จะให้มีการตัดสินในสิ่งที่เป็นความขัดแย้งกัน ด้วยกฎหมายที่ไม่ได้บัญญัติโดยอัลลอฮ์ แต่มาจากสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นโดยมนุษย์ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาถูกใช้ให้ปฏิเสธมัน และชัยฏอนนั้นต้องการที่จะให้พวกเขาหลงทางที่ห่างไกลจากสัจธรรมให้มากๆ จนพวกเขาไม่ได้รับทางนำเยี่ยงมัน
(61) และเมื่อถูกกล่าวแก่พวกมุนาฟิกเหล่านี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงตัดสินด้วยสิ่งที่ถูกลงมาที่มีในคัมภีร์ และด้วยการตัดสินขอเราะสูลเถิด เพื่อเขาจะได้ตัดสินระหว่างคู่กรณีในหมู่พวกเจ้า แน่นอนเจ้าก็ได้เห็นพวกเขาเหล่านั้น-โอ้เราะสูลเอ๋ย- ถึงการผินหลังให้แก่เจ้า แล้วหันไปสู่การตัดสินด้วยสิ่งอื่นจากเจ้าอย่างสมบูรณ์
(62) แล้วสภาพของคนหน้าซื่อใจคดจะเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาประสบภัยพิบัติต่าง ๆ เนื่องจากบาปของพวกเขาที่ได้กระทำขึ้น แล้วพวกเขามาหาเจ้า -โอ้ เราะสูลเอ๋ย- เพื่อขอโทษเจ้า ด้วยการสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า "เราไม่ได้มีเจตนาในการตัดสินด้วยสิ่งอื่นจากเจ้า นอกจากการทำดีและให้มีการปรองดองกันระหว่างคู่กรณีเท่านั้น?! ทั้งที่พวกเขากล่าวเท็จในเรื่องดังกล่าว เพราะความดีที่แท้จริงนั้นคือ การใช้การตัดสินตามบทบัญญัติที่อัลลอฮ์กำหนดแก่บรรดาบ่าวของพระองค์
(63) พวกเขาคือผู้ที่อัลลอฮ์ทรงรู้ถึงความกลับกลอกและแรงจูงใจที่ซ้อนเร้นที่อยู่ในใจของพวกเขา ดังนั้นจงทิ้งพวกเขาและผินหลังให้ห่างจากพวกเขา และจงชี้แจงบทบัญญัติของอัลลอฮ์ให้กระจ่างแก่พวกเขา ด้วยการสนับสนุนพวกเขาให้ภัคดีต่ออัลลอฮ์ และให้เกิดความเกรงกลัวต่อการเนรคุณต่อพระองค์ และจงกล่าวแก่พวกเขาด้วยคำพูดที่ดีที่ส่งผลต่อจิตใจของพวกเขาให้มากที่สุด
(64) และเราไม่ได้ส่งเราะสูลคนใดมา นอกจากเพื่อให้เขาได้รับการเชื่อฟังในสิ่งที่เขาได้สั่ง ด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮ์และพระกำหนดของพระองค์ และหากพวกเขาได้มาหาเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- หลังจากที่พวกเขาได้อธรรมต่อตัวเอง ด้วยการกระทำในสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืน ในขณะที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ด้วยสภาพเป็นผู้ที่ยอมรับต่อสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ เศร้าโศกเสียใจ กลับเนื้อกลับตัว(เตาบัต) และพวกเขาก็ได้ขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์ และเจ้าก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขา แน่นอน พวกเขาก็ย่อมพบว่าอัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา ผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ
(65) แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่บรรดามุนาฟิกเหล่านั้นได้กล่าวอ้างกันหรอก จากนั้นอัลลอฮ์ อัซซะวะญัล ได้ทรงสาบานต่อตัวของพระองค์เองว่า พวกเขาเหล่านั้นจะยังไม่เป็นผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง จนกว่าพวกเขาจะให้เราะสูลเป็นผู้ตัดสิน ในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ และใช้หลักแห่งการตัดสินของท่าน(ชะรีอะฮ์) หลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้ว ในทุกความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา จากนั้นพวกเขาพึงพอใจในคำตัดสินของเราะสูล และไม่มีความคับใจและข้อสงสัยใดๆ จากคำตัดสินนั้น และพวกเขาก็ยอมจำนนด้วยดีอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งต่อหน้าและลับหลังของพวกเขา
(66) และหากเราสั่งพวกเขาให้มีการฆ่ากันระหว่างพวกเขา หรือให้ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา พวกเขาจะไม่ทำตามคำสั่งของเรา นอกจากเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำเช่นนั้น ดังนั้นให้พวกเขาสรรเสริญอัลลอฮ์ - ตาอาลา- เพราะพระองค์จะไม่ทรงใช้พวกเขาในสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขา และหากพวกเขาได้กระทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับคำแนะนำที่เป็นการเชื่อฟังอัลลอฮ์ แน่นอนมันจะดีกว่าสำหรับพวกเขามากกว่าการฝ่าฝืน และทำให้การศรัทธาของพวกเจ้ามั่นคงยิ่งขี้น และเราจะให้รางวัลอันยิ่งใหญ่จากเราแก่พวกเขา และเราจะชี้นำพวกเขาไปสู่ทางอันเที่ยงตรงที่จะนำพวกเขาไปสู่อัลลอฮ์-ตะอาลาและสวรรค์ของพระองค์
(67) และหากเราสั่งพวกเขาให้มีการฆ่ากันระหว่างพวกเขา หรือให้ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา พวกเขาจะไม่ทำตามคำสั่งของเรา นอกจากเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำเช่นนั้น ดังนั้นให้พวกเขาสรรเสริญอัลลอฮ์ - ตาอาลา- เพราะพระองค์จะไม่ทรงใช้พวกเขาในสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขา และหากพวกเขาได้กระทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับคำแนะนำที่เป็นการเชื่อฟังอัลลอฮ์ แน่นอนมันจะดีกว่าสำหรับพวกเขามากกว่าการฝ่าฝืน และทำให้การศรัทธาของพวกเจ้ามั่นคงยิ่งขี้น และเราจะให้รางวัลอันยิ่งใหญ่จากเราแก่พวกเขา และเราจะชี้นำพวกเขาไปสู่ทางอันเที่ยงตรงที่จะนำพวกเขาไปสู่อัลลอฮ์-ตะอาลาและสวรรค์ของพระองค์
(68) และหากเราสั่งพวกเขาให้มีการฆ่ากันระหว่างพวกเขา หรือให้ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา พวกเขาจะไม่ทำตามคำสั่งของเรา นอกจากเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำเช่นนั้น ดังนั้นให้พวกเขาสรรเสริญอัลลอฮ์ - ตาอาลา- เพราะพระองค์จะไม่ทรงใช้พวกเขาในสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขา และหากพวกเขาได้กระทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับคำแนะนำที่เป็นการเชื่อฟังอัลลอฮ์ แน่นอนมันจะดีกว่าสำหรับพวกเขามากกว่าการฝ่าฝืน และทำให้การศรัทธาของพวกเจ้ามั่นคงยิ่งขี้น และเราจะให้รางวัลอันยิ่งใหญ่จากเราแก่พวกเขา และเราจะชี้นำพวกเขาไปสู่ทางอันเที่ยงตรงที่จะนำพวกเขาไปสู่อัลลอฮ์-ตะอาลาและสวรรค์ของพระองค์
(69) และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮ์ และเราะสูล เขาผู้นั้นจะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงโปรดปรานแก่พวกเขาด้วยการให้ได้เข้าสวรรค์ อันได้แก่บรรดานบี ผู้ยืนยันความจริงที่แน่วแน่(ซิดดิกีน) คือ บรรดาผู้ที่สมบูรณ์ในการยืนยันต่อสิ่งที่บรรดาเราะสูลนำมาและได้ปฏิบัติตามมัน บรรดาชุฮะดาอ์ คือ บรรดาผู้ที่พลีชีพในหนทางของอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่ยำเกรง คือ บรรดาผู้ที่ดีทั้งภายในและภายนอกของพวกเขา จึงทำให้การงานต่างๆของพวกเขาออกมาดี ไม่มีอีกแล้วเพื่อนที่ดีสุด มากไปกว่าเพื่อนที่อยู่ด้วยกันในสวรรค์
(70) รางวัลการตอบแทนดังกล่าวนั้นคือ ความโปรดปรานจากอัลลอฮ์ที่มีต่อปวงบ่าวของพระองค์และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงสภาพของพวกเขา และพระองค์จะทรงตอบแทนทุกคนด้วยการงานของเขา
(71) โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย พวกเจ้าทั้งหลายจงเฝ่าระวังศัตรูของพวกเจ้า โดยการยึดหลักเหตุและผลในการวางแผนสู้รบกับพวกเขา ดังนั้นพวกเจ้าจงออกไปหาพวกเขาเป็นกลุ่มๆ หรือออกไปหาพวกเขาพร้อมกันทั้งหมดเป็นกลุ่มเดียวกัน ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต่อพวกเจ้า และมีชัยชนะเหนือศัตรูของพวกเจ้า
(72) และแท้จริงในหมู่พวกเจ้านั้น -โอ้บรรดามุสลิมเอ๋ย- มีบางกลุ่ม ที่ทำให้เกิดการชักช้าในการที่จะออกไปสู้รบกับศัตรูของเนื่องจากความขี้ขลาดตาขาวของพวกเขา และพวกเขาก็ทำให้ผู้อื่นล่าช้าไปด้วย พวกเขาคือพวกมุนาฟิก(พวกหน้าไหว้หลังหลอก)และบรรดาผู้ที่มีความศรัทธาที่อ่อนแอ หากประสบแก่พวกเจ้าซึ่งความตายหรือความพ่ายแพ้ คนหนึ่งในหมู่พวกเขาก็กล่าวอย่างมีความสุขที่เขานั้นปลอดภัย ว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ทรงโปรดปรานแก่ฉัน ที่ฉันไม่ได้เข้าร่วมสู้รบกับพวกเขา ถ้าไม่เช่นนั้นฉันต้องประสบ อย่างที่พวกเขาได้ประสบแน่นอน”
(73) -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย- ถ้าหากพวกเจ้าได้ประสบกับความโปรดปรานจากอัลลอฮ์ โดยการได้รับชัยชนะหรือได้รับทรัพย์ที่ยึดได้จากสงคราม แน่นอนผู้ที่ทำชักช้าในการออกไปสู้รบก็จะกล่าวประหนึ่งเขานั้นไม่ใช่พวกพ้องของพวกเจ้า และไม่มีความรักใคร่และความเป็นเพื่อนใดๆเกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้ากับเขาว่า “ถ้าเพียงแต่ฉันอยู่กับพวกเขาในการต่อสู้ครั้งนั้น ฉันก็คงจะประสบความสำเร็จอย่างที่พวกเขาได้รับเช่นกัน"
(74) ดังนั้นจงสู้รบในทางของอัลลอฮ์เถิด เพื่อให้คำดำรัสของอัลลอฮ์นั้นสูงส่ง ผู้ศรัทธาที่แท้จริง คือผู้ที่ขายชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ด้วยการสละจากมัน เพื่อปรโลกเนื่องด้วยความปรารถนาต่อมัน และผู้ใดสู้รบในทางของอัลลอฮ์ เพื่อให้คำดำรัสของอัลลอฮ์สูงส่ง แล้วเขาก็ถูกฆ่าในสภาพที่เป็นชะฮีด(เสียชีวิตในสภาพที่ถูกฆ่าเพื่อเป็นพยานถึงความสูงส่งแห่งคำดำรัสของอัลลอฮ์)หรือปรากฎต่อหน้าศัตรูของพวกเขาและได้รับชัยชนะ ดังนั้นแล้วอัลลอฮ์จะทรงประทานผลบุญอันใหญ่หลวงให้แก่เขา นั่นก็คือสรวงสวรรค์และความพอพระทัยของอัลลอฮ์
(75) และมีสิ่งใดเหล่าที่ห้ามพวกเจ้า-โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย-จากการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ เพื่อให้คำดำรัสของพระองค์สูงส่งและเพื่อช่วยเหลือบรรดาผู้ที่อ่อนแอ ที่เป็นชายและหญิง และเด็กๆ ที่ต่างก็กล่าวขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดนำพวกเราออกจากเมืองมักกะฮ์ เนื่องจากการอธรรมของชาวเมือง โดยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์และข่มเหงปวงบ่าวของพระองค์ และโปรดให้มีขึ้นจากพระองค์ ซึ่งผู้ปกครองที่คอยดูแลและปกปักรักษาพวกเรา และโปรดให้มีผู้ช่วยเหลือคนหนึ่งแก่พวกเราที่คอยปกป้องเราให้ห่างไกลจากภัยอันตรายต่างๆ
