21 - Al-Anbiyaa ()

|

(1) วันแห่งการคิดบัญชีของมนุษย์ในการงานของเขาในวันกิยามะฮ์ได้ใกล้เข้ามาแล้ว โดยที่พวกเขาอยู่ในสภาพที่ประมาทเลินเล่อไม่สนใจวันอาคีเราะฮ์ อันเนื่องจากการหลงระเริงกับเรื่องของโลกดุนยา

(2) และไม่มีข้อตักเตือนใหม่ ๆ จากอัลกุรอ่านที่มาจากพระเจ้าของพวกเขามายังพวกเขา เว้นแต่พวกเขาจะฟังมันโดยเป็นการฟังที่ไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาฟังแบบเล่นๆ ไม่ได้สนใจอะไรในเนื้อหานั้น

(3) พวกเขาฟังแต่จิตใจของพวกเขาไม่สนใจมัน และบรรดาผู้อธรรมด้วยการปฏิเสธศรัทธาได้พูดคุยซึ่งกันและกัน ซึ่งพวกเขากล่าวว่า "ผู้ชายคนนี่ที่อ้างตนว่าเป็นเราะซูล แท้จริงแล้วเขาไม่ใช่ใคร นอกจากเป็นสามัญชนเหมือนพวกท่าน ไม่มีความพิเศษเหนือพวกท่านเลย และสิ่งที่มาพร้อมกับเขาคือเวทมนตร์ แล้วพวกท่านจะปฏิบัติตามเขาอีกกระนั้นหรือ ทั้งๆที่พวกท่านเองก็รู้ว่าเขาเป็นสามัญชนเหมือนกับพวกท่านและสิ่งที่มากับเขานั้นคือเวทมนตร์?!

(4) ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า "พระผู้อภิบาลของฉันทรงรอบรู้ถึงคำพูดที่พวกท่านปกปิดไว้ เพราะพระองค์ทรงรอบรู้ทุกถ้อยคำที่ออกมาจากคนที่พูด ทั้งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินทุกถ้อยคำของปวงบ่าวของพระองค์ เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกการงานของพวกเขา และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาต่อสิ่งดังกล่าวนั้น"

(5) แต่พวกเขาลังเลเกี่ยวกับสิ่งที่มูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมา บางครั้งพวกเขากล่าวว่า "มันเป็นความฝันที่สับสนไม่สามารถอธิบายได้" และบางครั้งพวกเขากล่าวว่า "ไม่ใช่ แต่เป็นสิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นมาโดยไม่มีต้นกำเนิด" และบางครั้งพวกเขากล่าวว่า "เขาคือนักกวี ถ้าหากเขามีความจริงใจต่อการกล่าวอ้างของเขา ก็จงนำมาให้พวกเราได้พบกับปาฏิหาริย์ ดั่งเช่นบรรดาเราะซูลในยุคก่อน ๆ ที่ได้ถูกส่งมา ซึ่งพวกเขาได้นำมาซึ่งปาฏิหาริย์ต่างๆ เช่น ไม้เท้าของนบีมูซา และอูฐของนบีศอลิฮ์"

(6) ไม่มีชาวเมืองใดก่อนหน้าพวกเขาที่เสนอขอให้มีการลงมาซึ่งปาฏิหาริย์และเราก็ได้มอบให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งที่พวกเขาขอ แต่ว่าพวกเขานั้นกลับปฏิเสธมัน ดังนั้นเราได้ทำลายพวกเขา พวกเขาเหล่านั้นจะศรัทธากระนั้นหรือ?!

(7) และเราไม่ได้ส่งผู้ใดมาก่อนหน้าเจ้า โอ้เราะสูลเอ๋ย นอกจากเป็นผู้ชายจากสามัญชนที่เราได้วะหฺยูแก่พวกเขา โดยที่เราไม่ได้ส่งมลาอิกะฮ์ลงมาแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเจ้าจงถามบรรดาชาวคัมภีร์ก่อนหน้าพวกเจ้า หากพวกเจ้าไม่รู้ถึงสิ่งเหล่านั้น

(8) และเรามิได้ทำให้บรรดาเราะสูลที่เราได้ส่งไปนั้น มีร่างกายที่ไม่ต้องการอาหาร แต่พวกเขาก็กินอาหารเหมือนคนอื่นๆกิน และพวกเขาก็ไม่ได้เป็นผู้มีชีวิตยั่งยืนบนโลกดุนยานี้ที่ไม่ตาย

(9) แล้วเราได้ทำให้สัญญาของเราที่มีต่อพวกเขาเป็นที่ประจักษ์จริงแก่บรรดาเราะสูลของเรา โดยเราได้ช่วยพวกเขา(บรรดาเราะสูล)และช่วยผู้ที่เราประสงค์จากบรรดาผู้ศรัทธาจากการถูกทำลาย และเราได้ทำลายผู้ละเมิดด้วยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และกระทำการฝ่าฝืน

(10) และเราได้ประทานอัลกุรอานลงมาแก่พวกเจ้า ซึ่งในนั้นกล่าวถึงเกียรติและความภาคภูมิใจของพวกเจ้า หากพวกเจ้าเชื่อและปฏิบัติตามสิ่งที่มีในอัลกุรอาน พวกเจ้าไม่ใช้สติปัญญาคิดบ้างหรอกหรือ ดังนั้นพวกเจ้าจงรีบเร่งไปสู่การศรัทธาต่ออัลกุรอานและปฏิบัติในเนื้อหาของมัน?!

(11) และกี่มากน้อยแล้วที่เราได้ทำลายหมู่บ้านที่อธรรมด้วยเหตุที่พวกเขานั้นปฏิเสธศรัทธา และหลังจากนั้นเราก็ได้สร้างกลุ่มชนอื่นมาแทน

(12) และเมื่อบรรดาผู้ถูกทำลายเห็นการลงโทษของเรา ซึ่งไม่ได้ละเว้นพวกเขาเลย เมื่อนั้นพวกเขาจึงรีบหนีจากแผ่นดินของพวกเขา เพื่อให้พ้นจากความพินาศ

(13) แล้วพวกเขาได้ถูกเรียกด้วยการเยาะเย้ย "พวกท่านอย่าหนีเลย และจงกลับไปยังสิ่งที่พวกท่านเคยได้รับความสุขความสำราญแต่ก่อนเถิด และกลับไปยังที่พักอาศัยของพวกท่าน เพื่อว่าพวกท่านจะได้ถูกสอบถามสิ่งที่เกิดขึ้นแก่พวกท่านบนโลกดุนยา

(14) แล้วบรรดาผู้อธรรมก็กล่าวด้วยการสำนึกในความผิดของพวกเขาว่า "โอ้ ความวิบัติ โอ้ ความสูญเสีย! แท้จริงเราเป็นผู้อธรรมที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์"

(15) เมื่อพวกเขายังคงอยู่ในการสำนึกในความผิด และยังคงสวดอ้อนวอนขอให้ทำลายตัวเอง จนกระทั่งเราได้ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนพืชที่ถูกเก็บเกี่ยวมอดไหม้ไป ซึ่งไม่สามารถมีชีวิตอยู่และเคลื่อนไหวได้

