3 - Aal-i-Imraan ()

|

(1) (อลิฟ-ลาม-มีม) เป็นอักษรที่ถูกอ่านเป็นชื่ออักษรเป็นคำๆ ซึ่งผ่านมาแล้วในซูเราะฮ์อัลบะกอเราะฮ์ และในซูเราะฮ์นี้นั้น ได้บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของชาวอาหรับในการที่จะนำมาซึ่งสิ่งที่คล้ายกับอัลกุรอาน ทั้งที่อัลกุรอานก็ประกอบด้วยตัวอักษรเหล่านี้ อย่างที่ใช้เริ่มกับซูเราะฮ์นี้ และมันคืออักษรที่พวกเขาเรียบเรียงกันในการสนทนาของพวกเขา

(2) อัลลอฮ์คือผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกเคารพสักการะอันเที่ยงแท้ นอกจากพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ผู้ทรงมีชีวิต ด้วยชีวิตที่สมบูรณ์ไม่มีการตายและไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ผู้ทรงดำรงด้วยพระองค์เองไม่ต้องพึ่งพาเหล่าสิ่งถูกสร้างของพระองค์ และสิ่งถูกสร้างทั้งหมดจะต้องพึ่งพาพระองค์ตลอดเวลาไม่สามารถขาดได้

(3) โอ้ท่านนบี เราได้ประทานอัลกุรอานทยอยลงมาแก่เจ้าด้วยความจริงในเรื่องราว และยุติธรรมในคำตัดสินต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่มีในบรรดาคำภีร์ก่อนหน้านี้ โดยไม่มีความขัดแย้งระหว่างกัน และได้ประทานคัมภีร์อัตเตารอตแก่มูซาและอัล-อินญีลแก่อีซา อลัยฮิมัสสลาม ก่อนที่อัลกุรอานจะถูกประทานลงมาแก่เจ้า คัมภีร์เหล่านี้ล้วนแล้วเป็นทางนำและคำชี้แนะแก่ผู้คนสู่ความดีด้านศาสนาและด้านโลกของพวกเขา และได้ทรงประทานอัล-ฟุรกอนซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ได้รู้จักถึงความถูกต้องจากความเท็จ และทางที่ถูกจากทางที่ผิด ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์ที่ได้ประทานลงมาแก่เจ้านั้น สำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันเจ็บปวด และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง ผู้ทรงทำการลงโทษสำหรับผู้ที่ปฏิเสธต่อบรรดาเราะสูลและฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์

(4) โอ้ท่านนบี เราได้ประทานอัลกุรอานทยอยลงมาแก่เจ้าด้วยความจริงในเรื่องราว และยุติธรรมในคำตัดสินต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่มีในบรรดาคำภีร์ก่อนหน้านี้ โดยไม่มีความขัดแย้งระหว่างกัน และได้ประทานคัมภีร์อัตเตารอตแก่มูซาและอัล-อินญีลแก่อีซา อลัยฮิมัสสลาม ก่อนที่อัลกุรอานจะถูกประทานลงมาแก่เจ้า คัมภีร์เหล่านี้ล้วนแล้วเป็นทางนำและคำชี้แนะแก่ผู้คนสู่ความดีด้านศาสนาและด้านโลกของพวกเขา และได้ทรงประทานอัล-ฟุรกอนซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ได้รู้จักถึงความถูกต้องจากความเท็จ และทางที่ถูกจากทางที่ผิด ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์ที่ได้ประทานลงมาแก่เจ้านั้น สำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันเจ็บปวด และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง ผู้ทรงทำการลงโทษสำหรับผู้ที่ปฏิเสธต่อบรรดาเราะสูลและฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์

(5) แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ไม่มีสิ่งใดในแผ่นดินและในฟากฟ้าจะซ่อนเร้นจากพระองค์ไปได้ ความรู้ของพระองค์ได้ครอบคลุมทุกสิ่งทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย

(6) พระองค์เป็นผู้ที่สร้างพวกเจ้าให้มีรูปร่างต่างๆในครรภ์มารดาของพวกเจ้าตามที่พระองค์ทรงประสงค์ จากผู้ชายหรือผู้หญิง รูปร่างดีหรือน่ารังเกียจและขาวหรือดำ ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะอย่างแท้จริงนอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงเดชานุภาพที่ไม่มีผู้ใดเหนือพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในการสร้าง การจัดการและบทบัญญัติของพระองค์

(7) พระองค์คือผู้ทรงประทานคัมภีร์อัลกุรอานลงมาแก่เจ้า -โอ้ท่านนบี- ซึ่งจากอัลกุรอานนั้น มีหลายโองการที่มีความหมายชัดแจ้ง ซึ่งโองการเหล่านั้นคือหลักของคัมภีร์และเป็นโองการส่วนใหญ่ของมัน และเป็นที่อ้างอิงเมื่อมีความขัดแย้งกัน นอกจากนี้ยังมีโองการอื่นๆ ที่มีความหมายมากกว่าหนึ่งความหมายและทำให้คนทั่วไปสับสน ส่วนบรรดาผู้ที่หัวใจของพวกเขามีการโน้มเอียงไปในทางที่ผิด พวกเขาจะละทิ้งโองการที่เป็นหลักที่ชัดแจ้ง และยึดเอาโองการที่มีความหมายเป็นนัย เพื่อสร้างความคลุมเครือและชักนำผู้คนให้หลงผิด และหวังตีความโองการเหล่านั้นตามความต้องการและให้สอดคล้องกับสำนักคิดที่ผิดๆ ของพวกเขา ไม่มีใครรู้ความหมายที่แท้จริงของโองการเหล่านั้นนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น ส่วนบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้นั้น พวกเขาจะกล่าวว่า "เราศรัทธาต่ออัลกุรอานทั้งหมด(ทุกโองการทั้งที่มีความหมายชัดแจ้งและที่มีความหมายเป็นนัย) เพราะมันมาจากอัลลอฮ์ทั้งสิ้น" และพวกเขาจะตีความโองการที่มีความหมายเป็นนัยด้วยการใช้โองการที่มีคความหมายที่ชัดแจ้ง และไม่มีผู้ใดได้รับบทเรียนและคำเตือนนอกจากบรรดาผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น

(8) และบรรดาผู้ที่มั่นคงในความรู้ พวกเขากล่าวว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดอย่าให้หัวใจของเราโน้มเอียงออกจากความจริง หลังจากที่พระองค์ได้ให้ทางนำแก่เรา และทรงทำให้เราปลอดภัยจากสิ่งที่กลุ่มผู้ที่หลงทางได้ประสบ และโปรดประทานแก่เราซึ่งความเอ็นดูเมตตาอันกว้างขวางจากพระองค์เพื่อให้หัวใจของเราได้รับทางนำ และปกป้องเราจากการหลงผิด โอ้พระผู้อภิบาลของเรา แท้จริงพระองค์ผู้ทรงมากด้วยการให้เสมอ

(9) โอ้พระผู้อภิบาลของเรา แท้จริงพระองค์นั้น เป็นผู้ชุมนุมมนุษย์ทั้งหลายเพื่อสอบสวนพวกเขาในวันหนึ่งซี่งไม่มีการสงสัยใดๆ ในวันนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โอ้พระผู้เป็นเจ้าของเรา แท้จริงอัลลอฮ์นั้น จะไม่ทรงผิดสัญญา

(10) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อเราะซูลของพระองค์นั้น ไม่มีสิ่งใดจะปกป้องพวกเขาให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินหรือลูกๆ ของพวกเขาทั้งในโลกนี้และวันปรโลก และกลุ่มชนที่มีคุณลักษณะเหล่านี้พวกเขาคือไม้ฟืนสำหรับนรกญะฮันนัมซึ่งจะถูกเผาในวันกิยามะฮ์

(11) และสภาพของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเช่นเดียวกับสภาพของวงศ์วานของฟิรเอาน์และบรรดาผู้ที่มาก่อนหน้าพวกเขาที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และไม่เชื่อต่อบรรดาโองการของพระองค์ ดังนั้นอัลลอฮ์ทรงลงโทษพวกเขาเนื่องด้วยความผิดของพวกเขา ทรัพย์สินและบุตรหลานของพวกเขาจะไม่เป็นประโยชน์ใดๆต่อพวกเขา และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเข็มงวดในการลงโทษต่อบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์และปฏิเสธต่อโองการของพระองค์

(12) จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใด ว่า "บรรดาผู้ศรัทธาจะมีชัยเหนือพวกเจ้า และพวกเจ้าก็จะเสียชีวิตในสภาพที่ปฏิเสธศรัทธา และอัลลอฮจะรวบรวมพวกเจ้าไว้ในนรกญะฮันนัม และมันเป็นที่นอนที่เลวร้ายสำหรับพวกเจ้า"

(13) แท้จริงได้มีสิ่งที่เป็นข้อพิสูจน์และเป็นบทเรียนแก่พวกเจ้าแล้ว ในเหตุการณ์ที่สองกลุ่มได้เผชิญหน้ากันในสงครามบัดร์ กลุ่มหนึ่งคือกลุ่มผู้ศรัทธา นั่นคือกลุ่มของท่านเราะสูล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) และบรรดาสาวกของท่าน ซึ่งพวกเขาต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์เพื่อให้คำของอัลลอฮ์สูงส่ง และให้คำของผู้ปฏิเสธศรัทธาตกต่ำ และอีกกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ปฏิเสธศรัทธาแห่งมักกะฮ์ ซึ่งออกมาในสภาพที่ผยองและโอ้อวดและความคลั่งไคล้ในชนเผ่า แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาได้เห็นกับตาว่า พวกข้าศึกนั้นมีจำนวนมากกว่าพวกเขาเป็นสองเท่า จากนั้นอัลลอฮ์ก็ทรงช่วยผู้ที่พระองค์ทรงรัก และอัลลอฮ์ทรงให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงในการนั้นแน่นอนมันเป็นบทเรียนและเป็นอุทาหรณ์แก่บรรดาผู้ที่ตระหนักรู้ เพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่าชัยชนะจะเป็นของผู้ศรัทธา แม้ว่าจะมีจำนวนน้อยก็ตาม และความพ่ายแพ้นั้นจะเกิดขึ้นแก่ผู้หลงทางแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมากก็ตาม

(14) อัลลอฮ์ได้บอกว่าพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงทำสิ่งที่บรรเจิดสำหรับมนุษย์ เพื่อเป็นการทดสอบสำหรับพวกเขา ด้วยความใคร่ต่างๆ ทางโลกดุนยา เช่น ผู้หญิง ลูกชาย ทรัพย์สินที่มากมายที่เป็นทองคำและเงิน ม้าที่ดี และปศุสัตว์หลากหลายชนิด เช่น อูฐ วัว และแพะ และการเพาะปลูก ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงปัจจัยของชีวิตแห่งโลกดุนยานี้เท่านั้น มีความสุขกับมันช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็จากไป ดังนั้นผู้ศรัทธาไม่ควรไปลุ่มหลงกับมัน และอัลลอฮ์นั้น ณ พระองค์ คือ จุดหมายที่ดี คือสรวงสวรรค์ ซึ่งความกว้างของมันนั้นเท่ากับชั้นฟ้าและแผ่นดิน

(15) จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- จะให้ข้าบอกแก่พวกเจ้าถึงสิ่งที่ดีกว่าความไคร่ต่างๆ เหล่านั้นหรือไม่? สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ด้วยการปฏิบัติตามพระองค์และละทิ้งการทำบาป พวกเขาจะได้รับสรวงสวรรค์ ซึ่งเบื้องล่างของมันมีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล ซึ่งในนั้นพวกเขาจะไม่ได้สัมผัสถึงความตายและความพินาศ และพวกเขาจะอยู่ในนั้นพร้อมกับบรรดาคู่ครองของพวกเขาที่บริสุทธิ์จากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ทั้งในด้านรูปลักษณ์และจรรยามารยาท และพร้อมกันนั้นพวกเขาจะได้รับความพึงพอใจจากอัลลอฮ์และพระองค์จะไม่เกรี้ยวพวกเขาอีกต่อไป และอัลลอฮ์ทรงเห็นสภาพต่างๆ ของบรรดาบ่าวทั้งหลาย โดยไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาบนฐานการงานของพวกเขา

(16) ชาวสวรรค์เหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่กล่าวในการวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของเขาว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของเรา แท้จริงเรา เราได้ศรัทธาต่อพระองค์ และต่อสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่บรรดาเราะสูลของพระองค์ และเราได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์แล้ว ดังนั้นโปรดอภัยให้แก่เราซึ่งสิ่งที่เป็นความผิดต่างๆที่เราได้กระทำไป และโปรดปกป้องเราให้พ้นจากการลงโทษแห่งไฟนรก"

(17) และพวกเขาคือผู้ที่อดทนในการปฏิบัติความดีต่างๆและละทิ้งความชั่ว และอดทนกับบททดสอบต่างๆที่ได้ประสบกับพวกเขา และพวกเขามีความสัตย์จริงในคำพูดและการกระทำ และพวกเขาเชื่อฟังอัลลอฮ์ด้วยการเชื่อฟังที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และพวกเขาเป็นผู้บริจาคทรัพย์สมบัติของพวกเขาในหนทางของอัลลอฮ์ และพวกเขาเป็นผู้ขออภัยโทษในยามสุดท้ายของกลางคืน เพราะการวิงวอนในเวลานั้น เป็นการวิงวอนที่ง่ายต่อการถูกตอบรับ และเป็นเวลาที่หัวใจนั้นบริสุทธิ์จากทุกสิ่ง

(18) อัลลอฮ์ทรงยืนยันว่า พระองค์คือพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะอย่างแท้จริง ซึ่งไม่มีผู้ใดที่ควรนอกจากพระองค์เท่านั้น และเหล่านั้นก็ด้วยการยืนยันจากบทบัญญัติต่างๆ ทางศาสนา และข้อพิสูจน์ต่างๆแห่งการสร้างของพระองค์ ที่แสดงถึงความเป็นพระเจ้าที่ควรแก่การกราบไว้อย่างแท้จริงของพระองค์ มลาอิกะฮ์ได้ยืนยัน และบรรดาผู้รู้ก็ยืนยันในสิ่งนี้เช่นกัน ด้วยการอธิบายและการเรียกร้องเชิญชวนสู่การศรัทธาต่อพระองค์เพียงองค์เดียว ดังนั้นทั้งหมดต่างก็ได้ทำการยืนยันต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นคือ การให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์เท่านั้นและทรงธำรงความยุติธรรมในการสร้างและยุติธรรมในการบัญญัติศาสนา ไม่มีผู้ใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะอย่างแท้จริงนอกจากพระองค์ผู้ทรงเดชานุภาพ ที่ไม่มีผู้ใดเหนือพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในการสร้าง การจัดการและการกำหนดกฎเกณฑ์ของพระองค์

(19) แท้จริงศาสนาที่ได้รับการรับรองจากอัลลอฮ์ นั้นคือศาสนาอิสลาม นั่นคือการยอมจำนนต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว ด้วยการเชื่อฟังและนอบน้อมต่อพระองค์ด้วยการเป็นบ่าว และศรัทธาต่อบรรดาเราะสูลทั้งหมดจนถึงเราะสูลท่านสุดท้ายคือ มูฮัมมัด ศ็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ที่อัลลอฮทรงให้ท่านเป็นคนสุดท้ายด้วยการจบสานส์ของพระองค์ และพระองค์จะไม่ยอมรับนอกจากศาสนาของท่านเท่านั้น และไม่มีความขัดแย้งใดๆ ที่เกิดขึ้นกับชาวยิวและชาวคริสต์ในศาสนาของพวกเขา และแตกแยกกัน เป็นกลุ่ม เป็นพรรค เว้นแต่หลังจากที่มีข้อยืนยันที่ปรากฎต่อพวกเขา จากความรู้ที่มายังพวกเขาแล้ว แต่อันเนื่องจากความริษยาและความโลภที่มีต่อโลกดุนยาต่างหาก และผู้ใดปฏิเสธโองการของอัลลอฮ์ที่ถูกประทานลงมายังท่านเราะสูลของพระองค์แล้ว ดังนั้น แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงฉับพลันในการชำระสำหรับผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์และไม่เชื่อต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์

(20) ดังนั้นหากพวกเขาโต้แย้งเจ้า -โอ้ท่านเราะสูล- ในเรื่องสัจธรรมที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า ก็จงตอบพวกเขาไปว่า "ฉันนอบน้อมตัวฉันและบรรดาผู้ปฏิบัติตามฉันจากผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้นต่ออัลลอฮแล้ว และจงกล่าว -โอ้ท่านเราะสูล- แก่บรรดาชาวยิวและชาวคริสต์และแก่บรรดาผู้ตั้งภาคี "พวกท่านนอบน้อมต่ออัลลอฮ์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจและปฏิบัติตามสิ่งที่ฉันนำมาแล้วหรือ? ถ้าหากพวกเขาได้นอบน้อมต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามศาสนาของเจ้าแล้ว โดยแน่นอนพวกเขาได้เดินอยู่บนทางนำแล้ว และถ้าหากพวกเขาผินหลังให้ต่ออิสลาม ดังนั้น ไม่มีอะไรสำหรับเจ้า นอกจากการประกาศให้พวกเขาทราบถึงสิ่งที่ถูกส่งมาเท่านั้น และเรื่องของพวกเขาเป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์ พระองค์เป็นผู้ทรงเห็นปวงบ่าวทั้งหลายของพระองค์ และพระองค์จะทรงตอบแทนทุกคนตามสิ่งที่พวกเขากระทำ

(21) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อหลักฐานต่างๆของอัลลอฮ์ที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่พวกเขา และฆ่าบรรดานบีโดยปราศจากความเป็นธรรม ฆ่าโดยอยุติธรรมและความเกลียดชังและฆ่าบรรดาผู้คนจากหมู่มนุษย์ที่กำชับในความเที่ยงธรรม และเป็นผู้ที่กำชับในสิ่งที่ถูกต้องและห้ามปรามในสิ่งชั่วร้าย จงแจ้งแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่เป็นฆาตกรเหล่านั้นด้วยการลงโทษอันเจ็บปวด

(22) พวกที่มีคุณลักษณะเหล่านี้ คือผู้ที่บรรดาการงานของพวกเขาไร้ผล พวกเขาจะไม่ได้ประโยชน์จากการงานของพวกเขาเลยทั้งในโลกนี้ และในปรโลก เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และจะไม่มีผู้ช่วยเหลือใดๆสำหรับพวกเขา ที่จะคอยปกป้องพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษ

(23) โอ้ท่านเราะสูล เจ้าไม่ได้ดูสภาพของชาวยิวที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานแก่พวกเขาซึ่งส่วนหนึ่งจากความรู้ที่มาจากคัมภีร์อัตเตารอต และสิ่งที่ชี้ถึงการเป็นนบีของเจ้าที่อยู่ในนั้นหรือ? โดยที่พวกเขาถูกเชิญชวนให้กลับไปสู่คัมภีร์ของอัลลอฮ์ อัตเตารอต เพื่อคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน จากนั้นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้รู้และส่วนหนี่งจากบรรดาผู้นำของพวกเขาไม่สนใจ และพวกเขาก็ปฏิเสธต่อการตัดสินของคัมภีร์นั้น เพราะการตัดสินนั้นไม่สอดคล้องกับความต้องการของพวกเขา และสิ่งที่ควรที่สุดสำหรับพวกเขา -ซึ่งพวกเขาต่างก็คิดว่าพวกเขาจะตอบรับการตัดสินนั้น- คือการเป็นผู้ที่ตอบรับต่อการตัดสินนั้นอย่างฉับพลัน(ในฐานะที่เป็นผู้รู้และเป็นผู้นำ)

