18 - Al-Kahf ()

|

(1) การสรรเสริญด้วยคุณลักษณะที่สมบูรณ์และสูงส่ง และด้วยความโปรดปรานทั้งที่เป็นที่ประจักษ์เป็นรูปธรรมและไม่เปิดเผย(การสรรเสริญนั้น)เฉพาะอัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์ผู้ซึ่งประทานอัลกุรอานแก่บ่าวและศาสนทูตของพระองค์คือท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม และพระองค์มิได้ทรงทำให้อัลกุรอานมีการบิดเบือนจากสัจธรรมแต่อย่างใด

(2) พระองค์ยังทำให้มันเป็นคำภีร์ที่เที่ยงธรรมโดยไม่มีข้อขัดแย้งและไม่มีการสวนทางกัน (เป็นคำภีร์ที่ประทางมา)เพื่อเตือนให้เหล่าผู้ปฏิเสธได้เกรงกลัวบทลงโทษอันเจ็บแสบจากอัลลอฮ์ที่กำลังรอพวกเขาอยู่ และเพื่อแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่กระทำความดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขานั้นคือรางวัลอันดีงามที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าได้ (นั่นก็คือสรวงสวรรค์)

(3) ซึ่งพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดไป โดยไม่มีวันหมดไปอย่างแน่นอน

(4) และเพื่อที่จะได้ตักเตือนชาวยิวและชาวคริสต์ และพวกมุชริกีน(ผู้ตั้งภาคีต่อพระองค์)บางคน ที่กล่าวว่า "อัลลอฮฺทรงมีบุตร"

(5) พวกที่กล่าวพาดพิงอัลลอฮ์ว่า พระองค์นั้นทรงมีบุตร พวกเขาไม่มีความรู้หรือหลักฐานใดๆในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาที่พวกเขาเลียนแบบมา มันช่างเป็นถ้อยคำที่น่าเกลียดที่สุดที่ออกจากปากของพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่ได้ตระหนักคิดในสิ่งที่กล่าวออกมา นอกไปจากความเท็จ ไร้ซึ่งหลักฐานหรือที่แหล่งอ้างอิง

(6) บางทีเจ้า-โอ้เราะสูลเอ๋ย- อาจจะทำลายชีวิตของเจ้าเองเพราะเสียใจที่พวกเขาไม่ได้ศรัทธาต่อคัมภีร์อัลกุรอานนี้ เจ้าอย่าได้กระทำเช่นนั้น เพราะมันไม่ไช่หน้าที่ของเจ้าที่จะให้ทางนำแก่พวกเขา แต่หน้าที่ของเจ้าคือการเผยแพร่และบอกกล่าวแก่พวกเขาเท่านั้นเอง

(7) แท้จริงอัลลอฮ์ได้สรรค์สร้างสิ่งที่อยู่บนหน้าแผ่นดินนี้เพื่อให้เกิดความสวยงามแก่มัน เพื่อเป็นการทดสอบผู้คนว่า ผู้ใดในหมู่พวกเขาจะประกอบคุณงามความดีได้ดีกว่ากันเป็นที่พึงพอใจของอัลลอฮ์ และผู้ใดในหมู่พวกเขาจะกระทำการที่ชั่วกว่า เพื่อที่พระองค์จะได้ตอบแทนแต่ละคนในสิ่งที่ควรที่จะได้รับอย่างเหมาะสมที่สุด

(8) และแท้จริงเราจะพลิกโฉมบนหน้าแผ่นดินให้มันว่างเปล่าไม่เหลือสิ่งใดๆแม้แต่ต้นไม้ เพราะทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตอยู่บนโลกนั้นได้ตายไปหมดแล้ว ดังนั้นพวกเขาควรจะได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้

(9) เจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- อย่าคิดว่า เรื่องราวของชาวถ้ำและแผ่นจารึกที่บันทึกรายชื่อของพวกเขาไว้เป็นสัญญาณมหัศจรรย์แล้ว แต่ยังมีสิ่งอื่นที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่า เช่นการสรรค์สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินของอัลลอฮ์

(10) จงรำลึกเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เมื่อครั้นที่ชายหนุ่มผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์กลุ่มหนึ่งได้หนีเพื่อปกป้องศาสนาของพวกเขาเข้าไปหลบภัยอยู่ในถ้ำ พวกเขาได้วิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดทรงประทานความเมตตาจากพระองค์แก่พวกเราเถิด ด้วยการอภัยโทษบาปของเรา และจงช่วยเหลือพวกเราให้รอดพ้นจากน้ำมือศัตรูของพวกเรา และทำให้การอพยพของพวกเราจากถิ่นของผู้ปฏิเสธศรัทธาไปสู่เส้นทางแห่งสัจธรรมที่ถูกต้อง "

(11) หลังจากที่พวกเขาได้เดินเข้าไปหลบภัยอยู่ในถ้ำ พระองค์จึงปิดหูของพวกเขาให้สนิทจากการได้ยินเสียงใดๆ และทำให้พวกเขาหลับอยู่ในถ้ำเป็นเวลาหลายปี

(12) หลังจากที่พวกเขาได้หลับไปเป็นเวลานานนั้น พระองค์จึงทำให้พวกเขาตื่นขึ้นมา เพื่อที่จะได้ทดสอบทั้งสองกลุ่มที่กำลังขัดแย้งกันอยู่ในเรื่องของระยะเวลาทั้งหมด ที่พวกเขาได้หลับอยู่ในถ้ำ ว่ากลุ่มใดบ้างที่สามารถนับเวลานั้นได้อย่างถูกต้อง

(13) เราจะให้เจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องราวของพวกเขาอย่างแท้จริงโดยปราศจากสิ่งที่คลุมเครือใดๆทั้งสิ้น แท้จริงพวกเขาเป็นชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่ศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาพร้อมกับได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ พระองค์จึงทรงเพิ่มพูนทางนำให้กับพวกเขา และทรงให้พวกเขายืนหยัดบนสัจธรรม

(14) และพระองค์ทรงทำให้หัวใจของพวกเขาเข้มแข็งขึ้นด้วยการศรัทธาและยืนหยัดที่มั่นคงบนหลักการศรัทธานั้น และด้วยการอดทนในการละทิ้งบ้านเกิด เมื่อพวกเขาลุกขึ้นประกาศต่อหน้ากษัตย์ผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า "พวกเราได้ศรัทธามั่นต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว พระผู้อภิบาลของเราคือผู้อภิบาลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พวกเราจะไม่เคารพบูชาพระเจ้าจอมปลอมอื่นใดนอกจากพระองค์เป็นอันขาด มิฉะนั้นคำกล่าวของพวกเราไม่เป็นความจริง ผิดเพี้ยนจากสัจธรรม และไร้สาระหากพวกเรากลับไปกระทำเช่นนั้น (กราบไหว้สิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์) "

(15) แล้วพวกเขาบางคนได้หันหน้าเข้าหาอีกบางคนโดยกล่าวว่า "พวกเขาเหล่านั้นคือกลุ่มชนของเราซึ่งพวกเขาได้นับถือพระเจ้าอื่น ๆ มาแทนที่อัลลอฮ์เพื่อเคารพบูชา โดยที่พวกเขาไม่มีหลักฐานอันชัดแจ้งเพื่อยืนยันเกี่ยวกับการกระทำของพวกเขาเลย ดังนั้นจะไม่มีผู้ใดอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์ โดยอ้างการมีภาคีสำหรับพระองค์"

(16) และเมื่อพวกเจ้าปลีกตัวออกห่างจากพวกเขาและละทิ้งการเคารพสักการะสิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์แล้ว และพวกเจ้าไม่เคารพสักการะต่อสิ่งใดๆนอกจากอัลลอฮ์องค์เดียว ดังนั้นพวกเจ้าจงเข้าไปในถ้ำหลบภัยเพื่อปกป้องศาสนาของพวกเจ้า พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าจะทรงแผ่ความเมตตาของพระองค์แก่พวกเจ้า เพื่อปกป้องคุ้มครองพวกเจ้าจากศัตรู และจะทรงจัดระเบียบการงานของพวกเจ้าให้มันดำเนินไปอย่างง่ายดายและเกิดประประโยชน์แก่พวกเจ้า ซึ่งเป็นการทดแทนในสิ่งที่พวกเจ้าได้สูญเสียมันไปคือ การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับกลุ่มชนของตนในบ้านเกิด