(16) และเรามิได้สร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสอง เพื่อการสนุกสนานอย่างไร้ประโยชน์ แต่เราสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงความสามารถของเรา

(17) หากเราปรารถนาที่จะมีภรรยาหรือลูก แน่นอนเราก็จะทำให้มันเกิดขึ้นมาจากที่มีอยู่ที่เรา และเราจะไม่ทำเช่นนั้นเพราะเราบริสุทธิ์จากสิ่งเหล่านั้น

(18) แต่ว่าเราได้ทำให้ความจริงที่เราได้ประทานวะห์ยูแก่เราะสูลของเราเพื่อทำลายความเท็จของพวกที่ปฏิเสธศรัทธา แล้วมันก็จะมลายสิ้นไป ดังนั้นความเท็จของพวกเขาได้มลายหายไป และสำหรับพวกท่าน โอ้บรรดาผู้ที่กล่าวว่า พระองค์ทรงมีภรรยาและบุตรนั้น ความหายนะเกิดขึ้นกับพวกท่าน อันเนื่องจากพวกท่านได้ให้คุณลักษณะที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระองค์

(19) และเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว ผู้ทรงครอบครองในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และผู้ที่อยู่ ณ ที่พระองค์จากมลาอิกะฮ์ พวกเขาจะไม่ลำพองตนในการเคารพภักดีต่อพระองค์ และพวกเขาจะไม่รู้สึกเหนื่อย

(20) พวกเขายังคงแซ่ซ้องสดุดีต่ออัลลอฮ์อยู่เสมอ โดยที่ไม่เบื่อหน่าย

(21) แต่พวกที่ตั้งภาคียังคงนับถือพระเจ้าหลายองค์อื่นนอกจากอัลลอฮ์ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถให้ชีวิตแก่สิ่งที่ตายได้ แล้วพวกเขาบูชาต่อสิ่งที่ไม่ความสามารถกระทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร?

(22) หากในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าหลายองค์ อื่นจากอัลลอฮ์แล้ว แน่นอนความเสียหายจะเกิดขึ้น เพราะความขัดแย้งในการดูแลปกครองอย่างแน่นอน แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้น ดังนั้นมหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์พระเจ้าแห่งบัลลังก์ ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกตั้งภาคีเสกสรรปั้นแต่งขึ้นว่าอัลลอฮ์นั้นทรงมีหุ้นส่วน

(23) อัลลอฮคือผู้ทรงเอกะในการครอบครองและคำตัดสินของพระองค์ ไม่มีใครสามารถถามได้ถึงอำนาจและการตัดสินของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงถามบ่าวของพระองค์เกี่ยวกับการงานของพวกเขาและจะทรงตอบแทนพวกเขาเองถึงการงานนั้น

(24) พวกเขาได้ยึดถือบรรดาพระเจ้านอกจากอัลลอฮ์ในการเคารพบูชา จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะสูล แก่กลุ่มที่ตั้งภาคีเหล่านั้นว่า ขอให้พวกท่านนำหลักฐานของพวกท่านมาเพื่อชี้แจงถึงการเคารพบูชาของพวกท่าน นี่คือคัมภีร์ที่ลงมายังฉัน (อัลกุรอ่าน) และคัมภีร์ที่ลงมายังบรรดาเราะซูลไม่ใช่เป็นหลักฐานสำหรับพวกเจ้า ส่วนใหญ่ของผู้ตั้งภาคีนั้นขึ้นอยู่กับความไม่รู้และตามประเพณีเท่านั้น พวกเขาจึงผินหลังเมินห่างที่จะยอมรับความจริง

(25) และเรามิได้ส่งเราะสูลคนใดก่อนหน้าเจ้า โอ้ท่านเราะสูล นอกจากเราได้วะฮีย์แก่เขาว่า "แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกเคารพสักการะที่เที่ยงแท้ นอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้าเพียงองค์เดียว และอย่าได้ตั้งภาคีต่อสิ่งใดๆร่วมกับข้า"

(26) และพวกที่ตั้งภาคีกล่าวว่า "อัลลอฮ์ทรงมีมลาอิกะฮฺเป็นบุตรสาว มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค ทรงบริสุทธิ์และปราศจากสิ่งที่พวกเขากล่าวโกหกต่อพระองค์ แต่ว่าพวกเขามลาอิกะฮ์เป็นบ่าวของอัลลอฮ์ ผู้ที่มีเกียรติและเป็นผู้ใกล้ชิดต่อพระองค์"

(27) พวกเขาจะไม่นำหน้าพระผู้อภิบาลของพวกเขาด้วยคำพูดใดๆ ดังนั้นพวกเขาจะไม่พูดด้วยคำพูดใดๆ จนกว่าพวกเขาจะได้รับคำบัญชาจากพระองค์ และพวกเขาทำตามที่พระองค์บัญชาเสมอ ดังนั้นพวกเขาจะไม่ขัดแย้งกับคำบัญชาของพระองค์

(28) พระองค์ทรงรอบรู้ถึงการกระทำของพวกเขาที่ผ่านมาและการกระทำที่จะตามมา และพวกเขาจะไม่ขอการช่วยเหลือให้แก่ผู้ใด (ขอชะฟาอะฮ์) นอกจากด้วยการอนุมัติจากพระองค์ สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัยเท่านั้น และพวกเขามักจะหวาดหวั่นในการยำเกรงต่อพระองค์ผู้ทรงฤทธานุภาพโดยการไม่ฝ่าฝืนต่อคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของพระองค์

(29) และผู้ใดในหมู่มลาอิกะฮ์ (เป็นเรื่องของการสมมุติ" ได้กล่าวว่า "แท้จริงฉันคือพระเจ้าที่ถูกเคารพสักการะอื่นจากอัลลอฮ์ เราจะตอบแทนเขาต่อคำกล่าวของเขานั้นโดยการลงโทษด้วยไฟนรกญะฮันนัมในวันกิยามะฮ์ โดยอยู่ในนั้นตลอดไป และการลงโทษเช่นนี้แหละ เราจะตอบแทนสำหรับผู้ที่อธรรมด้วยการปฏิเสธศรัทธาและตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์

(30) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอ์เหล่านั้นไม่รู้หรือว่า แท้จริงท้องฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเคยเชื่อมต่อกัน ไม่มีช่องว่างระหว่างทั้งสองและฝนก็ตกลงมาจากมัน แล้วเราได้แยกออกระหว่างกัน และเราได้ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตนั้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือพืชผัก ได้มีขึ้นด้วยกับน้ำที่ตกลงมาจากฟากฟ้าสู่แผ่นดิน ดังนั้นทำไมพวกเจ้าจึงไม่พิจารณาถึงเรื่องนี้บ้างและศรัทธาต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว?