(24) การปฏิเสธและไม่ยอมรับความจริงเกิดขึ้นเพราะพวกเขาคิดว่าไฟนรกจะไม่แตะต้องพวกเขาในวันกิยามะฮ์เว้นแต่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น จากนั้นก็ได้เข้าสรวงสวรรค์ ดังนั้นการคิดของพวกเขาได้ลวงพวกเขาเองเพราะการคิดอย่างนั้นทำให้พวกเขาปลอมแปลง(ศาสนาของพวกเขา) ด้วยการสร้างเรื่องเท็จขึ้นมา ดังนั้นความเชื่อนี้ได้หลอกลวงพวกเขาและทำให้พวกเขากล้าต่อต้านอัลลอฮ์และศาสนาของพระองค์

(25) ดังนั้นสภาพของพวกเขาและความรู้สึกผิดของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?!แน่นอนพวกเขาจะอยู่ในสภาพที่เลวร้ายมาก เมื่อเรารวบรวมพวกเขาเพื่อการสอบสวนในวันกิยามะฮ์ซึ่งเป็นวันที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ และทุกคนจะได้รับการตอบแทนตามที่พวกเขาสมควรได้รับ โดยไม่มีการอธรรมใดๆต่อพวกเขา ไม่ว่าจะด้วยการทำให้ผลของความดีลดน้อยลงหรือด้วยการทำให้ผลของความชั่วเพิ่มขั้น

(26) จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- เพื่อเป็นการสรรเสริญและเป็นการประกาสความยิ่งใหญ่แด่พระองค์- โอ้ อัลลอฮ์ พระองค์ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งอำนาจทั้งปวงทั้งในโลกนี้และปรโลก พระองค์ทรงประทานอำนาจแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และทรงถอดถอนอำนาจจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ในหมู่พวกเขา และทรงให้ต่ำต้อยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ทั้งหมดนี้ด้วยความปรีชาญาณและความยุติธรรมของพระองค์ ความดีทั้งหลายนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ผู้เดียว แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง

(27) และบางสิ่งที่แสดงถึงความสามารถของพระองค์ คือการที่พระองค์ทรงทำให้กลางคืนเข้าไปในกลางวัน จึงทำให้เวลาของกลางวันนั้นยาว และทรงทำให้กลางวันเข้าไปในกลางคืน ดังนั้นจึงทำให้เวลาของกลางคืนนั้นยาว และทรงให้สิ่งที่มีชีวิตออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต ดังเช่นการนำออกผู้ศรัทธาจากผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และการทำให้ต้นกล้างอกออกจากเมล็ด และทรงให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตออกจากสิ่งที่มีชีวิต เช่นการออกของผู้ปฏิเสธศรัทธาจากผู้ที่ศรัทธา และการนำไข่ออกจากแม่ไก่ และทรงให้ปัจจัยยังชีพที่กว้างขวางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการนับคำนวณ

(28) โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่าได้เอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตร ด้วยการรักและสนับสนุนพวกเขาอื่นจากบรรดามุมิน และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาย่อมไม่มีส่วนใดๆ จากอัลลอฮ์และอัลลอฮ์ก็ไม่มีส่วนใดๆจากเขาเช่นกัน นอกจากพวกเจ้าอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขา แล้วพวกเจ้ากลัวพวกเขาจะทำอันตรายต่อพวกเจ้า ดังนั้นจะไม่เป็นบาป หากเป็นการปกป้องจากการทำร้ายของพวกเขา ด้วยการแสดงออกด้วยคำพูดที่ดี การกระทำที่อ่อนโยน พร้อมกับการเก็บความเป็นศัตรูกับพวกเขาไว้ และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์ ดังนั้นจงยำเกรงต่อพระองค์เถิด และอย่าได้กระทำสิ่งใดๆ ที่พระองค์ทรงโกรธ ด้วยการกระทำความผิดต่างๆ และยังอัลลอฮ์เท่านั้นคือจุดหมายของปวงบ่าวในวันกียามะฮ์ เพื่อรับการตอบแทนในทุกการงานของพวกเขา

(29) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านนบี "หากพวกเจ้าปกปิดสิ่งที่อยู่ในทรวงอกของพวกเจ้า ซึ่งสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงห้ามพวกเจ้าไว้ เช่นการภักดีต่อผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา หรือเปิดเผยมันก็ตาม อัลลอฮ์ก็ย่อมรู้ถึงสิ่งนั้นดี ไม่มีสิ่งใดที่จะซ่อนเร้นจากพระองค์ได้ และทรงรู้ทุกสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และทุกสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางพระองค์ได้

(30) ในวันกียามะฮฺที่แต่ละชีวิตจะได้เจอกับความดีที่ตนได้ประกอบไว้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้าโดยที่ไม่ขาดตกบกพร่อง และผู้ที่กระทำความชั่ว พวกเขาหวังว่าระยะเวลาระหว่างพวกเขากับความชั่วของพวกเขานั้นห่างไกล และสิ่งที่พวกเขาหวังไว้นั้น(ไม่มีทางเป็นไปได้) และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเขาให้ยำเกรงพระองค์ ดังนั้นอย่าได้นำตัวเองสู่ความโกรธกริ้วของพระองค์ด้วยการทำบาปต่างๆ และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเอ็นดูต่อปวงบ่าวของพระองค์ นั่นคือเหตุที่พระองค์ทรงตักเตือนและทำให้พวกเขาหวาดกลัว

(31) จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- "หากพวกเจ้ารักอัลลอฮ์อย่างแท้จริง ก็จงปฏิบัติตามในสิ่งที่ฉันนำมาทั้งเรื่อง(การปฏิบัติของร่างกาย)ภายนอกและ(การปฏิบัติของจิตใจจาก)ภายใน แน่นอนพวกเจ้าจะได้รับความรักจากอัลลอฮ์ และจะทรงอภัยให้แก่พวกเจ้าซึ่งบาปทั้งหลายของพวกเจ้า และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยสำหรับบ่าวที่กลับเนื้อกลับตัว ผู้ทรงเมตตาเสมอ"

(32) จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- "พวกท่านจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์เถิด ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาและห่างไกลสิ่งต้องห้าม แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ไม่เชื่อฟัง แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ฝ่าฝืนต่อคำสั่งของพระองค์และคำสั่งของเราะสูลของพระองค์"

(33) แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงเลือก อาดัม อลัยฮิสสลาม และพระองค์ได้ทรงให้บรรดามลาอิกะฮ์ของพระองค์ทำการสูญูดต่อเขา และพระองค์ทรงเลือกนูหฺและทรงให้เขาเป็นเราะสูลท่านแรกของชาวโลกนี้ และพระองค์ทรงเลือกวงศ์วานของอิบรอฮีมและทรงทำให้ต่ำแหน่งการเป็นนบีตกเป็นของลูกหลานของท่าน และพระองค์ทรงเลือกวงศ์วานของอิมรอน พระองค์ทรงเลือกพวกเขาเหล่านี้ทั้งหมดและทรงโปรดปรานพวกเขาเหนือทุกคนในยุคของพวกเขา

(34) พวกเขาเหล่านั้นตามที่ได้กล่าวมานั้น ที่เป็นบรรดานบีและลูกหลานของพวกเขาที่ปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขา พวกเขาคือลูกหลานที่สืบทอดต่อๆ กัน ระหว่างพวกเขา ในเรื่องการศรัทธาต่ออัลลอฮ์และการประกอบคุณงามความดี พวกเขาสืบทอดกันระหว่างพวกเขาซึ่งเกียรติต่างๆและความประเสริฐต่างๆ และอัลลอฮ์ทรงได้ยินคำพูดของปวงบ่าวของพระองค์ ทรงรอบรู้ในการงานของพวกเขา นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงเลือกผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากพวกเขา และพระองค์ทรงคัดจากพวกเขาผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์

(35) โอ้ท่านเราะสูล จงรำลึกถึงขณะที่ภรรยาของอิมรอน มารดาของมัรยัม อลัยฮัสสลาม กล่าวว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน แท้จริงฉันได้สัญญากับตนเอง ด้วยการให้สิ่งที่อยู่ในครรภ์ของฉันจากการตั้งท้องในครั้งนี้ เจาะจงไว้เพื่อพระองค์ อิสระจากทุกสิ่ง เพื่อรับใช้พระองค์และดูแลบ้านของพระองค์ ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดรับจากฉันด้วยเถิด แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินในคำวิงวอนของฉัน ผู้ทรงรอบรู้ในเจตนารมณ์ของฉัน"

(36) ครั้นเมื่อครบกำหนดนางก็ได้คลอดบุตร และนางก็ได้กล่าวเป็นการขอโทษต่ออัลลอฮ์ -ซึ่งนางได้หวังจากการตั้งครรภ์ของนางนั้นเป็นเพศชาย- "โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน แท้จริงแล้วฉันได้คลอดบุตรเป็นหญิง และอัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่ง ถึงบุตรที่นางได้คลอดมา และบุตรชายที่ได้หวังไว้ไม่เหมือนกับบุตรสาวที่ได้มา ทั้งในด้านกำลังและรูปร่าง และฉันได้ตั้งชื่อนางว่า “มัรฺยัม” แล้วฉันขอต่อพระองค์ให้ทรงคุ้มครองนาง และลูกของนางให้พ้นจากชัยฏอนที่ถูกขับไล่จากความเมตตาของพระองค์"

(37) และอัลลอฮ์ได้ทรงตอบรับ การบนบานของนาง ด้วยการตอบรับที่ดี และทรงให้นาง(มัรยัม)เจริญวัยอย่างดีและทรงให้จิตใจของบรรดาบ่าวที่ดีทั้งหลายได้เมตตาเอ็นดูต่อนาง และได้ทรงให้ซะกะรียา อลัยฮิสสลาม เป็นผู้อุปการะนาง และคราใดที่ซะกะรียาเข้าไปหานางสถานที่สักการะของนาง เขามักจะพบอาหารที่ดีที่ง่ายอยู่ในที่นางเสมอ เขากล่าวว่า "มัรยัมเอ๋ย! เธอได้สิ่งนี้มาอย่างไร?" นางกล่าวว่า "ปัจจัยยังชีพนี้มาจากอัลลอฮ์ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพที่กว้างขวางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคิดคำนวณ"

(38) เมื่อซะกะรียาได้เห็นถึงปัจจัยยังชีพที่อัลลอฮ์ได้ให้แก่มัรยัมบุตรของอิมรอนด้วยวิธีการที่เหนือปกติจากกฏเกณฑ์ของพระองค์ในการให้ปัจจัยยังชีพ เลยหวังต่ออัลลฮ์ได้ประทานแก่เขาซึ่งบุตรชาย พร้อมกับสภาพของเขาที่อยู่ในภาวะที่มีบุตรยาก ด้วยอายุที่มากและภรรยาที่เป็นหมัน ดังนั้นเขากล่าวว่า "โอ้ พระผู้อภิบาลของฉัน โปรดประทานแก่ฉัน ซึ่งลูกที่ดี แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินต่อคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอนต่อพระองค์ เป็นผู้ทรงตอบรับสำหรับพวกเขา"

(39) และมลาอิกะฮ์ได้เรียกเขา เพื่อสนทนากับเขา ขณะที่เขากำลังยืนละหมาดอยู่ในสถานที่สักการะของเขา ด้วยการกล่าวว่า "แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่เจ้าด้วยการให้กำเนิดบุตรแก่เจ้า ชื่อของเขาคือ ยะห์ยา โดยที่เขาจะเป็นผู้ยืนยันถึงถ้อยคำหนึ่งจากอัลลอฮ์ นั่นก็คือ อีซาบุตรของมัรยัม เพราะเขาถูกสร้างมาเป็นการเฉพาะด้วยถ้อยคำหนึ่งจากอัลลอฮ์ และเด็กคนนี้จะเป็นผู้นำของชนชาติของเขาในด้านความรู้และการเคารพอิบาดะฮ์ เขามักจะยับยั้งตัวเองจากความใคร่ทุกประการรวมถึงการเข้าใกล้ผู้หญิง และเต็มเปี่ยมด้วยการเคารพอิบาดะฮ์ต่อพระผู้อภิบาลของเขา และเป็นนบีคนหนึ่งจากหมู่ชนที่เป็นคนดี"

(40) ซะกะรียากล่าวแก่มลาอีกะฮ์หลังจากที่ได้แจ้งข่าวดีเรื่องยะหฺยาแก่เขา "โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ฉันจะมีบุตรได้อย่างไร หลังจากที่ฉันเป็นคนที่ชราภาพแล้ว และภรรยาของฉันก็เป็นหมันซึ่งไม่สามารถคลอดบุตรได้" อัลลอฮ์ตรัสตอบว่า "การสร้างยะห์ยา แม้จะด้วยความชราภาพของเจ้าและการเป็นหมันของภรรยาเจ้า ก็เหมือนกับการสร้างสิ่งอื่นๆของอัลลอฮ์ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ที่ขัดแย้งกับความคุ้นเคยที่ปกติ เพราะอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสามารถเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความปรีชาญาณและความรอบรู้ของพระองค์"

(41) ซะกะรียากล่าวว่า "โอ้ พระผู้อภิบาลของฉัน! ได้ทรงโปรดกำหนดสัญญาณหนึ่งแก่ฉันที่แสดงถึงการตั้งครรภ์ของภรรยาฉัน" พระองค์ตรัสว่า "สัญญาณที่เจ้าขอนั้นก็คือ เจ้าจะไม่สามารถพูดกับผู้คนเป็นเวลาสามวันสามคืน นอกจากด้วยการบอกใบ้เท่านั้น มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดปกติที่ประสบกับเจ้า ดังนั้นจงรำลึกถึงอัลลอฮ์ให้มากๆ และจงกล่าวสดุดีต่อพระองค์ ทั้งในยามเย็นและรุ่งอรุณ

(42) และจงรำลึกเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- ขณะที่มลาอิกะฮ์กล่าวแก่ มัรยัม อลัยฮัสสลาม "แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงเลือกเธอ เนื่องด้วยคุณลักษณะที่ดีต่างๆที่มีกับเธอ และทรงทำให้เธอบริสุทธิ์ และได้ทรงเลือกเธอให้เหนือบรรดาหญิงทั้งหลายในยุคของเธอ"

(43) "โอ้มัรยัมเอ๋ย จงยืนละหมาดให้ยาวนาน และจงกราบสุญูดต่อพระผู้อภิบาลของเจ้า และจงโค้งคำนับต่อพระองค์ ร่วมกับบรรดาผู้ที่โค้งคำนับทั้งหลายจากปวงบ่าวที่ดีของพระองค์"

(44) เรื่องราวดังกล่าวที่เป็นเรื่องของซะกะรียาและมัรยัม อะลัยฮิมัสสลาม เป็นส่วนหนึ่งจากเรื่องราวที่เร้นลับซึ่งเราได้วะห์ยูให้แก่เจ้า -โอ้ท่านเราะซูล-เจ้าไม่ได้อยู่กับผู้รู้เหล่านั้นและกับผู้ทรงคุณธรรมเหล่านั้น ขณะที่พวกเขาโต้เถียงกันถึงเรื่องผู้ที่เหมาะสมในการอุปการะมัรยัม ดังนั้นพวกเขาจึงใช้การจับฉลาก พวกเขาโยนปากกาของพวกเขา และปากกาของซะกะรียา อลัยฮิสสลาม ชนะไป

(45) โอ้ท่านเราะซูล จงรำลึกถึงขณะที่มลาอิกะฮ์กล่าวว่า "มัรยัมเอ๋ย! แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่เธอ ด้วยลูกชายซึ่งจะเกิดมาโดยไม่มีพ่อ แต่จะเกิดมาด้วยถ้อยคำหนึ่งจากอัลลอฮ์ โดยพระองค์กล่าวว่า "จงเป็น" ดังนั้นเขาก็ปรากฎมาเป็นเด็กชาย ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์ และเด็กคนนี้มีชื่อว่า อัลมะซีห์ อีซาบุตรของมัรยัม เขามีสถานะที่ยิ่งใหญ่ในโลกนี้และในปรโลก และจะอยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิดสำหรับพระองค์ผู้ทรงสูงส่ง"

(46) และเขาจะพูดแก่ผู้คนขณะที่เขายังเป็นเด็กเล็กก่อนวัยที่จะพูดได้ และเขาจะพูดกับพวกเขาในตอนที่เขาโตซึ่งความแข็งแรงและความเป็นผู้ชายของเขาสมบูรณ์ เขาก็จะสนทนากับพวกเขาในเรื่องที่ดีในเรื่องที่เกี่ยวกับทางศาสนาและทางโลกของพวกเขา และเขาเป็นคนหนึ่งจากเหล่าผู้ทรงคุณธรรมทั้งในคำพูดและการปฏิบัติของพวกเขา

(47) นางมัรยัมกล่าวด้วยความแปลกใจ ถึงการที่เขาจะมีลูกโดยไม่มีสามี "ฉันจะมีลูกได้อย่างไร ทั้งที่ไม่เคยมีผู้ชายไหนเข้าใกล้ฉัน ทั้งในแบบที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง?!" มลาอิกะฮ์ได้กล่าวแก่นางว่า "การสร้างของอัลลอฮ์ซึ่งลูกชายให้แก่เจ้าโดยไม่มีพ่อ ก็เหมือนกับการสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์อื่น ๆ ที่มันขัดแย้งกับหลักปกติ เพราะเมื่อพระองค์ทรงประสงค์ต่อสิ่งใด พระองค์ก็เพียงประกาศิตแก่สิ่งนั้นว่า "จงเป็น" แล้วสิ่งนั้นก็จะปรากฎขึ้น ดังนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางพระองค์ได้

(48) และพระองค์ทรงสอนให้เขาเขียน ความถูกต้องและความเหมาะสมในการพูดและการกระทำ และสอนคัมภีร์อัตเตารอตที่ได้ประทานลงมายังมูซา อลัยฮิสสลาม และสอนอัลอินญีลที่จะประทานลงมายังเขา