(76) บรรดาผู้ที่ศรัทธาที่แท้จริงนั้น พวกเขาจะต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ เพื่อเชิดชูพระดำรัสของพระองค์ให้สูงส่ง และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น พวกเขาจะต่อสู้ในหนทางของบรรดาพระเจ้าของพวกเขา ดังนั้นพวกเจ้าจงต่อสู้กับบรรดาสมุนของชัยฏอนเถิด แท้จริงแล้วหากพวกเจ้าต่อสู้กับพวกเขา พวกเจ้าจะมีชัยเหนือพวกเขา เพราะแท้จริงแล้วการบริหารจัดการของชัยฏอนนั้นเป็นสิ่งที่อ่อนแอ ไม่สามารถทำอันตรายใดๆแก่บรรดาผู้ที่มอบหมายต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้
(77) โอ้เราะซูลเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ เกี่ยวกับเศาะฮาบะฮ์ของเจ้าบางคนได้ขอให้การญิฮาดถูกบัญญัติขึ้นเหนือพวกเขา? จนมีคนกล่าวแก่พวกเขาว่า “จงเก็บมือของพวกเจ้าจากการสู้รบไว้ก่อนเถิด จงละหมาด และจ่ายซะกาตเถิด - เรื่องดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการบัญญัติเรื่องญิฮาด - ครั้นเมื่อพวกเขาได้อพยพไปยังเมืองมะดีนะฮ์ และอิสลามได้มีความเข้มแข็งขึ้น และการสู้รบก็ได้ถูกบัญญัติขึ้น และกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับบางคน จนพวกเขานั้นกลัวต่อมนุษย์เสมือนกับกลัวต่ออัลลอฮ์ หรือกลัวยิ่งกว่า และพวกเขากล่าวว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ทำไมพระองค์จึงได้บัญญัติการต่อสู้ขึ้นแก่พวกเรา?" พระองค์จะทรงเลื่อนมันออกไปสักระยะเวลาหนึ่งอันใกล้ไม่ได้หรือ?! จนกว่าเราจะได้เสพสุขกับโลกนี้ จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด-โอ้เราะซูลเอ๋ย-ความสุขทางโลกนี้ แม้ว่าจะบรรลุสูงสุดเพียงใด มันก็เป็นสิ่งที่เล็กน้อยและเป็นสิ่งที่สลายไป และปรโลกนั้นดียิ่งกว่าสำหรับผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เนื่องจากความโปรดปรานที่มีอยู่ในนั้นเป็นสิ่งที่ถาวร และการงานที่ดีต่างๆของพวกเจ้าจะไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด แม้มีขนาดเท่าเส้นๆหนึ่งที่อยู่ในร่องเมล็ดอินทผลัม
(78) ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ความตายก็ย่อมมาประสบกับพวกเจ้า เมื่อกำหนดเวลาแห่งความตายของพวกเจ้ามาถึง ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะพำนักอยู่ในคฤหาสน์ส่วนตัวที่ห่างไกลจากสนามรบก็ตาม และหากบรรดาผู้กลับกลอกเหล่านั้นได้รับสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุข ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานหรือปัจจัยยังชีพที่มากมาย พวกเขาก็จะกล่าวว่า “สิ่งนี้มาจากอัลลอฮ์” และหากความทุกข์ยากใดๆประสบแก่พวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลูกหรือเรื่องปัจจัยยังชีพ พวกเขาก็จะให้ร้ายแก่ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วกล่าวว่า “ความทุกข์ยากนี้ มันเกิดขึ้นเพราะเจ้า” จงกล่าวตอบโต้พวกเขาเหล่านั้นไปเถิด-โอ้เราะซูลเอ๋ย- ว่า “ทั้งหมดนั้นที่เป็นความสุขสบาย และความทุกข์ยาก ล้วนแล้วเกิดขึ้นด้วยการกำหนดและการชี้ขาดจากอัลลอฮ์ทั้งสิ้น แล้วมีเหตุอันใดเล่าที่ทำให้พวกเขากล่าวออกมาซึ่งคำพูดดังกล่าวเหล่านี้ ที่ทำให้พวกเขาห่างไกลที่จะเข้าใจคำพูดของเจ้า?!
(79) สิ่งใดก็ตามที่ประสบแก่เจ้า -โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย- ที่เป็นสิ่งที่ทำให้เจ้ามีความสุข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัจจัยยังชีพหรือเรื่องลูก สิ่งนั้นมาจากอัลลอฮ์ ที่พระองค์ได้ทรงโปรดปรานแก่เจ้า และสิ่งใดก็ตามที่เจ้าได้ประสบที่เป็นความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัจจัยยังชีพของเจ้าหรือเรื่องลูกของเจ้า สิ่งนั้นมาจากตัวของเจ้าเอง อันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนที่เจ้าได้กระทำมัน และเราได้ตั้งเจ้า-โอ้ นบีเอ๋ย- เป็นเราะสูลที่ถูกส่งมาจากอัลลอฮ์แก่มวลมนุษย์ เพื่อเผยแพร่สาสน์ของพระเจ้าของเจ้า และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮ์เป็นพยานต่อความสัจจริงของเจ้า ในสิ่งที่เจ้าเผยแพร่มันจากพระองค์ ในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เจ้า ที่เป็นหลักฐานต่างๆ
(80) ผู้ใดที่เชื่อฟังเราะสูล โดยการปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านใช้และห่างไกลจากสิ่งที่ท่านห้าม แน่นอนเขาผู้นั้นได้ตอบรับพระบัญชาของอัลลอฮ์แล้ว และผู้ใดก็ตามที่ผินหลังออกจากการเชื่อฟังเจ้า-โอ้เราะซูลเอ๋ย-เจ้าอย่าได้เสียใจเลย เราไม่ได้ส่งเจ้าไปเพื่อเป็นผู้ติดตามเขา ที่เจ้าจะต้องคอยดูแลการงานต่างๆของเขา แต่เราต่างหากล่ะ ที่เป็นผู้ตรวจสอบการงานของเขา และคิดบัญชีเขา
(81) และบรรดามุนาฟิกีนได้กล่าวแก่เจ้าด้วยปากของพวกเขาเองว่า “เราเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า และเราก็ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น” แต่เมื่อพวกเขาออกจากเจ้าไปแล้ว กลุ่มหนึ่งจากหมู่พวกเขาก็ได้วางแผนกันอย่างลับๆ ซึ่งขัดกับสิ่งที่พวกเขาได้แสดงออกแก่เจ้า และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากำลังวางแผนกันอยู่ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาต่อกลอุบายของพวกเขาในครั้งนี้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้สนใจพวกเขา พวกเขาไม่สามารถทำอันตรายใดๆแก่เจ้าได้อย่างแน่นอน และจงมอบหมายภารกิจของเจ้าแด่อัลลอฮ์และยึดมั่นกับพระองค์ และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผู้พิทักษ์รักษา ที่เจ้ายึดมั่นต่อพระองค์
(82) ทำไมพวกเขาไม่พิจารณาดูอัลกุรอานและศึกษาทำความเข้าใจ ให้ละเอียดจนเป็นที่มั่นใจแก่พวกเขาว่ามันไม่มีความขัดแย้งและความสับสนใดๆในนั้น และจนกว่าพวกเขานั้นรับรู้ความจริงของสิ่งที่เจ้านำมา และหากว่า อัลกุรอานมาจากผู้อื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แล้วแน่นอนพวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความสับสนเกี่ยวกับบทบัญญัติต่างๆของมันและมีความขัดแย้งอย่างมากมายในเรื่องความหมายของมัน
(83) และเมื่อมีเรื่องหนึ่งเรื่องใดมายังพวกมุนาฟิกีน ที่เป็นเรื่องความสงบปลอดภัยและความสุขต่าง ๆ ของผู้ศรัทธา หรือจะเป็นความกลัวและความทุกข์ใจ พวกเขาก็จะแพร่มันออกไป และหากพวกเขาทำใจให้สงบแล้วนำเรื่องนั้นกลับไปยัง เราะสูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และผู้ที่มีประสปการณ์ นักวิชาการและนักวิชาการที่ปรึกษา แน่นอนนักวิชาการจะสามารถหาวิธีแก้ไขที่ควรทำในส่วนที่เกี่ยวกับปัญหานั้น ควรเผยแพร่หรือเก็บเป็นความลับ? และหากมิใช่เพราะความโปรดปรานของอัลลอฮ์และความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อพวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย- เจ้าคงจะปฏิบัติตามเสียงกระซิบของชัยฏอนอย่างแน่นอน เว้นแต่บางคนในหมู่พวกเจ้าเท่านั้น
(84) จงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์เถิด-โอ้เราะสูลเอ๋ย- เพื่อเชิดชูคำดำรัสของพระองค์ให้สูงส่ง และเจ้าจะไม่ถูกถามในเรื่องความรับผิดชอบของผู้อื่นและไม่จำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะเจ้ามิได้ถูกใช้(ให้เกณฑ์ผู้ใด)นอกจากการนำตัวเองเข้าสู่สนามรบ และจงปลุกใจบรรดาผู้ศรัทธาและส่งเสริมพวกเขาในการสู้รบด้วย เผื่อว่าอัลลอฮ์จะทรงยับยั้งความแข็งแกร่งของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นด้วยการสู้รบของพวกเจ้า และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงมีฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่ และการลงโทษของพระองค์นั้นรุนแรง
(85) ผู้ใดก็ตามที่ทำให้ผู้อื่นพบกับความดี ผลบุญส่วนหนึ่งก็จะเป็นของเขา และผู้ใดก็ตามที่ทำให้ผู้อื่นพบกับความชั่ว ความผิดส่วนหนึ่งก็จะเป็นของเขา และปรากฏว่าอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นพยานต่อทุกๆสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำไว้ และพระองค์จะทรงตอบแทนเขาในการกระทำนั้น ดังนั้นผู้ใดก็ตามจากหมู่พวกเจ้าที่เป็นต้นเหตุให้ได้รับความดี ดังนั้นสำหรับเขาผู้นั้นแล้ว ก็มีส่วนที่จะได้รับจากความดีนั้น และผู้ใดก็ตามที่เป็นต้นเหตุให้ได้รับความชั่ว ดังนั้นแล้ว ความชั่วบางส่วนก็จะประสบกับเขา
(86) และเมื่อมีผู้ใดกล่าวคำอวยพรแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จงตอบคำอวยพรกลับไปแก่เขา ด้วยคำอวยพรที่ดีกว่าคำที่เขากล่าวมาแก่พวกเจ้า หรือไม่ก็ตอบเขากลับไป เหมือนกับคำของเขาที่กล่าวมา และการตอบสลามในรูปแบบที่ดีกว่านั้น ถือว่าประเสริฐกว่า แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ดูแลรักษาสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ทุกอย่าง และพระองค์จะทรงตอบแทนทุกคนตามการงานของเขา
(87) อัลลอฮ์คือผู้ที่ไม่มีผู้ใดที่ได้รับการเคารพสักการะโดยเที่ยงแท้ นอกจากพระองค์เท่านั้น แน่นอนพระองค์จะทรงรวบรวมพวกเจ้าทั้งหมดตั้งแต่มนุษย์คนแรกจนคนสุดท้ายในวันกิยามะฮ์ ซึ่งไม่มีข้อสงสัยใดๆ ในวันนั้น เพื่อตอบแทนการงานต่างๆของพวกเจ้า และไม่มีผู้ใดที่จะพูดจริงยิ่งกว่าอัลลอฮ์
(88) มีอะไรเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ -โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย- ที่พวกเจ้าได้กลายเป็นสองพวกที่มีความขัดแย้งกัน เกี่ยวกับกรณีที่ต้องปฏิบัติต่อบรรดามุนาฟิกเหล่านั้น กลุ่มหนึ่งบอกให้ฆ่าพวกเขา อันเนื่องมาจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา อีกกลุ่มบอกว่าไม่ต้องฆ่าพวกเขา เนื่องจากการศรัทธาของพวกเขา แล้วสิ่งใดเล่าที่ทำให้พวกเจ้าแตกแยกกันในประเด็นที่เกียวกับบรรดามุนาฟิกีนเหล่านั้น และอัลลอฮ์ได้ทรงให้พวกเขากลับสู่การปฏิเสธศรัทธาและการหลงผิดแล้ว เนื่องจากการปฏิบัติต่างๆของพวกเขา พวกเจ้าต้องการที่จะแนะนำผู้ที่อัลลอฮ์มิทรงช่วยเหลือเขาให้ไปสู่สัจธรรมกระนั้นหรือ และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้หลงผิดไปแล้ว เจ้าก็จะไม่พบทางใดๆ ที่นำเขาไปสู่ทางนำเป็นอันขาด