(31) และเราได้สร้างภูเขาที่ตั้งมั่นในแผ่นดินเพื่อไม่ให้สั่นสะเทือนต่อผู้ที่อยู่บนนั้น และเราได้ทำให้หุบเขาเป็นทางกว้าง เพื่อว่าพวกเขาจะได้ใช้เป็นทางเดินในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของพวกเขา

(32) และเราได้ทำให้ชั้นฟ้าเป็นดั่งหลังคาถูกรักษาไว้ไม่ให้ร่วงหล่นลงมาจากการที่ไม่มีเสาค้ำจุน และได้รับการปกป้องจากการได้ยินที่ถูกซ่อนเร้น และบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีกับสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าจากบรรดาโองการทั้งหลาย เช่นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ พวกเขาก็ยังคงผินหลังให้โดยไม่คิดพิจารณาต่อโองการเหล่านั้น

(33) และเพียงองค์เดียวเท่านั้น คือผู้ที่สร้างกลางคืนเพื่อให้พักผ่อน สร้างกลางวันเพื่อหาปัจจัยยังชีพ สร้างดวงอาทิตย์เป็นสัญลักษ์ของกลางวันและดวงจันทร์เป็นสัญลักษ์ของกลางคืน ทั้งหมดนั้น ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่ในวงโคจรของตัวมันเอง โดยที่ไม่เบี่ยงเบนและไม่เอนเอียงออกจากทางโคจรของมัน

(34) และเราไม่ได้ทำให้บุคคลใดก่อนหน้าเจ้า -โอ้ท่านเราะสูล- ยืนยาวในชีวีตนี้? หากเจ้าใช้ชีวิตในชีวิตนี้และเสียชีวิตไป พวกเขาเหล่านี้ยังคงอยู่หลังจากเจ้ากระนั้นหรือ? เปล่าเลย

(35) ทุกชีวิตของผู้ศรัทธาหรือผู้ปฏิเสธศรัทธาย่อมลิ้มรสความตายในโลกดุนยานี้ และเราจะทดสอบพวกเจ้า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย ในชีวิตบนโลกดุนยาด้วยกฏข้อบังคับใช้และความโปรดปราน ความทุกข์ต่างๆ และหลังจากความตาย พวกเจ้าจะต้องกลับมาหาฉันมิได้กลับไปหาคนอื่น และเราจะตอบแทนในการงานของพวกเจ้า

(36) และเมื่อบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีพบเห็นเจ้า -โอ้ท่านเราะสูล- พวกเขาจะไม่นับถือเจ้า นอกจากเป็นการเยาะเย้ยเท่านั้น เพื่อเป็นการกันผู้คนให้ห่างไกลจากเจ้า โดยพวกเขาพูดอย่างเยาะเย้ยว่า "คนนี้นะหรือที่ตำหนิพระเจ้าของพวกท่านที่พวกท่านเคารพบูชา? และพวกเขากับการเยาะเย้ยของพวกเขาที่มีต่อเจ้านั้น พวกเขาปฏิเสธสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมาให้แก่พวกเขาที่มาจากอัลกุรอาน และด้วยความสะดวกสบายต่างๆที่ได้มอบให้แก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่สำนึกในความกรุณา(ของอัลลอฮ์) ดังนั้นพวกเขาต่างหากที่คู่ควรกับการถูกตำหนิ เพราะทุกสิ่งที่ไม่ดี มีอยู่กับพวกเขา

(37) มนุษย์ถูกสร้างมาด้วยนิสัยชอบเร่งรีบ พวกเขาเร่งรีบในสิ่งที่ยังไม่ถึงกำหนด ดังเช่นความเร่งรีบของผู้ตั้งภาคีเพื่อขอการลงโทษ เราจะให้พวกเจ้าได้เห็น -โอ้ผู้ที่เร่งรีบเพื่อการลงโทษของฉัน- สิ่งที่พวกท่านเร่งรีบจากพระองค์นั้น ดังนั้นอย่าได้วอนขอให้รีบเร่งมันเลย

(38) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ปฏิเสธต่อวันฟื้นคืนชีพได้กล่าว บนฐานแห่งการเร่งรีบว่า "เมื่อไรเล่าสิ่งที่พวกเจ้าสัญญาไว้กับเราจะเกิดขึ้นสักที -โอ้บรรดามุสลิมเอ๋ย- ที่ว่าด้วยการฟื้นคืนชีพนั้น ถ้าพวกเจ้าสัจจริงในสิ่งที่พวกเจ้าได้อ้างถึงมัน ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง!

(39) หากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ปฏิเสธต่อการฟื้นคืนชีพนั้นรู้ว่า เมื่อพวกเขาไม่สามารถป้องกันไฟจากด้านหน้าหรือด้านหลังของพวกเขาได้ และไม่มีผู้ช่วยเหลือใดที่จะช่วยเหลือต่อการลงโทษของพวกเขาได้ ถ้าหากพวกเขารู้อย่างมั่นใจในเรื่องนี้ แน่นอนพวกเขาจะไม่รีบร้อนที่จะแสวงหาการลงโทษนั้น

(40) ไฟแห่งการลงโทษนี้จะไม่มายังพวกเขาในขณะที่พวกเขารู้ แต่ไฟจะมายังพวกเขาในทันที เพื่อที่พวกเขาจะไม่สามารถหลบหนีและไม่สามารถยับยั้งมันได้ และพวกเขาจะไม่ได้รับการประวิงเวลาให้จนสามารถที่จะสำนึกผิดและได้รับความเมตตา

(41) ถ้ากลุ่มชนของเจ้าเย้ยหยันเจ้า เจ้าไม่ใช่คนแรกที่ถูกกระทำเช่นนี้ บรรดาเราะสูลก่อนหน้าเจ้าได้ถูกเย้ยหยันมาก่อนแล้ว -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- ดังนั้นการลงโทษจึงได้ประสบกับบรรดาผู้ปฏิเสธที่เย้ยหยันเหล่านั้น พวกเขาเคยเยาะเย้ยถึงการลงโทษนั้น(ว่าเมื่อไรการลงโทษจะมาสักที) ในตอนที่บรรดาเราะสูลได้ตักเตือนพวกเขาตอนที่อยู่ในดุนยา

(42) จงกล่าวเถิด -โอ้ เราะสูลเอ๋ย- แก่บรรดาผู้ที่ขอให้การลงโทษเกิดขึ้นโดยเร็วว่า "ผู้ใดเล่าจะคุ้มครองพวกเจ้าในยามกลางคืนและกลางวันให้พ้นจากการลงโทษและความพินาศจากพระผู้ทรงกรุณาปรานี" แต่พวกเขาก็ปฏิเสธและไม่สนใจต่อกคำเตือนและข้อพิสูจน์ของพระผู้อภิบาลของพวกเขา พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย พวกเขาชั่งโง่เขลา เบาปัญญา