(49) และอัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งเขาเป็นศาสนฑูตแก่วงศ์วานอิสรออีล โดยที่เขาจะกล่าวแก่พวกเขาว่า "แท้จริงฉันเป็นเราะสูลของอัลลอฮ์มายังพวกเจ้า ด้วยสัญญาณหนึ่งเพื่อเป็นการยืนยันถึงการเป็นนบีที่แท้จริงของฉัน โดยที่ฉันจะจำลองขึ้นจากดินให้แก่พวกเจ้าดั่งรูปนก แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันก็จะกลายเป็นนกด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และฉันจะรักษาคนตาบอดแต่กำเนิดแล้วเขาจะมองเห็น และคนที่เป็นโรคเรื้อนแล้วผิวหนังของเขาก็กลับสู่ปกติ และฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้น ทั้งหมดนี้ด้วยความอนุมัติของอัลลอฮ์ และฉันจะบอกพวกเจ้าถึงสิ่งที่พวกเจ้าจะบริโภคกัน และสิ่งที่พวกเจ้าสะสมไว้ในบ้านของพวกเจ้า จากอาหารที่พวกเจ้าเก็บซ้อนไว้ แท้จริงทั้งหมดที่ฉันได้บอกแก่พวกเจ้าที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถทำได้นั้น มันคือสัญญาณที่ชัดแจ้งที่บ่งบอกถึง การเป็นเราะสูลของฉันที่มาจากอัลลอฮมายังพวกเจ้า หากพวกเจ้านั้นต้องการที่จะศรัทธาและเชื่อในหลักฐานที่นำมา"

(50) และฉันได้มายังพวกเจ้าเพื่อเป็นผู้มายืนยันสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนหน้าฉันจากคำภีร์อัตเตารอต และมายันพวกเจ้าเพี่อที่ฉันจะได้อนุมัติแก่พวกเจ้า ซึ่งบางสิ่งที่ถูกห้ามแก่พวกเจ้าก่อนหน้านี้ เพื่อให้เกิดความสะดวกและความง่ายดายแก่พวกเจ้า และฉันได้นำมาแก่พวกเจ้าด้วยข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนที่ยืนยันถึงความถูกต้องในสิ่งที่ฉันบอกพวกเจ้า ดังนั้นพึงยำเกรงอัลลอฮ์เถิด โดยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม และจงเชื่อฟังฉันในสิ่งที่ฉันได้เชิญชวนพวกเจ้า

(51) นั่นเป็นเพราะว่าอัลลอฮคือพระผู้อภิบาลของฉันและพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า พระองค์เพียงผู้เดียวที่สมควรได้รับการเชื่อฟังและยำเกรง ดังนั้นจงเคารพภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียว นี่คือสิ่งที่ฉันใช้ให้พวกเจ้าเคารพภักดีต่ออัลลอฮและยำเกรงต่อพระองค์ มันเป็นเส้นทางที่เที่ยงตรงที่ไม่บิดเบี้ยว

(52) เมื่อนบีอีซา อลัยฮิสสลาม ได้รู้ถึงพวกเขาบางคนยังคงยืนกรานที่จะปฏิเสธศรัทธา เขาจึงกล่าวแก่วงศ์วานอิสรอเอลว่า "ใครบ้างจะเป็นผู้ช่วยเหลือฉันในการเชิญชวนไปสู่อัลลอฮ์? บรรดาสาวกผู้บริสุทธิ์ใจจากผู้ติดตามของเขากล่าวว่า "พวกเราคือผู้ช่วยเหลือศาสนาของอัลลอฮ์ พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามท่าน และท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเรานั้น คือผู้นอบน้อมต่ออัลลอฮ์ด้วยศรัทธาในเอกภาพของพระองค์และเชื่อฟังพระองค์"

(53) อัครสาวกยังกล่าวอีกว่า "โอ้ พระผู้อภิบาลของเรา เราได้ศรัทธาต่อคัมภีร์อินญีลที่พระองค์ได้ประทานลงมา และเราได้ปฏิบัติตามอีซา อลัยฮิสสลาม ดังนั้น โปรดทำให้พวกเราอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่เป็นพยานถึงความจริงนี้ ผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์และบรรดาเราะสูลของพระองค์"

(54) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจากวงศ์วานอิสรอเอลได้วางแผนเพื่อลงมือฆ่านบีอีซา อลัยฮิสสลาม ดังนั้นอัลลอฮ์ทรงวางแผนต่อพวกเขาด้วยการทิ้งพวกเขาให้อยู่ในความหลงทาง และพระองค์ได้ทรงทำให้ความคล้ายกับอีซาได้เกิดขึ้นกับผู้ชายอื่น และอัลลอฮ์ทรงเป็นเลิศแห่งผู้วางแผน เพราะ ไม่มี แผนใดที่จะร้ายกาจมากไปกว่า แผนของพระองค์ที่มีต่อศัตรูของพระองค์

(55) และแผนของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขาเช่นกัน คือตอนที่อัลลอฮ์ได้ตรัสแก่อีซาว่า "โอ้ อีซา! ข้าจะเป็นผู้ที่นำเจ้ามาในสภาพที่ไม่ได้ตาย และจะเป็นผู้ที่ยกร่างกายและวิญญานของเจ้าขึ้นมายังข้า และจะเป็นผู้ที่ทำให้เจ้าบริสุทธิ์ จากความโสมมของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อเจ้าและทำให้เจ้าห่างไกลจากพวกเขา และทำให้บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามเจ้าได้ยืนหยัดบนศาสนาที่ถูกต้อง -ซึ่งในนั้นก็คือการศรัทธาต่อมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม- โดยให้พวกเขาอยู่เหนือผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย จนถึงวันกิยามะฮ์ด้วยหลักฐานและความภาคภูมิใจ แล้วยังข้าเท่านั้นคือจุดหมายของพวกเจ้าในวันกิยามะฮ์ ดังนั้นข้าจะตัดสินระหว่างพวกเจ้าด้วยความถูกต้อง ในสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกัน"

(56) ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อเจ้าและต่อความจริงที่เจ้าได้นำมายังพวกเขา ดังนั้นเราจะลงโทษพวกเขาด้วยการลงโทษอย่างสาหัสทั้งในโลกนี้ด้วยการถูกฆ่า เป็นเชลย ความตกต่ำและอื่นๆ และในปรโลกนั้นด้วยการลงโทษแห่งไฟนรก และพวกเขาจะไม่มีผู้คอยช่วยเหลือปกป้องพวกเขาให้พ้นจากบทลงโทษได้

(57) ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาต่อเจ้าและต่อความจริงที่เจ้านำมาแก่พวกเขา และพวกเขาได้ประกอบคุณงามความดี เช่นการดำรงการละหมาด การจ่ายซะกาต การถือศีลอด การสานสัมพันธ์และอื่นๆนั้น แท้จริงพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาต่อการงานของพวกเขาโดยครบถ้วน โดยไม่ขาดหายแม้แต่น้อย และนี้เป็นเรื่องราวที่พูดถึงบรรดาสาวกของอัลมะซีห์ก่อนการมาของท่านศาสนทูตมูฮัมหมัด ศ็อลลัลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นผู้ที่ท่านอัลมะซีหฺได้แจ้งด้วยตัวของท่านเอง และอัลลอฮฺไม่ทรงชอบบรรดาผู้อธรรมทั้งหลาย และสิ่งที่อธรรมที่สุดนั้นคือการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์และการกล่าวเท็จต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์

(58) นั่นคือเรื่องราวของนบีอีซา อลัยฮิสสลาม ที่เราได้อ่านมันให้แก่เจ้าซึ่งมันคือส่วนหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายที่ชัดแจ้งที่บ่งชี้ถึงความจริงของสิ่งที่เราได้ประทานลงมาให้เจ้า และมันคือข้อเตือนใจสำหรับผู้ยำเกรง ที่รัดกุมไม่เจือปนด้วยความเท็จ

(59) แท้จริงอุปมาของการสร้างอีซา อลัยฮิสสลาม ณ ที่อัลลอฮ์นั้น อุปไมยดังการสร้างอาดัมจากดิน โดยไม่มีทั้งพ่อและแม่ แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงตรัสแก่เขาว่า "จงเป็นมนุษย์" มันก็ปรากฎตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ดังนั้นพวกเขา(ชาวคริสต์) คิดได้อย่างไรว่าเขา (อีซา) เป็นพระเจ้า ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีพ่อทั้งที่พวกเขาเองก็ยอมรับว่าอาดัมเป็นมนุษย์ ทั้งที่เขาถูกสร้างขึ้นโดยไม่มีทั้งพ่อและไม่มีทั้งแม่?!

(60) ความจริงที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของอีซา อลัยฮิสสลาม นั้น มันเป็นสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า จากพระผู้อภิบาลของเจ้า ดังนั้นจงอย่าเป็นคนที่อยู่ในหมู่ผู้ที่สงสัยและลังเล แต่จงยืนหยัดบนสิ่งที่เจ้าธำรงอยู่ที่เป็นสัจธรรม

(61) ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้า -โอ้ท่านเราะสูล- จากชาวคริสต์ นัจรอน ในเรื่องของอีซา โดยที่พวกเขาอ้างว่า เขาไม่ได้เป็นบ่าวอัลลอฮ์ หลังจากความรู้ที่ถูกต้องได้มายังพวกเขาแล้วในเรื่องนี้ ดังนั้น ก็จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด "ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราเรียกลูกๆ ของเรา และลูกๆของพวกท่าน และเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่าน และตัวของพวกเรา และตัวของพวกท่าน แล้วเรารวมตัวกันทั้งหมด จากนั้นเรามานอบน้อมต่ออัลลอฮ์ ด้วยการวิงวอนต่อพระองค์ ให้พระองค์ได้พระทานลงมาซึ่งการ ละนัตของพระองค์ (การสาปแช่ง) ได้ประสบ แก่บรรดาผู้ที่โกหกจากพวกเราและพวกเจ้า"

(62) แท้จริงสิ่งที่เราได้กล่าวมาให้แก่เจ้าถึงเรื่องราวของ อีซา อลัยฮิสสลาม นั้น มันเป็นความจริงที่ไม่มีโกหกและไม่มีสงสัย และไม่มีสิ่งใดที่ควรเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น และแท้จริงอัลลอฮ์คือผู้ทรงเดชานุภาพในการครอบครองของพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในการบริหารจัดการ ในคำสั่ง และการสร้างของพระองค์

(63) หากพวกเขาหันหนีจากศาสนาที่เจ้านำมาและไม่ปฏิบัติตามเจ้า นั่นเป็นส่วนหนึ่งของความหายนะของพวกเขา อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ถึงบรรดาผู้ก่อความเสียหายในแผ่นดิน และจะตอบแทนพวกเขาต่อสิ่งที่พวกเขากระทำ

(64) จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะซูล- "โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ จากชาวยิวและชาวคริสต์ เรามารวมตัวกันบนคำสอนที่ยุติธรรมที่พวกเราต่างก็เหมือนกันเท่าเทียมในเรื่องนี้ นั่นคือ เราจะเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวและไม่เคารพสักการะพระองค์พร้อมกับสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์เท่านั้น แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีฐานะที่สูงศักดิ์สักเพียงใดก็ตาม และพวกเราจะไม่ยึดเอาระหว่างพวกเราซึ่งกันและกัน เป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์" และหากพวกเขาผินหลังให้กับสิ่งที่เจ้าเรียกร้องจากความถูกต้องและความยุติธรรม ดังนั้น จงกล่าวแก่พวกเขา -โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา- "พวกเจ้า (ชาวคัมภีร์) จงเป็นพยาน แท้จริงพวกเราเป็นผู้จำนนต่ออัลลอฮ์เชื่อฟังพระองค์โดยการปฏิบัติตาม"

(65) โอ้บรรดาผู้ได้รับคำภีร์เพราะเหตุใดเล่า พวกเจ้าจึงโต้เถียงในเรื่องศาสนาของอิบรอฮีม อลัยฮิสสลาม?บรรดาชาวยิวอ้างว่า แท้จริงอิบรอฮีมนั้นเป็นยิว และบรรดาคริสต์อ้างว่าแท้จริงเขาเป็นคริสต์ ทั้งที่พวกเจ้าก็รู้ว่าศาสนายิวและศาสนาคริสต์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเว้นแต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปนานแล้ว พวกเจ้าไม่สามารถที่ใช้สติปัญญาของพวกเจ้าได้เลยหรือที่จะเข้าใจว่าสิ่งที่พวกเจ้าอ้างนั้นมันไม่จริง มันผิดมันไม่ถูกต้อง?!

(66) โอ้ พวกเจ้าทั้งหลาย -โอ้ชาวผู้ได้รับคำภีร์- พวกเจ้าได้โต้เถียงต่อท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในสิ่งที่พวกเจ้ามีความรู้ในเรื่องศาสนาของพวกเจ้าและในสิ่งที่ประทานลงมายังพวกเจ้า แล้วเหตุไฉนเล่า พวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้ ที่เกี่ยวกับอิบรอฮีมและศาสนาของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีในคำภีร์ของพวกเจ้า และเป็นสิ่งที่บรรดานบีของพวกเจ้าก็ไม่ได้นำมา? และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ถึงความจริงของแต่ละสิ่งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย แต่พวกเจ้านั้นไม่รู้

(67) อิบรอฮีมไม่เคยนับถือศาสนายิวและไม่เคยเป็นคริสต์ แต่ทว่าเขาเป็นผู้ที่ออกห่างจากศาสนาที่เป็นเท็จ เป็นมุสลิมที่จำนนต่ออัลลอฮ์ เป็นผู้ที่ศรัทธาในเอกภาพของพระองค์ และเขาก็ไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคีต่อพระองค์ ดังที่พวกมุชริกีน(ผู้ตั้งภาคี)ชาวอาหรับอ้างไว้

(68) แท้จริงแล้ว คนที่มีสิทธิมากที่สุดที่จะถือว่าตนเองเป็นคนที่ไกล้ชิดกับอิบราฮิมนั้น คือผู้ที่ปฏิบัติตามศาสนาที่เขานำมาในสมัยของเขา และบรรดาผู้มีสิทธิมากที่สุดที่จะทำเช่นนั้นคือนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อท่านในหมู่ประชาชาตินี้ และอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือและผู้คุ้มครองบรรดาผู้ศรัทธาต่อพระองค์

(69) โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย บรรดาผู้รู้ของชาวยิวและชาวคริสต์มีความปรารถนาที่จะให้พวกเจ้าหลงจากความจริงที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้ทางนำแก่พวกเจ้า และพวกเขาจะไม่ทำให้ใครหลง นอกจากตัวของพวกเขาเอง เนื่องจากการพยายามของพวกเขาในการทำให้ผู้ศรัทธาหลงนั้นจะเพิ่มความหลงแก่พวกเขา แต่พวกเขาไม่รู้ถึงผลลัพธ์จากการกระทำของพวกเขา

(70) โอ้ผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลายจากชาวยิวและชาวคริสต์ เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮ์ที่ประทานลงมายังพวกเจ้า และในนั้นมีสิ่งที่บ่งชี้ถึงการเป็นนบีของมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ทั้งๆที่พวกเจ้าเองเป็นพยานที่ยืนยันว่า มันคือความจริงซึ่งคำภีร์ของพวกเจ้าได้บ่งบอกไว้?!

(71) โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงปะปนความจริงที่ประทานลงมาในคำภีร์ของพวกเจ้า ด้วยความเท็จที่มาจากพวกเจ้า และปกปิดในสิ่งที่เป็นความจริงและทางนำไว้ และหนึ่งในนั้น(ที่ถุูกปกปิด)คือวามจริงของการเป็นนบีของมูฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ทั้งๆ ที่พวกเจ้าเองรู้ว่า อะไรคือความจริงอะไรคือความเท็จและอะไรคือทางนำอะไรคือทางหลง?!

(72) และกลุ่มหนึ่งจากบรรดาผู้รู้ของชาวยิวได้กล่าวว่า "พวกเจ้าจงศรัทธาแค่ภายนอกด้วยอัลกุรอ่านที่ถูกประทานแก่บรรดาผู้ศรัทธาในยามแรกของกลางวัน (เช้า) และจงปฏิเสธในยามสุดท้ายของมัน (เย็น) เพื่อว่าพวกเขาจะได้เกิดการสงสัยต่อศาสนาของพวกเขา เนื่องด้วยการปฏิเสธของพวกเจ้าหลังจากที่พวกเจ้าศรัทธาแล้วพวกเขาจะได้ละทิ้งศาสนานั้นไป ด้วยการที่พวกเขากล่าวว่า "พวกเขามีความรอบรู้มากกว่าเราเกี่ยวกับคัมภีร์ของอัลลอฮ์ พวกเขายังทิ้งศาสนานี้เลย"

(73) พวกเขายังกล่าวอีกว่า “พวกเจ้าจงอย่าเชื่อและปฏิบัติตามเว้นแต่ผู้ที่นับถือศาสนาของคุณ” จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า “แท้จริงการชี้นำไปสู่สัจธรรมที่แท้จริงคือการชี้นำของอัลลอฮ์ ไม่ใช่การโกหกและการปฏิเสธที่พวกเจ้ากำลังกระทำอยู่ เพราะกลัวว่าจะมีผู้อื่นได้รับความโปรดปรานตามที่ได้ประทานแก่พวกเจ้า หรือเพราะกลัวว่าพวกเขาจะเอาชนะการโต้แย้งของพวกเจ้าต่อหน้าพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้ายอมรับสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเขา" จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า “แท้จริงความโปรดปรานอยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮ์ พระองค์มีสิทธิที่จะมอบให้ใครก็ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ท่ามกลางปวงบ่าวของพระองค์ ซึ่งความโปรดปรานของพระองค์ไม่ได้มอบให้กับบางคนเท่านั้น ในขณะที่คนอื่นไม่ได้รับ โดยที่อัลลอฮ์ทรงกว้างขวางในความโปรดปราน โดยทรงรู้ว่าผู้ใดสมควรได้รับมัน"

(74) พระองค์ทรงเจาะจงความเอ็นดูเมตตาของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮ์นั้นทรงโปรดปรานด้วยการให้ทางนำ การเป็นนบีและการให้ที่หลากหลาย และอัลลอฮ์ทรงเป็นเจ้าแห่งโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีขอบเขตในความโปรดปราณนั้น

(75) และจากหมู่ผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้น มีผู้ที่หากเจ้าฝากเขาไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติอันมากมายเขาก็จะคืนมันแก่เจ้า และจากหมู่พวกเขานั้นมีผู้ที่หากเจ้าฝากเขาไว้ซึ่งทรัพย์สินที่น้อยนิด พวกเขาก็จะไม่ส่งคืนแก่เจ้าในสิ่งที่ฝากไว้นอกจากเจ้าจะยืนเฝ้าทวงเขาอยู่เท่านั้น นั่นก็เพราะคำกล่าวของพวกเขาและความคิดที่ไม่ดีของพวกเขาที่ว่า "ไม่มีบาปอะไรสำหรับพวกเราในการที่จะกินทรัพย์สินของชาวอาหรับ เพราะอัลลอฮ์ได้อนุญาตแก่พวกเราแล้ว" พวกเขากล่าวความเท็จ และพวกเขารู้ว่ากำลังใส่ร้ายต่ออัลลอฮ์

(76) ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด พวกเขายังคงเป็นคนบาป แต่ผู้ใดที่เต็มใจที่จะรักษาสัญญาของเขากับอัลลอฮ์จากการศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อพระองค์และต่อบรรดารอสูลของพระองค์ และปฏิบัติตามสัญญาที่ให้กับเพื่อนมนุษย์โดยรับผิดชอบสิ่งที่ได้รับมอบหมาย และเกรงกลัวอัลลอฮ์โดยรักษาบัญญัติของพระองค์และหลีกเลี่ยงข้อห้ามของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ยำเกรงทั้งหลาย และจะให้รางวัลที่ดีที่สุดแก่พวกเขา