(89) พวกบรรดามุนาฟิกนั้นปรารถนา หากว่าพวกเจ้าปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้า ดังที่พวกเขาได้ปฏิเสธ เพราะพวกเจ้าจะได้กลายเป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาเหมือนพวกเขา ดังนั้นจงอย่าได้เอาใครในหมู่พวกเขาเป็นมิตร เนี้องด้วยความเป็นศัตรูของพวกเขา จนกว่าพวกเขาจะอพยพไปในทางของอัลลอฮ์ ออกจากแผ่นดินที่มีการทำภาคี สู่แผ่นดินอิสลาม เพื่อเป็นการแสดงถึงความศรัทธาของพวกเขาอย่างแท้จริง แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้และยังคงอยู่ในสภาพเดิมของพวกเขา ดังนั้นพวกเจ้าก็จับตัวพวกเขาไว้ และจงฆ่าพวกเขาในทุกที่ที่พวกเจ้าพบ และจงอย่าเอาใครในหมู่พวกเขาเป็นผู้นำ ที่จะมาปกครองกิจการต่างๆของพวกเจ้า และอย่าเอามาเป็นผู้ช่วยเหลือพวกเจ้า ในการช่วยเหลือพวกเจ้าจากศัตรูของพวกเจ้า
(90) เว้นแต่บางคนในหมู่พวกเขาที่ทำการติดต่ออยู่กับพวกหนึ่ง ซึ่งระหว่างพวกเจ้ากับพวกนั้นมีพันธสัญญาสงบศึกกัน หรือบรรดาผู้ที่มาหาพวกเจ้าด้วยหัวใจที่อัดอั้น พวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับพวกเจ้าและไม่ต้องการต่อสู้กับพวกเขาด้วยเช่นกัน และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงให้พวกเขามีอำนาจเหนือพวกเจ้า แล้วพวกเขาก็ต่อสู้กับพวกเจ้า ดังนั้น จงยอมรับความปลอดภัยที่อัลลอฮ์ที่ได้ประทานแก่พวกเจ้าและอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาด้วยการฆ่าหรือจับคนใดคนหนึ่งในพวกเขาเป็นเชลย หากพวกเขาได้ปลีกตัวออกห่างจากพวกเจ้าแล้วโดยไม่ได้ต่อสู้กับพวกเจ้า และพวกเขามาหาพวกเจ้าเพื่อสร้างสันติภาพ แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ได้เปิดทางให้แก่พวกเจ้าในการฆ่าพวกเขาหรือจับคนใดคนหนึ่งในพวกเขาเป็นเชลย
(91) พวกเจ้ายังจะพบกับกลุ่มอื่นอีก -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย- ที่มาจากบรรดาพวกมุนาฟิก ซึ่งพวกเขาจะแสดงออกถึงการศรัทธาให้พวกเจ้าได้เห็นเพื่อความปลอดภัยของตัวพวกเขาเอง และจะแสดงการปฏิเสธศรัทธาแก่กลุ่มชนของพวกเขาที่ปฏิเสธศรัทธา เมื่อได้กลับไปยังพวกเขา เพื่อความปลอดภัยจากบรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านั้น ทุกครั้งที่พวกเขาได้ถูกเชื้อเชิญไปสู่การปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และการตั้งภาคีต่อพระองค์ พวกเขาก็จะกระทำเรื่องดังกล่าวด้วยการกระทำที่จริงจังมาก ดังนั้นถ้าพวกเขามิได้หยุดจากการต่อสู้กับพวกเจ้าและมิได้เจรจาสันติภาพกับพวกเจ้า และมิได้หยุดจากการทำร้ายพวกเจ้า ก็จงควบคุมตัวพวกเขาไว้ และจงฆ่าพวกเขา ทุกที่ที่พวกเจ้าพบพวกเขา และพวกเขาเหล่านี้ที่มีคุณลักษณะเหล่านี้ เราได้ทำให้พวกเจ้ามีอำนาจเหนือพวกเขาได้อย่างชัดแจ้งด้วยการควบคุมตัวและฆ่าพวกเขา เนื่องจากการบิดพริ้วและเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขา
(92) และไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับผู้ศรัทธาที่จะฆ่าผู้ศรัทธาคนหนึ่งคนใด นอกเสียจากว่าการฆ่าที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดเท่านั้น และผู้ใดที่ฆ่าผู้ศรัทธาโดยเกิดจากความผิดพลาดแล้ว ก็จำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องปล่อยทาสที่ศรัทธาคนหนึ่งให้เป็นไท ซึ่งเป็นการชดใช้ต่อสิ่งที่เขาได้กระทำไว้ และจำเป็นสำหรับเครือญาติใกล้ชิดของผู้ฆ่า ที่มีสิทธิรับมรดกจากเขาที่จะต้องให้มีค่าทำขวัญ ซึ่งถูกมอบให้แก่ครอบครัวของผู้ถูกฆ่า นอกจากว่าครอบครัวของผู้ถูกฆ่านั้นจะอภัยเรื่องค่าทำขวัญให้ ค่าทำขวัญนั้นจึงจะตกไป แต่ถ้าหากผู้ถูกฆ่าอยู่ในหมู่ชนที่เป็นศัตรูของพวกเจ้า โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ก็จำเป็นสำหรับผู้ฆ่าที่จะต้องไถ่ชีวิตทาสที่ศรัทธาคนหนึ่งให้เป็นไท และไม่ต้องเสียค่าทำขวัญแต่อย่างใด และถ้าผู้ถูกฆ่าไม่ใช่ผู้ศรัทธา แต่เขาอยู่ในหมู่ชนที่มีพันธะสัญญาระหว่างพวกเจ้ากับพวกเขา เช่น ผู้ที่ได้รับการคุ้มครอง ดังนั้นเครือญาติของผู้ฆ่า ที่มีสิทธิ์รับมรดกจากเขา จำเป็นจะต้องให้มีการจ่ายค่าทำขวัญ ซึ่งถูกมอบให้แก่ครอบครัวของผู้ถูกฆ่า และสำหรับผู้ฆ่านั้น จำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องไถ่ชีวิตทาสที่ศรัทธาคนหนึ่งให้เป็นไท ซึ่งเป็นการชดใช้ต่อสิ่งที่เขาได้กระทำไว้ ดังนั้นหากผู้ใดไม่มีทาสเพื่อการปลดปล่อยเขาให้เป็นไทหรือไม่สามารถจ่ายเป็นราคาได้แล้ว ก็ให้เขาถือศีลอดสองเดือนต่อเนื่องกันโดยไม่ขาดตอนไม่หยุดถือศีลอดในสองเดือนนั้นเพื่อให้อัลลอฮ์ ทรงอภัยโทษแก่เขา ต่อสิ่งที่เขาทำ และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงการงานต่างๆ ของบ่าวของพระองค์ และการนึกคิดต่างๆของพวกเขา ผู้ทรงปรีชาญาณในการบัญญัติศาสนาและบริหารจัดการของพระองค์
(93) และผู้ใดฆ่าผู้ศรัทธาอย่างจงใจ โดยไม่มีความชอบธรรม ดังนั้นผลตอบแทนสำหรับเขาคือ การเข้านรกญะฮันนัม โดยที่เขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล และอัลลอฮ์ก็ทรงกริ้วโกรธเขา และทรงขับไล่เขาให้ออกจากความเมตตาของพระองค์ และได้ทรงเตรียมไว้สำหรับเขาซึ่งการลงโทษอันใหญ่หลวง เนื่องจากที่พวกเขาได้กระทำการที่เป็นบาปใหญ่
(94) โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะซูลของพระองค์เอ๋ย เมื่อใดที่พวกเจ้าได้ออกเพื่อทำการญิฮาดในทางของอัลลอฮฺ ก็จงให้ประจักษ์ชัดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสียก่อนว่าพวกเจ้าจะสู้รบกับใคร และจงอย่ากล่าวแก่ผู้ที่แสดงออกให้พวกเจ้าเห็นถึงสิ่งที่บ่งชี้ความเป็นอิสลามของเขาว่า “ท่านมิใช่เป็นผู้ศรัทธา แต่ความหวาดกลัวต่อชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าต่างหากที่ทำให้เจ้าแสดงความเป็นอิสลามของเจ้าออกมา” พวกเจ้าจึงฆ่าเขา โดยแสวงหาจากการฆ่าเขานั้นซึ่งสิ่งอำนวยประโยชน์ในโลกที่มีค่าเพียงน้อยนิดนี้ เช่น ทรัพย์สงครามที่ยึดได้จากเขา แต่ ณ ที่อัลลอฮ์นั้นมีปัจจัยยังชีพอันมากมาย ซึ่งมันดีกว่าและยิ่งใหญ่กว่านั้น ในทำนองเดียวกันนั้นพวกเจ้าก็เคยเป็นผู้ที่ซ่อนการศรัทธาเช่นเดียวกับเขาผู้นี้ที่ปกปิดการศรัทธาของเขาต่อกลุ่มชนของเขา แล้วอัลลอฮ์ได้ทรงโปรดปรานอิสลามแก่พวกเจ้า พระองค์จึงปกป้องรักษาชีวิตของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงให้ประจักษ์เสียก่อน แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่มีสิ่งใดจากการงานต่างๆของพวกเจ้าจะปกปิดซ้อนเร้นจากพระองค์ไปได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ละเอียดก็ตาม และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าต่อการกระทำนั้น ๆ
(95) บรรดาผู้ศรัทธาที่นั่งไม่ออกไปต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ ที่มิใช่ผู้มีเหตุจำเป็น เช่น ผู้ป่วย,คนตาบอด,และบรรดาผู้ต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ ด้วยการทุ่มเททรัพย์สมบัติและชีวิตของพวกเขานั้น จะไม่เท่าเทียมกัน อัลลอฮ์ทรงโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่ต่อสู้ด้วยการทุ่มเททั้งทรัพย์สมบัติและชีวิตของพวกเขาให้เหนือกว่าบรรดาผู้ที่นั่งโดยไม่ออกไปต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ ขั้นหนึ่ง และสำหรับทุกคนในหมู่ผู้ที่ต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์และบรรดาผู้ที่ไม่ออกไปต่อสู่ในทางของพระองค์ เนื่องจากมีเหตุจำเป็น จะได้รับผลตอบแทนที่คู่ควรกับเขา และทรงให้บรรดาผู้ที่ต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์นั้น เหนือกว่าบรรดาผู้ที่ไม่ออกไปต่อสู้ในทางของพระองค์ ด้วยการประทานรางวัลอันใหญ่หลวง ณ ที่พระองค์ให้แก่พวกเขา
(96) ผลตอบแทนนี้คือระดับขั้นที่เหนือกว่าหลายขั้นที่มาพร้อมกับการอภัยโทษจากบาปต่างๆของพวกเขา และจะได้รับความเมตตาจากพระองค์ที่มีต่อพวกเขา และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษแก่ปวงบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตาต่อพวกเขาเสมอ
(97) แท้จริงบรรดาผู้ที่มะลาอิกะฮ์ได้เอาชีวิตของพวกเขาไป โดยที่พวกเขาเป็นผู้อธรรมแก่ตัวของพวกเขาเองด้วยการละทิ้งการอพยพจากเมืองที่มีการปฏิเสธศรัทธาไปสู่เมืองอิสลามนั้น มลาอิกะฮ์ได้ถามแก่พวกเขาขณะกำลังกระชากวิญญาณของพวกเขาอย่างเย้ยหยันว่า “พวกเจ้าเคยอยู่ในสภาพเช่นไร? และด้วยกับสิ่งใดบ้างที่ทำให้พวกเจ้าโดดเด่นจากพวกมุชริกีน? พวกเขาตอบอย่างรู้สึกผิดว่า “พวกเราเป็นผู้ที่อ่อนแอ ไม่มีพลังและอำนาจที่จะคอยปกป้องตัวของพวกเราเอง" มลาอิกะฮ์จึงถามแก่พวกเขาอย่างเย้ยหยันอีกว่า “แผ่นดินของอัลลอฮ์มิได้กว้างใหญ่พอที่จะทำให้พวกเจ้าอพยพออกไปกระนั้นหรือ? เพื่อความปลอดภัยต่อศาสนาและตัวของพวกเจ้าเองจากความตกต่ำและการถูกกดขี่ข่มเหง ดังนั้นบรรดาผู้ที่ไม่อพยพเหล่านี้แหละ ที่พำนักของพวกเขาที่พวกเขาจะตั้งหลักปักฐานอยู่นั้น คือนรกญะฮันนัม และเป็นจุดมุ่งหมายอันชั่วร้ายสำหรับพวกเขา
(98) และจะมีกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นจากการลงโทษนี้ อันได้แก่ ผู้อ่อนแอ ผู้มีอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หรือเป็นเด็ก ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจสำหรับพวกเขาที่จะใช้มันในการปกป้องพวกเขาจากการอธรรมและการถูกกดขี่ข่มเหง อีกทั้งยังไม่ได้รับการแนะนำให้ไปสู่หนทางหนึ่งหนทางใด เพื่อหลุดพ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหงที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ชนเหล่านี้แหละ อัลลอฮ์อาจจะทรงยกโทษให้แก่พวกเขาด้วยความเมตตาปรานีของพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงอภัยโทษแก่ปวงบ่าวของพระองค์ที่หันกลับมาหาพระองค์ด้วยการสำนึกผิด