(17) ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ และพระองค์ทรงทำให้พวกเขาหลับไป และปกป้องพวกเขาจากศัตรูของพวกเขา และถ้าหากเจ้ามองพวกเขาภายในถ้ำ เจ้าจะเห็นว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมันจะคล้อยจากถ้ำของพวกเขาไปทางขวาของปากถ้ำ และเมื่อมันตกมันจะเคลื่อนไปทางด้านซ้ายของปากถ้ำ จึงไม่โดนแสงอาทิตย์ทำให้มีร่มเงาปิดบังอยู่ตลอดเวลาและความร้อนจากดวงอาทิตย์จะไม่รบกวนพวกเขาเลย ในขณะที่พวกเขานอนอยู่ที่ลานกว้างภายในถ้ำ พวกเขาก็ได้รับอากาศที่เพียงพอกับความต้องการของพวกเขา ดังนั้น การที่พระองค์ทำให้พวกเขาลี้ภัยภายในถ้ำ หลับเป็นเวลานาน แสงอาทิตย์คล้อยห่างจากปากถ้ำ มีลานกว้างขวางภายในถ้ำ จนพวกเขารอดพ้นจากการถูกทำร้ายของศัตรูนั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งของการสรรค์สร้างของอัลลอฮ์ที่บ่งบอกถึงเดชานุภาพของพระองค์ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่อัลลอฮ์ทรงนำทางแก่เขา เขาก็อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง และใครก็ตามที่อัลลอฮ์ทรงปล่อยให้หลง เขาก็จะไม่พบผู้คุ้มครองคอยชี้ทางหรือแนะนำให้กับเขา เพราะการได้รับทางนำนั้นมันอยู่ในมือของอัลลอฮ์ไม่ใช่ในมือของเขา

(18) และถ้าหากเจ้าได้เห็นพวกเขา เจ้าก็จะเห็นเหมือนกับว่าพวกเขาตื่นเพราะตาเปิดอยู่ ทั้ง ๆที่ความจริงแล้วพวกกำลังเขาหลับอยู่ และพระองค์ทรงพลิกพวกเขามาทางด้านขวาบ้าง และทางด้านซ้ายบ้างสลับกัน เพื่อไม่ให้แผ่นดินกัดกินเรือนร่างของพวกเขา และสุนัขของพวกเขาก็ยังนั่งยืดสองขาหน้าเฝ้าอยู่ที่ปากถ้ำ หากเจ้าฉะโงกจ้องมองพวกเขา แน่นอนเจ้าจะหันหลังเตลิดหนีตกใจกลัวพวกเขาอย่างแรง

(19) และจากความมหัศจรรย์ของพระองค์ที่ได้กระทำไว้กับพวกเขาข้างต้นคือ พระองค์ได้ทรงให้พวกเขาตื่นขึ้นจากการหลับที่ยาวนานมาก เพื่อที่พวกเขาจะสอบถามกันเองว่า พวกเขาได้นอนหลับอยู่ที่นี่นานเท่าใดแล้ว?บางคนตอบว่า พวกเราอาจนอนอยู่ในนี้มาหนึ่งวันหรือบางส่วนของวัน และบางคนไม่ทราบระยะเวลาที่แน่ชัดของการนอนหลับอยู่ที่นี่จึงตอบไปว่า พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าทรงรู้ดียิ่งถึงระยะเวลาที่พวกเจ้าได้หลับไปว่ามันนานเท่าใด? ดังนั้นพวกเขาก็ได้มอบหมายเรื่องนี้แด่พระองค์ และกลับไปมองเรื่องปากท้องของตัวเองคือ พวกเขาได้ส่งตัวแทนจากพวกเขาคนหนึ่งพร้อมกับเหรียญเงินที่มีอยู่กับพวกเขาไปยังเมืองที่พวกเขารู้จัก แล้วให้เลือกซื้ออาหารที่ดีมีประโยชน์ที่สุดและประหยัดที่สุดจากผู้คนในเมือง พร้อมกับให้ระมัดระวังอย่างยิ่งเรื่องการเดินเข้าออกในเมืองและการคลุกคลีพูดคุยกับผู้คนอย่างชาญฉลาด เพื่อที่จะไม่ให้ผู้ใดทราบถึงสถานที่พักพิงของพวกเรา เพราะอาจจะเกิดอันตรายกับพวกเราได้

(20) แท้จริงหากกลุ่มชนของพวกเจ้าเห็นพวกเจ้า และทราบถึงสถานที่พักพิงของพวกเจ้าแล้ว พวกเขาอาจจะฆ่าพวกเจ้าด้วยกับการขว้างก้อนหินจนตาย หรือไม่ก็จะนำพวกเจ้ากลับไปนับถือศาสนาของพวกเขาอันจอมปลอม ก่อนหน้าที่พวกเจ้าจะได้รับทางนำแห่งศาสนาของพระองค์ที่เที่ยงธรรม และหากพวกเจ้ากลับไปนับถือมันจริงๆ พวกเจ้าจะไม่ได้รับความสำเร็จไปตลอดกาลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า แต่พวกเจ้าจะขาดทุนอย่างมหันต์ เพราะพวกเจ้าได้ละทิ้งศาสนาแห่งสัจธรรมที่พระองค์ได้นำทางแก่พวกเจ้า แล้วกลับไปสู่ศาสนาที่ผิดเพี้ยน

(21) และจากการกระทำของเราที่มหัศจรรย์ที่ได้กระทำไว้กับพวกเขาซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถของเรา โดยการทำให้พวกเขาหลับเป็นเวลานานหลายปี แล้วปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นมา เราจึงให้ผู้คนในเมืองของพวกเขาทราบถึงเรื่องราวของพวกเขา(ชาวถ้ำ) เพื่อที่จะให้พวกเขาทราบว่า แท้จริงคำมั่นสัญญาของอัลลอฮ์ที่จะช่วยเหลือผู้ศรัทธาและการฟื้นคืนชีพนั้นก็เป็นจริง และวันปรโลกนั้นก็มีจริงเช่นกันโดยไม่ต้องสงสัยใดๆ เมื่อเรื่องราวของชาวถ้ำได้เปิดเผยออกมา แล้วพวกเขาได้ตายไปนั้น ผู้คนในเมืองที่มาเห็นขัดแย้งกัน พวกเขาจะทำอย่างไรดีกับพวกชาวถ้ำที่ตายไปเหล่านี้? กลุ่มหนึ่งกล่าวว่า "จงสร้างกำแพงที่หนาเพื่อปิดปากถ้ำให้แน่น เพื่อคุ้มครองตัวพวกเขา เพราะอัลลอฮ์เท่านั้นที่รู้ดียิ่งเกี่ยวกับพวกเขา ซึ่งสภาพของพวกเขาคงมีความเป็นพิเศษ ณ ที่พระองค์ก็เป็นได้" แต่กลุ่มบรรดาผู้มีอำนาจบารมีแต่ไม่มีความรู้ที่แท้จริงและเชิญชวนที่ถูกต้อง กล่าวว่า "พวกเราจะสร้าง ณ ที่สถานที่แห่งนี้ ซึ่งอาคารมัสยิดเพื่อเคารพบูชาเป็นการให้เกียรติแก่พวกเขา และเพื่อรำลึกถึงสถานที่ที่พวกเขาเคยอาศัย"

(22) ชาวเมืองมีความคิดเห็นเกี่ยวกับจำนวนของชาวถ้ำที่แตกต่างกันออกไปดังนี้ บางกลุ่มจะกล่าวว่า "พวกเขามีสามคนและที่สี่ก็คือสุนัขของพวกเขา" และบางกลุ่มจะกล่าวว่า "พวกเขามีห้าคนและที่หกก็คือสุนัขของพวกเขา" มันเป็นเพียงการคาดเดาส่งเดชของทั้งสองกลุ่มนี้โดยไม่มีหลักฐานยืนยัน และยังมีบางกลุ่มกล่าวว่า "พวกเขามีเจ็ดคนและที่แปดก็คือสุนัขของพวกเขา" ดังนั้นจงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย "พระผู้อภิบาลของฉันทรงรู้ดีที่สุด ว่าพวกเขามีจำนวนเท่าใด ไม่มีผู้ใดทราบถึงจำนวนของพวกเขาที่ถูกต้องเว้นแต่น้อยคนนักที่พระองค์ทรงให้พวกเขาทราบ เพราะฉะนั้น เจ้า(ท่านนบี) อย่าได้โต้แย้งในเรื่องจำนวนของชาวถ้ำหรือเรื่องอื่นๆ กับชาวคัมภีร์ (ชาวยิวและคริสต์) และกลุ่มอื่นๆ ยกเว้นการโต้เถียงในประเด็นที่ชัดเจนโดยไม่เจาะลึกในเรื่องดังกล่าว เช่นการยุติประเด็นต่างๆ ให้คงอยู่ในขอบเขตของวะห์ยู (บทบัญญัติหรือเรื่องราวต่าง ๆ) ที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าโดยไม่ขยายความหรือถามไถ่รายละเอียดทั้งหมด เพราะพวกเขาเอง(ชาวคัมภีร์) ก็ไม่รู้เช่นกัน