(77) แท้จริงบรรดาผู้ที่เปลี่ยนแปลงคำสั่งเสียของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขา โดยการปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ประทานลงมาในคัมภีร์ของพระองค์ และสิ่งที่บรรดาเราะสูลได้นำมา และเปลี่ยนแปลงคำสาบานของพวกเขาที่พวกเขาสัญญากับอัลลอฮ์ เพียงเพื่อความเพลิดเพลินเล็กน้อยทางโลก โดยที่พวกเขาจะไม่ได้รับส่วนแบ่งใด ๆ ที่เป็นรางวัลในปรโลก และอัลลอฮ์จะไม่พูดกับพวกเขาด้วยสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุข และจะไม่มองดูพวกเขาด้วยความเมตตาในวันกิยามะฮ์ และจะไม่ทำให้พวกเขาสะอาดจากความผิดบาปและการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาและสำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันเจ็บปวด

(78) แท้จริงในชาวยิวนั้นมีกลุ่มหนึ่งที่บิดลิ้นของพวกเขาโดยการกล่าวสิ่งที่ไม่ได้มาจากคัมภีร์อัตเตารอตที่ถูกประทานลงมา เพื่อต้องการให้พวกเจ้าคิดว่า "พวกเขากำลังอ่านคัมภีร์อัตเตารอต" ทั้งที่มันไม่ได้มาจากอัตเตารอต แต่มันคือความเท็จที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นมาต่ออัลลอฮ์ พวกเขากล่าวว่า "สิ่งที่เราอ่านนั้นเป็นสิ่งที่ถูกประทานลงมาจากอัลลอฮ์" ทั้งที่มันไม่ได้มาจากอัลลอฮ์ พวกเขากล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์ ทั้งที่พวกเขาเองก็รู้ว่าพวกเขากำลังโกหกต่ออัลลอฮ์และต่อบรรดารอสูลของพระองค์

(79) เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ธรรมดาคนใดคนหนึ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานคัมภีร์ให้แก่เขา และได้มอบปัจจัยแห่งความรู้ความเข้าใจแก่เขา และทรงเลือกเขาให้เป็นนบี แล้วจากนั้นเขาได้กล่าวแก่มนุษย์ว่า “จงเป็นบ่าวของฉันแทนอัลลอฮ์เถิด” แต่เขาควรที่จะกล่าวว่า “จงเป็นนักปราชญ์ที่ปฏิบัติตนและสั่งสอนผู้อื่นและแก้ไขปัญหาของพวกเขา ด้วยการเผยสอนของพวกเจ้าซึ่งคัมภีร์ต่อมนุษย์ และที่พวกเจ้าได้ศึกษาเรียนรู้ ทั้งการท่องจำ และเข้าใจ”

(80) และสิ่งที่ไม่ควรแก่พวกเขาเช่นกัน คือการสั่งให้พวกเจ้ายึดเอามลาอีกะฮ์และบรรดานบีเป็นพระเจ้าเคารพสักการะแทนอัลลอฮ์ เป็นที่อนุญาตสำหรับเขาหรือที่จะสั่งให้พวกเจ้าปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่พวกเจ้าได้ศรัทธาและได้จำนนต่อพระองค์?!"

(81) จงรำลึกเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- ขณะที่อัลลอฮ์ทรงรับพันธสัญญาที่หนักแน่นกับรรดาท่านนบี โดยกล่าวแก่พวกเขาว่า "แม้ว่าเราจะมอบให้แก่พวกเจ้าซึ่งคัมภีร์ที่ประทานลงมาแก่พวกเจ้า และความเข้าใจที่ข้าได้สอนพวกเจ้า และบางคนได้บรรลุถึงสถานะหรืออยู่ในระดับที่สูง และแล้วได้มีเราะสูลท่านหนึ่งจากฉันไปยังพวกเจ้า -เขาคือมูฮัมมัด ศ็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม- เป็นการยืนยันถึงสิ่งที่มีอยู่กับพวกเจ้าในคัมภีร์และความเข้าใจ พวกเจ้าจะต้องศรัทธาต่อสิ่งที่เขานำมา และพวกเจ้าจะต้องให้การช่วยเหลือเขาด้วยการปฏิบัติตามเขา พวกเจ้าจะยืนยันและยอมรับต่อพันธสัญญาที่หนักแน่นนั้นหรือไม่ -โอ้ บรรดานบีเอ๋ย-? พวกเขาตอบว่า "เรายอมรับ" อัลลอฮทรงตรัสต่อว่า "พวกเจ้าจงเป็นพยานแก่ตัวของพวกเจ้าเองและแก่ประชาชาติของพวกเจ้าและฉัน(อัลลอฮ์)พร้อมกับพวกเจ้าอยู่ในหมู่ผู้เป็นพยานเป็นพยานต่อพวกเจ้าและต่อประชาชาติของพวกเจ้า)

(82) ดังนั้นผู้ใดที่ผินหลังให้หลังจากการทำพันธสัญญานี้ด้วยการมีอัลลอฮ์และบรรดารอสูลของพระองค์เป็นพยานแล้ว พวกเขาเหล่านั้นคือกลุ่มชนที่ได้ออกจากศาสนาของอัลลอฮ์และออกจากการเชื่อฟังพระองค์

(83) บรรดาผู้ที่ละทิ้งศาสนาของอัลลอฮ์และละทิ้งการเชื่อฟังต่อพระองค์ พวกเขาแสวงหาศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาที่อัลลอฮ์ได้เลือกไว้สำหรับปวงบ่าวของพระองค์ (เช่น อิสลาม) กระนั้นหรือ?! และสำหรับพระองค์ - ซุบฮานะฮู - ทุกสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและในแผ่นดินต่างก็ยอมจำนน ทั้งด้วยความสมัครใจ เช่นเหล่าบรรดาผู้ศรัทธา และด้วยการถูกบังคับ เช่นเหล่าบรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลาย แด่พระองค์เท่านั้นคือจุดหมายที่ทุกสิ่งที่ถูกสร้างจะถูกนำกลับไปในวันกิยามะฮ์เพื่อรับการพิจารณาการกระทำและรับรางวัลของพวกเขา

(84) จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะซูล- พวกเราศรัทธาต่ออัลลอฮ์เป็นพระเจ้าและปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และพวกเราศรัทธาในวะหฺยูที่พระองค์ประทานลงมายังพวกเราและในสิ่งที่พระองค์ประทานลงมายังนบีอิบรอฮีม อิสมาอีล อิสหากและยะอฺกูบและศรัทธาในสิ่งที่พระองค์ประทานแก่บุตรของยะอฺกูบและในสิ่งที่มอบให้แก่มูซา อีชาและบรรดานบีทั้งหลาย ที่เป็นคัมภีร์และโองการต่างๆ ที่มาจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา โดยที่ไม่ได้แบ่งแยกระหว่างพวกเขา ด้วยการศรัทธาต่อบางท่าน และปฏิเสธกับอีกบางท่าน และพวกเรานอบน้อมต่ออัลลอฮเพียงองค์เดียวและยอมจำนนตัวต่ออัลลอฮฺ

(85) และผู้ใดที่แสวงหาศาสนาอื่นจากศาสนาที่อัลลอฮ์ทรงยอมรับ นั่นคือศาสนาอิสลาม อัลลอฮ์จะไม่ยอมรับศาสนานั้นจากพวกเขา และในวันปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุนด้วยตัวของพวกเขาเองโดยการทำให้ตัวเองเข้านรก

(86) อัลลอฮ์จะทรงชี้นำสู่การศรัทธาต่อพระองค์และต่อรอสูลของพระองค์ได้อย่างไร? แก่ผู้ซึ่งเคยศรัทธาต่ออัลลอฮฺ์ และปฏิญาณตนว่า "แท้จริงสิ่งที่เราะซูลนำมานั้นเป็นความจริง" และได้มีหลักฐานต่าง ๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาด้วย และอัลลอฮฺ์จะไม่ทรงชี้นำสู้การศรัทธาต่อพระองค์ ซึ่งกลุ่มชนที่อธรรม ผู้ที่เลือกทางที่หลงแลกกับทางที่ถูก

(87) แท้จริงการลงโทษของบรรดาผู้ที่อธรรมที่เลือกความเท็จ สำหรับพวกเขาคือการสาปแช่งจากอัลลอฮ์และบรรดามลาอิกะฮ์และมนุษย์ทั้งหลาย ดังนั้นพวกเขาเป็นผู้ที่ถูกขับไล่ ให้ออกห่างจากความเมตตาของอัลลอฮ์

(88) พวกเขาพำนักอยู่ในไฟนรกตลอดกาลโดยที่พวกเขาไม่สามารถออกได้ โดยที่การลงโทษนั้นจะไม่ถูกผ่อนปรนแก่ตัวเขา และพวกเขาจะไม่ได้รับเวลาเพื่อการสำนึกผิดหรือขอโทษ

(89) นอกจากบรรดาผู้สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวสู่อัลลอฮ์หลังจากที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธาและอธรรม และพวกเขาปรับปรุงตัวเองในการงานของพวกเขาให้ดีขึ้น แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยสำหรับบ่าวที่กลับตัว ผู้ทรงเมตตาเสมอ

(90) แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่พวกเขาได้ศรัทธาแล้ว แล้วยังได้ทวีการปฏิเสธ จนกระทั้งได้เสียชีวิตไป การสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวในขณะความตายได้มาเยือนนั้นจะไม่ถูกตอบรับเป็นอันขาด เนื่องด้วยเวลาของการสำนึกผิดนั้นได้หมดไปแล้ว และชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่หลงทางจากเส้นทางที่เที่ยงตรงที่นำไปสู่อัลลอฮ์

(91) แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกเขาได้ตายไปในขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น ทองเต็มแผ่นดินก็จะไม่ถูกตอบรับจากคนใดในพวกเขาเป็นอันขาด และแม้ว่าเขาจะใช้ทองนั้นไถ่ตัวเขาให้พ้นจากไฟนรกก็ตาม ชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขานั้น คือการลงโทษอันเจ็บปวดและไม่มีผู้ใดที่จะช่วยเหลือปกป้องพวกเขาให้พ้นจากบทลงโทษของอัลลอฮได้ในวันกียามะฮ์

(92) พวกเจ้าจะไม่ได้ผลบุญเท่ากับเหล่าคนดีหรือไปถึงตำแหน่งของพวกเขา (โอ้บรรดาผู้ศรัทธา) จนกว่าพวกเจ้าจะบริจาคทรัพย์สินที่พวกเจ้ารักและหวงแหนในหนทางของอัลลอฮ์ ทั้งนี้สิ่งที่พวกเจ้าบริจาคนั้นไม่ว่าจะมากหรือน้อยอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงเจตนาและการงานของพวกเจ้า และจะทรงตอบแทนการงานของทุกคน

(93) อาหารที่ดีทุกชนิดนั้นเคยเป็นที่อนุมัติแก่บนีอิสรออีล และไม่เป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขายกเว้นสิ่งที่ยะอ์กูบห้ามแก่ตัวเขาเองก่อนที่อัตเตารอตจะถูกประทานลงมา ไม่ใช่เป็นดั่งที่ชาวยิวอ้างว่าการห้ามนั้นปรากฏอยู่ในอัตเตารอต จงกล่าวกับกับพวกเขาเถิด (นบีเอ๋ย) ว่า หากเป็นดังนั้นพวกท่านแอบอ้างก็จงนำอัตเตารอตมาและอ่านมันเถิด หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริงในสิ่งที่พวกท่านกล่าวอ้าง แต่แล้วพวกเขาก็เงียบและมิได้นำมันมา นี่เป็นตัวอย่างที่บ่งชี้ว่าชาวยิวนั้นอุปโลกน์เรื่องที่ไม่มีอยู่จริงในอัตเตารอตและบิดเบือนเนื้อหาของคัมภีร์ดังกล่าว

(94) ดังนั้นผู้ใดอุปโลกน์ความเท็จให้กับอัลลอฮ์หลังจากที่หลักฐานได้ประจักษ์แล้วว่าสิ่งที่ยะอ์กูบ อะลัยฮิสสลาม ถือเป็นสิ่งต้องห้ามนั้นท่านห้ามสำหรับตัวของท่านเอง มิได้เป็นคำสั่งห้ามที่มาจากอัลลอฮ์แต่อย่างใด พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองแล้ว ในการละทิ้งสิ่งที่เป็นสัจธรรมหลังจากที่หลักฐานแห่งความจริงได้ประจักษ์

(95) จงกล่าวเถิด (นบีเอ๋ย) ว่าอัลลอฮ์นั้นตรัสจริงแล้วในสิ่งที่พระองค์ทรงบอกเกี่ยวกับยะอ์กูบ อะลัยฮิสสลาม และในทุกสิ่งที่พระองค์ประทานลงมาและทรงบัญญัติ ดังนั้นจงปฏิบัติตามศาสนาของอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม เถิด เพราะแท้จริงแล้วอิบรอฮีมนั้นได้ปลีกตัวออกจากทุกแนวทางเพื่อไปสู่แนวทางของศาสนาอิสลาม และไม่เคยตั้งผู้ใดเป็นภาคีกับพระองค์เลย

(96) แท้จริงบ้านหลังแรกที่ถูกสร้างขึ้นบนหน้าแผ่นดินสำหรับมนุษย์เพื่อการทำการเคารพภักดีต่อัลลอฮ์นั้นคือบ้านของอัลลอฮ์ที่ถูกหวงห้าม ณ เมืองมักกะฮ์ เป็นบ้านที่มีความจำเริญ มีคุณประโยชน์มากมายทั้งในด้านศาสนาและทางโลก และยังเป็นทางนำที่ถูกต้องแก่ผู้คนทั้งหลาย

(97) มีเครื่องหมายชัดเจนมากมายที่บ่งชี้ถึงเกียรติและความประเสริฐของบ้านหลังนี้ เช่น พิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา และหนึ่งในเครื่องหมายนั้นคือหินที่ท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม เคยยืนบนนั้นขณะที่ท่านต้องการสร้างผนังกะอ์บะฮ์ นอกจากนี้ผู้ใดที่เข้าบ้านหลังนี้ความกลัวของเขาจะมลายหายไปและเขาจะไม่ได้รับอันตราย และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ที่จะมุ่งไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ บ้านหลังนี้เพื่ออัลลอฮ์ สำหรับผู้ที่สามารถจะหาทางไปได้ และผู้ใดปฏิเสธบทบัญญัติการทำฮัจญ์ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงต้องพึ่งพาผู้ปฏิเสธผู้นั้นและไม่ต้องทรงพึ่งพาผู้ใดในสากลโลก

(98) จงกล่าวเถิด (นบีเอ๋ย) ว่า โอ้ชาวคัมภีร์ทั้งชาวยิวและชาวคริสต์ เหตุใดพวกท่านถึงดื้อรั้นต่อหลักฐานอันเป็นประจักษ์ถึงความสัตย์จริงของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งรวมถึงหลักฐานอันเป็นประจักษ์แจ้งที่มีอยู่ในอัตเตารอต (โทราห์) และอัลอินญีล (ไบเบิล)?! ทั้งนี้อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรู้เห็นในการงานของพวกท่าน และจะตอบแทนพวกท่านในสิ่งที่พวกท่านกระทำ

(99) จงกล่าวเถิด (นบีเอ๋ย) ว่า โอ้ชาวคัมภีร์ทั้งหลายทั้งชาวยิวและชาวคริสต์ เหตุใดเล่าพวกท่านถึงห้ามผู้คนที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์มิให้ยืนหยัดในศาสนาของพระองค์ โดยพวกท่านหวังจะทำให้ศาสนาของอัลลอฮ์หันเหจากความจริงไปสู่ความเท็จ และทำให้ผู้ศรัทธาหลงจากทางนำที่ถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่พวกท่านเป็นพยานยืนยันได้ว่าศาสนานี้คือศาสนาที่ถูกต้องและตรงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของพวกท่าน?! ทั้งนี้อัลลอฮ์มิใช่เป็นผู้ที่หลงลืมเผอเรอในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธศรัทธาหรือการขัดขวางผู้คนจากหนทางของพระองค์ และอัลลอฮ์จะทรงตอบแทนสิ่งที่พวกท่านกระทำอย่างแน่นอน

(100) โอ้ ผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามศาสนทูตของพระองค์ หากว่าพวกเจ้าเชื่อฟังกลุ่มชนหนึ่งจากบรรดาชาวคัมภีร์ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวคริสต์ในสิ่งที่พวกเขาพูดและยอมรับในทัศนะที่เขากล่าวอ้างแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจะทำให้พวกเจ้ากลับไปสู่การปฏิเสธศรัทธาอีกครั้งหลังจากที่พวกเจ้าศรัทธาแล้ว เพราะว่าพวกเขามีความริษยาและหลงผิดจากทางที่ถูกต้อง

(101) และพวกเจ้าจะปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์กันอย่างไรเล่า หลังจากที่พวกเจ้านั้นได้ศรัทธาต่อพระองค์แล้ว และ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง) พวกเจ้ามีปัจจัยอันสำคัญยิ่งที่จะ (ช่วย) ยืนยัดในการการศรัทธา! โดยที่บรรดาอายะฮ์ของอัลลอฮ์นั้นถูกอ่านขึ้นต่อหน้าพวกเจ้า และมุหัมมัดศาสนทูตของอัลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็อธิบายอายะฮ์เหล่านั้นให้แก่พวกเจ้า และผู้ใดที่ยึดมั่นคำภีร์ของอัลลอฮ์และแนวทางของศาสนทูตของพระองค์แล้ว อัลลอฮ์จะทรงนำเขาไปสู่หนทางที่เที่ยงตรงที่ไม่มีการคดงอใดๆ ในหนทางนั้น

(102) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามศาสนทูตของพระองค์ พวกเจ้าจงเกรงกลัวอัลลอฮ์อย่างแท้จริงเถิด ด้วยกับการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์ ออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์ ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์ และพวกเจ้าจงยึดมั่นในศาสนาของพวกเจ้า (ศาสนาอิสลาม) จนกว่าความตายจะมาหาพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าอยู่ในสภาพเช่นนั้น

(103) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงยึดมั่นในคำภีร์อัลกุรอานและสุนนะฮ์ (แนวทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) อย่ากระทำการใดๆ ที่จะนำพาพวกเจ้าไปสู่ความแตกแยก และจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้าในขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกันก่อน (การเข้ารับ) อิสลาม พวกเจ้าได้สู้รบพุ่งฆ่ากันด้วยเพียงสาเหตุอันเล็กน้อย ดังนั้นพระองค์ได้รวมหัวใจพวกเจ้าด้วยกับอิสลาม แล้วด้วยกับความกรุณาของพระองค์พวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันในศาสนาของพระองค์ มีเมตตาซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน และพวกเจ้าก่อนหน้านี้เกือบที่จะเข้าไฟนรกด้วยกับการปฏิเสธศรัทธาของพวกเจ้า แล้วอัลลอฮ์ได้ทรงให้พวกเจ้ารอดพ้นจากจุดนั้นมาด้วยกับอิสลามและการชี้นำพวกเจ้าสู่การศรัทธาที่ถูกต้อง และดังเช่นที่อัลลอฮ์ได้อธิบายแจกแจงให้กับพวกเจ้าในเรื่องนี้แล้ว พระองค์ก็ได้อธิบายแจกแจงเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เพื่อให้พวกเจ้าได้รับทางนำที่เที่ยงตรง