(43) หรือว่าพวกเขามีพระเจ้าอื่นที่คอยปกป้องพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของเรา? ซึ่งพวกเขาไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองในการยับยั้งสิ่งอันตรายที่มาประสบกับเขาได้และไม่สามารถก่อประโยชน์ได้ และผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เขาจะช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร? และพวกเขาจะไม่รอดพ้นจากการลงโทษของเราได้

(44) แต่เราได้ให้ความสุขแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและแก่บรรพบุรุษของพวกเขา โดยทำให้พวกเขาไดรับความเพลิดเพลินมากมาย เพื่อเป็นการล่อพวกเขา จนกระทั้งให้ชีวิตของพวกเขายืนยาว ซึ่งทำให้พวกเขาถูกหลอกให้หลงระเริงมากขึ้นเรื่อย ๆ และยืนหยัดกับการเป็นผู้ปฏิเสธของพวกเขา พวกเขาเหล่านี้ที่ถูกหลอกโดยความโปรดปรานของเราและรีบเร่งแสวงหาการลงโทษจากฉัน พวกเขาเหล่านั้นไม่เห็นหรือว่า แท้จริงเราได้ทำให้แผ่นดินนี้ลดแคบลงจากทุกทิศทุกทางโดยอำนาจของเราเหนือผู้คนทั้งหลายและอำนาจของเราเหนือพวกเขาเสมอ? ดังนั้นจงรับเป็นบทเรียนเถิด เพื่อสิ่งนั้นจะได้ไม่ประสบกับพวกเขา เหมือนอย่างที่ประสบกับคนอื่นๆ เพราะพวกเขาจะไม่เป็นผู้ชนะ แต่พวกเขาจะเป็นผู้แพ้

(45) จงกล่าวเถิด -โอ้ เราะสูล-“แท้จริงฉันเพียงตักเตือนพวกเจ้าเท่านั้น -โอ้ มนุษย์เอ๋ย- เกี่ยวกับการลงโทษของอัลลอฮ์ ซึ่งแจ้งผ่านโองการที่พระผู้อภิบาลของฉันประทานลงมาแก่ฉัน” แต่ผู้ที่หูหนวกจากสัจธรรม พวกเขาจะไม่ฟังสัจธรรมนั้นด้วยการฟังที่ดี เมื่อพวกเขาถูกเตือนถึงการลงโทษของอัลลอฮ์

(46) และหากการลงโทษเพี่ยงเล็กน้อยจากพระผู้อภิบาลเขาเจ้าได้ประสบกับกลุ่มชนเหล่านี้ที่ขอให้การลงโทษได้ประสบกับพวกเขาอย่างเร่งรีบแล้ว -โอ้ เราะสูล- แน่นอนพวกเขาก็จะกล่าวว่า "โอ้ความวิบัติแก่เรา ความสูญเสียแก่เรา แท้จริงเราเป็นผู้อธรรม ด้วยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์และปฏิเสธในสิ่งที่ มูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นำมา!”

(47) และเราตั้งตราชูที่เที่ยงธรรมสำหรับผู้คนในวันกิยามะฮ์ เพื่อชั่งการงานของพวกเขา ดังนั้นจะไม่มีผู้ใดถูกอธรรมในวันนั้น ด้วยการทำให้ความดีของเขาหายไป หรือให้ความชั่วเพิ่มขึ้น และแม้ว่าการกระทำนั้นจะมีน้ำหนักเท่าเมล็ดพืชเล็กก็ตาม เราก็จะนำมันมา และเพียงพอกับการที่เราเป็นผู้ชำระสอบสวน

(48) และแท้จริงเราได้ให้แก่มูซาและฮารูน ซึ่งคัมภีร์อัตเตารอฮที่จะแยกระหว่างความจริงกับความเท็จ ระหว่างสิ่งที่ฮาลาล กับสิ่งที่ฮารอม (ไม่อนุมัติ) และเป็นทางนำแก่ผู้คนที่เชื่อมันและเป็นข้อตักเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรงต่อพระเจ้าของพวกเขา

(49) บรรดาผู้ที่เกรงกลัวต่อบทลงโทษของพระเจ้าของพวกเขาคือบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์ แม้ว่าพวกเขาไม่ได้เห็นพระองค์ก็ตาม และพวกเขายังหวั่นกลัวต่อวันอวสานด้วย

(50) และนี่คืออัลกุรอานที่ถูกประทานลงมายังมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นการตักเตือนสำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้จากมันและบทเรียนที่มีประโยชน์และความดีมากมาย แล้วพวกเจ้ายังจะปฏิเสธมันอีกหรือ? ยังจะไม่ยอมรับและไม่ปฏิบัติกับสิ่งเหล่านี้อีกหรือ?

(51) และเราได้ให้เหตุผลความเฉลียวฉลาดแก่อิบรอฮีมในการโต้แย้งกับกลุ่มชนของเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก และเรารอบรู้ถึงเขาเป็นอย่างดี และเราได้ให้สิ่งที่เหมาะสำหรับเขา ตามความรู้ของเรา เกี่ยวกับการโต้เถียงกับกลุ่มชนของเขา

(52) เมื่อครั้นที่อิบรอฮีมกล่าวแก่บิดาของเขา อาซัร และกลุ่มชนของเขาว่า "นี่มันรูปปั้นอะไรกันที่พวกท่านปั้นมันขึ้นมาด้วยมือของพวกท่าน และพวกท่านก็ทำการเฝ้าบูชามัน?

(53) กลุ่มชนของอิบรอฮีมกล่าวแก่เขาว่า "เราได้เห็นบรรพบุรุษของเราเคารพบูชามัน ดังนั้นเราก็เคารพบูชามันเช่นกัน"

(54) อิบรอฮีมกล่าวแก่พวกเขาว่า "โดยแน่นอน โอ้บรรดาผู้ตามทั้งหลาย พวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านที่เป็นแบบอย่าง อยู่ในการหลงจากเส้นทางที่ถูกต้องอย่างชัดเจน"

(55) กลุ่มชนของอิบรอฮีมกล่าวแก่เขาว่า "เจ้ามีความจริงมาเสนอให้แก่พวกเราอย่างที่เจ้าพูดในสิ่งที่เจ้าพูด หรือเจ้าเป็นแค่เพียงคนหนึ่งที่พูดเล่น?"