(23) โอ้ท่านนบี อย่าได้กล่าวเมื่อต้องการที่จะกระทำสิ่งใดในวันพรุ่งนี้ ว่า"ฉันจะทำมันในวันพรุ่งนี้" เพราะว่าเจ้าเองก็ไม่อาจรู้จริงได้ว่า เจ้าจะได้ทำมันหรือเปล่า หรืออาจจะมีสิ่งกีดกั้นระหว่างเจ้ากับการงานในวันนั้น (บางทีเจ้าอาจจะตายเสียก่อนก็เป็นไปได้) ซึ่งถือว่าเป็นการตักเตือนมุสลิมทุกคน(ให้ตระหนักในคำพูดทุกครั้ง)

(24) เว้นแต่เจ้าจะเชื่อมการกระทำดังกล่าวนั้นกับความประสงค์ของอัลลอฮ์ โดยการกล่าวว่า "ฉันจะทำสิ่งนั้นในวันพรุ่งนี้ อินชาอัลลอฮฺ (หากพระองค์ทรงประสงค์ หรือ ด้วยความประสงค์ของพระองค์)" และจงรำลึกถึงพระผู้อภิบาลของเจ้า ด้วยกับการกล่าวว่า (อินชาอัลลอฮ์) ทุกครั้งเมื่อลืมตัว พร้อมกับกล่าวว่า "ฉันหวังว่าพระผู้อภิบาลของฉัน จะทรงชี้นำแก่ฉันในเรื่องนี้ ด้วยสิ่งที่ใกล้กับหนทางที่เที่ยงตรงที่สุด และเป็นที่ตอบรับที่สุดสำหรับพระองค์"

(25) และบรรดาชาวถ้ำได้ใช้ระยะเวลาพำนักอยู่ในถ้ำทั้งหมด สามร้อยเก้าปี

(26) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- "อัลลอฮ์ทรงรู้ดียิ่งในเรื่องที่พวกเขาพำนักอยู่ในถ้ำ และพระองค์ทรงได้บอกถึงระยะเวลาที่พวกเขาได้พำนักอยู่ในนั้น ดังนั้นไม่ต้องยึดคำพูดใครเหนือกว่าคำพูดของพระองค์ สำหรับพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทรงรู้ดีทุกสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้น พระองค์นั้นทรงเห็นและทรงได้ยินทุกสรรพสิ่ง ไม่มีผู้คุ้มครองอื่นใดสำหรับพวกเขานอกไปจากพระองค์ และพระองค์มิได้ทรงให้ผู้ใดเข้ามามีส่วนกับพระองค์ในอำนาจของพระองค์ เพราะมันเป็นเอกสิทธิ์ของพระองค์เพียงองค์เดียว"

(27) และจงอ่านและจงปฏิบัติตามเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ในสิ่งที่ได้ถูกวะห์ยูแก่เจ้าในคัมภีร์อัลกุรอาน ไม่มีผู้ใดมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงถ้อยคำของพระองค์ได้ เพราะมันเป็นความจริงทุกประการและเป็นความยุติธรรมทุกประการ และเจ้าจะไม่พบผู้ใดที่จะเป็นที่พึ่งพิงคุ้มครองเจ้าหรือคอยให้ความช่วยเหลือเจ้านอกจากพระองค์เท่านั้น

(28) และจงยืนหยัดในการเป็นเพื่อนกับบรรดาผู้ที่หมั่นวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาในยามเช้าและยามเย็น ซึ่งการวิงวอนของพวกเขาจะเป็นศาสนกิจหรือการขอพรทั่วไป ด้วยหัวใจบริสุทธิ์ต่อพระองค์ และจงอย่าหันสายตาของเจ้าออกไปจากพวกเขา เพื่อหวังใกล้ชิดกับผู้มั่งมีและผู้มีบารมีทั้งหลาย และอย่าได้เชื่อฟังหรือทำตามผู้ที่เราได้ประทับตราบนหัวใจของเขากลายเป็นผู้ที่เมินเฉยต่อการระลึกถึงเรา ซึ่งเขาจะใช้ให้เจ้าไม่ให้มีคนจน ณ ที่ชุมนุมของเจ้า และเขาจะเลือกปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของเขาให้เหนือกว่าการเชื่อฟังคำสั่งของพระผู้อภิบาลของเขาเสมอ จนทำให้การงานของเขาทั้งหมดพังพินาศไปในที่สุด

(29) และจงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- แก่ผู้ที่เมินเฉยจากการระลึกถึงอัลลอฮ์เนื่องจากหัวใจที่หลงลืมของพวกเขา ว่า "สิ่งที่ฉันได้นำมายังพวกเจ้านั้น เป็นสัจธรรมที่แท้จริง ที่มาจากอัลลอฮฺไม่ใช่มาจากฉัน และฉันจะไม่ตอบรับคำร้องขอของพวกเจ้าที่จะขับไล่ผู้ศรัทธราที่ยากไร้ให้ออกไปจากฉัน ดังนั้น ใครก็ตามที่ประสงค์จะศรัทธาต่อสัจธรรมนี้ ก็ศรัทธาได้และเขาจะมีความสุขยิ่งกับสิ่งที่พระองค์จะตอบแทนของเขา และใครก็ตามที่ประสงค์จะปฏิเสธ ก็ปฏิเสธได้ และเขาจะเศร้าใจที่สุดกับการลงโทษที่รอเขาอยู่ แท้จริงแล้ว พระองค์ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่เลือกจะปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ซึ่งขุมไฟนรกที่ใหญ่หลวง กำแพงของมันได้ล้อมรอบพวกเขาไว้ทั้งหมด พวกเขาไม่สามารถหนีออกไปได้ และถ้าหากพวกเขาจะร้องขอน้ำดื่มเนื่องจากกระหายน้ำมากๆนั้น พวกเขาจะได้รับน้ำที่ร้อนเหมือนกับน้ำมันที่เดือดอยู่ในกะทะร้อน จนทำให้ใบหน้าของพวกเขาไหม้ไปหมด มันช่างเป็นเครื่องดื่มที่ชั่วช้าที่สุด นอกจากมันจะไม่ช่วยดับความกระหายแล้ว มันยังเพิ่มความกระหายด้วยซ้ำ แถมยังไม่ช่วยดับเปลวไฟที่กำลังเผาผลาญผิวหนังของพวกเขา และขุมไฟนรกนั้น ช่างเป็นที่พำนักอันเลยร้ายที่สุดสำหรับพวกเขาอีกด้วย"

(30) แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบคุณงามความดีนั้น สำหรับพวกเขาแล้วคือผลบุญอันใหญ่หลวง ซึ่งเราจะไม่ทำให้รางวัลของผู้ที่ทำความดีนั้นต้องสูญหายไปอย่างแน่นอน แต่เราจะตอบแทนให้อย่างเต็มจำนวนโดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียว

(31) เหล่าบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดีนั้น สำหรับพวกเขาจะได้รับสรวงสวรรค์เป็นที่พำนักของพวกชั่วนิรันดร์ มีลำน้ำจืดแห่งสรวงสรรค์หลายสายไหลผ่านใต้ที่พำนักของพวกเขา พวกเขาจะได้ประดับกำไลทอง และสวมอาภรณ์สีเขียวทำด้วยผ้าไหมละเอียดและผ้าไหมหยาบ นอนเอกเขนกบนเตียงที่ตกแต่งด้วยผ้าม่านที่สวยงาม ช่างเป็นผลตอบแทนอันประเสริฐยิ่งและเป็นที่พำนักที่แสนดียิ่ง

(32) โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย จงยกการอุปมาให้แก่พวกเขาเถิด "มีชายสองคน คนแรกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา และอีกคนเป็นผู้ศรัทธา ซึ่งพระองค์ได้ให้สวนองุ่นสองแห่งแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาโดยมีต้นอินทผลัมล้อมรอบสวนองุ่นของแต่ละแห่ง และพระองค์ทรงให้มีพืชผลมากมายงอกเงยขึ้นในพื้นที่ระหว่างสวนองุ่นทั้งสองนั้น

(33) สวนทั้งสองนี้ได้ให้ผลผลิตของมันเช่น อินทผลัม องุ่น และพืชผลอื่นๆ ออกมาอย่างอุดมสมบูรณ์ครบถ้วนและไม่เคยขาดแต่อย่างใด และพระองค์ได้ทำให้มีลำน้ำไหลผ่านกลางสวนทั้งสองนี้ เพื่อง่ายในการรดน้ำต้นไม้นั่นเอง