(104) และจงให้มีขึ้นในหมู่พวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย) กลุ่มชนหนึ่งที่เชิญชวน (ผู้คน) ไปสู่ความดีที่อัลลอฮ์ทรงพอพระทัย สั่งใช้กันให้กระทำความดีที่ศาสนบัญญัติได้กำหนดและสติปัญญาเห็นว่าดี และห้ามปรามกันจากสิ่งที่มิชอบที่ศาสนบัญญัติได้ห้ามและสติปัญญาเห็นว่าน่ารังเกียจ และบรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะนี้ พวกเขาเป็นผู้ได้รับชัยชนะที่สมบูรณ์ในโลกนี้และโลกหน้า

(105) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงอย่าเป็นดังเช่นชาวคำภีร์ที่พวกเขาแตกแยกกัน แล้วพวกเขาก็กลายเป็นก๊กเป็นเหล่า และพวกเขาขัดแย้งกันในเรื่องศาสนาของพวกเขาหลังจากที่โองการและสัญญาณต่างๆ ที่ชัดเจนจากอัลลอฮ์ได้มายังพวกเขา และชนเหล่านี้แหละที่จะได้รับการลงโทษอันยิ่งใหญ่จากอัลลอฮ์

(106) การลงโทษที่ยิ่งใหญ่นี้จะเกิดขึ้นกับพวกเขาในวันกิยามะฮ์ (วันสิ้นโลก) ขณะที่ใบหน้าของผู้ที่ศรัทธานั้นจะขาวผ่องด้วยกับความปิติยินดี และใบหน้าของผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นจะดำคล้ำเพราะความเศร้าหมอง ลำบากยากเข็ญ ดังนั้นผู้ที่ใบหน้าของเขาดำคล้ำในวันที่ยิ่งใหญ่นั้น จะมีเสียงกล่าวตำหนิพวกเขาว่า พวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธาต่อเอกภาพของอัลลอฮ์ และคำมั่นสัญญาของพระองค์ที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับพวกเจ้าว่า อย่าได้ตั้งภาคีใดๆ กับพระองค์ หลังจากที่พวกเจ้าได้ให้คำสัญญาและยอมรับแล้วกระนั้นหรือ? ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษของอัลลอฮ์ที่พระองค์ได้จัดเตรียมไว้ให้พวกเจ้าเพราะการปฏิเสธศรัทธาของพวกเจ้าเถิด

(107) ส่วนบรรดาผู้ที่ใบหน้าของพวกเขาขาวผ่องนั้น ที่พำนักของเขานั้นคือสวนสวรรค์อันสุขสำราญ พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล อยู่ในความสุขสบายที่ไม่หมดไม่หายและไม่เปลี่ยนแปลง

(108) นั่นคือบรรดาอายะฮ์ทั้งหลายที่ประกอบด้วยสัญญาดีและการขู่เข็ญของอัลลอฮ์ ซึ่งเราอ่านให้เจ้าฟัง (โอ้ นะบีเอ๋ย) โดยเป็นข่าวคราวที่สัจจริง เป็นบทบัญญัติที่ยุติธรรม และอัลลอฮ์ไม่ทรงต้องการอธรรมผู้ใดในสากลโลก ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์จะไม่ทรงลงโทษผู้ใดนอกจากด้วยการกระทำ (บาป) ที่มือของเขาได้กระทำไว้

(109) และอัลลอฮ์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน ทั้งในเรื่องของการสร้างและการบริหารจัดการ ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นจะกลับไปหาพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนทุกสิ่งเหล่านั้นตามสิทธิของเขา

(110) พวกเจ้าทั้งหลาย (โอ้ประชาชาติของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) เป็นประชาชาติที่ดีที่สุดที่อัลลอฮ์ทรงให้มีขึ้นสำหรับมนุษย์ในเรื่องการศรัทธาและการงานของพวกเจ้า และเป็นประชาชาติที่ให้ประโยชน์ให้กับมนุษยชาติมากที่สุด โดยที่พวกเจ้าสั่งใช้กันให้กระทำความดีในสิ่งที่ศาสนบัญญัติได้กำหนดไว้และสิ่งที่สติปัญญาต่างเห็นชอบ ห้ามปรามกันในสิ่งที่มิชอบที่ศาสนบัญญัติได้ห้ามไว้และสิ่งที่สติปัญญาเห็นว่าน่ารังเกียจ และศรัทธาต่ออัลลอฮ์อย่างหนักแน่นที่มาพร้อมกับการกระทำ และหากว่าชาวคำภีร์จากชาวยิวและชาวคริสต์ศรัทธาต่อมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้ว แน่นอนมันย่อมเป็นการดีสำหรับพวกเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า มีส่วนน้อยจากชาวคำภีร์ที่ศรัทธาต่อสิ่งที่มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้นำมา และส่วนมากของพวกเขานั้นเป็นผู้ที่ออกศาสนาและบทบัญญัติของพระองค์

(111) แม้ว่าพวกเขาจะมีความเป็นศัตรู (กับพวกเจ้า) แต่พวกเขาไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ต่อศาสนาและชีวิตของพวกเจ้าได้เลย (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย) นอกจากการใส่ร้ายด้วยลิ้นของพวกเขาเท่านั้น เช่น การใส่ร้ายศาสนาและการเยาะเย้ยพวกเจ้า เป็นต้น และหากพวกเขาต่อสู้กับพวกเจ้า พวกเขาก็จะหนีเตลิดไปอย่างผู้ปราชัยและจะไม่ได้รับความช่วยเหลือให้มีชัยชนะเหนือพวกเจ้าอย่างแน่นอน

(112) ความอัปยศและความต่ำต้อยนั้นอยู่ล้อมรอบชาวยิวในทุกๆ แห่งที่พวกเขาอยู่ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ปลอดภัยนอกจากด้วยการทำสัญญาอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐอิสลาม หรือความปลอดภัยจากมนุษย์ที่คุ้มครองพวกเขา แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็กลับไปพร้อมกับความกริ้วจากอัลลอฮ์ และความขัดสนได้อยู่รายล้อมพวกเขา ที่เป็นดังกล่าวนั้นเพราะพวกเขาปฏิเสธอายะฮ์ต่าง ๆ ของอัลลอฮ์ พวกเขาฆ่าบรรดานะบีของพระองค์อย่างอธรรม และพวกเขาฝ่าฝืนและละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์

(113) ชาวคำภีร์นั้นมีสภาพที่ไม่เหมือนกัน บางกลุ่มของพวกเขาซื่อตรงในศาสนาของอัลลอฮ์ ยืนหยัดในคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของพระองค์ พวกเขาอ่านอายะฮ์ต่างๆ ของอัลลอฮ์ในช่วงเวลากลางคืนในสภาพที่พวกเขาละหมาดเพื่อพระองค์ กลุ่มดังกล่าวนี้มีก่อนที่มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะถูกแต่งตั้งเป็นนบีเสียอีก และผู้ใดในหมู่พวกเขาที่ทันกับนบีมุหัมมัดเขาจะน้อมรับนับถือศาสนาอิสลาม

(114) พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปรโลกอย่างหนักแน่น และพวกเขาใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ชอบและเป็นความดี และห้ามมิให้ปฏิบัติในสิ่งที่มิชอบและเป็นความชั่ว รีบเร่งไปสู่การทำสิ่งที่ดีงาม และตักตวงช่วงเวลาแห่งการทำดีอย่างมากมาย ผู้ที่มีคุณลักษณะเหล่านี้พวกเขาเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ที่มีเจตนาและการงานที่ดี

(115) และความดีใดๆ ที่พวกเขากระทำจะน้อยหรือจะมาก ผลบุญของมันจะไม่สูญหายและจะไม่ถูกลิดรอนอย่างแน่นอน อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนถึงบรรดาผู้ยำเกรงที่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้และออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์ ไม่มีการงานใดๆ ที่จะซ่อนพระองค์ได้ และพระองค์จะตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำกัน

(116) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ ทรัพย์สินและลูกๆ ของพวกเขาจะไม่อำนวยประโยชน์ให้พวกเขารอดพ้นจากอัลลอฮ์ได้เลย ไม่ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากการลงโทษของพระองค์ และไม่ทำให้ความเมตตาของพระองค์กลับมาหาพวกเขา แต่ทว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะเป็นการเพิ่มพูนการลงโทษและความสลดใจให้พวกเขา ชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล

(117) สิ่งที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาบริจาคไปในหนทางต่างๆ ที่เป็นความดี และผลตอบแทนที่พวกเขารอคอยนั้นเปรียบดั่งลมพายุที่หนาวเหน็บที่พัดเอาพืชผลของกลุ่มชนหนึ่งที่พวกเขาอธรรมต่อตัวพวกเขาเองด้วยกับการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ์และการกระทำ (บาป) อื่นๆ ทำให้พืชผลของพวกเขาได้รับความเสียหาย โดยที่พวกเขาได้หวังความดีอันมากมายจากพืชผลเหล่านั้น ในเมื่อลมพายุนี้ได้ทำลายพืชผลจนไม่สามารถให้ประโยชน์ใดๆ การปฏิเสธศรัทธาก็เช่นกัน มันจะโมฆะผลบุญการกระทำของพวกเขาที่พวกเขาหวัง และอัลลอฮ์ไม่ทรงอธรรมต่อพวกเขาเลย (พระองค์ทรงสูงส่งจากสิ่งดังกล่าว) แต่ทว่าพวกเขาเองที่อธรรมต่อตัวเองด้วยการปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์

(118) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามศาสนทูตของพระองค์ พวกเจ้าอย่าเป็นเพื่อนสนิทมิตรชิดกับผู้อื่นนอกเหนือจากบรรดาผู้ศรัทธา โดยให้พวกเขารับรู้ถึงความลับและสภาพเฉพาะต่างๆ ของพวกเจ้า ซึ่งพวกเขาไม่ลดละที่จะทำร้ายและทำให้พวกเจ้ามีสภาพเสื่อมเสีย หวังให้พวกเจ้าได้รับอันตรายและความยากลำบาก โดยที่ความเกลียดชังและความเป็นศัตรูได้เผยออกจากปากของพวกเขา ด้วยการด่าทอศาสนา ทำให้พวกเจ้าทะเลาะกัน เปิดเผยความลับของพวกเจ้า และยังมีความเกลียดชังอันใหญ่โตที่ซ้อนอยู่ในใจของพวกเขาอีก และแน่นอนเราได้แจกแจงหลักฐานอันประจักษ์แก่พวกเจ้าแล้ว (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย) ถึงผลประโยชน์ของพวกเจ้าในโลกนี้และโลกหน้า หากพวกเจ้าตริตรองถึงสิ่งที่พระเจ้าของพวกเจ้าประทานลงมาให้แก่พวกเจ้า

(119) (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย) พวกเจ้านี่แหละที่รักกลุ่มชนดังกล่าวและหวังให้พวกเขาได้รับสิ่งที่ดีงาม ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ได้รักและไม่ได้หวังให้พวกเจ้าได้รับสิ่งที่ดีงามเลย แต่ตรงกันข้ามพวกเขาเกลียดชังพวกเจ้าต่างหาก โดยที่พวกเจ้าศรัทธาต่อคำภีร์ต่าง ๆ ทั้งหมดรวมทั้งคำภีร์ของพวกเขาด้วย แต่พวกเขาไม่ศรัทธาต่อคำภีร์ที่อัลลอฮ์ประทานให้แก่นบีของพวกเจ้า และเมื่อพวกเขาพบพวกเจ้า พวกเขาจะกล่าวว่า "พวกเราศรัทธาแล้ว" แต่เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันเอง พวกเขาจะกัดนิ้วมือของตัวเองอย่างโศกเศร้าโกรธแค้นในความเป็นหนึ่งของพวกเจ้าที่อยู่บนหลักอันเดียวกันและความมีเกียรติของอิสลาม โดยที่พวกเขากลับอยู่ในความต่ำต้อย (โอ้นบีเอ๋ย) จงกล่าวกับกลุ่มชนดังกล่าวเถิดว่า พวกเจ้าจงใช้ชีวิตจนกระทั่งตายในสภาพที่โศกเศร้าโกรธแค้นนี้เถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรู้ถึงการศรัทธาและการปฏิเสธศรัทธา ความดีและความชั่วที่มีอยู่ในใจ (ของพวกเจ้า)

(120) (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย) หากพวกเจ้าได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮ์เป็นชัยชนะเหนือศัตรู มีลูกหลาน หรือทรัพย์สินเพิ่มขึ้น พวกเขาจะทุกข์ระทมเศร้าใจ แต่หากพวกเจ้าพ่ายแพ้ต่อศัตรู สูญเสียลูกหลานหรือทรัพย์สิน พวกเขาจะดีใจเยาะเย้ย หากพวกเจ้าอดทนต่อกำหนดการต่าง ๆ ของพระองค์ และเกรงกลัวต่อความโกรธกริ้วของพระองค์ การทำร้ายและกลอุบายของพวกเขาจะทำอันตรายพวกเจ้าไม่ได้ อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ถึงกลอุบายของพวกเขา และพระองค์จะขับไล่พวกเขาอย่างสิ้นหวัง

(121) และจงรำลึก (โอ้นบีเอ๋ย) ขณะที่เจ้าออกจากเมืองมะดีนะฮ์ตอนเช้าตรู่เพื่อที่จะสู้รบกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในสงครามอุหุด โดยที่เจ้าได้จัดวางบรรดาผู้ศรัทธาไว้ที่ตำแหน่งของพวกเขาในสนามรบ โดยแจกแจงตำแหน่งให้กับทุกคน และอัลลอฮ์ทรงได้ยินคำพูดของพวกเจ้า ทรงรอบรู้ถึงการกระทำของพวกเจ้า

(122) (โอ้นบี) จงรำลึกเถิด ในสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสองกลุ่มของผู้ศรัทธา คือ เผ่าสะลิมะฮ์และเผ่าหาริษะฮ์ ขณะที่พวกเขาอ่อนแอและตั้งใจจะถอยกลับในตอนที่บรรดาผู้กลับกลอกได้ถอยกลับ และอัลลอฮ์ทรงช่วยเหลือให้พวกเขายืนหยัดในการสู้รบและขจัดความกลัดกลุ้มออกจากพวกเขา และอัลลอฮ์ผู้เดียวเท่านั้นที่บรรดาผู้ศรัทธาจะยึดเหนี่ยวพึ่งพาในทุกสภาพการณ์

(123) และแน่นอนอัลลอฮ์ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าให้มีชัยชนะเหนือบรรดาผู้ตั้งภาคีในสงครามบะดัรแล้ว โดยที่พวกเจ้าเป็นผู้อ่อนแอเนื่องจากมีกำลังไพร่พลและอาวุธจำนวนน้อย ดังนั้นจงยำเกรงต่ออัลลออฮ์เถิด เผื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณต่อความโปรดปรานที่พระองค์มอบให้

(124) (โอ้นบีเอ๋ย) จงรำลึกถึงขณะที่เจ้าได้กล่าวให้กำลังใจแก่บรรดาผู้ศรัทธาหลังจากที่พวกเขาได้ยินข่าวกำลังไพร่พลจำนวนมากของบรรดาผู้ตั้งภาคี ว่า การที่อัลลอฮ์ (มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์) ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าด้วยการส่งมลาอิกะฮ์ลงมาสามพันท่านเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเจ้าในการสู้รบนั้น มันไม่เพียงพอแก่พวกเจ้าอีกกระนั้นหรือ?

(125) แน่นอน สิ่งดังกล่าวเพียงพอแก่พวกเจ้าแล้ว และพวกเจ้าจะมีข่าวดีด้วยการช่วยเหลือจากอัลลอฮ์อื่นจากนี้อีก หากพวกเจ้าอดทนในการสู้รบ ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ และเข้าหาศัตรูของพวกเจ้าอย่างรีบด่วนทันที หากครบเงื่อนไขนั้นแล้วอัลลอฮ์จะทรงช่วยเหลือพวกเจ้าโดยส่งมลาอิกะฮ์มาห้าพันท่านโดยที่พวกเขาและม้าของพวกเขาจะมีเครื่องหมายสัญลักษณ์อันชัดเจน

(126) และอัลลอฮ์มิได้ให้การช่วยเหลือและการหนุนไพร่พลมลาอิกะฮ์ (ครั้งนี้) นอกจากเพื่อเป็นข่าวดีแก่พวกเจ้า เพื่อที่หัวใจของพวกเจ้าจะสงบนิ่ง และชัยชนะที่แท้จริงไม่ได้มาเพียงเพราะสาเหตุต่าง ๆ ที่มองเห็นได้ชัดเจน แต่ชัยชนะที่แท้จริงนั้นมาจากอัลลอฮ์ผู้ทรงเดชานุภาพที่ไม่มีผู้ใดจะมีชัยชนะเหนือพระองค์ได้ ผู้ทรงปรีชาญาณรอบรู้ในทุก ๆ กำหนดการณ์และบทบัญญัติของพระองค์

(127) ชัยชนะครั้งนี้ที่พวกเจ้าได้รับในสงครามบะดัร อัลลอฮ์ทรงต้องการให้กลุ่มชนหนึ่งที่ปฏิเสธศรัทธาพินาศด้วยการเสียชีวิตและให้อีกกลุ่มชนหนึ่งได้รับความอัปย และโกรธแค้นพวกเขาด้วยการให้พวกเขาได้รับความพ่ายแพ้ ทำให้พวกเขาต้องถอยกลับไปด้วยความล้มเหลวและไร้เกียรติ

(128) เมื่อครั้งที่ท่านเราะสูลได้สาปแช่งบรรดาหัวหน้าของบรรดาผู้ตั้งภาคีให้พินาศไปหลังจากเหตุการณ์สงครามอุหุด อัลลอฮ์ก็ได้ตรัสกับท่านว่า เจ้าไม่มีสิทธิใด ๆ ในเรื่องของพวกเขาเลย แต่นั่นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ดังนั้นเจ้าจงอดทนเถิด จนกว่าอัลลอฮ์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเจ้า พระองค์อาจให้พวกเขาเตาบะฮ์ (กลับตัวกลับใจ) แล้วเข้ารับอิสลาม หรือพวกเขาจะยังคงปฏิเสธศรัทธาอย่างต่อเนื่องต่อไป แล้วพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นผู้อธรรมสมควรได้รับการลงโทษ

(129) ทุกสิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ทั้งในการสร้างและการบริหารกิจการ พระองค์จะทรงอภัยโทษให้กับบ่าวผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความเมตตาของพระองค์ และจะทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความยุติธรรม และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษอย่างมากมายให้กับบ่าวของพระองค์ที่กลับเนื้อกลับตัว เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขา

(130) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามศาสนทูตของพระองค์ทั้งหลาย พวกเจ้าจงออกห่างจากการเอาดอกเบี้ยทบเป็นทวีคูณเกินต้นทุนที่พวกเจ้าได้ให้กู้ยืม ดั่งที่ชาวญาฮิลียะฮ์ (ยุคงมงาย) กระทำกัน และจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ด้วยกับการปฏิบัติตามคำสั่งใช้และออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์ เพื่อพวกท่านจะได้รับในสิ่งที่ดี ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

(131) และพวกเจ้าจงให้มีสิ่งป้องกันระหว่างพวกเจ้ากับไฟนรกที่อัลลอฮ์ได้ตระเตรียมมันไว้ให้กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ด้วยการกระทำความดีและการละทิ้งสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ

(132) และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้และออกห่างจากคำสั่งห้ามต่าง ๆ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตาในโลกนี้และโลกหน้า

(133) และพวกเจ้าจงรีบเร่งและแข่งขันกันสู่การปฏิบัติดีทั้งหลาย และเข้าใกล้อัลลอฮ์ด้วยการเคารพภักดีที่หลากหลาย เพื่อพวกเจ้าจะได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮ์ และพวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ซึ่งความกว้างของมันดั่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน โดยที่อัลลอฮ์ได้เตรียมมันไว้สำหรับบรรดาผู้ยำเกรงจากบ่าวของพระองค์

(134) บรรดาผู้ยำเกรง คือ บรรดาผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาในทางของอัลลอฮ์ ทั้งในยามผาสุกและยามคับแค้น สามารถข่มตัวเองได้ในยามโกรธทั้ง ๆ ที่พวกเขามีความสามารถในการแก้แค้น และให้อภัยแก่ผู้ที่อธรรมต่อพวกเขา และอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้กระทำความดีที่มีจริยธรรมดังกล่าวมานี้

(135) และพวกเขา (บรรดาผู้ยำเกรง) เมื่อพวกเขาละเมิดกระทำบาปใหญ่ หรืออธรรมต่อตัวเองด้วยการละเมิดกระทำบาปเล็ก พวกเขาจะรำลึกถึงอัลลอฮ์ และรำลึกถึงคำขู่ของพระองค์ที่มีต่อบรรดาผู้กระทำบาปและสัญญาของพระองค์ที่มีต่อบรรดาผู้ยำเกรง แล้วขอจากพระองค์ให้ทรงปกปิดบาปต่าง ๆ ของพวกเขาอย่างเสียใจและอย่าได้เอาผิดพวกเขากับบาปเหล่านั้น เพราะไม่มีผู้ใดสามารถให้อภัยโทษได้นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น และพวกเขามิได้กระทำบาปอีกต่อไป โดยที่พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาเป็นผู้กระทำบาป และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษบาปทั้งหลาย

(136) บรรดาผู้มีคุณลักษณะอันน่ายกย่องและคุณธรรมอันสูงส่งเหล่านั้น ผลบุญของพวกเขาคือ อัลลอฮ์จะทรงปกปิดบาปต่าง ๆ ของพวกเขาและจะทรงยกโทษให้ และในปรโลกพวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์ที่หลากหลายโดยที่เบื้องล่างของมันจะมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และผลตอบแทนดังกล่าวช่างเลิศจริง ๆ สำหรับบรรดาผู้กระทำการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์

(137) และครั้นตอนที่บรรดาผู้ศรัทธาได้ถูกทดสอบด้วยสิ่งที่พวกเขาต้องประสบในสงครามอุหุด อัลลอฮ์ก็ได้ตรัสให้กำลังใจพวกเขาว่า: แท้จริงกฏต่าง ๆ ของอัลลอฮ์ได้ผ่านพ้นมาแล้วเกี่ยวกับทำลายบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และให้ผลตอบแทนที่ดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาภายหลังการทดสอบพวกเขา ดังนั้นพวกเจ้าจงเดินไปบนหน้าแผ่นดิน แล้วจงดูใคร่ควรญถึงจุดจบของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาเราะสูลของพระองค์เป็นเช่นไร บ้านเรือนของพวกเขาพังพลาย และอำนาจของพวกเขาสูญหายไป

(138) คัมภีร์อัลกุรอานนี้เป็นคัมภีร์ที่ชี้แจ้งถึงข้อเท็จจริงและให้ระวังจากสิ่งมดเท็จแก่มนุษย์ทั้งหลาย เป็นคัมภีร์ที่นำไปสู่ทางนำ และเป็นสิ่งป้องกันสำหรับผู้ยำเกรงทั้งหลาย เพราะพวกเขาคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากทางนำและข้อชี้แนะที่มีอยู่ในนั้น

(139) และพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย) อย่าได้อ่อนแอและอย่าได้เสียใจกับสิ่งที่ได้ประสบกับพวกเจ้าในสงครมอุหุด ซึ่งดังกล่าวนั้นไม่สมควรยิ่งสำหรับพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าคือผู้สูงส่งด้วยการศรัทธาของพวกเจ้า สูงส่งด้วยการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ และสูงส่งด้วยความคาดหวังของพวกเจ้าที่มีต่อการช่วยเหลือของพระองค์ หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และสัญญาของพระองค์ที่มีต่อบ่าวของพระองค์ที่ยำเกรง

(140) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากพวกเจ้าได้รับบาดแผลหนึ่งและถูกฆ่าตายในสงครามอุหุด แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ได้รับบาดแผลและถูกฆ่าตายเช่นเดียวกับพวกเจ้า และวันเวลาต่าง ๆ เหล่านั้น อัลลอฮ์ได้ให้มันหมุนเวียนไประหว่างมนุษย์ผู้ศรัทธาและปฏิเสธศรัทธาตามความประสงค์ของพระองค์ที่จะให้มีชัยชนะบ้างและปราชัยบ้าง โดยมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ เช่น เพื่อเปิดเผยบรรดาผู้ศรัทธาที่แท้จริงออกจากบรรดามุนาฟิก และเพื่อให้เกียรติแก่ผู้ที่ตายชะฮีดในหนทางของพระองค์ และอัลลอฮ์ไม่ทรงรักบรรดาผู้อธรรมแก่ตัวเองที่ละทิ้งการญิฮาดในหนทางของพระองค์

(141) และอีกส่วนหนึ่งจากเป้าหมาย คือ เพื่อขัดเกลาบรรดาผู้ศรัทธาจากบาปต่าง ๆ ของพวกเขา ขจัดบรรดามุนาฟิกออกจากกลุ่มของพวกเขา และเพื่อทำลายบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและขจัดพวกเขาออกเสีย

(142) หรือพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้ศรัทธา) คิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์โดยปราศจากการทดสอบและความอดทนที่เปิดเผยถึงธาตุแท้ของบรรดาผู้ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์และบรรดาผู้อดทนต่อบททดสอบที่ประสบกับพวกเขา?

(143) และแน่นอนพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้ศรัทธา) เคยมีความปรารถนาจะพบเจอ (ต่อสู้) กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเพื่อที่จะได้ตายชะฮีดในหนทางของอัลลอฮ์ก่อนที่พวกเจ้าจะได้พบกับสาเหตุแห่งความตายและความรุนแรงของมัน เฉกเช่นพี่น้องของพวกเจ้า (ที่ตายชะฮีด) ในสงครามบะดัร แต่ตอนนี้พวกเจ้าได้เห็นถึงสิ่งที่พวกเจ้าเคยปรารถนาไว้แล้วในสงครามอุหุดโดยที่พวกเจ้ากำลังมองดูมันอยู่กับตา

(144) และมุหัมมัดนั้นมิได้เป็นอื่นใดนอกจากเป็นเราะสูลคนหนึ่งที่เหมือนกับบรรดาเราะสูลก่อนหน้าเขาที่ได้เสียชีวิตหรือถูกฆ่า ถ้าหากเขาเสียชีวิตหรือถูกฆ่า พวกเจ้าจะออกนอกศาสนาของพวกเจ้าและละทิ้งการญิฮาดกระนั้นหรือ? และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่ออกนอกศาสนาของเขา เขาไม่อาจทำอันตรายใด ๆ ต่ออัลลอฮฺได้เลย เพราะพระองค์คือผู้ทรงพลัง ผู้ทรงอำนาจ หากแต่จะเป็นอันตรายแก่ตัวเขาเองโดยจะทำให้เขาขาดทุนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และอัลลอฮ์จะทรงตอบแทนสิ่งที่ดีที่สุดแก่บรรดาผู้กตัญญูโดยจะให้พวกเขายืนหยัดบนศาสนาของพระองค์ และให้พวกเขาต่อสู้ญิฮาดในหนทางของพระองค์

(145) และไม่มีชีวิตใดที่จะตายได้นอกจากด้วยลิขิตของอัลลอฮ์ ภายหลังจากที่มันได้ใช้ห้วงเวลาที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดไว้ครบถ้วนและได้ทรงกำหนดให้มันเป็นเวลาแห่งความตายสำหรับชีวิตนั้น โดยที่มันจะไม่เพิ่มให้ช้าลงและจะไม่ลดให้เร็วขี้น และผู้ใดทำงานเพื่อต้องการผลตอบแทนแห่งโลกนี้ เราก็จะให้ผลตอบแทนนั้นแก่เขาตามการงานที่เขาได้กระทำไว้ โดยที่เขาจะไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ ในโลกหน้า และผู้ใดทำงานเพื่อต้องการผลตอบแทนแห่งโลกหน้า เราก็จะให้ผลตอบแทนนั้นแก่เขา และเราจะตอบแทนแก่บรรดาผู้กตัญญูด้วยการตอบแทนที่ใหญ่หลวง

(146) และมีกี่มากน้อยแล้วจากบรรดานบีของอัลลอฮ์ที่มีกลุ่มชนผู้ติดตามเขาอันมากมายได้ร่วมต่อสู้กับเขา แล้วพวกเขาก็ไม่ขี้ขลาดในการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์นั้นเลย (ถึงแม้) จะมีการสูญเสียชีวิตและบาดแผลประสบกับพวกเขาก็ตาม พวกเขาไม่อ่อนกำลังในการต่อสู้และไม่ยอมจำนนต่อศัตรู หากแต่พวกเขาอดทนและยืนหยัด และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้อดทนต่อความทุกข์ยากและสิ่งที่ไม่ไม่พึงปรารถนาในหนทางของพระองค์

(147) และไม่มีคำใดพูดของบรรดาผู้อดทนเหล่านั้นในตอนที่บททดสอบได้ประสบแก่พวกเขานอกจากพวกเขาจะกล่าว (ดุอาอ์) ว่า: "โอ้พระเจ้าของเรา ได้โปรดอภัยโทษในความผิดบาปต่าง ๆ ของเราและสิ่งที่เราได้เกินเลยไปในกิจการงานต่าง ๆ ของเรา ได้โปรดให้เท้าของเรายืนหยัดได้อย่างมั่นคงในยามเผชิญหน้ากับศัตรู และได้โปรดช่วยเหลือเราให้ชนะเหนือกลุ่มผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ด้วยเถิด

(148) แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงประทานแก่พวกเขาซึ่งผลตอบแทนแห่งโลกนี้ ด้วยการช่วยเหลือพวกเขาให้ได้รับชัยชนะและให้พวกเขามีอิทธิพล (เหนือศัตรู) และยังได้ทรงประทานผลตอบแทนที่ดีแห่งโลกหน้าด้วยการพอพระทัยต่อพวกเขา และรวมถึงความโปรดปรานแห่งที่พำนักในสวนสวรรค์อันหลากหลาย และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรักบรรดาผู้กระทำดีทั้งหลาย ทั้งในเรื่องการเคารพภักดีและการปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา

(149) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ทั้งหลาย หากพวกเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจากชาวยิว ชาวคริสเตียน และบรราดาผู้ตั้งภาคี ในสิ่งที่หลงทางที่พวกเขาสั่งใช้พวกเจ้า พวกเขาจะทำให้พวกเจ้าหันกลับไปสู่การปฏิเสธศรัทธาภายหลังจากที่พวกเจ้าได้ศรัทธาแล้ว แล้วพวกเจ้าจะกลับกลายเป็นผู้ขาดทุนในโลกนี้และโลกหน้า

(150) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้น พวกเขาจะไม่ช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างเด็ดขาดหากพวกเจ้าเชื่อฟังพวกเขา แต่ทว่าอัลลอฮ์ต่างหากทรงเป็นผู้ช่วยเหลือพวกเจ้าให้ชนะเหนือศัตรูของพวกเจ้า ดังนั้นจงเชื่อฟังพระองค์เถิด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือที่ดีเลิศโดยที่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องพึ่งผู้ใดอีกนอกเหนือจากพระองค์

(151) เราจะโยนความหวาดกลัวอันมหันต์เข้าไปในจิตใจของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ จนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับพวกเจ้าได้ เนื่องจากพวกเขาได้เอาพระเจ้าจอมปลอมต่าง ๆ ที่พวกเขาเคารพบูชาตามอารมร์ใฝ่ต่ำของพวกเขามาเป็นภาคีเทียบเท่ากับอัลลอฮ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีหลักฐานยืนยันจากพระองค์เลย และที่พำนักของพวกเขาที่พวกเขาจะกลับไปในปรโลกคือไฟนรก ซึ่งมันเป็นที่พำนักอันชั่วช้ายิ่งสำหรับบรรดาผู้อธรรม

(152) และแน่นอนอัลลอฮ์ได้ทรงทำให้สัญญาที่ให้ไว้กับพวกเจ้าเป็นจริงด้วยการช่วยเหลือให้มีชัยเหนือศัตรูของพวกเจ้าในสงครามอุหุด ขณะที่พวกเจ้าสู้รบเข่นฆ่าพวกเขาอย่างรุนแรงด้วยการอนุมัติของพระองค์ จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้ารู้สึกขี้ขลาด อ่อนแรงไม่ยืนหยัดในสิ่งที่เราะสูลได้สั่งใช้พวกเจ้า ขัดแย้งกันระหว่างพวกเจ้าเองว่าจะอยู่ประจำการที่ของพวกเจ้าหรือจะละทิ้งมันเพื่อเก็บทรัพย์เฉลย และการฝ่าฝืนคำสั่งของเราะสูลที่ใช้ให้พวกเจ้าประจำการที่ของพวกเจ้าในทุกสถานการณ์ สิ่งดังกล่าวนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้พวกเจ้าเห็นในสิ่งที่พวกเจ้าชอบดั่งชัยชนะเหนือศัตรู (เพราะ) ในหมู่พวกเจ้ามีผู้ปรารถนาทรัพย์เฉลยแห่งโลกนี้ ซึ่งพวกเขาคือบรรดาผู้ที่ละทิ้งที่ประจำการของพวกเขา และในหมู่พวกเจ้ามีผู้ปรารถนาผลตอบแทนแห่งโลกหน้า ซึ่งพวกเขาคือบรรดาผู้ที่ยืนหยัดอยู่ที่ประจำการของพวกเขาโดยเชื่อฟังคำสั่งของเราะสูล หลังจากนั้นอัลลอฮ์ได้ทรงให้พวกเจ้าหันกลับจากพวกเขาและทรงทำให้พวกเขามีชัยเหนือพวกเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้า แล้วเปิดเผยธาตุแท้ของผู้ศรัทธาที่อดทนต่อบททดสอบออกจากผู้ที่ไม่ยืนหยัดและมีจิตใจที่อ่อนแอ่ และแน่นอนอัลลอฮ์ได้ทรงอภัยให้พวกเจ้าที่กระทำการละเมิดคำสั่งใช้ของเราะสูลของพระองค์ และอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้มีพระคุณแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยที่พระองค์ได้ทรงประทานทางนำแห่งศรัทธาแก่พวกเขา ได้ทรงอภัยโทษแก่พวกเขาในสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ และได้ทรงให้ผลบุญแก่พวกเขาในบททดสอบต่าง ๆ

(153) และจงรำลึก (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย) ขณะที่พวกเจ้าปลีกตัวออกจากสมรภูมิอุหุดเพื่อหนีเอาตัวรอด เนื่องจากพวกเจ้าประสบกับความปราชัยเพราะฝืนคำสั่งของท่านเราะสูลจนไม่มีใครหันมามองซึ่งกันและกัน ทั้ง ๆ ที่ท่านเราะสูลกำลังร้องเรียกพวกเจ้าจากทางด้านหลังระหว่างพวกเจ้ากับบรรดาผู้ตั้งภาคี โดยท่านกล่าวว่า: จงกลับมาหาฉัน โอ้บ่าวของอัลลอฮ์ จงกลับมาหาฉัน โอ้บ่าวของอัลลอฮ์ แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงตอบแทนการกระทำของพวกเจ้านี้ด้วยความเจ็บปวดและความคับแคบเนื่องจากชัยชนะและทรัพย์เฉลยได้หลุดมือพวกเจ้าไป และตามมาด้วย (ผลตอบแทนแห่ง) ด้วยความเจ็บปวนและความคับแคบด้วยข่าวลือระหว่างพวกเจ้าว่าท่านนบีถูกฆ่าเสียชีวิต และแน่นอนพระองค์ได้ทรงประทานเหตุการณ์นี้ลงมาแก่พวกเจ้าเพื่อไม่ให้พวกเจ้าเสียใจกับชัยชนะและทรัพย์เฉลยที่ได้หลุดมือพวกเจ้าไป และไม่เสียใจกับการตายและบาทแผลที่ได้ประสบแก่พวกเจ้า ภายหลังจากที่พวกเจ้าได้รู้ว่าท่านนบียังไม่ได้ถูกฆ่าเสียชีวิต ซึ่งทำให้เคราะห์ร้ายและความเจ็บปวดต่าง ๆ เบาบางลงสำหรับพวกเจ้า และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งถึงทุกสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน ไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นพระองค์ได้ทั้งการงานของหัวใจและการกระทำของอวัยวะร่างกายของพวกเจ้า