(99) และจะมีกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นจากการลงโทษนี้ อันได้แก่ ผู้อ่อนแอ ผู้มีอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หรือเป็นเด็ก ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีอำนาจสำหรับพวกเขาที่จะใช้มันในการปกป้องพวกเขาจากการอธรรมและการถูกกดขี่ข่มเหง อีกทั้งยังไม่ได้รับการแนะนำให้ไปสู่หนทางหนึ่งหนทางใด เพื่อหลุดพ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหงที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ชนเหล่านี้แหละ อัลลอฮ์อาจจะทรงยกโทษให้แก่พวกเขาด้วยความเมตตาปรานีของพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงอภัยโทษแก่ปวงบ่าวของพระองค์ที่หันกลับมาหาพระองค์ด้วยการสำนึกผิด
(100) และผู้ใดก็ตามที่อพยพจากเมืองที่มีการปฏิเสธศรัทธาไปสู่เมืองอิสลามเพื่อแสวงหาความพึงพอพระทัยของอัลลอฮ์ เขาก็จะพบในผืนแผ่นดินที่เขาอพยพไป ซึ่งสถานที่อพยพและแผ่นดินที่ไม่ใช่แผ่นดินของเขาที่เขาทอดทิ้งมา เขาจะได้รับเกียรติและปัจจัยยังชีพที่กว้างขวาง และผู้ใดที่ออกจากบ้านของเขาไป ในฐานะผู้อพยพไปยังอัลลอฮ์ และเราะสูลของพระองค์ แล้วความตายก็ลงมาถึงเขา ก่อนที่เขาจะถึงจุดหมายปลายทางที่เขาจะอพยพไป ดังนั้นแน่นอนเหลือเกินว่ารางวัลของเขานั้นย่อมปรากฏอยู่แล้ว ณ อัลลอฮ์ และการที่เขาไปไม่ถึงปลายทางของเขานั้นจะไม่ส่งผลอันใดแก่เขาเลย และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษแก่ผู้ที่สำนึกตัวจากปวงบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ
(101) และเมื่อพวกเจ้าเดินทางไปบนผืนแผ่นดินก็ไม่มีความผิดใด ๆ แก่พวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะย่อละหมาดที่มี 4 รอกะอะฮ์ โดยจาก 4 รอกะอะฮ์ เป็น 2 รอกะอะฮ์ หากพวกเจ้ากลัวว่าจะมีภัยอันตรายจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามาประสบกับพวกเจ้า แท้จริงความเป็นศัตรูของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่มีต่อพวกเจ้านั้น คือ เป็นศัตรูอย่างเปิดเผยและชัดเจน และมีหลักฐานที่ถูกต้องที่ยืนยันว่า อนุญาตให้ละหมาดย่อได้ ในการเดินทางที่มีความปลอดภัยเช่นกัน
(102) และเมื่อเจ้า-โอ้เราะสูลเอ๋ย-อยู่ในหมู่ทหารขณะที่กำลังสู้รบกับศัตรู แล้วเจ้าก็ต้องการนำละหมาดให้แก่พวกเขา ดังนั้น เจ้าจงแบ่งทหารออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจากพวกเขาจงยืนละหมาดร่วมกับเจ้า และพวกเขาจงจับอาวุธของพวกเขาไว้กับตัวในขณะที่กำลังละหมาดด้วย แล้วกลุ่มที่สองก็จงรักษาความปลอดภัยให้แก่พวกเจ้า ครั้นเมื่อกลุ่มแรกทำการละหมาดได้หนึ่งรอกะอัตพร้อมกับอิหม่ามแล้ว ก็ให้พวกเขาทำการละหมาดด้วยตัวเองให้เสร็จสมบูรณ์ ครั้นเมื่อพวกเขาละหมาดเสร็จแล้ว จงให้พวกเขาอยู่เบื้องหลังของพวกเจ้าโดยหันหน้าไปทางศัตรู และกลุ่มที่กำลังทำการรักษาความปลอดภัยที่ยังไม่ได้ละหมาด ก็จงมาละหมาดหนึ่งรอกะอัตพร้อมกับอิมาม ครั้นเมื่ออิมามได้ให้สลามแล้ว พวกเขาก็จงทำสิ่งที่เหลือจากการละหมาดของพวกเขาให้เสร็จสมบูรณ์ และพวกเขาจงอยู่ในความระมัดระวังจากศัตรูและจงจับอาวุธไว้ เพราะแท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น หวังให้พวกเจ้าละเลยอาวุธและสัมภาระของพวกเจ้า และเมื่อพวกเจ้ากำลังละหมาดกันอยู่นั้น พวกเขาก็จะจู่โจมพวกเจ้าอย่างรวดเดียวและบุกควบคุมตัวพวกเจ้าในขณะที่พวกเจ้ากำลังเผลอ และไม่มีบาปใดๆแก่พวกเจ้า หากมีความเดือดร้อนใดๆมาประสบกับพวกเจ้าเนื่องจากฝนตกหรือพวกเจ้าป่วยและอื่นๆ ในการที่พวกเจ้านั้นจะวางอาวุธของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าได้ถือมันเอาไว้ และพวกเจ้าจงระมัดระวังศัตรูของพวกเจ้าอย่างสุดความสามารถ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเตรียมไว้แล้วสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่พวกเขา
(103) ครั้นเมื่อพวกเจ้า-โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย-ได้เสร็จสิ้นจากการละหมาดแล้ว พวกเจ้าจงรำลึกถึงอัลลอฮ์ด้วยการกล่าว “ตัสเบียะฮ์” “ตะฮ์มีด”,และ “ตะฮ์ลีล” ในทุกสภาพของพวกเจ้า ไม่ว่าจะยืน นั่ง หรือกำลังนอนเอกเขนกอยู่ และเมื่อใดที่ความกลัวได้หายไปจากพวกเจ้าและพวกเจ้าก็ปลอดภัยดีแล้ว พวกเจ้าก็จงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดให้ครบสมบูรณ์ ทั้งสิ่งที่เป็นรุกนต่างๆการละหมาด วาญิบต่างๆของการละหมาดและสุนัตต่างๆของการละหมาด ต้องให้ตรงตามที่พวกเจ้าได้ถูกสั่งใช้เอาไว้ แท้จริงการละหมาดนั้นเป็นฟัรฎูที่ถูกกำหนดเวลาไว้เหนือผู้ศรัทธาทั้งหลายไม่อนุญาติทำให้มันล่าช้าออกไปจากเวลาของมันได้ ยกเว้นมีอุปสรรค นี่คือกรณีที่พำนักอยู่กับบ้าน ส่วนกรณีของการเดินทางนั้น ก็ให้พวกเจ้าสามารถละหมาดรวมและละหมาดย่อได้
(104) และพวกเจ้าจงอย่าอ่อนแอ-โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย-และจงอย่าเกียจคร้านในการค้นหาศัตรูผู้ปฏิเสธของพวกเจ้า หากพวกเจ้าเจ็บปวดเนื่องจากการถูกฆ่าและได้รับบาดเจ็บที่ประสบกับพวกเจ้า พวกเขาก็เจ็บปวดเช่นเดียวกับพวกเจ้า ,พวกเขาได้ประสบเหมือนกับที่พวกเจ้าประสบ แต่ความอดทนของพวกเขานั้นจะไม่มีวันยิ่งใหญ่ไปกว่าความอดทนของพวกเจ้า ,เพราะแท้จริงพวกเจ้าหวังจากอัลลอฮ์ซึ่งผลบุญและความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขาไม่หวังมัน และอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรอบรู้สภาพต่างๆของปวงบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในการบริหารจัดการและกำหนดบทบัญญัติของพระองค์
(105) -โอ้เราะซูลเอ๋ย-แท้จริงเราได้ประทานอัลกุรอานลงมาให้แก่เจ้าซึ่งประกอบไปด้วยความจริง เพื่อเจ้าจะได้แจกแจงระหว่างผู้คนในกิจการต่างๆของพวกเขา ด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงสอนให้เจ้ารู้และดลใจแก่เจ้า มิใช่ด้วยอารมณ์และความคิดของเจ้า และเจ้าจงอย่าเป็นผู้ปกป้องให้แก่บรรดาผู้บิดพริ้วต่อตัวของพวกเขาเองและต่อความรับผิดชอบของพวกเขา ที่เจ้าจะไปโต้ตอบผู้ที่เรียกร้องความจริงจากพวกเขา
(106) และจงขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ แก่ปวงบ่าวของพระองค์ที่หันกลับมาหาพระองค์ด้วยการสำนึกผิด ผู้ทรงเมตตายิ่งต่อพวกเขาเสมอ
(107) และเจ้าจงอย่าโต้เถียง เพื่อปกป้องผู้ที่บิดพริ้ว และจริงจังกับการปกปิดการบิดพริ้วของเขา แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงรักจอมหลอกลวงโกหกและกระทำบาปทั้งหลาย
(108) พวกเขาจะปกปิดให้พ้นจากมนุษย์เมื่อพวกเขาทำบาปเนื่องจากเกรงกลัวและอับอายได้ แต่พวกเขาจะปกปิดให้พ้นจากอัลลอฮ์นั้นไม่ได้ โดยที่พระองค์อยู่ร่วมกับพวกเขาด้วยความครอบคลุมของพระองค์ต่อพวกเขาไว้ทุกทิศทาง ไม่มีสิ่งใดจากพวกเขาปกปิดพระองค์ได้ ขณะที่พวกเขากำลังวางแผนกันอย่างลับๆ ซึ่งคำพูดที่พระองค์ไม่ทรงพอพระทัย เช่น ปกป้องผู้กระทำผิดและกล่าวหาผู้บริสุทธิ์ และอัลลอฮ์ทรงครอบคลุมทุกสิ่งที่พวกเขากระทำกันทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ไม่มีสิ่งใดที่สามารถแอบซ่อนจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาต่อการงานต่างๆของพวกเขา
(109) พึงรู้เถิดว่า พวกเจ้านี้แหละ-โอ้ผู้ที่เรื่องราวของบรรดาผู้ที่กระทำความผิดมีความสำคัญต่อเขา- ที่พวกเจ้าได้เถียงแทนพวกเขากันในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของพวกเขา และปกป้องพวกเขาจากการลงโทษ แล้วผู้ใดเล่าที่จะเถียงกับอัลลอฮ์แทนพวกเขาในวันกิยามะฮ์ ทั้งๆที่รู้ถึงสภาพที่แท้จริงของพวกเขา?! และใครเล่าจะเป็นผู้รับมอบหมายให้คุ้มครองรักษาพวกเขาในวันนั้น? และแน่นอนว่าจะไม่มีบุคคลใดทำเช่นนั้นได้
(110) และผู้ใดที่กระทำความชั่วหรืออธรรมต่อตัวเองโดยการทำสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืน แล้วเขาขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์ ยอมรับในความผิดของตัวเองและเสียใจต่อการกระทำนั้นได้ออกห่างจากมัน เขาก็จะพบว่าอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงอภัยโทษในความผิดของเขา และเป็นผู้ทรงเมตตาต่อเขาเสมอ
(111) และผู้ใดที่ได้ทำบาปกรรมอะไรไว้ ไม่ว่าจะเป็นบาปเล็กหรือบาปใหญ่ แท้จริงแล้วบทลงโทษของเขาก็ย่อมตกเป็นของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น มันจะไม่ล่วงล้ำไปยังผู้อื่น และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงการงานต่างๆของปวงบ่าว ผู้ทรงปรีชาญาณในการบริหารจัดการและการกำหนดบทบัญญัติศาสนาของพระองค์
(112) และผู้ใดที่กระทำความผิดโดยมิได้เจตตนาหรือทำบาปกรรมอะไรไว้โดยเจตตนา จากนั้นก็กล่าวหาผู้ที่บริสุทธิ์ว่าเป็นผู้กระทำ แน่นอนเขาได้แบกรับภาระที่เกิดจากการกระทำของเขา ซึ่งเป็นความเท็จที่ร้ายแรงและบาปกรรมอันชัดเจนเอาไว้
(113) และหากไม่ใช่เพราะความกรุณาของอัลลอฮ์ที่มีต่อเจ้า-โอ้เราะสูลเอ๋ย-ที่ให้การคุ้มครองแก่เจ้าแล้ว แน่นอนกลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้ที่หลอกลวงต่อตัวของพวกเขาเอง ก็ได้มุ่งหวังที่จะให้เจ้าหลงผิดไปจากสัจธรรม จนเจ้าตัดสินอย่างไม่มีความยุติธรรม แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาจะไม่ทำให้ใครหลงผิดไปได้ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น เพราะเนื่องจากว่าบทลงโทษของสิ่งที่พวกเขาได้ก่อขึ้นจากความพยายามในการทำให้ผู้อื่นหลงผิดนั้น ก็จะย้อนกลับมายังตัวพวกเขาเอง และอัลลอฮ์ได้ทรงประทานคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์ลงมาแก่เจ้า และได้ทรงสอนให้เจ้ารู้ทางนำและแสงสว่างที่เจ้าไม่เคยรู้มาก่อนหน้านี้ และความกรุณาของอัลลอฮ์ด้วยการแต่งตั้งให้เป็นนบีและให้การคุ้มครองที่มีแก่เจ้านั้น มันใหญ่หลวงยิ่งนัก