(34) และเจ้าของสวนทั้งสองนั้น กลายเป็นผู้มีทรัพย์สินและผลิตผลมากมาย ดังนั้นเขาจึงผยองตนและดูถูกเพื่อนบ้านของตัวเอง(ซึ่งเป็นผู้ศรัทธา) ดังนั้นเขาได้กล่าวแก่เพื่อนที่เป็นผู้ศรัทธาว่า"ฉันมีทรัพย์สินมากกว่าท่าน มีคนรับใช้ที่แข็งแรงกว่าท่าน และมีวงศ์ตระกูลที่มีอิทธิพลเหนือกว่าท่านเช่นกัน"

(35) และผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ได้เดินเข้าไปในสวนของเขาพร้อมกับเพื่อนบ้านของเขาที่เป็นผู้ศรัทธา เพื่อที่จะอวดสวนของเขาแก่เพื่อนบ้าน ในขณะท่เขาได้อธรรมต่อตนเองด้วยการปฏิเสธศรัทธาและการลำพองตน เขาก็ได้กล่าวแก่เพื่อนบ้านว่า "ฉันไม่คิดว่าสวนแห่งนี้จะถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง ดังที่เจ้าเห็นอยู่กับตา เพราะว่าฉันได้จัดระบบไว้ให้มันอย่างดี"

(36) และฉันไม่เชื่อว่าวันแห่งการฟื้นคืนชีพนั้นจะมีขึ้นจริง เพราะชีวิตคนเรามันคือชีวิตที่ต่อเนื่อง และหากสมมุติว่ามันจะมีขึ้นจริง ฉันก็จะถูกฟื้นคืนชีพหรือจะถูกนำกลับไปยังพระผู้อภิบาลของฉันพร้อมๆ กับได้รับสถานที่ที่ดีกว่าสวนที่ฉันมีอยู่ ณ ตอนนี้อย่างแน่นอน เพราะการที่ฉันเป็นผู้ร่ำรวยบนโลกนี้ ฉันก็จะต้องเป็นคนที่ร่ำรวยยิ่งหลังจากการฟื้นคืนชีพเช่นกัน

(37) เพื่อนบ้านผู้ศรัทธาของเขาได้ตำหนิเขาขณะที่กำลังทบทวนคำพูดของเขาว่า " เจ้าปฏิเสธผู้ทรงสร้างบิดาของเจ้าอาดัมจากดิน จากนั้นได้สร้างเจ้าจากเชื้ออสุจิ จนกลายเป็นชายหนุ่มที่มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์กระนั้นหรือ? แท้จริงแล้วผู้ที่สามารถสรรค์สร้างดังกล่าวนั้นได้ ก็สามารถที่จะทำให้เจ้ากลับมาฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งหนึ่งได้เช่นกัน"

(38) แต่ฉันจะไม่พูดเหมือนคำพูดของท่านนี้ ฉันจะพูดว่า "พระองค์อัลลอฮฺผู้สูงส่งนั้นเป็นผู้อภิบาลของฉัน ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพมากมายแก่พวกเรา และฉันจะไม่ตั้งผู้ใดร่วมเป็นภาคีกับพระองค์ในการเคารพบูชา"

(39) และเมื่อท่านได้เข้าในสวนของท่าน ทำไมท่านไม่กล่าวว่า "อะไรที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ ก็ไม่มีพลังอำนาจใดนอกจากอำนาจของอัลลอฮ์เท่านั้น เพราะพระองค์ทรงกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์เป็นผู้ทรงพลัง" แม้ว่าท่านจะเห็นว่าฉันด้อยกว่าท่านในเรื่องทรัพย์สินและลูกหลานก็ตาม

(40) และฉันคาดว่าบางทีอัลลอฮฺก็อาจจะประทานสวนที่ดีกว่าสวนของท่านแก่ฉัน และอาจจะส่งภัยพิบัติจากจากฟากฟ้าลงมาบนสวนของท่าน ทำให้สวนของท่านกลายเป็นทุ่งโล่งเตียนไม่มีพืชผลใดๆ และเท้าอาจจะลื่นล้มได้เนื่องจากความเรียบเนียนของพื้นดินในสวน

(41) หรือว่าพระองค์อาจจะทำให้น้ำในสวนนั้น แห้งเหือดลงไปในแผ่นดิน แล้วท่านก็ไม่สามารถหามันกลับคืนมาได้อีก แม้จะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม และเมื่อน้ำในสวนแห้งเหือดไปแล้ว แน่นอนสวนก็จะอยู่ไม่รอด

(42) ในที่สุดความคาดหวังของเพื่อนบ้านผู้ศรัทธานั้นก็ได้เกิดขึ้นจริง ทำให้ผลผลิตในสวนของผู้ปฏิเสธศรัทธาถูกทำลายไปหมด แล้วเขาก็ประกบฝ่ามือทั้งสองด้วยความเสียใจและเสียดายที่สุดต่อสิ่งที่หมดไปกับการดูแลรักษาสวนองุ่นแห่งนี้ ในขณะที่ซุ้มไม้เลื้อยเพื่อปลูกองุ่นนั้นพังถล่มลงมาทั้งหมด เขาก็ได้กล่าวว่า "ไม่น่าเป็นเช่นนี้เลย หากฉันได้ศรัทธาต่อพระเผู้อภิบาลของฉันเพียงผู้เดียว และไม่ตั้งสิ่งใดเลยเป็นภาคีกับพระองค์ในการเคารสักการะ"

(43) และผู้ปฏิเสธท่านนี้ก็ไม่มีพรรคพวกที่จะช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษในครั้งนี้ ทั้งๆที่เขาเคยภาคภูมิใจในพรรคพวกวงศ์ตระกูลของตนเอง และเขาเองก็ไม่สามารถป้องกันภัยพิบัติที่พระองค์ส่งมาทำลายสวนของเขาได้

(44) ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ความช่วยเหลือเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงผู้เดียว พระองค์ทรงเป็นผู้ตอบแทนที่ดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ด้วยการเพิ่มพูนผลบุญให้เป็นทวีคูณ และพระองค์ทรงเตรียมบั้นปลายที่ดีแกพวกเขาเช่นกัน

(45) และเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- จงยกอุทธาหรณ์เกี่ยวกับการสลายที่เร็วนักของโลกใบนี้แก่ผู้ที่ลุ่มหลงกับมันว่า "มันเปรียบเสมือนกับพฤกษชาติแห่งโลกที่งอกเงยขึ้นมาอย่างอุดมสมบูรณ์จากน้ำฝนที่พระองค์ทรงโปรยลงมาจากฟากฟ้า แต่หลังจากนั้น มันก็กลับกลายเป็นเศษพืชแห้งกรังที่ถูกลมพัดปลิวว่อนไปทุกหนแห่ง แล้วแผ่นดินก็จะกลับมาเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไร้พืชผลเช่นเดิม ซึ่งอัลลอฮ์ทรงมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง และไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้พระองค์หมดความสามารถไปได้ พระองค์จึงประสงค์ที่จะให้สิ่งใดมีชีวิตหรือตายไปก็ได้"

(46) ทรัพย์สินและลูกหลานก็คือเครื่องประดับชั่วคราวแห่งโลกนี้เท่านั้น ซึ่งจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากมัน หากมิได้ใช้จ่ายมันในหนทางที่เป็นที่พึงพอพระทัยของอัลลอฮ์ ส่วนการกระทำและการพูดที่ชอบธรรมที่เป็นที่พึงพอพระทัยของอัลลอฮ์นั้น มันดียิ่งกว่าทุกสรรพสิ่งที่เป็นเครื่องประดับในโลกนี้ และมันเป็นจุดมุ่งหวังที่ดีของมนุษย์ทุกคนที่ปรารถนาจะกระทำมัน เพราะเครื่องประดับแห่งโลกนี้มันชั่วคราวไม่ยั่งยืน แต่ผลรางวัลของการงานและคำพูดที่เป็นที่พึงพอพระทัยของอัลลอฮ์นั้น ถูกบันทึกไว้ ณ ที่พระองค์ชั่วนิรันดร์

(47) โอ้มุหัมมัด จงนึกถึงเหตุการณ์ในวันที่เราทำให้ภูเขาทั้งหลายต้องสลายไปจากที่ของมัน แล้วเจ้าก็จะได้เห็นแผ่นดินนี้ว่างเปล่าปราศจากภูเขา ต้นไม้และสิ่งปลูกสร้าง และเราจะรวบรวมสิ่งถูกสร้างทั้งหมดไว้ด้วยกันจะไม่มีการละเว้นแม้แต่คนเดียว