(154) หลังจากความเจ็บปวดและความคับแคบนั้นพระองค์ก็ได้ทรงประทานความสงบใจและความเชื่อมั่นแก่กลุ่มหนึ่งจากพวกเจ้า (คือบรรดาผู้ที่มีความเชื่อมั่นในสัญญาของอัลลอฮ์) โดยพระองค์ทรงให้พวกเขางีบหลับชั่วขณะแล้วทำให้หัวใจของพวกเขารู้สึกปลอดภัยและสงบสุข และอีกกลุ่มหนึ่งนั้น พระองค์ไม่ได้ทำให้พวกเขาปลอดภัยหรืองีบหลับไป พวกเขาคือบรรดามุนาฟิกที่ไม่คิดอะไรนอกจากให้ตัวเองได้รอด พวกเขาตกอยู่ในภาวะกระวนกระวายและหวาดกลัว กล่าวหาอัลลอฮ์ในทางที่ไม่ดี ว่าอัลลอฮ์จะไม่ทรงช่วยเหลือเราะสูลและไม่ทรงสนับสนุนบ่าวของพระองค์ เฉกเช่นการกล่าวหาของพวกสมัยงมงายยุคก่อน (ยุคอัลญะฮิลียะฮ์) พวกเขาไม่ให้เกียรติอัลลอฮ์อย่างแท้จริง บรรดามุนาฟิกเหล่านั้นที่มีความเขลาเกี่ยวอัลลอฮ์จึงกล่าวว่า: พวกเราไม่มีสิทธิคิดวางแผนในการออกสู้รบเลย และหากพวกเรามีส่วนในกิจการนี้พวกเราคงไม่ออกมาหรอก จงกล่าวตอบแก่พวกเขาเถิด (โอ้นบี) ว่า แท้จริงกิจการทั้งหลายเป็นสิทธิของอัลลอฮ์พระองค์จะทรงกำหนดในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงตัดสินในสิ่งที่พระองค์ต้องการ พระองค์เป็นผู้ทรงกำหนดให้พวกเจ้าออกมา และบรรดามุนาฟิกนั้นพวกเขาปกปิดความสงสัยและความคิดที่ไม่ดีไว้ในใจของพวกเขาซึ่งไม่เปิดเผยให้เจ้ารู้ โดยที่พวกเขากล่าวว่า: หากพวกเรามีสิทธิคิดวางแผนในการออกสู้รบ พวกเราคงจะไม่ถูกฆ่าตายที่นี่หรอก จงกล่าวตอบแก่พวกเขาเถิด (โอ้นบี) ว่า ถึงแม้พวกเจ้าจะอยู่ในบ้านห่างไกลจากสมรภูมิรบ แน่นอนบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดความตายไว้แก่พวกเขาในหมู่พวกเจ้า พวกเขาจะออกไปหาความตายของพวกเขา และอัลลอฮ์มิได้ทรงกำหนดเหล่านี้มา นอกจากเพื่อพระองค์จะทรงทดสอบสิ่งที่มีอยู่ในหัวใจของพวกเจ้า เช่น ความตั้งใจและเจตนารมณ์ และเพื่อจะทรงแยกแยะการศรัทธาออกจากการกลับกลอก และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของบ่าวของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นจากการรอบรู้ของพระองค์ได้

(155) แท้จริงบรรดาผู้ปราชัยในหมู่พวกเจ้า (โอ้สาวกของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ในวันที่กองทัพของบรรดาผู้ตั้งภาคีและกองทัพของบรรดามุสลิมได้เผชิญหน้ากันในสงครามอุหุดนั้น แท้จริงชัยฏอนได้ชักนำพวกเขาให้สะดุด เนื่องจากบาปส่วนหนึ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ และแน่นอนอัลลอฮ์ก็ได้อภัยให้แก่พวกเขา โดยที่พระองค์มิได้ลงโทษพวกเขาซึ่งนับเป็นความโปรดปรานและความเมตตาจากพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษสำหรับผู้ที่เตาบะฮ์กลับเนื้อกลับตัว และเป็นผู้ทรงขันติโดยที่พระองค์นั้นไม่ทรงรีบในการลงโทษ

(156) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ จงอย่าเป็นดังเช่นบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจากกลุ่มมุนาฟิก โดยที่พวกเขาจะกล่าวแก่พวกพ้องของพวกเขา เมื่อพวกพ้องของพวกเขาออกเดินทางเพื่อแสวงหาปัจจัยยังชีพหรือเมื่อเข้าร่วมเป็นนักรบจนทำให้เสียชีวิตหรือถูกฆ่าตาย ว่า: ถ้าหากพวกเขาอยู่กับเราโดยไม่ออกไปหรือไม่เข้าร่วมรบ พวกเขาก็จะไม่ตายและจะไม่ถูกฆ่าแน่นอน ซึ่งอัลลอฮ์ได้ทำให้หัวใจของพวกเขามีความเชื่อเช่นนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มความเสียใจและความเศร้าโศกในหัวใจของพวกเขา และอัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้นที่ทรงให้มีชีวิตและทรงให้ตายด้วยความประสงค์ของพระองค์ โดยที่การนั่งอยู่กับที่จะไม่สามารถหักห้ามลิขิตของพระองค์ และการออกไปก็ไม่สามารถรีบเร่งลิขิตของพระองค์ได้เช่นกัน และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน ซึ่งการงานต่าง ๆ ของพวกเจ้าจะไม่สามารถปกปิดจากการรู้เห็นของพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าถึงการงานนั้น

(157) และแน่นอน หากพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย) ถูกฆ่าหรือตายในหนทางของอัลลอฮ์ อัลลอฮ์ก็จะทรงอภัยโทษอันมหาศาลแก่พวกเจ้าอย่างแน่นอน และพระองค์จะทรงเอ็นดูเมตตาพวกเจ้า ซึ่งมันย่อมดีกว่าโลกดุนยาทั้งใบและรวมถึงทุกสรรพสิ่งที่ชาวโลกต่างสะสมมันอยู่จากความโปรดปรานของมันอันชั่วคราว

(158) และถ้าหากพวกเจ้าตายไปหรือถูกฆ่า ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม แน่นอนยังอัลลอฮ์เท่านั้นที่พวกเจ้าจะถูกนำกลับไป เพื่อที่พระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการงานของพวกเจ้า

(159) ดังนั้นด้วยสาเหตุแห่งความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ที่ทำให้มารยาทของเจ้านั้น (โอ้บนีเอ๋ย) มีความง่ายดายในการคลุกคลีเข้ากับบรรดาสาวกของเจ้า (เพราะ) ถ้าหากเจ้าแข็งกร้าวในคำพูด การกระทำ และมีใจกระด้างแล้วไซร้ แน่นอนพวกเขาย่อมแยกตัวออกจากเจ้า ฉะนั้นจงให้อภัยในความบกพร่องของพวกเขาที่เป็นสิทธิของเจ้า จงขออภัยโทษให้แก่พวกเขา และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในเรื่องที่จำเป็นที่ต้องปรึกษาหารือ แล้วครั้นเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจเด็ดขาดต่อกิจการใดภายหลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกันแล้ว ก็จงเดินหน้าต่อไปพร้อมมอบหมายต่ออัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้มอบหมายทั้งหลาย แล้วพระองค์ก็จะทรงช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขา

(160) หากว่าอัลลอฮ์ทรงสนับสนุนพวกเจ้าด้วยการช่วยเหลือจากพระองค์ ก็จะไม่มีผู้ใดชนะพวกเจ้าได้ ถึงแม้มนุษย์ทั้งโลกจะรวมตัวกันเพื่อจะทำร้ายพวกเจ้าก็ตาม และเมื่อพระองค์ทรงทอดทิ้งการช่วยเหลือพวกเจ้า และปล่อยให้พวกเจ้าดูแลกันเอง ก็จะไม่มีใครที่สามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้อีกแล้วนอกจากพระองค์ เพราะชัยชนะนั้นอยู่ที่พระหัตถ์ของพระองค์เท่านั้น และแด่อัลลอฮ์เท่านั้นที่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายจะต้องยึดมั่น ซึ่งไม่มีใครอื่นนอกจากพระองค์

(161) เป็นไปไม่ได้ที่นบีคนหนึ่งจากบรรดานบีทั้งหลายจะคดโกงเอาบางสิ่งบางอย่างจากทรัพย์เชลย นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้มอบเป็นการเฉพาะแก่เขา และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่คดโกงเอาบางสิ่งบางอย่างจากทรัพย์เชลย เขาจะถูกลงโทษด้วยการประจานในวันกิยามะฮ์ โดยที่เขาจะแบกนำสิ่งที่เขาได้คดโกงมาเปิดเผยต่อหน้ามนุษย์ทั้งหลาย จากนั้นทุกคนจะได้รับการตอบแทนตามที่เขาได้ขวนขวายอย่างครบถ้วนไม่ตกขาด และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรมด้วยการเพิ่มความชั่วและลดความดี

(162) ย่อมไม่เท่าเทียมกัน ณ อัลลอฮ์ระหว่างผู้ที่ปฏิบัติตามความพึ่งพอใจของอัลลอฮ์ เช่น การศรัทธาและกระทำความดี กับผู้ที่ปฏิเสธอัลลอฮ์และกระทำความชั่วต่าง ๆ แล้วทำให้เขาต้องได้รับความโกรธเกรี้ยวอันรุนแรงจากอัลลอฮ์ และที่พำนักของเขาคือนรกญะฮันนัม ซึ่งเป็นที่กลับและที่พำนักอันชั่วช้ายิ่ง

(163) พวกเขาเหล่านั้นมีระดับขั้นที่หลากหลาย ณ อัลลอฮ์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน ไม่มีสิ่งใดจะปกปิดพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนทุกคนตามการงานของเขา

(164) แน่นอนยิ่ง อัลลอฮ์ได้ทรงประทานความโปรดปรานและสิ่งที่ดีแก่บรรดาผู้ศรัทธา โดยที่พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งเราะสูลคนหนึ่งในหมู่พวกเขาที่มาจากพวกเขาเอง เพื่อที่เขาจะได้อ่านอัลกุรอานให้แก่พวกเขาฟัง ขัดเกลาชีวิตของพวกเขาออกจากการตั้งภาคีและมารยาทที่ตกต่ำ และสอนอัลกุรอานและสุนนะฮ์ให้แก่พวกเขา และแน่นอนก่อนหน้าที่เราะสูลคนนี้ (มุหัมมัด) จะถูกแต่งตั้ง พวกเขาเคยอยู่ในการหลงทางอย่างชัดแจ้ง (ห่างไกล) จากทางนำและแนวทางที่เที่ยงธรรม

(165) เมื่อมีทุกข์ภัยหนึ่งได้ประสบกับพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย) ในวันที่พวกเจ้าปราชัยในสงครามอุหุด และมีส่วนหนึ่งจากพวกเจ้านั้นถูกฆ่า โดยที่พวกเจ้าได้เคยสร้างความทุกข์ยาก (ความพ่ายแพ้) ให้แก่ศัตรูของพวกเจ้าถึงสองเท่าด้วยการฆ่าและจับเป็นเชลยในสงครามบะดัร พวกเจ้ายังจะกล่าวว่า: ที่พวกเราประสบกันอยู่นี้ มันมาจากไหนทั้ง ๆ ที่พวกเราเป็นผู้ศรัทธาและนบีของอัลลอฮ์ก็อยู่กับพวกเรา กระนั้นหรือ? จงกล่าวเถิด (โอ้นบีเอ๋ย) สิ่งที่ประสบกับพวกเจ้านั้นมีสาเหตุมาจากตัวของพวกเจ้าเองในตอนที่พวกเจ้าต่างขัดแย้งกันเองและฝ่าฝืนคำสั่งของเราะสูล แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพเพนือทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งพระองค์จะทรงช่วยเหลือและทอดทิ้งใครก็ได้ที่พระองค์ทรงประสงค์

(166) และสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้าจากการถูกฆ่า มีบาดแผล และความปราชัยในสงครามอุหุดในตอนที่กองทัพของพวกเจ้าและกองทัพของบรรดาผู้ตั้งภาคีได้เผชิญหน้ากันนั้น เป็นเพราะการอนุมัติของอัลลอฮ์และความเดชานุภาพของพระองค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อจะเปิดเผยธาตุแท้ของบรรดาผู้ศรัทธาที่สัตย์จริง

(167) และเพื่อจะเปิดเผยธาตุแท้ของบรรดาผู้กลับกลอก ครั้นเมื่อได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า: พวกเจ้าจงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ หรือจงปกป้อง (บ้านเมือง) กันเถิด ด้วยการเข้าร่วมกับบรรดามุสลิมให้มีจำนวนมาก พวกเขากล่าวว่า: ถ้าหากเรารู้ว่ามีการสู้รบ แน่นอนเราจะตามพวกเจ้าไป แต่ทว่าเราไม่เห็นว่ามันจะมีการสู้รบกันระหว่างพวกเจ้ากับฝ่ายศัตรูเลย โดยที่พวกเขาในเวลานั้นอยู่ใกล้กับการปฏิเสธศรัทธายิ่งกว่าการศรัทธาเสียอีก เพราะพวกเขากล่าวด้วยปากของพวกเขาซึ่งสิ่งที่มิได้อยู่ในหัวใจของพวกเขา และอัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกเขาปิดบังในหัวอกของพวกเขา และพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา

(168) พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ไม่ออกไปช่วยสู้รบ พวกเขาได้กล่าวแก่พี่น้องของพวกเขาที่ประสบความทุกข์ยากในสงครามอุหุดว่า: ถ้าหากพวกเขาเชื่อฟังเราโดยไม่ออกไปสู้รบ แน่นอนพวกเขาก็จะไม่ถูกฆ่า จงกล่าวตอบพวกเขาเถิด (โอ้นบีเอ๋ย) ว่า: หากความตายได้มาเยือนพวกเจ้า พวกเจ้าจงปัดความตายนั้นให้พ้นจากตัวของพวกเจ้าเองเสียก่อนเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้สัตย์จริงในสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง และสาเหตุที่พวกเจ้ารอดพ้นจากความตายคือการนั้งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ออกไปต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์

(169) และเจ้าจงอย่าคิดเป็นอันขาด (โอ้นบีเอ๋ย) ว่าบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ตาย เปล่าเลย หากแต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ ที่พระเจ้าของพวกเขาในสถานที่ที่มีเกียรติเป็นการเฉพาะ โดยที่พวกเขาได้รับปัจจัยยังชีพที่หลากหลายชนิดที่ไม่มีใครรู้นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น

(170) แท้จริงพวกเขารื่นเริงอยู่กับความสุข และปลาบปลื้มอยู่กับความดีในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้แก่พวกเขาจากความกรุณาของพระองค์ พวกเขาหวังและเฝ้ารอการกลับมาของพี่น้องของพวกเขาที่อยู่ในโลกดุนยา หากว่าพวกเขาถูกฆ่าในหนทางของอัลลอฮ์ พวกเขาก็จะได้รับความกรุณา(จากอัลลอฮฺ)เหมือนพวกเขา และไม่มีความกลัวใด ๆ แก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์วันโลกหน้า และพวกเขาจะไม่เสียใจกับส่วนแบ่งแห่งโลกดุนยาที่หลุดมือพวกเขาไป

(171) พวกเขามีความปิติยินดีพร้อม ๆ กับผลบุญอันใหญ่หลวงจากอัลลอฮ์ที่รอพวกเขาอยู่ และผลบุญอันใหญ่หลวงนั้นจะถูกเพิ่มขึ้นอีก และแท้จริงพระองค์นั้นจะไม่ทรงทำให้ผลตอบแทนของบรรดาผู้ศรัทธาเป็นโมฆะ แต่ทว่าพระองค์จะทรงให้ผลตอบแทนของพวกเขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ยิ่งกว่านั้นพระองค์จะทรงเพิ่มผลตอบแทนให้พวกเขามากขึ้น

(172) บรรดาผู้ที่น้อมรับคำสั่งของอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ในตอนที่พวกเขาถูกเชิญชวนให้ออกไปสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์และเผชิญหน้ากับบรรดาผู้ตั้งภาคีในสงคราม “หัมรออฺ อัลอะสัด” ที่เกิดถัดจากสงครามอุหุด หลังจากที่พวกเขาได้ประสบกับบาดแผลในสงครามอุหุด แต่บาดแผลเหล่านั้นไม่สามารถหักห้ามพวกเขาจากตอบรับการเรียกร้องของอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ได้ สำหรับบรรดาผู้กระทำความดีในหมู่พวกเขา และยำเกรงต่ออัลอฮ์ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้และออกห่างจากคำสั่งห้ามต่าง ๆ ของพระองค์ จะได้รับผลตอบแทนอันใหญ่หลวงจากอัลลอฮ์ นั้นก็คือ สวนสวรรค์

(173) บรรดา(ผู้ศัรทธา)ที่เมื่อมีบรรดาผู้ตั้งภาคีบางคนได้กล่าวแก่พวกเขาว่า: แท้จริงพวกกุร๊อยชฺที่นำทัพโดยอบูซุฟยาน ได้รวมตัวครั้งใหญ่เพื่อที่จะสู้รบและขจัดพวกเจ้าออก ดังนั้นพวกเจ้าจงระวังและเกรงกลัวการเผชิญหน้ากับพวกเขา แต่แล้วคำขู่นี้ได้(ทำให้พวกเขา)เพิ่มความเชื่อมั่นต่ออัลลอฮ์และความมั่นใจในสัญญาณของพระองค์ จากนั้นบรรดาผู้ศรัทธาก็ได้ออกไปเผชิญหน้ากับบรรดาผู้ตั้งภาคีโดยที่บรรดาผู้ศรัทธากล่าวว่า: อัลลอฮฺนั้นทรงเป็นที่เพียงพอแล้วสำหรับเรา และพระองค์ทรงเป็นผู้ที่เรามอบหมายการงานของเราแด่พระองค์ที่ดีเยี่ยม

(174) ภายหลังจากที่พวกได้ออกไปทำสงคราม “หัมรออ์ อัลอะสัด” แล้ว พวกเขาก็ได้กลับมาด้วยผลตอบแทนอันใหญ่หลวงจากอัลลอฮ์ พร้อมกับการยกระดับสถานะความเป็นอยู่ของพวกเขาให้สูงขึ้น และปลอดภัยจากเหล่าศรัตรูโดยที่พวกเขามิได้ถูกฆ่าและมิได้รับบาดแผลใด ๆ และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยแก่พวกเขาด้วยการยืนหยัดในการเคารพภักดีต่อพระองค์ และยับยั้งจากการเนรคุณต่อพระองค์ และอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้กรุณาอันยิ่งใหญ่ต่อบ่าวของพระองค์ที่เป็นผู้ศรัทธาทั้งหลาย

(175) แท้จริงผู้ที่ข่มขู่พวกเจ้านั้นคือชัยฏอน โดยที่มันข่มขู่พวกเจ้าด้วยกับพวกพ้องและผู้สนับสนุนของมัน ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าขี้กลัวอะไรพวกเขา เพราะแท้จริงพวกเขาไม่มีความสามารถและพลังใด ๆ แต่จงเกรงกลัวอัลลอฮ์เท่านั้นด้วยการยืนหยัดเคารพภักดีต่อพระองค์ หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง

(176) และจงอย่าให้บรรดาผู้กลับกลอกที่รีบเร่งในการปฏิเสธศรัทธาโดยการหันหลังออกจากศาสนา ทำให้เจ้า(โอ้เราะสูล)ต้องเสียใจเลย เพราะแท้จริงพวกเขาไม่สามารถก่ออันตรายใด ๆ แก่อัลลอฮ์ได้ แต่ทว่าพวกเขาต่างหากที่จะได้รับอันตรายเนื่องจากพวกเขาห่างไกลจากการศรัทธาต่ออัลลอฮ์และไม่เคารพเชื่อฟังพระองค์ อัลลอฮ์นั้นทรงต้องการให้พวกเขาล้มละลายและไม่ประสบความสำเร็จ โดยที่พวกเขาไม่มีส่วนได้ใด ๆ ในความโปรดปรานแห่งโลกหน้า และสำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันมหันต์ในไฟนรก