(114) ไม่มีความดีใดๆเลย ในการพูดส่วนมากที่ผู้คนได้กระซิบกระซาบกัน และไม่มีประโยชน์อันใดเลยจากคำพูดเหล่านั้น นอกจากว่า ถ้าหากคำพูดของพวกเขานั้นเป็นการใช้ให้ทำทาน หรือให้ทำสิ่งที่ดีงามที่ศาสนานำมาและสอดคล้องกับสติปัญญา หรือการเชิญชวนสู่การประนีประนอมระหว่างคู่กรณี และผู้ใดกระทำการดังกล่าวเพื่อแสวงหาความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮ์ เราจะให้แก่เขาซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง
(115) และผู้ใดที่ต่อต้านเราะสูลและขัดแย้งกับท่านในสิ่งที่ท่านนำมา หลังจากที่สัจธรรมได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และปฏิบัติตามทางที่มิใช่ทางของบรรดาผู้ศรัทธา เราก็จะปล่อยเขาไป และสิ่งที่เขาได้เลือกสำหรับตัวเขา และเราจะไม่ช่วยเหลือเขาให้พบกับสัจธรรม เนื่องจากการที่เขาปฏิเสธโดยเจตตนา และให้เขาเข้านรกญะฮันนัม ซึ่งเขาจะทรมานเนื่องจากความร้อนของมัน และมันเป็นจุดหมายปลายทางที่ชั่วร้ายสำหรับชาวนรก
(116) แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่การกระทำที่เป็นภาคีกับพระองค์ แต่พระองค์จะทรงให้ผู้ที่ตั้งภาคีนั้นถูกจองจำในนรกตลอดกาลอีกด้วย แต่พระองค์จะทรงอภัยโทษให้แก่การฝ่าฝืนต่างๆที่นอกเหนือจากการตั้งภาคีสำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ด้วยความเมตตาและความโปรดปราณของพระองค์ และผู้ใดก็ตามที่ให้ผู้อื่นเป็นภาคีต่ออัลลอฮ์แล้ว แน่นอนเขาได้หลงทางออกจากสัจธรรมแล้วและห่างไกลจากมันอย่างมาก เพราะเขาได้ทำให้ผู้สร้างและผู้ถูกสร้างเทียบเท่ากัน
(117) พวกมุชริกีนเหล่านั้นมิได้เคารพสักการะและวิงวอนขอพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ นอกจากเจว็ดที่ถูกขนานนามด้วยชื่อของผู้หญิง เช่น อัลลาต และ อุซซา มันไม่มีคุณประโยช์และไม่ให้โทษใดๆ และในความเป็นจริงแล้วพวกเขามิได้สักการะสิ่งใดเลย นอกจากชัยฏอนที่หันออกจากการเชื่อฟังอัลลอฮ์ ซึ่งมันไม่มีความดีงามอันใดเลย เพราะมันคือผู้ที่ใช้ให้พวกเขาสักการะเจว็ด
(118) ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์จึงขับไล่เขาให้ออกจากความเมตตาของพระองค์ และชัยฏอนตนนั้นก็ได้กล่าวคำสาบานกับพระผู้อภิบาลของมันว่า “ข้าพระองค์จะทำให้ปวงบ่าวของพระองค์จำพวกหนึ่งเป็นของข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาหลงออกจากสัจธรรมให้ได้”
(119) และแท้จริงข้าจะขัดขวางพวกเขาจากทางอันเที่ยงตรงของพระองค์ และข้าจะปรุกเร้าพวกเขาด้วยความหวังที่เป็นเท็จเพื่อทำให้ความหลงผิดของพวกเขาเป็นสิ่งสวยงาม ฉันจะสั่งให้พวกเขากรีดหูสัตว์เพื่อทำให้สัตว์ที่อัลลอฮ์ได้อนุมัติฮะลาลกลายเป็นสัตว์ต้องห้ามไป และฉันจะสั่งพวกเขาให้ทำการเปลี่ยนการสร้างของอัลลอฮ์และความบริสุทธิ์ของมัน” และผู้ใดก็ตามที่เอาชัยตอนเป็นผู้นำด้วยการภัคดีและเชื่อฟังเขา ดังนั้นเขาได้ประสบกับการขาดทุนอย่างแท้จริงเพราะความจงรักภักดีของเขาที่มีต่อชัยตอนที่ถูกสาปแช่ง
(120) ชัยฏอนจะสัญญากับพวกเขาด้วยสัญญาเท็จ และจะปรุกเร้าพวกเขาอยู่ในความเพ้อฝันลมๆแล้งๆ และในความเป็นจริงแล้วชัยฏอนมันไม่ได้สัญญาอะไรกับพวกเขา นอกจากสัญญาที่ลมๆแล้งๆที่ไม่มีความจริงเลย
(121) บรรดาผู้ที่เดินตามทางเดินของชัยฏอนและตามสิ่งที่มันได้กำหนดให้พวกเขา ที่พำนักของพวกเขาก็คือนรกญะฮันนัม ซึ่งพวกเขาจะไม่พบทางหนีใดๆให้พ้นจากมันไปได้
(122) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และประกอบคุณงามความดีต่างๆที่ทำให้เขาใกล้ชิดกับพระองค์ เราจะให้พวกเขาเข้าสรวงสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านภายใต้คฤหาสน์ของสวรรค์นั้น โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล เป็นสัญญาจากอัลลอฮฺ และสัญญาของพระองค์นั้นเป็นจริงเสมอ และพระองค์จะไม่ทรงผิดสัญญา และไม่มีผู้ใดที่จะมีคำพูดที่เป็นจริงยิ่งกว่าอัลลอฮ์
(123) เรื่องของความปลอดภัยและชัยชนะนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่การเพ้อฝันของพวกเจ้าหรือความเพ้อฝันของชาวคมภีร์ -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย- แต่มันขึ้นอยู่กับการปฏิบัติต่างหาก ฉะนั้นแล้วใครก็ตามในหมู่พวกเจ้ากระทำความชั่ว เขาก็จะได้รับการตอบแทนด้วยความชั่วช้านั้นในวันกิยามะฮ์ และเขาจะไม่พบผู้คุ้มครองใดๆอื่นจากอัลลอฮ์ที่จะให้ประโยชน์ให้แก่เขา และจะไม่พบผู้ช่วยเหลือใดๆสำหรับเขา ที่จะปกป้องเขาจากภัยอันตราย
(124) และผู้ใดกระทำในส่วนที่เป็นคุณงามความดี ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม ในฐานะที่เขาเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อย่างแท้จริง ดังนั้นชนเหล่านี้ที่ได้รวมระหว่างการศรัทธากับการปฏิบัติเข้าด้วยกันนั้น พวกเขาจะได้เข้าสวรรค์ และพวกเขาจะไม่ถูกทำให้ผลบุญจากการงานต่างๆของพวกเขาลดน้อยลงแต่อย่างใด ถึงแม้ว่ามันเป็นสิ่งน้อยนิดที่มีขนาดเท่าปุ่มเล็กๆที่อยู่บนเมล็ดอินทผลัมก็ตาม
(125) และไม่มีผู้ใดที่จะมีศาสนา ดียิ่งไปกว่าผู้ที่ยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ ทั้งภายในและภายนอก และมีเจตนาที่บริสุทธิ์ต่อพระองค์ และปฏิบัติการงานของเขาอย่างดีโดยการปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติ และปฏิบัติตามศาสนาของอิบรอฮีม ซึ่งมันคือรากฐานของศาสนาของมุหัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ออกห่างจากการตั้งภาคีและการปฏิเสธศรัทธา สู่การยึดมั่นในเอกภาพของอัลลอฮ์และการศรัทธาต่อพระองค์ และอัลลอฮ์ทรงเลือกนบีของพระองค์ที่ชื่ออิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม ด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม เหนือสิ่งถูกสร้างของพระองค์ทั้งหมด
(126) และเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้ครอบครองสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และอัลลอฮ์ทรงครอบคลุมทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ครอบคลุมทั้งในด้านความรู้ ความสามารถ และการบริหารจัดการ
(127) และพวกเขาจะถามเจ้า -โอ้ เราะสูลเอ๋ย- เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของผู้หญิง จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด “อัลลอฮ์จะทรงให้คำอธิบายเกี่ยวกับปัญหาที่พวกเจ้าถาม และพระองค์จะทรงอธิบายแก่พวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ถูกอ่านให้แก่พวกเจ้าในอัลกุรอานที่เกี่ยวกับเด็กกำพร้าที่เป็นผู้หญิงที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเจ้า และพวกเจ้าไม่ให้แก่พวกนางซึ่งสิทธิของพวกนาง ทั้งในรูปของสินสอดทองหมั้นหรือสิทธิในมรดกที่อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้สำหรับพวกนาง ในขณะที่พวกเจ้าไม่มีความปรารถนาที่จะแต่งงานกับพวกนาง และพวกเจ้าขัดขวางไม่ให้พวกนางแต่งงาน เนื่องด้วยความโลภของพวกเจ้าที่มีต่อความมั่งคั่งของพวกนาง และอัลลอฮ์ยังอธิบายให้พวกเจ้าเกี่ยวกับภาระหน้าที่ของพวกเจ้าที่มีต่อเด็กที่อ่อนแอที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น ให้สิทธิ์พวกเขาจากมรดก และสิทธิ์ที่จะไม่ถูกกดขีด้วยการที่พวกเจ้าครอบครองทรัพย์สินของพวกเขา และอัลลอฮ์ยังอธิบายแก่พวกเจ้าเกี่ยวกับภาระหน้าที่ของพวกเจ้าที่จะต้องปฏิบัติต่อเด็กกำพร้าอย่างเป็นธรรม โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ในโลกนี้และปรโลก และความดีใด ๆ ที่พวกเจ้าทำเพื่อเด็กกำพร้าและคนอื่น ๆ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้และจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างยุติธรรม
(128) และหากหญิงใดที่กังวลว่าสามีจะเฉยเมยต่อนางและเกิดการไม่สนใจนางขึ้นมา ดังนั้นก็ไม่ผิดอะไรที่ทั้งสองจะตกลงกันด้วยดี ด้วยการสละสิทธิบางอย่างของนาง เช่น สิทธิค่าเลี้ยงดูและการค้างคืนกับสามีของนาง การตกลงประนีประนอมกันในลักษณะนี้ดีกว่าการหย่าร้างกัน ในขณะที่มนุษย์มีลักษณะพื้นฐานของความโลภและความตระหนี่ ดังนั้นจึงไม่ต้องการที่จะลดสิทธิของตนง่ายๆ ดังนั้น คู่สามีภรรยาควรพยายามเอาชนะนิสัยเหล่านี้ด้วยการฝึกจิตใจให้มีการปล่อยวางและทำดีกับผู้อื่น และหากพวกเจ้าทำดีในทุกกิจการของพวกเจ้าและเกรงกลัวอัลลอฮ์โดยปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์และหลีกเลี่ยงข้อห้ามของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเจ้าทำ ไม่มีอะไรหนีจากความรู้ของพระองค์ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าอย่างยุติธรรม
(129) และพวกเจ้าไม่สามารถ-โอ้บรรดาสามีทั้งหลาย- ที่จะให้ความยุติธรรมอย่างสมบูรณ์แก่บรรดาภรรยาของพวกเจ้าในเรื่องของหัวใจได้ ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะพยายามขนาดไหนก็ตาม เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ หลายประการ บางครั้งเหตุผลเหล่านั้นอยู่เหนือความปรารถนาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเอนเอียงไปจนหมด จากผู้ที่พวกเจ้ามิได้รักนาง ด้วยการทิ้งพวกนาง เสมือนกับผู้ที่ถูกแขวนไว้ เป็นหญิงผู้มีสามีคอยดูแลเอาใจใส่ก็ไม่ใช่ เป็นหญิงผู้ไม่มีสามีที่กำลังมองหาการแต่งงานก็ไม่เชิง และหากพวกเจ้าประนีประนอมระหว่างกัน ด้วยการบังคับตัวเองให้ทำสิ่งที่ไม่อยากทำ จากการดำรงไว้ซึ่งสิทธิของภรรยา และมีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับนางแล้ว แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ
(130) และถ้าหากคู่สามีภรรยาแยกทางกันด้วยการหย่าร้าง หรือด้วยการซื้อหย่า อัลลอฮ์จะทรงทำให้ทั้งคู่ร่ำรวยจากความโปรดปรานอันมหาศาลของพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงโปรดปรานอันมหาศาลและมีความเมตตาอย่างมากมาย และทรงปรีชาญาณในการบริหารจัดการและการกำหนดต่าง ๆ ของพระองค์
(131) และเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ผู้เดียวเท่านั้นซึ่งกรรมสิทธิ์ในการครอบครองสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในผืนแผ่นดิน และครอบครองสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง และแท้จริงเราได้สั่งไว้แก่บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ที่เป็นชาวยิวและคริสเตียน และเราได้สั่งไว้แก่พวกเจ้าด้วย ว่าต้องปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงใช้และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม และถ้าหากพวกเจ้าปฏิเสธคำสั่งนี้ พวกเจ้าก็ไม่ได้ทำอันตรายแก่ผู้ใดนอกจากแก่ตัวของพวกเจ้าเอง ดังนั้นอัลลอฮผู้ทรงมั่งมีเหนือการเชื่อฟังของพวกเจ้า อำนาจการปกครองสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงมั่งมีเหนือสิ่งถูกสร้างทั้งหมดของพระองค์ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญในทุกๆคุณลักษณะและการกระทำของพระองค์
(132) และเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ครอบครองสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน พระองค์คือผู้ที่คู่ควรแก่การได้รับการเชื่อฟัง และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์เป็นผู้ปกครองบริหารทุกกิจการของทุกสรรพสิ่งที่พระองค์สร้าง
(133) หากพระองค์ทรงประสงค์ก็จะทรงให้พวกเจ้าพังพินาศไป -โอ้ มนุษย์เอ๋ย- และจะทรงนำพวกอื่น ที่ไม่ใช่พวกเจ้า ซึ่งพวกเขานั้นเชื่อฟังอัลลอฮ์และไม่ฝ่าฝืนพระองค์ และอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือสิ่งนั้น
(134) ผู้ใดในหมู่พวกเจ้า-โอ้ มนุษย์เอ๋ย-ที่ต้องการสิ่งตอบแทนจากการงานของเขาในโลกนี้เพียงอย่างเดียวนั้น พึ่งทราบเถิดว่าแท้จริง ณ ที่อัลลอฮ์นั้นมีทั้งสิ่งตอบแทนในโลกนี้และปรโลก ดังนั้นเขาจงแสวงหาผลบุญของทั้งสองจากพระองค์ และอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงได้ยินคำพูดของพวกเจ้า ผู้ทรงเห็นการกระทำต่างๆ ของพวกเจ้า และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าต่อการกระทำเหล่านั้น
(135) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย จงเป็นผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในทุกสภาพการณ์ของพวกเจ้า จงทำหน้าที่พยานด้วยความสัจจริงกับทุกคน แม้สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับตัวของเจ้าเอง หรือผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองของพวกเจ้า หรือญาติที่ใกล้ชิดของพวกเจ้าก็ตาม และอย่าให้ความยากจนหรือความร่ำรวยของคนใดคนหนึ่งนำเจ้าสู่การเป็นพยานหรือทะทิ้งการเป็นพยาน เพราะอัลลอฮ์เหนือกว่าคนจนและคนรวยในหมู่พวกเจ้า และพระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งถึงผลประโยชน์ของเขาทั้งสอง ดังนั้นจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำในการเป็นพยานของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่เอนเอียงออกไปจากสัจธรรมในการเป็นพยาน และหากพวกเจ้าบิดเบือนการเป็นพยานด้วยการกระทำที่ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของมัน หรือปฏิเสธที่จะเป็นพยาน แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
(136) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยึดมั่นในศรัทธาของพวกเจ้าที่มีต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์เถิด และต่อคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่เราะสูลของพระองค์ และต่อบรรดาคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่บรรดาเราะสูลคนก่อนๆ และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์และบรรดาเราะซูลของพระองค์ และวันปรโลกแล้วไซร้ แน่นอนเขาก็ได้ถูกทำให้ห่างไกลจากหนทางที่เที่ยงตรงอย่างไกลโพ้น
(137) แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากพวกเขาหลังจากที่ได้มีการศรัทธาแล้ว โดยการที่พวกเขานั้นได้เข้าสู่การศรัทธา แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ถอนตัวจากมัน แล้วก็เข้าสู่การศรัทธาอีกครั้ง แล้วก็ถอนตัวจากมัน แล้วพวกเขาก็ยืนกรานอยู่บนการปฏิเสธศรัทธานั้น แล้วก็เสียชีวิตลงในสภาพที่ปฏิเสธศรัทธา อัลลอฮ์จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และจะไม่ทรงชี้นำพวกเขาสู่เส้นทางที่เที่ยงธรรมที่นำไปสู่พระองค์
(138) -โอ้เราะสูลเอ๋ย- จงแจ้งข่าวดีแก่พวกมุนาฟิกที่แสดงการศรัทธาออกมา และปกปิดการปฏิเสธศรัทธาไว้ข้างในเถิดว่า แท้จริงสำหรับพวกเขา ณ ที่อัลลอฮ์แล้วในวันกิยามะฮ์จะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ
(139) การลงโทษนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา (มนาฟิกีน) เพราะพวกเขารับผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นผู้ช่วยและผู้สนับสนุนไม่ใช่ผู้ศรัทธา และที่น่าแปลกเมื่อพวกเขาทำให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นผู้ช่วยเหลือ พวกเขาคาดหวังความแข็งแกร่งและความคุ้มครองจากผู้ปฏิเสธศรัทธาเพื่อยกระดับความสูงส่งด้วยสิ่งนั้นกระนั้นหรือ? ดังนั้นแท้จริงความแข็งแกร่งและการปกป้อง ทั้งหมดนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น
(140) และแท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย-ในคัมภีร์อัลกุรอาน อัลการีม ว่าเมื่อพวกเจ้าได้นั่งในวงสนทนาและได้ยินใครบางคนปฏิเสธและใช้โองการของอัลลอฮ์ในทางที่ดูถูกเย้ยหยัน ดังนั้นพวกเจ้าไม่ควรนั่งด้วยกับพวกเขา และจำเป็นต้องออกจากวงสนทนานั้นทันทีจนกว่าพวกเขาจะพูดถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธและการดูถูกต่อโองการของอัลลอฮ์ เพราะถ้าพวกเจ้ายังคงนั่งกับพวกเขาต่อไปในสภาพที่พวกเขาปฏิเสธและเยาะเย้ยต่อโองการของอัลลอฮ์อยู่หลังจากที่พวกเจ้าได้ยินจากพวกเขาแล้ว แสดงว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนพวกเขาในการฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ เพราะการอยู่กับพวกเขาหมายความว่าพวกเจ้าไม่ได้เชื่อฟังอัลลอฮ์เสมือนที่พวกเขาไม่เชื่อฟังอัลลอฮ์ด้วยการปฏิเสธของพวกเขา แท้จริงในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์จะทรงรวบรวมพวกหน้าซื่อใจคด(มุนาฟิกีน)ที่มีอิสลามแค่ภายนอกแต่ซ่อนการปฏิเสธไว้ร่วมกับผู้ปฏิเสธศรัทธาในนรกญะฮันนัม
(141) บรรดา (มุนาฟิก) ที่เฝ้ารอสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายนั้น ถ้าหากพวกเจ้าได้รับชัยชนะจากอัลลอฮ์ และได้รับทรัพย์สงคราม พวกเขาก็จะกล่าวแก่พวกเจ้าว่า “เราไม่ได้ร่วมรบกับพวกท่านดอกหรือ เราได้เผชิญเหมือนอย่างที่พวกท่านได้เผชิญ ?!” เพื่อต้องการได้รับทรัพย์สงคราม และหากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นฝ่ายได้เปรียบ พวกเขาก็กล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นว่า “เรามิได้ดูแลกิจการต่าง ๆ ของพวกท่านดอกหรือ? และมิได้รายล้อมพวกท่านด้วยการปกป้องและให้การช่วยเหลือพวกท่านดอกหรือ? และเรามิได้ปกป้องพวกท่านให้พ้นจากบรรดาผู้ศรัทธาด้วยการช่วยเหลือพวกท่านและทอดทิ้งพวกเขากระนั้นหรือ? อัลลอฮ์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเจ้าทั้งหมดในวันกิยามะฮ์ และพระองค์จะทรงตอบแทนบรรดาผู้ศรัทธาด้วยการได้เข้าสวรรค์ และจะทรงตอบแทนพวกมุนาฟิกด้วยการได้เข้านรกชั้นต่ำที่สุด และอัลลอฮ์จะไม่ทรงให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามีอำนาจเหนือบรรดาผู้ศรัทธาด้วยความโปรดปรานของพระองค์เป็นอันขาด แต่จะทรงให้ผลตอบแทนที่ดีแก่บรรดาผู้ศรัทธา ตราบใดที่พวกเขายืนหยัดบนหลักการด้วยการศรัทธาที่สัจจริง
(142) แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้นหลอกลวงอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยการแสดงความเป็นอิสลามออกมาและซ่อนการปฏิเสธศรัทธาเอาไว้ข้างใน ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงหลอกลวงพวกเขา เนื่องจากพระองค์ได้ทรงรักษาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่พระองค์นั้นทรงรอบรู้ถึงการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา และได้ทรงเตรียมไว้สำหรับพวกเขาซึ่งบทลงโทษที่แสนเจ็บปวดในวันอาคิเราะฮ์ และเมื่อพวกเขาลุกขึ้นไปละหมาด พวกเขาก็ลุกขึ้นในสภาพเกียจคร้าน เป็นผู้ที่รังเกียจการละหมาด และพวกเขาจะไม่กล่าวรำลึกถึงอัลลอฮ์ นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อพวกเขาเห็นบรรดาผู้ศรัทธา
(143) บรรดามุนาฟิกเหล่านั้นอยู่ในสภาพที่ลังเลอยู่ในความสับสน พวกเขาจะอยู่กับบรรดาผู้ศรัทธาทั้งภายในและภายนอกก็ไม่อยู่ จะอยู่กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ไม่ใช่ แต่ภายนอกของพวกเขาอยู่กับบรรดาผู้ศรัทธาและภายในของพวกเขาอยู่กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และผู้ใดที่อัลลอฮ์ให้หลงทางไปแล้ว เจ้าก็จะไม่พบหนทางใด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เพื่อชี้นำเขาจากการหลงทางนั้น
(144) โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย พวกเจ้าจงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์เป็นมิตรที่พวกเจ้าให้ความรักใคร่แก่พวกเขาที่ไม่ใช่บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าต้องการที่จะให้อัลลอฮ์มีหลักฐานอันชัดเจนที่บ่งบอกถึงการคู่ควรของพวกเจ้าแก่การถูกลงโทษที่เกิดจากการกระทำของพวกเจ้าในครั้งนี้กระนั้นหรือ?!