(48) และมนุษย์ทุกคนจะถูกนำมาปรากฏต่อหน้าพระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นแถว หลังจากนั้นได้มีการสอบสวนโดยกล่าวแก่พวกเขาว่า "แท้จริงพวกเจ้าได้กลับมาหาเราในสภาพที่โดดเดี่ยว ไม่สวมรองเท้า เปลือยกาย และหน้าผากขาว เหมือนกับที่เราได้สร้างพวกเจ้ามาเป็นครั้งแรก แต่พวกเจ้าคิดไปเองว่า พวกเจ้าจะไม่ถูกฟื้นคืนชีพ และเรามิได้กำหนดสถานที่และเวลาเพื่อตอบแทนการงานของพวกเจ้า"

(49) และเมื่อสมุดบันทึกการปฏิบัติถูกวางไว้ บางคนจะหยิบบันทึกของเขาด้วยมือขวาและบางคนจะหยิบด้วยมือซ้าย และพวกเจ้า-โอ้มนุษย์ทั้งหลาย- จะได้เห็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่ในสภาพที่กลัวถึงสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในนั้น เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาได้ทำอะไรไป คือการปฏิเสธศรัทธาและการเนรคุณต่างๆ พวกเขากล่าวว่า "ความวิบัติของเราช่างน่าสมเพชและยิ่งใหญ่เพียงใด! มันคือบันทึกอะไรกัน มันไม่ทิ้งสักอย่างเลย จะเป็นเรื่องเล็กๆหรือเรื่องใหญ่ๆ แต่ทั้งหมดถูกจัดเก็บและบันทึกไว้หมด" และพวกเขาพบว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำในชีวิตบนโลกนี้ในรูปแบบของการเนรคุณต่างๆได้รับการบันทึกและจัดเก็บ แท้จริง -โอ้เราะสูลเอ๋ย - พระผู้อภิบาลของเจ้าไม่ได้อธรรมต่อผู้ใด ดังนั้นพระองค์จะไม่ลงโทษผู้ใดโดยไม่ทำบาปหรือลดรางวัลแห่งความดีงามของผู้ที่เชื่อฟังพระองค์แม้แต่นิดเดียว

(50) และจงรำลึกเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เมื่อตอนที่เราได้กล่าวแก่บรรดามลาอิกะฮ์ว่า "จงสุญูด(โค้งคำนับ)ต่ออาดัม พวกเขาก็โค้งคำนับตามพระบัญชาของพระผู้อภิบาลของพวกเขายกเว้นอิบลีสที่เป็นหนึ่งในหมู่ญิน ไม่ใช่ในหมู่บรรดามลาอิกะฮ์ มันเย่อหยิ่งและฝ่าฝืนคำบัญชาของพระองค์ในการสุญูด(โค้งคำนับ)และไม่เชื่อฟังพระองค์ ดังนั้นพวกเจ้า-โอ้มนุษย์เอ๋ย- จะยึดมันและลูกหลานของมันมาเป็นผู้คุ้มครองพวกเจ้าอื่นจากข้ากระนั้นหรือ ทั้งๆ ที่พวกมันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า? พวกเจ้าได้ยึดศัตรูมาเป็นผู้คุ้มครองพวกเจ้าได้อย่างไร? มันช่างชั่วช้าเหลือเกินสำหรับผู้อธรรมที่ได้ยึดเอาชัยฏอน(มารร้าย)มาเป็นผู้คุ้มครองพวกเขาแทนที่การคุ้มครองของพระองค์อัลลอฮฺ"

(51) บรรดาผู้ที่พวกเจ้าได้ยึดเอาพวกเขามาเป็นผู้คุ้มครองพวกเจ้าอื่นจากข้า แท้จริงพวกเขาเหล่านั้นก็เป็นบ่าวของข้าเช่นเดียวกับพวกเจ้านั่นแหละ ข้ามิได้เรียกพวกเขาให้มาเป็นพยานขณะที่สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แถมพวกเขาไม่ได้มีด้วยซ้ำ และข้ามิได้เรียกบางคนให้มาเป็นพยานในการสร้างอีกบางคน ข้าเพียงผู้เดียวที่มีเอกสิทธิ์ในการสรรค์สร้างและจัดการทุกสรรพสิ่ง และข้าไม่เคยที่จะเอาบรรดาผู้ทำให้คนอื่นหลงทางเฉกเช่น ชัยฏอน(มารร้าย)ที่เป็นมนุษย์หรือญิน มาเป็นผู้ช่วยเหลือเด็ดขาด เพราะเดชานุภาพของข้าเหนือกว่าที่จะได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใดทั้งสิ้น

(52) จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ในวันปรโลกนั้น พระองค์จะกล่าวแก่บรรดาผู้ที่ตั้งภาคีต่อพระองค์บนโลกนี้ว่า "พวกเจ้าจงเรียกบรรดาที่พวกเจ้าอ้างว่าเป็นภาคีของฉัน เพื่อที่พวกเขาจะได้ช่วยเหลือพวกเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงได้ร้องเรียกบรรดาสิ่งที่เป็นภาคีเหล่านั้น แต่พวกมันไม่ตอบรับและไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้ แล้วเราก็ได้เตรียมสถานที่ไว้เป็นที่พำนักร่วมกัน ระหว่างผู้เคารพและสิ่งที่ถูกเคารพสักการะ เพื่อมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งเดียวกัน นั่นก็คือนรกญะฮันนัม "

(53) และบรรดามุชริกีน(ผู้ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ)ได้เห็นไฟนรกในวันนั้น ดังนั้นพวกเขามั่นใจทันทีว่าพวกเขาจะเป็นกลุ่มชนที่ตกลงไปในนั้น และพวกเขาจะไม่พบทางใดที่จะหนีรอดไปได้

(54) และเราได้ยกอุปมาหลายอย่างพร้อมกับได้ชี้แจงมันในคัมภีร์อัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาแก่นบีมุหัมมัด ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เพื่อที่จะได้เข้าใจและเป็นบทเรียนแก่มวลมนุษย์ทั้งหมดโดยเฉพาะผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชอบโต้เถียงในทุกๆเรื่อง โดยปราศจากเหตุผลที่แท้จริงและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง

(55) การไม่ได้รับการชี้นำอย่างครบถ้วนไม่ได้เป็นสิ่งกีดขวางใดๆระหว่างบรรดาผู้ปฏิเสธกับการศรัทธาต่อสิ่งที่มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้นำมาจากพระผู้อภิบาลของเขา และไม่ได้เป็นสิ่งกีดขวางใดๆระหว่างพวกเขากับการขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์สำหรับบาปของพวกเขา เพราะแท้จริงพวกเขาได้รับอุทาหรณ์มาหลายอย่างในคัมภีร์อัลกุรอาน และได้มีหลักฐานชัดเจนมากมายประจักษ์ต่อหน้าพวกเขา แต่สิ่งที่กีดขวางพวกเขาจริงๆก็คือการเรียกร้องของพวกเขาอย่างดื้อรั้นและท้าทายพระองค์ในการที่จะสัมผัสจริงด้วยสายตาและร่างกาย บทลงโทษทรมานเฉกเช่นประชาชาติก่อนๆ ที่พระองค์ได้สัญญาไว้ต่อพวกเขา

(56) และพระองค์มิได้ส่งบรรดาเราะสูลมาเพื่ออื่นใดเว้นแต่เป็นผู้แจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาและเคารพภักดีต่อพระองค์ และเป็นผู้ตักเตือนแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและกระทำบาป ซึ่งบรรดาศาสนทูตเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะควบคุมจิตใจผู้ใดให้ได้รับทางนำจากพระองค์ได้ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ชอบที่จะโต้เถียงกับบรรดาศาสนทูตของพระองค์ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานปรากฏชัดต่อหน้าพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำลายล้างสัจธรรมที่ถูกประทานลงมายังท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ด้วยความเท็จของพวกเขา และพวกเขาก็ถือเอาคัมภีร์อัลกุรอานและคำตักเตือน เป็นที่ล้อเล่น ดูถูก เยาะเย้ยไปทั้งหมด