(56) อิบรอฮีมกล่าวว่า "แต่ที่จริงแล้ว ฉันได้มายังพวกเจ้าด้วยความจริงไม่ใช่การล้อเล่น พระเจ้าของพวกเจ้าคือพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์ผู้ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาโดยที่ไม่มีต้นแบบมาก่อน และฉันเป็นคนหนึ่งที่ยืนยันว่า พระองค์นั้นคือพระเจ้าของพวกเจ้าและพระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และรูปปั้นของพวกเจ้าไม่มีส่วนใดๆเลยในเรื่องนี้

(57) จากนั้นอิบราฮิมก็พูดกับตัวเองโดยไม่มีใครได้ยินว่า "ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันจะวางแผนทำลายรูปปั้นของพวกท่าน หลังจากที่พวกท่านได้จากไปงานเทศกาลเลี้ยงของพวกท่าน"

(58) จากนั้นอิบรอฮีมก็ได้ทุบทำลายรูปปั้นของพวกเขาจนกลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ และปล่อยทิ้งอันใหญ่ไว้ เพื่อว่าพวกเขาจะได้กลับมาถามมันว่าใครเป็นผู้ที่ทุบทำลายรูปปั้นเหล่านี้

(59) หลังจากที่พวกเขากลับมาแล้วได้เห็นรูปปั้นของพวกเขาถูกทำลาย พวกเขาก็ได้ถามระหว่างพวกเขาว่าใครเป็นผู้ทำลายบรรดาสิ่งสักการะของเรา? แท้จริงเขาผู้นั้นอยู่ในหมู่ผู้อธรรมอย่างแน่นอน ในฐานะที่เขาได้เหยียบหยามสิ่งที่ควรให้ความยิ่งใหญ่และให้ความศักดิ์สิทธิ์

(60) บางคนกล่าวว่า "เราได้ยินมาว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์และดูถูกรูปปั้นเหล่านี้ เขาชื่ออิบราฮิม บางทีเขาอาจเป็นคนที่ทำลายรูปปั้นเหล่านี้"

(61) บรรดาผู้นำของพวกเขากล่าวว่า "จงนำอิบราฮีมมาท่ามกลางสายตาของผู้คน เพื่อพวกเขาจะได้เป็นพยานในการรับสารภาพต่อการกระทำของเขา เพื่อที่คำสารภาพของเขานั้นจะได้เป็นหลักฐานสำหรับพวกเจ้าในการลงโทษเขา"

(62) แล้วพวกเขาก็ได้นำอิบรอฮีม อลัยฮิสสลาม มา แล้วถามว่า "เจ้าใช่ไหม ที่ได้กระทำการชั่วร้ายเช่นนี้กับบรรดารูปปั้นของเรา โอ้อิบรอฮีม?!

(63) อิบรอฮีมได้ตอบในเชิงให้แง่คิดต่อพวกเขาเพื่อแสดงให้เห็นถึงการไร้ความสามารถของรูปปั้นที่พวกเขาเคารพต่อหน้าผู้คน โดยตอบว่า "ฉันไม่ได้ทำ แต่รูปปั้นตัวใหญ่นั้นต่างหากเป็นผู้ทำ จงถามรูปปั้นของพวกเจ้าดูสิ ถ้าหากพวกมันพูดได้"

(64) ดังนั้น พวกเขาจึงกลับมาคิดถึงตัวของพวกเขาด้วยการคิดและใคร่ครวญ จนเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาว่ารูปปั้นที่เคารพของพวกเขาไม่ได้ให้ประโยชน์หรือให้โทษแต่อย่างใดเลย ดังนั้นพวกเขาคือผู้ที่ธรรม เพราะพวกเขาเคารพบูชามัน อื่นจากอัลลอฮ์

(65) หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมาดื้อรั้นและปฏิเสธ แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า "เจ้ารู้อยู่แล้ว โอ้อิบรอฮีม ว่าแท้จริงรูปปั้นนี้ไม่สามารถพูดได้ แล้วเจ้าใช้ให้เราถามมันได้อย่างไร? พวกเขาต้องการให้เป็นข้อโต้แย้งสำหรับพวกเขา แต่มันกลับเป็นข้อโต้แย้งที่สวนพวกเขาเอง

(66) อิบรอฮีมได้กล่าวในเชิงตำหนิพวกเขาว่า "พวกเจ้าจะเคารพบูชารูปปั้นที่มันไม่ให้ประโยชน์และไม่ให้โทษอะไรแก่พวกเจ้านอกจากอัลลอฮ์กระนั้นหรือ? ทั้งที่พวกมันนั้นไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวมันเองให้พ้นจากอันตรายใดๆหรือนำประโยชน์มาให้กับพวกมันได้เลย"

(67) เป็นที่น่ารังเกียจสำหรับพวกท่านและเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับสิ่งที่พวกท่านเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ จากบรรดารูปปั้นเหล่านี้ซึ่งมันไม่สามารถให้ประโยชน์หรือให้โทษใดๆ ได้ พวกท่านจะไม่ใช้ปัญญาคิด และละทิ้งการเคารพบูชามันหรือ?!

(68) เมื่อพวกเขาพบว่าตัวเองไม่สามารถโต้ตอบอิบราฮีมด้วยหลักฐานได้ พวกเขาจึงใช้กำลังในการตอบโต้ พวกเขากล่าวว่า "จงเผาอิบรอฮีมเสียด้วยไฟ เพื่อเป็นการปกป้องบรรดารูปปั้นของพวกเจ้า ที่เขาได้ทุบทำลาย หากพวกเจ้าคิดที่จะทำจริงๆ เพื่อเป็นการลงโทษเขา"

(69) เมื่อพวกเขาจุดไฟและได้โยนเขาลงไป เราได้กล่าวว่า "โอ้ไฟเอ๋ย จงเย็น และจงให้ความปลอดภัยแก่อิบรอฮีมเถิด" และมันก็เกิดขึ้นเช่นนั้น ทำให้เขาไม่ได้รับภัยอันตรายจากสิ่งนั้นเลย

(70) และพวกกลุ่มชนของอิบรอฮีม อลัยฮิสสลาม ต้องการกำจัดเขาด้วยการวางแผนร้ายด้วยการเผาเขา แต่เราได้ทำลายแผนของพวกเขา และทำให้พวกเขาพินาศและพ่ายแพ้

(71) และเราได้ช่วยให้อิบรอฮีมและลูฏนั้นรอดปลอดภัย โดยเราได้นำเขาทั้งสองออกไปสู่แผ่นดินชามซึ่งเป็นแผ่นดินที่เราได้ให้ความจำเริญอุดมสมบูรณ์เกิดขึ้นในแผ่นดินนั้น ด้วยการที่เราได้ให้มีบรรดานบีขึ้นในแผ่นดินนั้นและเราได้เพิ่มคุณค่าความดีทั้งหลายให้กับสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่ในแผ่นดินนั้น และได้ประทานความดีต่างๆมากมายแก่ทุกสิ่งที่ถูกสร้าง

(72) และเราได้ให้บุตรแก่เขาชื่ออิสฮากหลังจากที่เขาได้วิงวอนขอบุตรต่อพระผู้อภิบาลของเขา และเราได้ให้ยะอ์กูบเพิ่มมาอีกคน(เป็นหลาน) และทั้งหมดนั้นไม่ว่าจะเป็น อิบรอฮีมและลูกหลานของเขาอิสฮากและยะอฺกูบ เราได้ทำให้พวกเขาเป็นคนดีที่เชื่อฟังอัลลอฮ์

(73) และเราได้ทำให้พวกเขาเป็นผู้นำที่เป็นแบบอย่างแก่มวลมนุษย์ในทางที่ดี เรียกร้องผู้คนสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์องค์เดียว ด้วยการอนุมัติของพระองค์ และเราได้ประทานโองการ (วะฮฺยู) เพื่อให้พวกเขาประกอบคุณงามความดี ธำรงการละหมาดที่สมบูรณ์ บริจาคทานซะกาต และพวกเขาก็เป็นผู้เคารพภักดีต่อเราเท่านั้น

(74) และสำหรับลูฏนั้น เราได้ให้ความสามารถในการตัดสินปัญหาระหว่างคู่กรณี และเราได้ให้ความรู้ที่เกี่ยวกับศาสนาแก่เขา และช่วยเขาให้พ้นจากการลงโทษ ที่เราได้ส่งมันลงมายังเมืองของเขา(เมืองซะดูม)ซึ่งชาวเมืองนั้นได้กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจ แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนที่ชั่วช้าและไม่ปฏิบัติตามพระผู้อภิบาลของพวกเขา

(75) และเราได้ให้เขาอยู่ในความเมตตาของเรา ในตอนที่เราได้ให้เขารอดพ้นจากภัยพิบัติที่ประสบแด่กลุ่มชนของเขา แท้จริงเขาเป็นคนหนึ่งในหมู่คนดีที่ปฏิบัติในคำสั่งของเราและละทิ้งในสิ่งที่เราทรงห้าม

(76) และรำลึกเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ถึงเรื่องราวของนูหฺ ในตอนที่เขาได้ร้องขอต่ออัลลอฮ์ ก่อนการมาของอิบรอฮีมและลูฏ แล้วเราได้ตอบรับการร้องขอของเขา โดยการตอบรับในสิ่งที่เขาร้องขอ และเราได้ช่วยเขาและครอบครัวของเขาที่ศรัทธาได้รอดพ้นจากภัยภิบัติครั้งใหญ่

(77) และเราได้ช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากอุบายของหมู่ชนที่ปฏิเสธต่อสิ่งที่เราได้สนับสนุนเขาที่เป็นสัญญาณต่างๆที่บ่งบอกถึงความสัจจริงของเขา แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนที่ชั่วช้า แล้วเราได้ให้พวกเขาทั้งหมดจมน้ำตาย

(78) และจงรำลึกเถิด (โอ้เราะสูลเอ๋ย) ถึงเรื่องราวของดาวูดและลูกของเขาสุไลมาน อลัยฮิมัสสลาม ในตอนที่พวกเขาได้ตัดสินปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องของชายสองคน คนหนึ่งในนั้นคือผู้ที่มีฝูงแพะที่เข้าไปทำความเสียหายแก่ไร่นาของคนอื่น และเราเป็นพยานในการตัดสินของดาวูดและสุไลมาน และการตัดสินของทั้งสองนั้น จะไม่หายจากเราไปไหนเลย

(79) ดังนั้น เราได้ทำให้สุไลมานเข้าใจถึงประเด็นที่เป็นปัญหา โดยไม่ให้ดาวูดผู้เป็นบิดาของเขาเข้าใจ และเราได้มอบให้ทั้งดาวูดและสุไลมานการเป็นนบีและวิชาความรู้ที่เกี่ยวกับบทบัญญัติทางศาสนา โดยไม่ได้จำกัดแก่สุไลมานเพียงแค่คนเดียว และเราได้ทำให้ภูเขาได้สยบต่อดาวูด โดยจะสรรเสริญด้วยทุกครั้งเมื่อเขาได้สรรเสริญ และเราได้ทำให้นกได้สยบแก่เขา และเราเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ ทั้งการให้ความเข้าใจ การให้ความเฉลียวฉลาด ความรู้และการควบคุม

(80) และเราได้สอนดาวูด (โดยไม่สอนสุไลมาน) ให้รู้การทำเสื้อเกราะเพื่อเป็นเกราะป้องกันจากอาวุธร้ายแรงต่อร่างกายของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าทั้งหลาย -โอ้มนุษย์เอ๋ย- จะเป็นผู้กตัญญูรู้คุณในความโปรดปรานที่อัลลอฮ์มอบให้บ้างไหม?

(81) และเราได้ทำให้ลมได้สยบต่อสุไลมาน เราได้ทำให้ลมกลายเป็นพายุฝุ่นที่แรงตามคำบัญชาของเขา ที่สั่งให้ลมนั้นไปยังแผ่นดินชามซึ่งเราได้ให้ความจำเริญ ณ ที่นั้น ด้วยการกำเนิดของบรรดานบีและการแพร่กระจายของสิ่งที่ดี ณ แผ่นดินนั้น และเราเป็นผู้รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่ไม่มีอะไรที่จะปกปิดจากเราได้

(82) และเราได้ทำให้ชัยฏอนบางตัวดำน้ำทะเลให้สุไลมานเพื่อนำไข่มุกมาและอื่นๆ และพวกเขาก็ทำงานอื่นจากนั้น เช่นก่อสร้าง และเราเป็นผู้ควบคุมพวกเขาเหล่านั้นทั้งจำนวนของพวกเขาและการงานของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดจะถูกซ่อนจากเรา

(83) และจงกล่าวรำลึก "โอ้เราะสูล ถึงเรื่องของอัยยูบ อลัยฮิสสลาม เมื่อเขาได้ร้องขอต่อพระผู้อภิบาลของเขา เมื่อครั้นที่เขาประสบกับความทุกข์ว่า โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน แท้จริงฉันนั้นได้ประสบกับการป่วยและการจากลาของครอบครัว พระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทรงเมตตาทั้งมวล จงทำให้สิ่งที่ประสบแก่ฉันนั้นได้ห่างหายไปจากฉันด้วยเถิด"

(84) ดังนั้นเราได้ตอบรับการร้องขอของเขา และเราได้ขจัดความทุกข์ยากออกจากชีวิตเขา และเราได้มอบให้แก่เขาซึ่งสิ่งที่เขาขาดหายไปในอดีตกลับคืนมา ที่เป็นครอบครัวและลูกๆ และเราได้ให้แก่เขาเพิ่มจากเดิมเช่นเดียวกับที่เขาได้เคยมีมา และทั้งหมดนั้นเป็นความเมตตาจากเราให้แก่เขา และเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับผู้ที่เชื่อฟังเรา เพื่อให้มีความอดทนเสมือนการอดทนของอัยยูบ

(85) และจงรำลึก -โอ้ท่านเราะสูล- ถึงเรื่องราวของอิสมาอีล อิดรีสและซัลกิฟลิ อลัยฮิมุสสลาม ซึ่งพวกเขาทุกคนนั้นเป็นผู้อดทนในการเผชิญกับภัยพิบัติ และในการปฏิบัติตามพระบัญชาของอัลลอฮ์ที่ได้มอบหมายให้พวกเขา

(86) และเราได้ให้พวกเขาเข้าอยู่ในความเมตตาของเรา เราได้ทำให้พวกเขาเป็นนบีและเราได้ให้พวกเขาเข้าสวรรค์ แท้จริงพวกเขาเป็นบ่าวที่ดีของอัลลอฮ์ ที่ปฏิบัติตามเชื่อฟังต่อพระองค์ โดยเป็นบ่าวที่ดีทั้งภายนอกและภายใน