(177) แท้จริงบรรดาผู้ที่แลกเปลี่ยนการศรัทธาด้วยการเอาการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะไม่มีทางก่ออันตรายใด ๆ ต่ออัลลอฮ์ได้ และสำหรับพวกเขาคือการลงโทษที่เจ็บแสบในโลกหน้า

(178) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขาและบทบัญญัติของพระองค์นั้น จงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า การที่พวกเขาได้รับการประวิงเวลาและไว้อายุยาวอยู่กับการปฏิเสธศรัทธานั้นเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเขา มันไม่ใช่อย่างที่พวกเขาได้คิดหรอก เพราะแท้จริงที่เราประวิงเวลาให้แก่พวกเขานั้น เพื่อพวกเขาจะได้เพิ่มพูนบาปกรรมด้วยการประพฤติชั่วสะสม และสำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันอัปยศ

(179) ไม่ใช่หิกมะฮ์ของอัลลอฮ์ที่พระองค์จะทรงทอดทิ้งพวกเจ้า(โอ้บรรดาผู้ศรัทธา)ไว้ในสภาพที่พวกเจ้าเป็นอยู่ด้วยการปะปนกับบรรดาผู้กลับกลอก ไม่สามารถจำแนกระหว่างพวกเจ้า และไม่สามารถรู้ว่าใครคือบรรดาผู้ศรัทธาที่สัตย์จริง จนกว่าพระองค์จะทรงจำแนกพวกเจ้าด้วยกับบททดสอบต่าง ๆ เพื่อเปิดเผยผู้ศรัทธาที่ดีออกจากผู้กลับหลอก(มุนาฟิก)ที่เลว และไม่ใช่หิกมะฮ์ของอัลลอฮ์(อีกเช่นกัน)ที่พระองค์จะทรงให้พวกเจ้ามองเห็นสิ่งเร้นลับ เพื่อพวกเจ้าสามารถจำแนกระหว่างผู้ศรัทธากับผู้กลับหลอก แต่ทว่าอัลลอฮ์นั้นจะทรงเลือกจากบรรดาเราะสูลของพระองค์ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ แล้วให้เขาได้รับรู้สิ่งเร้นลับบางอย่าง ดั่งที่พระองค์ได้ทรงให้บนีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม รู้ถึงสภาพของบรรดาผู้กลับกลอก ดังนั้นพวกเจ้าจงศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์เถิด และหากพวกเจ้าศรัทธาอย่างสัตย์จริงและยำเกรงต่ออัลลอฮ์ด้วยการน้อมรับคำสั่งใช้และออกห่างจากคำสั่งห้ามต่าง ๆ ของพระองค์แล้ว พวกเจ้าจะได้รับผลบุญอันใหญ่หลวง ณ ที่อัลลอฮ์

(180) และบรรดาผู้ตระหนี่ถี่เหนี่ยวในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานความโปรดปรานให้แก่พวกเขาซึ่งถือเป็นการกรุณาจากพระองค์ แล้วยังได้หักห้ามสิทธิที่เป็นของอัลลอฮ์นั้น จงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่ามันเป็นการดีสำหรับพวกเขา หากแต่มันเป็นความชั่วสำหรับพวกเขา เพราะสิ่งใดที่พวกเขาตระหนี่ไว้นั้นจะกลายเป็นห่วงสำหรับคล้องคอของพวกเขาในวันกิยามะฮ์โดยที่พวกเขาจะถูกลงโทษด้วยกับสิ่งนั้น และสำหรับอัลลอฮ์เท่านั้นเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์แห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และพระองค์คือผู้ทรงมีชีวิตหลังจากที่สรรพสิ่งทุกอย่างได้พินาศไป และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามที่ได้กระทำไว้

(181) แน่นอนยิ่ง อัลลอฮ์ทรงได้ยินคำกล่าวของชาวยิว ขณะที่พวกเขาได้กล่าวว่า: “แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ยากจน โดยที่พระองค์ได้ทำการยืมขอจากเรา และพวกเรานั้นเป็นผู้มั่งมีด้วยกับทรัพย์สินที่พวกเรามี” เราจะจารึกสิ่งที่พวกเขากล่าวโกหกที่มีต่อพระเจ้าของพวกเขา และการที่พวกเขาฆ่าบรรดานบีของพวกเขาโดยปราศจากความเป็นธรรม และเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า: พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษแห่งเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ในนรกเถิด

(182) การลงโทษนั้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่มือของพวกเจ้าได้ขวนขวายไว้ก่อน (โอ้ชาวยิวเอ๋ย) ทั้งการกระทำบาปและการดูหมิ่นทั้งหลาย และแท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงอธรรมคนใดคนหนึ่งจากปวงบ่าวของพระองค์

(183) พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ได้กล่าวโกหกแล้วกล่าวหาว่า: แท้จริงอัลลอฮ์ได้สั่งเสียแก่เราในคัมภีร์ทั้งหลายของพระองค์ และผ่านการบอกเล่าจากบรรดานบีของพระองค์ว่า เราจะไม่ศรัทธาต่อเราะสูลคนใด จนกว่าเขาจะนำหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความสัตย์จริงในคำพูดของเขาแก่เรา โดยการพลีเข้าใกล้อัลลอฮ์ด้วยการให้ทานที่มีไฟลงมาจากฟ้าเผาไหม้มัน พวกเขาได้โกหกใส่อัลลอฮ์ด้วยการพาดพิงคำสั่งเสียนี้ถึงพระองค์ และโกหกในการจำกัดหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความสัตย์จริงของบรรดาเราะสูลตามที่พวกเขาได้กล่าวไว้ และด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์จึงสั่งใช้ให้นบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวแก่พวกเขาว่า: แท้จริงได้มีบรรดาเราะสูลก่อนหน้าฉันได้นำหลักฐานต่าง ๆ อันชัดแจ้งที่บ่งชี้ถึงความสัตย์จริงของพวกเขามายังพวกเจ้า และได้นำสิ่งที่พวกเจ้าได้กล่าวไว้จากสิ่งพลีที่มีไฟลงมาจากฟ้าเผาไหม้มันแล้ว แต่ทำไมพวกเจ้าปฏิเสธพวกเขาและฆ่าพวกเขา หากพวกเจ้าเป็นผู้สัจจริงในสิ่งที่พวกเจ้าพูด?

(184) แล้วหากพวกเขาปฏิเสธเจ้า(โอ้นบีเอ๋ย) เจ้าก็อย่าเสียใจ เพราะนั้นคือสันดานของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่แล้ว เพราะบรรดาเราะสูลก่อนหน้าเจ้าก็เคยถูกปฏิเสธมาแล้ว ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นได้นำหลักฐานต่าง ๆ อันชัดแจ้ง บรรดาคัมภีร์ที่ครอบคลุมด้วยบทเรียนและคำตักเตือนต่าง ๆ และคัมภีร์ที่ให้ทางนำที่มีทั้งคำชี้ขาดและบทบัญญัติศาสนาต่าง ๆ มาด้วย

(185) ทุกชีวิตที่มีอยู่จำเป็นที่จะต้องลิ้มรสแห่งความตาย ดังนั้นสิ่งถูกสร้างทั้งหลายอย่าได้หลงกับโลกใบนี้ และในวันกิยามะฮ์พวกเจ้าจะได้รับผลตอบแทนแห่งการงานของพวกเจ้าอย่างครบสมบูรณ์โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ดังนั้นผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงทำให้เขาห่างไกลจากไฟนรกและทำให้เขาเข้าสวรรค์ แน่นอนเขาได้รับจากความดีงามที่เขาหวังไว้ และรอดพ้นจากความชั่วร้ายที่เขากลัว และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้น มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นเพียงสิ่งหลอกหลวงที่เลือนหายไปเท่านั้น และไม่มีใครคนไหนที่ผูกมัดอยู่กับมันนอกจากบรรดาผู้ถูกหลอกหลวงเท่านั้น

(186) (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย) แน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะถูกทดสอบในทรัพย์สมบัติของพวกเจ้า ด้วยการใช้จ่ายมันในเรื่องที่เป็นภาคบังคับและด้วยบททดสอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมัน แน่นอนยิ่งตัวของพวกเจ้าเองก็จะถูกทดสอบด้วยการปฏิบัติตามบทบัญญัติต่าง ๆ ของศาสนา และด้วยบททดสอบหลากหลายรูปแบบที่ประสบแก่พวกเจ้า และแน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะได้ยินจากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ทั้งหลายก่อนหน้าพวกเจ้าและจากบรรดาผู้ตั้งภาคีเกี่ยวกับการก่อความเดือนร้อนอันมากมายแก่พวกเจ้า ด้วยการกล่าวหาพวกเจ้าและศาสนาของพวกเจ้า และหากพวกเจ้าอดทนต่อบททดสอบทั้งหลายที่ประสบแก่พวกเจ้า และยำเกรงต่ออัลลอฮ์ด้วยการกระทำสิ่งที่พระองค์สั่งใช้และละทิ้งสิ่งที่พระองค์สั่งห้ามแล้ว แท้จริงสิ่งดังกล่าวนั่นเป็นส่วนหนึ่งจากกิจการที่จำเป็นจะต้องยืนหยัดแน่วแน่ และจะต้องแข่งขันกัน

(187) และจงรำลึกเถิด (โอ้นบีเอ๋ย) ขณะที่อัลลอฮ์ได้ทรงเอาคำมั่นสัญญาอันหนักแน่นกับบรรดาผู้รู้ชาวคัมภีร์จากชาวยิวและคริสเตียนว่า แน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะต้องให้ความกระจ่างคัมภีร์ของอัลลอฮ์แก่ผู้คน และอย่าได้ปิดบังทางนำและสิ่งที่บ่งชี้ถึงการเป็นนบีของมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่มีอยู่ในนั้น แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติมันมิใช่อื่นใดนอกจากพวกเขาได้เหวี่ยงทิ้งคำมั่นสัญญานั้นและมิได้ใส่ใจต่อมัน เลยพวกเขาได้ปิดบังสัจธรรมและเปิดเผยความเท็จ และได้แลกเปลี่ยนคำมั่นสัญญาของอัลลอฮ์ด้วยกับราคาอันเล็กน้อย เช่น เพื่อตำแหน่งและทรัพย์สินที่พวกเขาอาจจะได้รับ นี่คือราคาที่ชั่วช้ายิ่งที่พวกเขาแลกเปลี่ยนมันด้วยคำมั่นสัญญาของอัลลอฮ์

(188) (โอ้นบีเอ๋ย) เจ้าอย่าคิดเป็นอันขาดว่า บรรดาผู้ที่ระเริงกับการกระทำสิ่งที่มิชอบและชอบที่จะให้ผู้คนชมเชยพวกเขาในความดีที่พวกเขามิได้กระทำ เจ้าอย่าคิดเป็นอันขาดว่า พวกเขาจะมีทางรอดพ้นจากการลงโทษและจะได้รับความปลอดภัย แต่ทว่าที่พำนักของพวกเขาคือนรกญะฮันนัม และในนรกนั้นพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด

(189) อำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งที่มีอยู่ในระหว่างทั้งสอง เป็นของอัลลอฮ์องค์เดียว ทั้งในเรื่องการสร้างและการบริหารจัดการ และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงมีความสามารถเหนือทุกสิ่ง

(190) แท้จริงในการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินขึ้นมาจากที่ไม่เคยมี พร้อมกับไม่มีตัวอย่างมาก่อนหน้านี้ และการสลับเปลี่ยนเวลากลางคืนและกลางวัน และความแตกต่างของทั้งสองในเรื่องระยะเวลาทั้งยาวและสั้นนั้น แน่นอนล้วนเป็นหลักฐานที่ชัดแจ้งสำหรับบรรดาผู้มีสติปัญญาที่ดี ซึ่งบ่งชี้ให้พวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของผู้สร้างแห่งจักรวาลที่สมควรได้รับการเคารพภักดีเพียงพระองค์เดียว

(191) พวกเขาคือบรรดาผู้ที่รำลึกถึงอัลลอฮ์ในทุกอริยบทของพวกเขา ทั้งในสภาพยืน นั่ง และนอนตะแคง และพวกเขาจะใคร่ครวญในการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและผ่านดิน โดยที่พวกเขากล่าวว่า: โอ้พระเจ้าของเรา พระองค์มิทรงสร้างการสร้างที่ใหญ่หลวงนี้มาโดยไร้สาระ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์จากสิ่งไร้สาระ ฉะนั้นได้โปรดให้เรารอดพ้นจากการลงโทษแห่งไฟนรกด้วยการให้เราบรรลุผลสำเร็จในการงานที่ดี และปกป้องเราจะการงานที่ชั่ว

(192) เพราะแท้จริง (โอ้พระเจ้าของเรา) ผู้ที่พระองค์ทรงให้เขาเข้านรกจากบ่าวของพระองค์นั้น แน่นอนพระองค์ได้ทรงทำให้เขาอัปยศและประจาน(ความผิดของ)เขา และในวันกิยามะฮ์สำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้นจะไม่มีผู้ช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้

(193) โอ้พระเจ้าของเรา แท้จริงเราได้ยินผู้เรียกร้องเชิญชวนไปสู่การศรัทธา (คือนบีของพระองค์ มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) โดยที่ท่านกล่าวว่า: พวกเจ้าจงศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ซึ่งเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าองค์เดียวเถิด แล้วเราก็ได้ศรัทธาในสิ่งที่เขาเชิญชวนและปฏิบัติตามบทบัญญัติของเขา ดังนั้นได้โปรดปกปิดบาปทั้งหลายของเราแล้วอย่าได้เปิดเผยประจานเราเลย โปรดอย่าได้เอาโทษในฐานความผิดที่เราได้ล่วงละเมิดไป และได้โปรดให้เราสิ้นชีวิตร่วมกับคนดีทั้งหลายด้วยการให้เราบรรลุสำเร็จในการทำดีและละทิ้งความชั่วทั้งหลาย

(194) โอ้พระเจ้าของเรา ได้โปรดประทานแก่เราในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาแก่เราโดยผ่านบรรดาเราะสูลของพระองค์ จากทางนำและการช่วยเหลือในโลกนี้ และในวันกิยามะฮ์ได้โปรดอย่าทำให้เราอับอายด้วยการต้องเข้านรก แท้จริงพระองค์นั้น (โอ้พระเจ้าของเราเอ๋ย) คือผู้ทรงเกื้อกูล ทรงไม่ผิดต่อสัญญา

(195) แล้วพระเจ้าของพวกเขาก็ได้ทรงตอบรับคำวิงวอนของพวกเขาไว้ว่า: แท้จริงข้าจะไม่ทำให้ผลบุญการงานทั้งหลายของพวกเจ้าสูญเปล่าไปไม่ว่าจะน้อยหรือมาก และไม่ว่าผู้กระทำนั้นจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม เพราะการตัดสินระหว่างพวกเจ้าในศาสนานั้นคืออันเดียวกัน ซึ่งผู้ชายจะไม่ถูกเพิ่มผลบุญให้มากขึ้นและผู้หญิงจะไม่ถูกลดผลบุญให้น้อยลง ดังนั้นบรรดาผู้ที่อพยพในหนทางของอัลลอฮ์ บรรดาผู้ที่ถูกผู้ปฏิเสธศรัทธาขับไล่ให้ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา และพวกเขาได้ถูกทำร้ายเนื่องจากพวกเขาเชื่อฟังต่อพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขายังได้ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ และถูกฆ่าเพื่อที่จะรักษาพระดำรัสของอัลลอฮ์นั้นให้สูงส่ง แน่นอนยิ่งข้าจะลบล้างและยกโทษความผิดต่าง ๆ ให้แก่พวกเขาในวันกิยามะฮ์ และจะให้พวกเขาเข้าสวนสวรรค์อันหลากหลายที่มีลำน้ำหลายสายไหล่อยู่เบื้องล่างคฤหาสน์ของมัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนผลบุญจากอัลลอฮ์ และ ณ อัลลอฮ์นั้นมีการตอบแทนที่ดีเลิศที่ไม่เคยมีมา

(196) จงอย่าให้การเคลื่อนไหวของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในเมือง อำนาจของพวกเขาในการปกครองบ้านเมือง ความรุ่งเรื่องทางการค้าและปัจจัยยังชีพอันกว้างขวางของพวกเขานั้นล่อลวงเจ้าเป็นอันขาด (โอ้นบีเอ๋ย) เพราะมันจะทำให้เจ้าต้องรู้สึกเศร้าโศกและเสียใจกับสภาพของพวกเขา

(197) เพราะโลกนี้เป็นแค่เพียงสิ่งเล็กน้อยและไม่มั่นคงถาวร จากนั้นที่พำนักของพวกเขาในวันกิยามะฮ์คือนรกญะฮันนัม และไฟนรกกก็จะเป็นที่ปูพื้นให้พวกเขาเหยีบ

(198) แต่บรรดาผู้ยำเกรงต่อพระเจ้าของเขา ด้วยการน้อมรับคำสั่งใช้และออกห่างจากคำสั่งห้ามต่าง ๆ ของพระองค์ พวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์อันหลากหลายที่มีลำน้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล ซึ่งเป็นการตอบแทนที่ได้ถูกเตรัยมไว้สำหรับพวกเขา ณ ที่อัลลอฮ์ ตะอาลา และสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงเตรียมไว้สำหรับบ่าวที่ดีของพระองค์นั้น ดีและประเสริฐยิ่งกว่าความสุขแห่งโลกนี้ที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้รับ

(199) ชาวคัมภีร์อยู่ในสถานะที่ต่างกัน บางส่วนนั้นศรัทธาต่ออัลลอฮ์ สัจธรรม และทางนำที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้า และศรัทธาในสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเขาที่ถูกกล่าวในคัมภีร์ของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะไม่เลือกศรัทธาระหว่างบรรดาเราะสูลของอัลลอฮ์ พวกเขาศรัทธาในสภาพที่นอบน้อมถ่อมตนต่ออัลลอฮ์ โดยหวังการตอบแทนจากพระองค์ และพวกเขาจะไม่แลกซื้อโองการต่าง ๆ ของอัลลอฮ์ด้วยราคาอันเล็กน้อยเพื่อความสุขแห่งโลกนี้ บุคคลที่มีคุณลักษณะดังกล่าวนี้ พวกเขาจะได้ผลตอบแทนอันใหญ่หลวง ณ ที่อัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการชำระสอบสวนการงานทั้งหลาย และทรงรวดเร็วในการตอบแทนในการงานนั้น

(200) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ พวกเจ้าจงอดในการปฎิบัติตนตามบทบัญญัติแห่งศาสนาและบททดสอบต่าง ๆ ที่ประสบกับพวกเจ้าในโลกดุนยา จงอดทนในการต่อสู้เอาชนะบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา จงเอาชนะพวกเขาให้ได้ อย่าให้พวกเขามีความอดทนมากกว่าพวกเจ้า จงดำรงไว้ซึ่งการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ และจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ด้วยการน้อมรับคำสั่งใช้และออกห่างจากคำสั่งห้ามต่าง ๆ ของพระองค์ เพื่อพวกเจ้าจะได้รับสิ่งที่พวกเจ้าปรารถนา การรอดพ้นจากไฟนรก และการได้เข้าสวรรค์ของพระองค์