(57) และไม่มีผู้ใดที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ถูกเตือนด้วยโองการต่างๆ ของพระผู้อภิบาลของเขา แต่เขากลับไม่สนใจคำตักเตือนที่เกี่ยวข้องกับบทลงโทษที่ได้ระบุไว้ในคำภีร์อัลกุรอาน และหันห่างออกไปจากการสำนึกตน แถมยังลืมความชั่วที่ได้กระทำไปบนโลกนี้ เช่น การปฏิเสธศรัทธาและกระทำบาปต่างๆ และไม่สำนึกในการมี่จะกลับเนื้อกลับตัว แท้จริงแล้วพระองค์ได้ปกปิดหัวใจของพวกเขาไว้เพื่อกีดขวางพวกเขาจากการเข้าใจอัลกุรอาน และทำให้หูของพวกเขาหนวกไม่สามารถได้ยินเพื่อน้อมรับคำตักเตือน และหากเจ้าเรียกร้องพวกเขาไปสู่การศรัทธา พวกเขาจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่เจ้าได้เรียกร้องไปอย่างแน่นอน ตราบใดที่หัวใจของพวกเขาถูกปกปิดและหูยังหนวกอยู่

(58) และเพื่อให้ท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่หวังให้มีการลงโทษอย่างรีบเร่งต่อผู้ที่ปฏิเสธเขา อัลลอฮ์ได้กล่าวแก่ท่านว่า "พระผู้อภิบาลของเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- คือผู้ทรงอภัยต่อบาปของปวงบ่าวของพระองค์ที่กลับเนื้อกลับตัว ผู้ทรงเมตตาแก่ทุกสรรพสิ่ง และหนึ่งในความเมตตาของพระองค์คือ การที่พระองค์ได้ให้โอกาสแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนได้สำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัวกัน เพราะหากพระองค์ประสงค์จะลงโทษพวกเขา แน่นอนพระองค์จะทรงเร่งการลงโทษแก่พวกเขาบนโลกนี้เสียแล้ว แต่ว่าพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงขันติ ผู้ทรงเมตตายิ่ง ได้ประวิงเวลาการลงโทษแก่พวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้กลับเนื้อกลับตัวกัน แต่พระองค์ก็ได้กำหนดเวลาและสถานที่อย่างชัดเจนในการลงโทษพวกเขาเพราะการปฏิเสธศรัทธาและการผินหลังให้ หากพวกเขาไม่กลับเนื้อกลับตัวกันจริง และพวกเขาจะไม่พบที่พึ่งอื่นใดนอกจากพระองค์เท่านั้น

(59) และหมู่บ้านเหล่านั้นที่ไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และมันอยู่ใกล้ๆ พวกเจ้า เช่นหมู่บ้านของกลุ่มชนชาวนบีฮูด และกลุ่มชนชาวนบีซอและห์และกลุ่มชนชาวนบีชูอัยบ์ ซึ่งเราได้ทำลายพวกเขาเมื่อพวกเขาได้อธรรมต่อตนเองด้วยการปฏิเสธศรัทธาและกระทำบาปต่า ๆ และเราได้กำหนดเวลาที่จะลงโทษพวกเขาไว้แล้ว

(60) จงรำลึกเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ถึงเรื่องราวของนบีมูซา ครั้นเมื่อมูซา อะลัยฮิสลาม(ขอความเมตตาสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวแก่คนรับใช้ของเขาที่ชื่อว่า ยูชะอ์ บินนูน ว่า "ฉันจะยังคงเดินต่อไปจนกว่าจะบรรลุถึงชุมทางแห่งสองทะเลที่มาบรรจบกัน หรือฉันจะยังคงเดินต่อไปอีกหลายปีจนกว่าจะได้พบเจอกับบ่าวที่ดี ที่ฉันจะต้องเรียนรู้จากเขา"

(61) ดังนั้นทั้งสองก็ได้ออกเดินทาง เมื่อทั้งสองได้ไปถึงสถานที่นัดพบของทะเลทั้งสองพวกเขาก็ลืมเรื่องปลาของพวกเขาที่เตรียมไว้เป็นอาหาร อัลลอฮ์ก็ได้ชุปชีวิตปลาตัวนั้นขึ้นมา มันจึงได้มุดหนีไปในทะเล และได้วาดเส้นทางไว้เป็นแนวทางยาวไปตามตัวของมัน(คล้ายอุโมงค์เล็กๆ)ซึ่งน้ำทะเลไม่สามารถจะเข้าไปได้

(62) เมื่อทั้งสองเดินเลยจากที่นั่นไป มูซา อะลัยฮิสสลาม ก็ได้กล่าวแก่คนใช้ว่า "จงนำอาหารกลางวันของเราออกมากินกันเถอะ เรารู้สึกเหนื่อยจากการเดินทางในครั้งนี้มาก"

(63) คนใช้ได้กล่าวว่า "ท่านมิได้สังเกตหรือว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้างที่เกิดขึ้นในตอนที่เราพักข้างก้อนหินนั้น?! แท้จริงฉันลืมที่จะบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องของปลานั้น และไม่มีผู้ใดทำให้ฉันลืมที่จะบอกท่านนอกจากชัยฏอน(มารร้าย)เท่านั้น ปลาตัวนั้นได้กลับมามีชีวิตแล้วกระโดดหนีลงทะเลไปอย่างน่าอัศจรรย์"

(64) มูซา อะลัยฮิสสลามได้กล่าวแก่คนใช้ของเขาว่า "นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องการ มันเป็นสัญลักษณ์สถานที่พำนักของบ่าวที่มีคุณธรรมคนนั้น ดังนั้นทั้งสองก็ได้หวนกลับตามร้อยเท้าเดิมกลับไป เพื่อจะได้ไม่หลงทาง จนกระทั่งทั้งสองได้ถึงที่ก้อนหินนั้น และจากตรงนั้นที่ปลาตัวนั้นเข้าสู่ทะเล"

(65) และเมื่อทั้งสองได้ถึง ณ จุดที่ปลาได้หายไป พวกเขาก็ได้พบบ่าวคนหนี่งของเราที่มีคุณธรรม (นั่นคือ อัลเคาะฎิร อะลัยฮิสสลาม) ซึ่งเป็นบ่าวที่เราได้ประทานความเมตตาแก่เขาและเราได้สอนเขาซึ่งความรู้ที่คนอื่นๆ ไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ และความรู้นี้คือสิ่งที่เป็นเนื้อหาหลักในเรื่องนี้

(66) มูซาได้กล่าวแก่เขาด้วยความนอบน้อมถ่อมตนว่า "ให้ฉันติดตามท่านไปด้วยได้ไหม? ทั้งนี้เพื่อที่ท่านจะได้สอนฉัน จากความรู้ที่อัลลอฮ์ได้สอนท่านมา ที่เป็นแนวทางนำไปสู่สัจธรรมที่เที่ยงตรง "

(67) ท่านอัลเคาะฎิร ได้ตอบว่า "แท้จริงแล้ว ท่านไม่สามารถที่จะอดทนกับความรู้ที่ฉันมี เพราะมันไม่ตรงกับความรู้ที่ท่านมีนั่นเอง"

(68) "และท่านจะอดทนอยู่ได้อย่างไรเล่า กับสิ่งที่ท่านได้เห็นถึงการกระทำที่ท่านไม่รู้ว่ามันผิดหรือถูก เพราะท่านจะตัดสินกับความรู้ที่เป็นที่สุดแล้วสำหรับท่าน?!"

(69) มูซาได้กล่าวว่า "หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ท่านจะเห็นว่าฉันเป็นคนอดทนในสิ่งที่ฉันเห็นถึงการกระทำของท่าน มุ่งมั่นที่จะเชื่อฟังท่าน และฉันจะไม่ฝ่าฝืนคำสั่งใด ๆ ของท่าน ที่ได้สั่งใช้ฉัน"

(70) ท่านอัลเคาะฏิรได้กล่าวแก่มูซาว่า "หากท่านจะติดตามฉันไป ท่านจงอย่าได้ถามฉันถึงเรื่องใดๆจากสิ่งที่ท่านเห็นจากการกระทำของฉัน จนกว่าฉันจะเป็นผู้ที่เริ่มอธิบายสิ่งนั้นให้ท่านเอง"

(71) และเมื่อพวกเขาทั้งสองได้ตกลงกันแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทางไปที่ชายหาด พบเรือลำหนึ่ง พวกเขาก็ได้ลงเรือลำนั้นไปโดยไม่เสียค่าโดยสารใดๆ ซึ่งเป็นการให้เกียรติแก่ท่านเคาะฎิร และแล้วท่านเคาะฎิรก็ได้เจาะรูเรือลำนั้นโดยถอดไม้แผ่นหนึ่งออกไป มูซาจึงได้ร้องออกมาว่า "ท่านเจาะรูลำเรือที่เจ้าของมันให้ลงเรือไปด้วยโดยไม่เสียค่าโดยสารใดๆ เพื่อที่จะให้ผู้คนที่อยู่ในเรือจมน้ำตายกระนั้นหรือ?! ท่านได้กระทำในสิ่งที่รับไม่ได้จริงๆ"

(72) ท่านเคาะฎิรตอบแก่มูซาว่า "ฉันมิได้บอกแก่ท่านหรือว่า แท้จริง ท่านไม่สามารถที่จะอดทนร่วมกับฉันได้ ในสิ่งที่ท่านเห็นถึงการกระทำของฉัน?!"