(87) และจงรำลึก -โอ้ท่านเราะสูล- ถึงเรื่องราวเจ้าแห่งปลาวาฬคือนบียูนุส อลัยฮิสสลาม เมื่อเขาได้จากไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้าของเขา อันเนื่องจากความโกรธที่มีต่อกลุ่มชนของเขาที่พวกเขานั้นดื้อด้าน แล้วเขาคิดว่าเราจะไม่ทำให้เขาได้รับความลำบาก ด้วยการลงโทษเขาจากการที่เขาจากไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นเราได้ทำให้เขาต้องประสบกับความคับแคบเมื่อครั้นที่ปลาวาฬได้กลืนเขา แล้วเขาจึงทำการวิงวอนในท่ามกลางความมืดแห่งท้องปลา ความมืดแห่งท้องทะเล และกับเวลากลางคืนที่มืดมิด ด้วยการสำนึกในความผิดและกลับเนื้อกลับตัวขออภัยต่ออัลลอฮ์ แล้วเขาได้กล่าวว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกเคารพสักการะที่เที่ยงแท้นอกจากกพระองค์ท่าน มหาบริสุทธิ์และอำนาจแห่งพระองค์ท่าน แท้จริงข้าพระองค์เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้อธรรมทั้งหลาย"

(88) ดังนั้นเราได้ตอบรับการร้องขอของเขา และเราได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากความทุกข์ระทมด้วยการนำออกจากความมืดมนเหล่านั้น และนำออกจากท้องของปลาวาฬ และเช่นเดียวกับการช่วยเหลือยูนุสให้รอดปลอดภัยจากความทุกข์ยากนั้น เราก็จะช่วยบรรดาผู้ศรัทธาให้รอดปลอดภัยเช่นกัน หากพวกเขานั้นตกอยู่ในสภาพที่ทุกข์ยากและพวกเขาวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์

(89) และจงรำลึกเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- ถึงเรื่องราวของซะกะรียา อลัยฮิสสลาม เมื่อตอนที่เขาได้วิงวอนขอต่อพระเจ้าของเขาว่า "ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงอย่าปล่อยให้ข้าพระองค์อยู่อย่างเดียวดายโดยที่ไม่มีลูก และพระองค์ผู้ทรงเป็นนิรันดร์ที่ดีที่สุด ดังนั้นขอพระองค์โปรดประทานบุตรชายให้แก่ข้าพระองค์ เพื่อให้เขาเป็นผู้สืบทายาทหลังจากฉัน"

(90) ดังนั้นเราได้ตอบรับการร้องขอของเขา และเราได้ประทานบุตรแก่เขาคือยะห์ยา และเราได้ทำการปรับปรุงภรรยาของเขาให้เป็นปกติแก่เขา จนทำให้นางกลายเป็นผู้กำเนิดบุตรได้ หลังจากที่นางนั้นเป็นหมัน แท้จริงทั้งซะกะรียา ภรรยาของเขาและลูกของเขา ต่างก็มุ่งมั่นกันในการทำความดีและพวกเขาวิงวอนต่อเราด้วยความหวังในผลบุญและเกรงกลัวต่อการลงโทษของเรา และพวกเขาเป็นผู้ถ่อมตนเกรงกลัวต่อเรา

(91) และจงรำลึก -โอ้ท่านเราะสูล- ถึงเรื่องราวของนางมัรยัม อลัยฮัสสลาม ผู้ปกป้องเกียรติของนางจากการล่วงประเวณี แล้วอัลลอฮ์ได้ส่งญิบรีล อลัยฮิสสลาม มายังนาง โดยได้เป่าวิญญาณเข้าไปในร่างกายของนางแล้วนางก็ได้ตั้งครรภ์ อีซา อลัยฮิสสลาม นางและลูกชายของนาง อีซา เป็นสัญญาณหนึ่งแก่มวลมนุษย์ที่แสดงถึงอำนาจความสามารถของอัลลอฮ์ โดยที่ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางพระองค์ได้ในการสร้างเขาขึ้นมาโดยที่ไม่มีพ่อ

(92) แท้จริง นี่คือศาสนาของพวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย เป็นศาสนาหนึ่งเดียว คือการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ซึ่งก็คือศาสนาอิสลาม และข้าคือพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงบริสุทธิ์ใจในการเคารพภักดีต่อข้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น

(93) และผู้คนได้แตกแยกกันในเรื่องของศาสนา ดังนั้นจึงทำให้บางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้ที่เชื่อในความเป็นเอกะของอัลลอฮ์และบางคนเป็นผู้ที่ตั้งภาคี เป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและบางคนเป็นผู้ศรัทธา และพวกเขาทุกคนที่แตกแยกกันนั้น จะต้องกลับไปหาเราเพียงผู้เดียวในวันกิยามะฮ์ และเราจะตอบแทนพวกเขาตามการกระทำของพวกเขา

(94) ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเขาที่ประกอบคุณงามความดีต่างๆ โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์และวันสิ้นโลก ดังนั้นการงานที่ดีของเขาจะไม่ถูกปิดกั้น (ปฏิเสธ) และยิ่งกว่านั้น อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนแก่เขาด้วยผลบุญที่ทวีคูณ โดยที่เขาจะได้เห็นมันในบันทึกการงานของเขาในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ และเขาก็มีความสุขกับสิ่งนั้น

(95) และเป็นไปไม่ได้ที่ชาวเมืองใดเมืองหนึ่ง ที่เราได้ทำลายพวกเขาเนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาจะกลับไปยังโลกดุนยาอีกครั้ง เพื่อที่พวกเขาจะได้สำนึกในความผิดและการสำนึกของพวกเขาได้รับการตอบรับ

(96) พวกเขาจะไม่ได้กลับไปอย่างแน่นอน แม้กระทั่งเมื่อกำแพงของ ยะอ์ญูจญ์ และมะอ์ญูจญ์ถูกเปิด และในวันนั้นพวกเขาจะออกมาจากที่สูงจากทุกแห่งของแผ่นดินอย่างรวดเร็ว

(97) และเมื่อวันกิยามะฮ์ได้ใกล้เข้ามาโดยการออกมาของพวกเขา(ยะอ์ญูจญ์ และมะอ์ญูจญ์) และความน่าสะพรึงกลัวและความวุ่นวายของมันก็ได้ปรากฎขึ้น ทันใดนั้นสายตาของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเบิกกว้างอันเนื่องจากความน่ากลัวของเหตุการณ์ในวันนั้น พวกเขากล่าวว่า "โอ้ความหายนะของเรา" แท้จริงเราเคยใช้ชีวิตในโลกดุนยาในสภาพที่หลงระเริง และละเลยต่อการเตรียมการสำหรับวันที่ยิ่งใหญ่นี้ ยิ่งกว่านั้นเรายังเป็นผู้อธรรมด้วยการปฏิเสธศรัทธาและกระทำความชั่วอีกด้วย

(98) แท้จริงพวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคี- และสิ่งที่พวกเจ้าเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ที่เป็นรูปปั้น และผู้ที่ยินดีในการเคารพบูชาของพวกเจ้าต่อเขาในหมู่มนุษย์และญิน ทั้งหมดจะเป็นเชื้อเพลิงของไฟนรก พวกเจ้าและสิ่งที่พวกเจ้าเคารพบูชาจะเข้าไปอยู่ในนั้น

(99) หากสิ่งที่พวกเจ้าเคารพบูชานั้นเป็นพระเจ้าจริง มันจะไม่เข้าไปในนรกพร้อมกับผู้ที่เคารพมันหรอก และทั้งหมดทั้งผู้ที่บูชาและที่ถูกบูชาจะอยู่ในนรก จะอยู่ในนั้นอย่างถาวรโดยไม่มีวันที่จะออกมาอีกเลย

(100) สำหรับพวกเขาในนรกนั้น -อันเนื่องจากความเจ็บปวดที่แสนสาหัสที่พวกเขาต้องเผชิญนั้น- ทำให้พวกเขาหายใจอย่างรุนแรง และพวกเขาจะอยู่ในนรกในสภาพที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เนื่องจากความน่าสะพรึงกลัวที่ได้ประสบกับพวกเขา

(101) และในขณะที่พวกที่ตั้งภาคีกล่าวว่า "แท้จริงอีซาและมลาอีกะฮ์ที่ถูกเคารพบูชาก็จะเข้าไฟนรกด้วย" ดังนั้นอัลลอฮ์จึงตรัสว่า "แท้จริงบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงรู้มาก่อนว่าพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่มีความสุข เช่น อีซา อลัยฮิสสลาม พวกเขาจะห่างไกลจากไฟนรก

(102) เสียงการเผาไหม้ของนรกญะฮันนัม จะไม่เข้าในหูของพวกเขาเลย และพวกเขาจะอยู่ในความสุขสำราญของชีวิตที่พวกเขาปรารถนา ความสุขสำราญนั้นจะไม่ถูกตัดขาดจากพวกเขาตลอดไป

(103) ความน่าสะพรึงกลัวครั้งใหญ่ ในตอนที่นรกได้ทรมานผู้ที่อาศัยในนรก จะไม่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวแต่อย่างใด และบรรดามลาอิกะฮ์จะต้อนรับพวกเขาด้วยการทักทายพวกเขา โดยกล่าวว่า “วันนี่เป็นวันของพวกเจ้า ที่พวกเจ้าเคยได้รับสัญญานี้ไว้ตอนที่อยู่ในโลกดุนยา และที่พวกเจ้าเคยได้รับข่าวอันน่ายินดีนี้ ด้วยสิ่งที่พวกเจ้าจะได้รับในส่วนที่เป็นความสุขต่างๆ”

(104) วันที่เราจะม้วนชั้นฟ้าเหมือนม้วนกระดาษพร้อมทุกสิ่งที่บันทึกในนั้น และเราจะรวบรวมสิ่งถูกสร้างทั้งหมดให้อยู่ในสภาพครั้งแรกที่พวกเขาถูกสร้าง เราสัญญาเช่นนั้น ซึ่งเป็นสัญญาที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แท้จริงเราทำในสิ่งที่เราสัญญาไว้อย่างแน่นอน

(105) และที่แท้จริงนั้นเราได้บันทึกไว้ในบรรดาคัมภีร์ที่ได้ประทานแก่บรรดาเราะสูลหลังจากที่เราได้บันทึกใว้ในลูห์มะห์ฟูซว่า "แท้จริงแผ่นดินนั้นจะเป็นมรดกตกทอดแก่ปวงบ่าวของอัลลอฮที่ดีมีคุณธรรม เป็นผู้ที่เชื่อฟังพระองค์ และพวกเขาเหล่านั้นคือประชาชาติของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม"

(106) แท้จริงในสิ่งที่เราได้ประทานลงมาที่เป็นการตักเตือนเพื่อให้เกิดประโยชน์นั้น มันเพียงพอแล้วสำหรับกลุ่มชนที่จะเคารพภักดีต่อพระเจ้าของเขา ด้วยสิ่งที่พระองค์ได้บัญญัติไว้แก่พวกเขา ดังนั้น พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้น

(107) และเราไม่ได้ส่งเจ้า -โอ้มูฮัมมัด- มาเป็นเราะสูลเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่สิ่งมีชีวิตทั้งหมด ด้วยคุณลักษณะที่มีอยู่ในตัวเจ้าคือความจริงจังในการชี้นำผู้คน(สู่คุณธรรมอันดีงาม) และช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากบทลงโทษของอัลลอฮ์

(108) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะสูล แท้จริงฉันได้รับวะฮีย์มาจากพระเจ้าของฉัน แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้คือพระเจ้าองค์เดียว ไม่มีภาคีใดร่วมกับพระองค์ พระองค์คืออัลลอฮ์ ดังนั้นจงศรัทธาต่อพระองค์และจงปฏิบัติด้วยการเชื่อฟังต่อพระองค์

(109) หากพวกเขาผินหลังให้ในสิ่งที่เจ้านำมา ก็จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด โอ้ท่านเราะสูล ว่า ฉันได้แจ้งให้พวกท่านทราบแล้วว่า ฉันและพวกท่านอยู่ในสภาวะเดียวกัน ไม่มีความแตกต่าง และฉันก็ไม่รู้ว่าการลงโทษของ อัลลอฮ์ที่ได้ทรงสัญญาไว้นั้นจะลงมาเมื่อไร

(110) แท้จริงอัลลอฮฺ์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยที่เป็นคำพูดของพวกเจ้า และทรงรอบรู้ในคำพูดที่พวกเจ้าปกปิดไว้ ไม่มีสิ่งใดที่จะถูกซ่อนเร้นจากพระองค์ได้ และพระองค์จะตอบแทนพวกเจ้าต่อการกระทำนั้น

(111) ฉันก็ไม่รู้ บางทีการประวิงเวลาแห่งการลงโทษนั้น เป็นการทดสอบ และเป็นการล่อลวงพวกเจ้าก็ได้ และทำให้พวกเจ้าได้เพลิดเพลินไปกับเวลาสักระยะหนึ่งตามกำหนดและการรอบรู้ของอัลลอฮ์เพื่อให้พวกเจ้าได้เหลิงในการปฏิเสธและการหลงผิดของพวกเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

(112) ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้วิงวอนขอต่อพระเจ้าของเขาว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงตัดสินระหว่างพวกเราและกลุ่มชนของเราที่จะยืนกรานในการปฏิเสธศรัทธาด้วยการตัดสินที่ถูกต้อง และด้วยพระเจ้าของเราผู้ทรงกรุณาปรานี พวกเราขอความช่วยเหลือ สำหรับสิ่งที่พวกเจ้ากล่าวมาที่เป็นการปฏิเสธศรัทธาและการกล่าวเท็จ