(145) แท้จริงบรรดามุนาฟิกนั้น อัลลอฮ์จะทรงทำให้พวกเขาอยู่ในสถานที่ที่ต่ำที่สุดจากขุมนรกในวันกิยามะฮ์ และเจ้าก็จะไม่พบว่ามีผู้ช่วยคนใดสำหรับพวกเขา ที่จะมาปกป้องพวกเขาจากการถูกลงโทษ
(146) นอกจากบรรดาผู้ที่กลับไปหาอัลลอฮ์ด้วยการสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวจากการบิดพริ้วของพวกเขาและปรับปรุงแก้ไขภายในของพวกเขา และยึดมั่นต่อสัญญาของอัลลอฮฺ และได้มอบการงานต่างๆของพวกเขาให้แก่อัลลอฮฺโดยไม่มีการโอ้อวดใดๆ ชนที่มีคุณลักษณะดังกล่าวนี้แหละจะร่วมอยู่กับบรรดาผู้ศรัทธาทั้งในโลกนี้และวันปรโลก และอัลลอฮ์จะทรงประทาน แก่ผู้ศรัทธาทั้งหลายซึ่งรางวัลอันยิ่งใหญ่
(147) ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับอัลลอฮ์ในการที่จะลงโทษพวกเจ้า หากพวกเจ้ากตัญญู และศรัทธาต่อพระองค์ ดังนั้นพระองค์คือผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผู้ทรงเมตตาเสมอ แท้จริงพระองค์จะทรงลงโทษพวกเจ้าตามความผิดของพวกเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าปรับปรุงแก้ไขการงานให้ดีขึ้น และกตัญญูรู้คุณในความโปรดปรานของพระองค์ และศรัทธาต่อพระองค์ทั้งภายนอกและภายในแล้ว พระองค์จะไม่ทรงลงโทษพวกเจ้าอย่างแน่นอน และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงตอบแทนที่ดีสำหรับผู้ที่น้อมรับในความโปรดปรานของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงประทานผลบุญให้แก่พวกเขา ผู้ทรงรอบรู้ถึงอีหม่านของสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และจะทรงตอบแทนทุกคนตามการงานของเขา
(148) อัลลอฮฺทรงไม่ชอบการเปิดเผยถ้อยคำที่ไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงรังเกียจและข่มขู่การใช้ถ้อยคำที่ไม่ดี แต่อนุญาตสำหรับผู้ที่ถูกอธรรมให้เขาเปิดเผยถ้อยคำที่ไม่ดีได้ เพื่อเป็นการฟ้องผู้ที่อธรรมต่อเขา ดุอาอ์สาปแช่งและตอบโต้เขาด้วยถ้อยคำที่เหมือนกับถ้อยคำของเขา แต่การอดทนของผู้ที่ถูกอธรรมนั้นย่อมดีกว่าการเปิดเผยด้วยถ้อยคำที่ไม่ดี และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินถึงถ้อยคำของพวกเจ้า ทรงรอบรู้ถึงเจตนาของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงระวังถ้อยคำและเจตนาที่ไม่ดี
(149) หากพวกเจ้าเปิดเผยถึงความดีใดๆจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ หรือปกปิดมันไว้ หรือให้อภัยแก่ผู้ที่กระทำไม่ดีต่อพวกเจ้า แน่นอนพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงอนุภาพเสมอ ดังนั้นจงทำให้การให้อภัยนั้นเป็นมารยาทหนึ่งของพวกเจ้า หวังว่าอัลลอฮฺจะทรงให้อภัยแก่พวกเจ้า
(150) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์ และยังต้องการให้เกิดความแตกต่างระหว่างอัลลอฮ์กับบรรดาเราะสูลของพระองค์ด้วยการศรัทธาต่อพระองค์และปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาเราะสูล โดยที่พวกเขากล่าวว่า เราจะศรัทธาต่อเราะสูลบางคนและปฏิเสธการศรัทธาต่อบรรดาเราะสูลอีกบางคน พร้อมกันนั้นพวกเขาต้องการ (จากคำพูดของพวกเขา) เพื่อยึดเป็นทางสายกลางระหว่างการปฏิเสธกับการศรัทธา โดยที่พวกเขาคิดว่ามันสามารถช่วยเหลือให้พวกเขาปลอดภัยได้
(151) ชนเหล่านั้นที่อยู่บนแนวทางนี้ พวกเขาคือผู้ปฏิเสธศรัทธาอย่างแท้จริง เพราะผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทั้งหมดหรือต่อบางคนนั้น แน่นอนพวกเขาได้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อบรรดาเราะซูลของพระองค์ และเราได้เตรียมไว้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาซึ่งการลงโทษที่อัปยศที่สุดในวันกิยามะฮฺเพื่อเป็นการลงโทษพวกเขาที่เย่อหยิ่งไม่ยอมศรัทธาต่ออัลลอฮฺและบรรดาเราะซูลของพระองค์
(152) และบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและให้เอกภาพต่อพระองค์โดยไม่ตั้งภาคีใดๆ ต่อพระองค์ และศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลของพระองค์ทั้งหมดโดยมิได้แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขาดั่งที่ผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กระทำไว้ แต่พวกเขากลับศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลทั้งหมด ชนเหล่านั้น อัลลอฮฺจะประทานให้แก่พวกเขาซึ่งรางวัลอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นการตอบแทนการศรัทธาและการงานที่ดีของพวกเขาที่เกิดจากการศรัทธา และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้ทรงอภัยโทษให้แก่บ่าวของพระองค์ที่เตาบะฮฺกลับเนื้อกลับตัวเข้าหาพระองค์ เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขา
(153) โอ้ท่านเราะซูล ชาวยิวขอร้องให้เจ้านำคัมภีร์ฉบับหนึ่งจากฟากฟ้าลงมาแก่พวกเขาอย่างเบ็ดเสร็จดังที่เคยเกิดขึ้นกับมูซาเพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความสัจจริงของเจ้า ดังนั้นเจ้าจงอย่าได้ให้ความสำคัญกับพวกเขาในเรื่องดังกล่าว เพราะบรรพบรุษของพวกเขาได้เคยขอร้องมูซาซึ่งสิ่งที่ใหญ่กว่าที่พวกเขาเหล่านั้นได้ขอร้องเจ้า โดยบรรพบรุษของพวกเขาได้ขอร้องมูซาให้พวกเขาได้เห็นอัลลอฮฺกับตาโดยชัดแจ้ง แล้วพวกเขาก็ถูกฟ้าผ่าเพื่อเป็นการลงโทษในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงให้พวกเขาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แล้วพวกเขาก็ได้เคารพอิบาดะฮฺลูกวัวนอกจากอัลลอฮฺภายหลังจากที่สัญญาณอันชัดแจ้งที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกะของอัลลอฮฺและความเป็นหนึ่งเดียวในเรื่องรุบูบียะฮฺและอุลูฮียะฮฺได้มายังพวกเขา แล้วเราก็ได้อภัยให้แก่พวกเขา และเราได้ให้แก่มูซาซึ่งอำนาจหลักฐานอันชัดเจนเหนือกลุ่มชนของเขา
(154) และเราได้ยกภูเขาเหนือศรีษะพวกเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งคำมั่นสัญญาที่แน่นอนจากพวกเขาและให้พวกเขาเกิดความกลัวเพื่อนำพวกเขาสู่การปฏิบัติตามสิ่งทีมีในสัญญานั้นไว้ และเราได้กล่าวแก่พวกเขาหลังจากที่ยกภูเขาว่า พวกเจ้าจงเข้าสู่ประตูบัยตุลมักดิสในสภาพที่โน้มศรีษะลง แต่พวกเขากลับเดินคลานหันหลังเข้าไป และเราได้กล่าวแก่พวกเขาอีกว่า พวกเจ้าอย่าได้ละเมิดจับปลาในวันเสาร์ แต่พวกเขากลับละเมิดแล้วจับปลา และเราได้ทำสัญญาอันหนักแน่นรุนแรงกับพวกเขา แต่พวกเขากลับผิดสัญญาที่ได้สัญญาไว้
(155) แล้วเราได้ให้พวกเขาห่างไกลจากความโปรดปรานของเราเนื่องด้วยพวกเขาทำลายสัญญาอันหนักแน่นที่มีต่อพวกเขา และเนื่องด้วยการปฏิเสธของพวกเขา ต่อสัญญาณของอัลลอฮ์และด้วยความเหิมเกริมของพวกเขาได้ฆ่าบรรดานบี และด้วยคำพูดของพวกเขาที่มีต่อมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า จิตใจของเรามีฝาปิดอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด โดยที่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่พวกเขาพูด แต่อัลลอฮ์ต่างหากที่ประทับตราบนจิตใจของพวกเขา ทำให้ความดีใด ๆ เข้าไปไม่ถึงจิตใจของพวกเขา เลยพวกเขาไม่ศรัทธานอกจากการศรัทธาที่น้อยนิดที่ไม่สามารถให้ประโยชน์แก่พวกเขาได้เลย
(156) และเราได้ให้พวกเขาห่างไกลจากความโปรดปรานเนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาและการโกหกใส่ร้ายป้ายสีมัรยัมว่ากระทำการซินา
(157) และเราได้สาปแช่งพวกเขาเนื่องด้วยคำพูดโกหกของพวกเขาอย่างหยิ่งยโสว่า แท้จริงเราได้ฆ่าอัลมะซีหฺ อีซาบุตรของมัรยัมซึ่งเป็นเราะซูลของอัลลอฮฺ และพวกเขาหาได้ฆ่าอีซาและตรึงเขาบนไม้กางเขนตามที่พวกเขากล่าวอ้างไม่ แต่ทว่าพวกเขาได้ฆ่าชายท่านหนึ่งที่อัลลอฮฺได้ทำให้เขาเหมือนกับอีซาและตรึงเขาบนไม้กางเขน เลยพวกเขาคิดว่าผู้ที่ถูกฆ่านั้นคือ อีซา อลัยฮิสสลาม ชาวยิวที่อ้างว่าฆ่าอีซาและชาวคริสต์ที่คล้อยตามพวกเขา ทั้งสองกลุ่มนี้ต่างมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวของอีซา (ว่าถูกฆ่าและตรึงไว้บนไม้กางเขนจริงหรือไม่) พวกเขาไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย แต่ทว่าพวกเขาคล้อยตามข้อสงสัยต่างหาก และแท้จริงการสงสัยนั้นไม่อาจอำนวยประโยชน์ใดๆ แก่ความจริงได้ และพวกเขามิได้ฆ่าอีซาและตรึงเขาบนไม้กางเขนอย่างแน่นอน
(158) แต่ทว่าอัลลอฮฺได้ทรงช่วยให้เขา(อีซา) ปลอดภัยจากแผนร้ายของพวกเขา โดยที่พระองค์ได้ยกเขาทั้งร่างกายและวิญญาณขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจในกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพระองค์ได้ พระองค์ทรงปรีชาญาณในแผนการ กำหนดการ และบทบัญญัติของพระองค์
(159) และไม่มีชาวคัมภีร์คนใดนอกจากเขาจะศรัทธาต่ออีซาหลังจากที่เขาลงมาช่วงใกล้วันสิ้นโลกและก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต และในวันกิยามะฮฺอิซา อลัยฮิสสลาม จะเป็นพยานให้กับการงานของพวกเขาทั้งที่ถูกต้องตามศาสนบัญญัติและที่ไม่ถูกต้อง
(160) แล้วก็เนื่องด้วยความอธรรมของชาวยิวเราจึงได้ให้อาหารดีๆ บางอย่างที่เคยเป็นที่อนุมัติกลายเป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา เช่น สัตว์ประเภทที่มีกรงเล็บทุกชนิด และไขมันของวัวและแกะ นอกจากไขมันที่ติดอยู่กับหลังของมัน (ที่เป็นที่อนุมัติ) และเนื่องด้วยการขัดขวางของพวกเขาซึ่งตัวของพวกเขาเองและผู้อื่นเพื่อให้ออกห่างจากแนวทางของอัลลอฮฺ จนกระทั่งว่าการขัดขวาง (ไม่ให้กระทำ) ความดีนั้นกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา
(161) และเนื่องด้วยการใช้ระบบดอกเบี้ยในการซื้อขายของพวกเขาหลังจากที่อัลลอฮฺได้ห้ามมันไว้ และเอาทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบตามศาสนบัญญัติ และเราได้เตรียมไว้ซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่พวกเขา
(162) แต่ทว่าบรรดาผู้ที่ยืนหยัดมั่นคงในวิชาความรู้ในหมู่ชาวยิวและบรรดาผู้ศรัทธา พวกเขาย่อมศรัทธาต่ออัลกุรอ่านที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาให้แก่เจ้า โอ้ท่านเราะซูล พวกเขาศรัทธาต่อคัมภีร์ต่างๆ ที่ถูกประทานลงมาให้แก่บรรดาเราะซูลก่อนหน้าเจ้า เช่น คัมภีร์เตารอต คัมภีร์อินญีล และพวกเขาดำรงไว้ซึ่งการละหมาด จ่ายซะกาตทรัพย์ ศรัทธาต่ออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวโดยไม่มีภาคีใดๆ และศรัทธาต่อวันปรโลก พวกเขาผู้ซึ่งมีคุณลักษณะเช่นนี้ เราจะตอบแทนให้แก่พวกเขาซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง
(163) โอ้ท่านเราะสูล แท้จริงเราได้ประทานวะฮ์ยูแก่เจ้าดั่งที่เราได้ประทานมันให้แก่บรรดานบีก่อนหน้าเจ้า ดังนั้นเจ้ามิใช่เราะสูลที่แปลกใหม่ และแท้จริงเราได้ประทานวะฮ์ยูแก่นูห์ และบรรดานบีที่มาหลังจากเขา และเราได้ประทานวะฮ์ยูแก่อิบรอฮีม และลูกชายทั้งสองของเขาอิสมาอีลกับอิสหาก และยะอ์กูบบุตรของอิสหาก และอัล-อัสบาฏ (พวกเขาคือบรรดานบีที่ถูกส่งยังเผ่าต่าง ๆ 12 เผ่าที่มาจากลูก ๆ ของนบียะอ์กูบ อลัยฮิสสลาม) และเราได้ให้คัมภีร์ซะบูรแก่ดาวูด
(164) และเราได้ส่งบรรดาเราะซูลที่เราได้เล่าเรื่องราวของพวกเขาแก่เจ้าในอัลกุรอ่าน และบรรดาเราะซูลที่เราได้ส่งพวกเขาแต่ไม่ได้เล่าเรื่องราวของพวกเขาแก่เจ้าในอัลกุรอ่าน และการที่เราละทิ้งไม่เล่าเรื่องราวของพวกเขาในอัลกุรอาน(ให้แก่เจ้ารู้นั้น)เพราะหิกมะฮฺบางประการ และอัลลอฮฺได้พูดกับมูซาจริงๆ ที่เหมาะสมกับพระองค์ โดยไม่มีสื่อกลางใดๆ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่มูซา
(165) เราได้ส่งพวกเขา (บรรดาเราะซูล) ในฐานะเป็นผู้แจ้งข่าวดีแก่ผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺซึ่งผลบุญอันมีเกียรติ และเป็นผู้ตักเตือนผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ซึ่งการลงโทษอันเจ็บปวด เพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่มีข้ออ้างใดๆมาแก้ตัวต่ออัลลอฮฺได้ หลังจากที่พระองค์ได้ส่งบรรดาเราะซูลมา และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพในอำนาจของพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในกำหนดการและปฏิบัติการของพระองค์
(166) หากชาวยิวปฏิเสธศรัทธาต่อเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺทรงรับรองเจ้าว่าอัลกุรอ่านที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้านั้นเป็นความจริง พระองค์ได้ประทานในอัลกุรอ่านนั้นซึ่งความรู้ของพระองค์ที่พระองค์ปรารถนาจะให้บ่าวของพระองค์รับรู้ในสิ่งที่พระองค์ชอบและพอพระทัย หรือสิ่งที่พระองค์รังเกียจและปฏิเสธ และบรรดามลาอิกะฮฺก็เป็นพยานเช่นกันว่าสิ่งที่เจ้าได้นำมา (หมายถึง อัลกุรอ่าน) นั้นเป็นความจริงพร้อมกับการเป็นพยานของอัลลอฮฺด้วย และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพยานให้ เพราะการเป็นพยานของพระองค์นั้นเพียงพอแล้วโดยไม่ต้องพึ่งพยานอื่น
(167) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการเป็นนบีของเจ้า และขัดขวางผู้คน (ไม่ให้เข้าใกล้ ) ศาสนาอิสลาม แท้จริงพวกเขาได้ห่างไกลจากความสัจจริงอย่างไกลไปแล้ว
(168) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและบรรดาเราะซูลของพระองค์ และอธรรมต่อตัวเองด้วยการคงอยู่บนการปฏิเสธศรัทธานั้น พระองค์จะไม่ทรงอภัยโทษแก่พวกเขาตราบใดที่พวกเขายังคงยืนกรานปฏิเสธศรัทธา และพระองค์จะไม่ทรงชี้แนะพวกเขาไปสู่เส้นทางที่สามารถให้พวกเขารอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้อีกด้วย
(169) นอกจากแนวทางที่นำไปสู่นรกญะฮันนัมโดยที่พวกเขาจะได้รับการลงโทษอยู่ในนั้นตลอดกาล และนั่นเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับอัลลอฮฺ ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางพระองค์ได้
(170) โอ้มวลมนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงเราะซูล มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ได้มายังพวกเจ้าด้วยการนำสัจธรรมและศาสนาที่เที่ยงตรงจากอัลลอฮฺ ดังนั้นจงศรัทธาต่อสิ่งที่ท่านได้นำมายังพวกเจ้าเถิด มันจะเป็นการดียิ่งสำหรับพวกเจ้าทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ และหากพวกเจ้าปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงมั่งมีเหนืออีหม่าน (การศรัทธา) ของพวกเจ้า และการปฏิเสธศรัทธาของพวกเจ้าก็ไม่อาจทำให้อัลลอฮฺได้รับความเดือดร้อนแต่อย่างใด เพราะทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองนั้นล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺทั้งสิ้น และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ว่าใครสมควรได้รับฮิดายะฮฺ (ทางนำ) แล้วพระองค์ก็จะให้มันง่ายดายแก่เขา และทรงรอบรู้ว่าใครไม่สมควรได้รับมัน แล้วพระองค์ก็จะปิดบังเขาไม่ให้เจอกับทางนำนั้น พระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณทั้งในคำพูด การกระทำ บทบัญญัติ และการกำหนดของพระองค์
(171) โอ้ท่านเราะซูล จงกล่าวแก่ชาวคริสต์ผู้ได้รับคัมภีร์อินญีลว่า พวกเจ้าอย่าได้เลยขอบเขตในเรื่องศาสนาของพวกเจ้า และอย่าได้กล่าวพาดพิงถึงอัลลอฮฺเกี่ยวกับเรื่องของอีซา อลัยฮิสสลาม นอกจากที่เป็นจริงเท่านั้น แท้จริงอัล-มะซีหฺอีซา บุตรของมัรยัมนั้นเป็นเพียงเราะซูล (ศาสนทูต) ของอัลลอฮฺเท่านั้นที่พระองค์ส่งเขาลงมาด้วยการนำสัจธรรม พระองค์ได้สร้างเขาด้วยคำดำรัสของพระองค์ที่ญิบรีลได้นำมันไปยังมัรยัม คำดำรัสนั้นคือ "กุน" (หมายถึง จงเป็น) แล้วมันก็เป็น (อีซา) มันเป็นการเป่าวิญญาณจากอัลลอฮฺที่ญิบรีลได้เป่ามันตามคำบัญชาของอัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเจ้าจงศรัทธาต่ออัลลอฮฺและบรรดาเราะซูลของพระองค์ทั้งหมดโดยไม่แยกระหว่างพวกเขา และอย่าได้กล่าวว่าพระเจ้านั้นมีสามองค์ จงหยุดกล่าวคำโกหกเสื่อมเสียนี้เสียเถิด เพราะมันจะเป็นการดีสำหรับพวกเจ้าทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นมีพระองค์เดียวที่บริสุทธิ์จากการมีภาคีและการมีบุตร พระองค์ทรงมั่งมีเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง กรรมสิทธิ์แห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และที่อยู่ระหว่างทั้งสองเป็นของพระองค์ และเพียงพอแล้วสำหรับสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินด้วยการมีอัลลอฮฺเป็นผู้บริหารจัดการในกิจการของพวกเขา
(172) อีซา บุตรของมัรยัมจะไม่หยิ่งและไม่คัดค้านเป็นอันขาดที่จะเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ และบรรดามลาอิกะฮฺที่อัลลอฮฺทรงให้พวกเขาใกล้ชิดพระองค์และยกฐานะพวกเขาก็เช่นกันจะไม่หยิ่งและไม่คัดค้านเป็นอันขาดที่จะเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ดังนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเจ้าได้นับถืออีซาเป็นพระเจ้า?! และเป็นไปได้อย่างไรที่บรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺนับถือบรรดามลาอิกะฮฺเป็นพระเจ้าของพวกเขา?! และผู้ใดหยิ่งและยะโสไม่เคารพอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ แน่นอนอัลลอฮฺจะทรงชุมนุมพวกเขาทั้งหมดไว้ยังพระองค์ในวันกิยามะฮฺ และตอบแทนทุกคนตามที่ควร
(173) ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ และกระทำความดีงามทั้งหลายด้วยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺและตามศาสนบัญญัตินั้น พระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาด้วยผลบุญจากการงานของพวกเขาอย่างครบถ้วน และจะทรงเพิ่มให้แก่พวกเขาอีกจากความกรุณาและความเมตตาของพระองค์ ส่วนบรรดาผู้ที่หยิ่งและยะโสไม่เคารพอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺและไม่เชื่อฟังพระองค์นั้น พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาด้วยการลงโทษอันเจ็บแสบ และพวกเขาจะไม่พบผู้คุ้มครองที่สามารถให้ประโยชน์แก่พวกเขาและผู้ช่วยเหลือที่สามารถปกป้องพวกเขาจากความทุกข์ได้นอกจากอัลลอฮฺ
(174) โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงได้มีหลักฐานอันประจักษ์แจ้งจากพระผู้อภิบาลของเจ้ามายังพวกเจ้าแล้ว ที่ปฏิเสธการแก้ตัวและขจัดสิ่งคลุมเครือ(หมายถึงท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม) และเราได้ให้แสงสว่างอันแจ่มแจ้งแก่พวกเจ้าด้วย (หมายถึงอัลกุรอ่าน)
(175) ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและยึดมั่นในอัลกุรอ่านที่ถูกประทานลงมาแก่นบีของพวกเขา พระองค์จะทรงเมตตาพวกเขาด้วยการให้เข้าสวรรค์ และเพิ่มผลบุญและยกฐานะให้แก่พวกเขา และช่วยเหลือพวกเขาให้ได้รับทางอันเที่ยงตรงที่ไม่คดเคี้ยว ซึ่งมันคือทางที่จะนำไปสู่สวรรค์อัดนฺ
(176) โอ้ท่านเราะซูล พวกเขาจะขอให้เจ้าชี้ขาดเกี่ยวกับปัญหามรดกของ อัล-กะลาละฮฺ คือ ผู้ที่เสียชีวิตโดยไม่มีบิดาและบุตร จงกล่าวเถิดว่า อัลลอฮฺจะทรงชี้ขาดเกี่ยวกับปัญหาของมัน คือ หากคนหนึ่งเสียชีวิตโดยไม่มีบิดาและบุตร แต่มีพี่สาวหรือน้องสาวร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาอย่างเดียว นางจะได้รับแบบสัดส่วนครึ่งหนึ่งของมรดกที่เขาได้ทิ้งไว้ และพี่ชายหรือน้องชายร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาอย่างเดียวจะได้รับแบบส่วนที่เหลือจากมรดกหากไม่มีผู้ได้รับแบบสัดส่วนร่วมอยู่กับเขา แต่หากมีผู้ได้รับแบบสัดส่วนร่วมอยู่กับเขาด้วย เขาก็จะได้รับส่วนที่เหลือหลังจากที่ได้แบ่งแบบสัดส่วนเสร็จก่อน แต่ถ้าพี่สาวหรือน้องสาวร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาอย่างเดียวมีมากกว่าสองคน พวกนางจะได้รับแบบสัดส่วนสองส่วนสาม และหากพวกเขาที่ร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาอย่างเดียวมีทั้งชายและหญิง พวกเขาทั้งหมดจะได้รับมรดกแบบส่วนที่เหลือตามกฎที่ว่า " สำหรับชายจะได้รับเท่ากับส่วนได้ของหญิงสองคน" คือ ผู้ชายจะได้รับสองส่วน ผู้หญิงจะได้รับหนึ่งส่วน อัลลอฮฺทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าเกี่ยวกับหุกุมของอัล-กะลาละฮฺและหุกุมมรดกอื่นๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่หลงผิดในเรื่องมรดก และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดปิดบังพระองค์ได้