(73) มูซาก็ได้กล่าวแก่ท่านเคาะฎิรว่า "โปรดอย่าได้ตำหนิฉันในสิ่งที่ฉันลืมจนผิดสัญญาที่ให้ไว้ และอย่าได้เข้มงวดกับฉันมากจนเกินไปในการเป็นผู้ติดตามท่านเลย"

(74) เมื่อถึงชายฝั่งพวกเขาทั้งสองก็ลงจากเรือไป เดินตามชายหาดจนกระทั่งพบเด็กชายคนหนึ่งยังไม่บรรลุศาสนภาวะซึ่งกำลังเล่นกับเพื่อนๆ ท่านเคาะฎิรจึงฆ่าเด็กคนนั้น มูซาจึงได้ร้องออกมาว่า "ท่านฆ่าคนที่บริสุทธิ์ที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะโดยเขาไม่มีบาปใดๆกระนั้นหรือ?! แท้จริงท่านได้นำมาซึ่งสิ่งที่โหดร้ายจริงๆ!"

(75) ท่านเคาะฎิรฺกล่าวแก่นบีมูซา อะลัยฮิสลามว่า โอ้ มูซา ฉันบอกท่านแล้วว่า ท่านจะไม่อาจทนต่อสิ่งที่ฉันจะทำได้หรอก

(76) นบีมูซา อะลัยฮิสสลาม กล่าวว่า หากฉันถามสิ่งใดหลังจากนี้อีก ท่านก็จงแยกทางกับฉันเลย เพราะมันถึงกำหนดที่ได้สัญญาเอาไว้ว่าอย่าคบฉันเป็นเพื่อนร่วมทางอีก เหตุจากการที่ฉันได้ผิดสัญญามาถึงสองครั้ง

(77) แล้วเขาทั้งสองจึงออกเดินทางต่อไป จนกระทั่งเมื่อทั้งสองพบชาวเมืองหนึ่ง ทั้งสองได้ขออาหารจากชาวเมืองนั้น แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะต้อนรับเขาทั้งสอง ซึ่งพวกเขาได้ละเมิดสิทธิในการต้อนรับแขก ต่อมาเขาทั้งสองได้พบกำแพงแห่งหนึ่งกำลังจะพังลงมาแล้วเขาก็ทำให้มันตรง เขา (มูซา) กล่าวแก่ท่านเคาะฎิรฺว่า ถ้าท่านต้องการที่จะเอาค่าจ้างที่ได้ปรับให้มันตั้งตรง ก็จงเอามันเสีย สำหรับความต้องการของเราหลังจากที่พวกเขาได้ปฏิเสธจากการต้อนรับพวกเรา

(78) ท่านเคาะฎิรฺได้กล่าวแก่ท่านนบีมูซาว่า การคัดค้านที่เกี่ยวกับการที่ไม่ได้รับผลตอบแทนที่ได้สร้างกำแพงครั้งนี้ คือ สาเหตุที่จะต้องแยกทางกันระหว่างเรา ซึ่งฉันจะอธิบายให้ละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ท่าน (มูซา) ไม่สามารถอดทนต่อสิ่งที่ท่านเห็นในสิ่งที่ฉันทำลงไปได้

(79) ส่วนเรื่องของเรือที่ฉันทำให้มีตำหนินั้น ซึ่งเป็นเรือของชาวบ้านผู้อ่อนแอใช้ทำงานในท้องทะเล เพราะพวกเขาไม่สามารถปกป้องเรือของพวกเขาจากพวกเขาเหล่านั้นได้ ซึ่งฉันต้องการที่จะให้เรือนั้นมีตำหนิแบบนั้น เพื่อไม่ให้กษัตริย์ที่อยุ่ข้างหน้าพวกเขายึดมันไป เพราะกษัตริย์นั้นจะยึดเฉพาะเรือที่ดีๆและปล่อยเรือที่มีตำหนิไป

(80) ส่วนเรื่องของเด็กที่นบีมูซาได้คัดค้านในการฆ่านั้นก็คือ พ่อแม่ของเขานั้นเป็นผู้ศรัทธา และอัลลอฮฺทรงรู้ดีว่าเด็กคนนี้โตไปจะเป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ ท่านคุเดรกลัวว่า พอเขาโตไป เขาจะเคี่ยวเข็ญให้ทั้งสองตกอยู่ในการละเมิดและปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺจากความรักของเขาทั้งสองหรือจากความต้องการของพวกเขา

(81) ท่านเคาะฎิรฺต้องการให้พระองค์นั้นทดแทนทั้งสองด้วยลูกที่ดีกว่าเดิม ในด้านของศาสนาหรือเป็นลูกที่กตัญญูกว่าและมีความบริสุทธิ์จากบาปและใกล้ชิดต่อความเมตตาของบิดามารดาของเขา

(82) ในส่วนเรื่องการซ่อมแซมกำแพงที่ท่านนบีมูซาได้ปฏิเสธนั้น มันเป็นของเด็กผู้ชายกำพร้าสองคนที่อยู่ในเมืองนั้น เรามาพ่อของเขาตายแล้ว และใต้กำแพงนั้นมีขุมทรัพย์ของเขาทั้งสอง และพ่อของเด็กทั้งสองก็เป็นคนดี ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าของท่านทรงประสงค์ที่จะให้เด็กทั้งสองบรรลุสู่ความเป็นผู้ใหญ่ก่อน แล้วจะให้เด็กทั้งสองเอาขุมทรัพย์ของเขาทั้งสองออกมาเอง ถ้าผนังกำแพงนี้ล้มลงก่อนก็จะไม่เป็นการปกปิดทรัพย์สินของเขา เกรงกลัวว่าจะหายไปก่อนที่เขาจะโต และนี้เป็นความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าของท่านต่อเด็กทั้งสอง และฉันมิได้ทำสิ่งนั้นตามความพอใจของฉัน นั่นคือความหมายที่ท่านไม่สามารถมีความอดทนในสิ่งนั้นๆได้

(83) และเขาได้ถามเจ้าว่า โอ้ท่านเราะซูล ชาวมุชรีกีนและยาฮูดถามเกี่ยวกับเรื่องราวของซุลก็อรนัยนฺ จงกล่าวเถิด ฉันจะบอกถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งแก่พวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องของซุลก็อรนัยนฺเพื่อเป็นการได้พินิจพิจารณาและใคร่ครวญมัน

(84) แท้จริงพระองค์ได้ให้อำนาจแก่เขาในแผ่นดิน และพระองค์ทรงประทานให้แก่เขาทุกอย่างที่เขาต้องการเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่เขาต้องการ

(85) และเขาได้รับสิ่งที่เราให้ไว้เพื่อนำเขาไปสู่สิ่งที่เขาต้องการและแล้วเขาก็ได้ไปในทางทิศตะวันตก

(86) เขาได้เดินบนหน้าแผ่นดินจนถึงปลายสุดของโลกที่ดวงอาทิตย์ตก เขาพบมันตกลงในน้ำขุ่นดำ และได้พบกับชนกลุ่มหนึ่งที่ปฏิเสธศรัทธา เราได้กล่าวแก่เขา(ซุลก็อรนัยน์)ว่า เพื่อให้เขาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง "โอ้ ซุลก็อรนัยน์ เจ้าจะลงโทษพวกเขาด้วยการฆ่าพวกเขาหรือจะลงโทษด้วยวิธีอื่นหรือจะทำดีต่อพวกเขา"

(87) พวกกลุ่มชนของซุลก็อรนัยนฺ กล่าวว่า สำหรับใครที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺหลังจากที่เราได้ชักชวนเข้าสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺแล้ว เราจะลงโทษพวกเขาด้วยการเข่นฆ่าบนโลกนี้ แล้วในวันกียามะฮฺพวกเขาก็กลับสู่พระองค์ พวกเขาจะถูกทรมานด้วยการลงโทษอย่างสาหัส

(88) และส่วนผู้ศรัทธาและประกอบความดีนั้น พวกเขาจะได้รับคือสวนสวรรค์เป็นการตอบแทนที่ดีจากพระองค์ เนื่องจากการที่พวกเขานั้นศรัทธาและกระทำความดีและเราจะบอกเขาว่ามันคือคำสั่งจากพระองค์ด้วยความอ่อนนุ่มและอ่อนโยน

(89) แล้วเขาก็ได้มุ่งสู่ในทางที่ไม่ไช่ทางแรกซึ่งเป็นทางที่มุ่งสู่ทิศตะวันออกของดวงอาทิตย์

(90) และเขาได้เดินทางต่อจนถึงฝั่งที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เขาพบว่าดวงอาทิตย์ได้ส่องแสงมายังกลุ่มชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้สร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่พวกเขาเพื่อป้องกันพวกเขาจากแสงของดวงอาทิตย์จะเป็นบ้านหรือต้นไม้

(91) เช่นนั้นแหละกลุ่มชนของซุลก็อรนัยนฺได้สั่งพวกเขาให้รู้ว่าเราหยั่งรู้ข่าวคราวที่เกี่ยวกับเขาอย่างละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขามี ไม่ว่าในด้านพละกำลังที่แข็งแรงและอำนาจ

(92) แล้วเขาก็ได้มุ่งสู่อีกเส้นทางหนึ่งซึ่งไม่ไช่สองเส้นทางแรกเป็นเส้นทางที่ตรงกันข้ามกับทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

(93) จนกระทั่งเมื่อเขาไปถึงบริเวณระหว่างภูผาทั้งสอง เขาได้พบชนกลุ่มหนึ่งที่เชิงภูผาทั้งสองนั้น ซึ่งพวกเขาเกือบจะไม่เข้าใจในคำพูดใดเลย

(94) พวกเขากล่าวว่า โอ้ซุลก็อรนัยนฺ แท้จริงยะอฺญูจและมะอฺญูจนั้น (เป็นสองประชาชาติที่ยิ่งใหญ่จากลูกหลานชนอาดัม) ที่เป็นผู้บ่อนทำลายในแผ่นดินนี้ พวกเขาได้กระทำด้วยการฆ่าและอื่นๆ ดังนั้น เราขอมอบบรรณาการแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้สร้างกำแพงกั้นระหว่างพวกเรากับพวกเขา

(95) ซุลก็อรนัยนฺได้กล่าวว่า สิ่งที่พระองค์ได้ให้แก่ฉันนั้นไม่ว่าจะเป็นการปกครองและอำนาจเป็นสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่เจ้าจะให้แก่ฉันในเรื่องของทรัพย์สิน ดังนั้นพวกท่านจงช่วยฉันจากกำลังคนและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ฉันจะสร้างกำแพงอย่างแน่นหนากั้นระหว่างพวกท่านกับพวกเขา

(96) พวกท่านจงเอาเหล็กท่อนโตๆมาให้ฉัน พวกเขาทั้งหลายก็ได้เอาเหล็กนั้นมา เขาจะสร้างมันขึ้นมาระหว่างภูเขาจนกระทั่งเมื่อเขาทำให้บริเวณภูผาทั้งสองราบเรียบ เขาก็กล่าวแก่คนงานของเขาว่า สั่งให้จุดไฟเหล็กท่อนนั้น จนกระทั่งเหล็กท่อนนั้นแดง เขากล่าวว่า ปล่อยให้ฉันเททองแดงหลอมลงไปบนมัน

(97) พวกเขา (ยะอฺญูจและมะอฺญูจ) ไม่สามารถยกตัวให้สูงขึ้นได้และไม่สามารถขุดโพรงเข้ามาจากด้านล่างของความแข็งของมันได้

(98) ซุลก็อรนัยนฺกล่าวว่า เขื่อนกำแพงนี้เป็นความเมตตาของพระเจ้าของฉัน ที่ปิดล้อมระหว่างญะญูจกับมะญูจและระหว่างการสร้างความเสียหายบนโลกและปกป้องจากพวกเขา ดังนั้นเมื่อเวลาที่อัลลอฮฺกำหนดนั้นได้มาถึงในการที่พวกเขาก็จะออกมาก่อนวันสิ้นโลก พระองค์จะทรงทำให้โลกมันพังทลาย และอัลลอฮฺทรงสัญญาว่าจะทรงทำให้แผ่นดินนั้นราบเรียบด้วยการออกของญะญูจและมะญูจ และสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าของฉันนั้นเป็นจริงเสมอ

(99) และในวันนั้นเราได้ปล่อยให้บางส่วนของพวกเขาในช่วงท้ายของใกล้เวลาสิ้นโลก จะปะทะและปะปนกับอีกบางส่วนกันไปและสังข์จะถูกเป่าขึ้น แล้วเราจะรวมพวกเขาทั้งหมด เพื่อสอบสวนและตอบแทน

(100) และในวันนั้นเราได้นำนรกจญะหันนัมมาแสดงแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเพื่อให้ปรากฏชัดแจ้งแก่เขาและในวันนั้นพวกเขาจะได้เห็นด้วยสายตาเองโดยไม่มีสิ่งใดปิดบังให้เบลอเลยแม้แต่น้อย

(101) เราได้ชี้แนะแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่อยู่ในโลกที่ตาบอดต่อการรำลึกถึงอัลลอฮฺ เพราะในสายตาของพวกเขาจะมีแผ่นกั้นต่อการรำลึกนั้นและพวกเขาไม่สามารถได้ยินโองการของอัลลอฮฺด้วยการได้ยินที่ยอมรับได้

(102) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ พวกเขาคิดหรือว่า พวกเขาจะทำให้ปวงบ่าวของข้าจากมลาอิกะฮฺและบรรดาเราะซูลและชัยฏอนนั้นเพื่อเคารพภักดีนอกจากพระองค์ แท้จริงเราได้เตรียมนรกญะฮันนัมไว้เป็นที่พำนักสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว

(103) จงกล่าวเถิด โอ้บรรดาเราะซูลทั้งหลาย เราแจ้งให้พวกคุณทราบไหม โอ้มนุษย์ชาติทั้งหลายเกี่ยวกับมนุษย์ส่วนมากจะขาดทุนไปกับการกระทำของเขาเอง

(104) ผู้ที่มองเห็นในวันกียามะฮฺว่าสิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาบนโลกนี้ได้หายไป ซึ่งพวกเขาคิดว่าอันที่จริงพวกเขาจะถูกคิดบัญชีเกียวกับการกระทำที่เขาได้แสวงหามาและจะช่วยพวกเขาด้วยการกระทำของพวกเขาแต่ที่จริงแล้ว มันกลับกันอย่างสิ้นเชิง

(105) เขาเหล่านั้นคือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาที่บ่งบอกถึงการให้เอกภาพต่อพระองค์และเขาได้ปฏิเสธในวันที่จะพบเจอกับพระองค์ ด้วยเหตุนี้แหละพวกเขาได้สูญเสียการงานของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา แล้วสำหรับพวกเขาจะไม่เชื่อในการกำหนดของพระเจ้าว่ามีวันกียามะฮฺ

(106) และนี่คือการตอบแทนของพวกเขาคือนรกจญะหันนัม เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธศรัทธา และพวกเขายึดเอาโองการทั้งหลายของข้า และบรรดาเราะซูลของข้า เป็นที่เยาะเย้ย

(107) แท้จริง บรรดาผู้ศรัทธาและปฏิบัติความดี สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับคือสวนสวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นที่พำนักเพื่อเป็นเกียรติแก่พวกเขา

(108) พวกเขาพำนักอยู่ในนั้นอย่างถาวร โดยที่พวกเขาไม่ขอที่จะเปลี่ยนแปลงเลยเพราะในนั้นไม่ได้ให้โทษอะไรแแก่พวกเขาเลย

(109) จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด) แท้จริงสำหรับพจนารถของพระผู้เป็นเจ้าของฉันมากมายถ้าทะเลเป็นทะเลหมึกซึ่งจะใช้หมึกนั้นเขียน แน่นอนน้ำทะเลย่อมหมดไปก่อน ก่อนที่คำพูดของอัลลอฮจะจบลงก่อน ถ้าเรานำทะเลอื่นๆมาก็จะกลายเป็นเช่นนั้นเช่นกัน

(110) จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด) แท้จริง ฉันเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่งเยี่ยงพวกท่าน มีวะฮียฺแก่ฉันว่า แท้จริง พระเจ้าของพวกท่านนั้นที่แท้จริงคือพระเจ้าองค์เดียวนั้นคืออัลลอฮ โดยไม่มีผู้ใดเป็นภาคีกับพระองค์ ดังนั้น ผู้ใดหวังที่จะพบพระผู้เป็นเจ้าของเขา ก็ให้เขาประกอบการงานที่ดี และอย่าตั้งผู้ใดเป็นภาคีในการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาเลย