5 - Al-Maaida ()

|

(1) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงซื่อสัตย์และรักษาสัญญาต่างๆ ที่มีระหว่างพวกเจ้ากับอัลลอฮฺ และระหว่างพวกเจ้ากันเองอย่างสมบูรณ์เถิด แท้จริง (ด้วยความเมตตาของพระองค์) พระองค์ได้ให้สัตว์ประเภทปศุสัตว์ (อูฐ วัว แพะ แกะ) เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว นอกจากสิ่งที่ถูกอ่านให้แก่พวกเจ้าว่ามันเป็นที่ต้องห้ามและสัตว์ป่าที่ได้จากการล่าในขณะที่พวกเจ้าอยู่ในพิธีหัจญ์หรืออุมเราะฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงตัดสินชี้ขาดในการให้อนุมัติและห้ามตามหิกมะฮฺของพระองค์ ดังนั้นไม่มีผู้ใดสามารถบังคับพระองค์และคัดค้านคำตัดสินของพระองค์ได้

(2) โอ้บรรดาผู้ศรัทธา จงอย่าละเมิดสัญลักษณ์ของอัลลอฮ์ที่พระองค์ทรงสั่งใช้พวกเจ้าให้เทิดทูน และจงหยุดจากการกระทำที่ต้องห้ามในขณะที่ครองอิห์รอม เช่นการสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดเย็บ และสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ ที่อยู่ในแผ่นดินหะรอม เช่น การล่าสัตว์ และอย่าละเมิดเกียรติของเดือนต้องห้าม(ซุลกิอ์ดะฮ์ ซุลหิจญะฮ์ มุหัรร็อม และเราะญับ) อย่ารบกวนสัตว์ฮัดย์ด้วยการปล้นหรือด้วยวิธีใดก็ตาม หรือสกัดมันไม่ให้มันถึงที่ของมัน และรบกวนสัตว์ที่ถูกสวมเครื่องหมายไว้ที่คอเพื่อเป็นสัตว์ฮัดย์และอย่ารบกวนผู้คนที่มาเยี่ยมบ้านของอัลลอฮ์ ในขณะที่พวกเขากำลังแสวงหาความโปรดปราน และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าของพวกเขา และเมื่อพวกเจ้าเสร็จสิ้นการแสวงบุญแล้วไม่ว่าจะเสร็จสิ้นจากการทำหัจญ์หรืออุมเราะฮ์ และได้ออกจากหะรอมแล้ว ดังนั้นก็อนุญาตให้ออกล่าสัตว์ได้หากพวกเจ้าต้องการ และอย่าให้พวกเจ้าเกลียดชังคนใด ๆ เพราะพวกเขากีดกันพวกเจ้าจากมัสยิดิลหะรอม ส่งเสริมให้พวกเจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาในทางที่ผิด และโปรดให้การสนับสนุนในการทำความดีและความกตัญญูและละทิ้งความชั่ว และอย่าให้การสนับสนุนในการทำบาปและการฝ่าฝืน ความเป็นศัตรูระหว่างกันที่เกิดขึ้นกับชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติ์ และจงยำเกรงอัลลอฮ์ด้วยการยึดมั่นกับการเชื่อฟังปฏิบัติ และห่างไกลจากการเนรคุณต่อพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงเข้มงวดยิ่งในการลงโทษ ดังนั้นพวกเจ้าจงระวังการลงโทษของพระองค์

(3) อัลลอฮ์ได้ทรงห้ามแก่พวกเจ้าซึ่งสัตว์ที่ตายเองโดยมิได้เชือด พระองค์ทรงห้ามเลือดที่ไหลออกขณะเชือด เนื้อสุกร สัตว์ที่ถูกเชือดโดยการใช้นามอื่นจากอัลลอฮ์ สัตว์ที่ถูกรัดคอตาย สัตว์ที่ถูกตีตาย สัตว์ที่ตกจากที่สูงตาย สัตว์ที่ถูกขวิดตาย และสัตว์ที่ถูกสัตว์ร้ายกัดกิน เช่น สิงโต เสือ หมาป่า นอกเสียจากสัตว์เหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่แล้วพวกเจ้าทันเชือดมัน (ตามศาสนบัญญัติ) มันก็จะเป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้า และพระองค์ยังทรงห้ามแก่พวกเจ้าซึ่งสัตว์ที่ถูกเชือดเพื่อถวายให้แก่เทวรูปต่าง ๆ พระองค์ทรงห้ามการเสี่ยงทายด้วยก้อนหินหรือลูกธนูที่มีเขียนว่า (จงทำ) และ (ห้ามทำ) แล้วจะกระทำตามที่หยิบมาได้ การกระทำต้องห้ามทั้งหมดนี้ถือเป็นการออกนอกกรอบจากการเชื่อฟังพระองค์อัลลอฮ์ วันนี้ (วันอะเราะฟะฮ์ ในปีที่ 10 ฮิจเราะฮ์ศักราช) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้สิ้นหวังที่จะให้พวกเจ้าออกจากศาสนาอิสลามแล้ว เนื่องด้วยพวกเขาเห็นความเข้มแข็งของศาสนาอิสลาม ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเพียงพระองค์เดียว วันนี้ข้าได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งหมายถึงศาสนาอิสลาม ข้าได้ให้ความโปรดปรานของข้าครบถ้วนทั้งภายนอกและภายในแก่พวกเจ้าด้วยเช่นกัน และข้าก็ได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้า ดังนั้นจงอย่าเอาศาสนาอื่นนอกจากอิสลาม ผู้ใดอยู่ในสภาพที่คับขันจำเป็นต้องกิน (สัตว์ดังกล่าว) ที่ตายเองเนื่องด้วยความหิวโหยโดยมิได้จงใจกระทำบาป ก็จะไม่มีบาปใด ๆ แก่เขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

(4) โอ้ท่านเราะซูล บรรดาเศาะหาบะฮฺของเจ้าจะถามเจ้าว่า อัลลอฮฺได้อนุมัติอาหารอะไรบ้างแก่พวกเขา จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะซูล ว่า อัลลอฮฺได้อนุมัติแก่พวกเจ้าซึ่งอาหารที่ดีทั้งหลายและเหยื่อที่สัตว์ล่าเนื้อที่มีเล็บเขี้ยว เช่น สุนัข เสือดาว เหยี่ยว เป็นต้น ได้ล่าให้แก่พวกเจ้า โดยที่พวกเจ้าได้สอนมันไว้เกี่ยวกับการล่าสัตว์ด้วยความรู้และวิธีการที่อัลลอฮฺได้โปรดปรานให้แก่พวกเจ้า จนกระทั่งมันสามารถกระทำในสิ่งที่ถูกสั่งใช้และหยุดยั้งในสิ่งที่ถูกสั่งห้ามได้ ดังนั้นพวกเจ้าจงกินเหยื่อที่มันล่ามาได้แม้กระทั่งมันจะฆ่าเหยื่อนั้นก็ตาม และจงกล่าวพระนามของอัลลอฮฺตอนที่ปล่อยมันออกไปล่าเหยื่อ และจงเกรงกลัวอัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และหยุดยั้งตามคำสั่งห้ามของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการสอบสวนการงาน

(5) วันนี้อัลลอฮฺได้อนุมัติให้พวกเจ้ากินอาหารดีๆ ทั้งหลาย อมุมัติให้พวกเจ้ากินอาหารที่เชือดโดยชาวคัมภีร์ทั้งที่เป็นชาวยิวและชาวคริสต์ และอาหารที่พวกเจ้าเชือดก็เป็นที่อนุมัติแก่พวกเขาเช่นกัน พระองค์ได้อนุมัติให้พวกเจ้าแต่งงานกับบรรดาสตรีผู้ศรัทธาที่อิสระบริสุทธิ์ และบรรดาสตรีที่อิสระบริสุทธิ์ที่มาจากผู้ที่ได้รับคำภีร์ก่อนหน้าเจ้าทั้งที่เป็นชาวยิวและชาวคริสต์ หากพวกเจ้าได้มอบมะหัรฺ (ค่าสินสอด) แก่พวกนาง โดยที่พวกเจ้าสงวนตัวจากการปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ดี มิใช่เป็นการเล่นแฟนกระทำซินากับพวกนาง และผู้ใดปฏิเสธบทบัญญัติต่างๆที่อัลลอฮฺได้บัญญัติไว้ให้กับบ่าวของพระองค์ แน่นอนการงานของเขาถูกโมฆะไร้ผล เนื่องจากขาดเงื่อนไขการศรัทธา ขณะเดียวกันในวันกิยามะฮฺเขาอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน เนื่องจากต้องเข้าอยู่ในนรกตลอดกาล

(6) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากพวกเจ้าต้องการจะดำรงการละหมาดในขณะที่พวกเจ้าอยู่ในสภาพที่มีหะดัษเล็ก (หมายถึง ไม่มีน้ำละหมาด) ก็จงอาบน้ำละหมาดด้วยการล้างใบหน้าของพวกเจ้า ล้างมือทั้งสองของพวกเจ้าจนถึงข้อศอก ลูบศรีษะของพวกเจ้า และล้างเท้าทั้งสองของพวกเจ้าจนถึงตาตุ่ม และหากพวกเจ้ามีหะดัษใหญ่ (หมายถึง มีญะนาบะฮฺด้วยการสมสู่กับภรรยา หรือฝันเปียก หรือหมดประจำเดือน) ก็จงอาบน้ำชำระร่างกายยกหะดัษใหญ่ให้สะอาด และหากพวกเจ้าป่วยกลัวอาการเพิ่มขึ้นหรือหายช้าลง หรืออยู่ในการเดินทางขณะที่มีสุขภาพดี หรือมีหะดัษเล็กด้วยการขับถ่าย เป็นต้น หรือมีหะดัษใหญ่ด้วยการสมสู่กับภรรยา แล้วพวกเจ้าไม่มีน้ำที่จะชำระทำความสะอาดหลังจากที่ได้หามาแล้ว พวกเจ้าจงมุ่งสู่พื้นดิน (ทำตะยัมมุม) โดยการเอามือของพวกเจ้าแตะบนพื้นดิน แล้วลูบใบหน้าและมือของพวกเจ้าจากดินนั้น อัลลอฮฺนั้นไม่ทรงประสงค์จะให้พวกเจ้าลำบากด้วยการบังคับให้พวกเจ้าใช้น้ำที่จะนำไปสู่อันตรายแก่พวกเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงได้บัญญัติสิ่งทดแทนขณะที่ไม่สามารถจะใช้น้ำได้ เนื่องจากการป่วยหรือไม่มีน้ำใช้ เพื่อเป็นการต่อเติมความกรุณาของพระองค์ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจักขอบคุณและไม่เนรคุณต่อความกรุณาของพระองค์ที่มีต่อพวกเจ้า

(7) และจงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้าที่ให้ทางนำสู่อิสลาม และจงรำลึกถึงสัญญาของพระองค์ที่ได้ทำไว้กับพวกเจ้าขณะที่พวกเจ้าให้สัตยาบันแก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ว่าจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามทั้งในเรื่องที่ (พวกเจ้า) พอใจและไม่พอใจ ว่า พวกเราเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของท่านแล้ว และจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์ เช่น สัญญาต่างๆ ของพระองค์ และห่างไกลจากคำสั่งห้ามของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งที่อยู่ในหัวใจ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดสามารถซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้

(8) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ จงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ต่ออัลลอฮฺด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นพยานด้วยความยุติธรรมไม่ใช่ด้วยความอธรรม และอย่าให้การเกลียดชังกลุ่มชนใดกลุ่มชนหนึ่งทำให้พวกเจ้าต้องละทิ้งความยุติธรรม เพราะความยุติธรรมจำเป็นต้องมีให้กับเพื่อนพ้องและศัตรู ดังนั้นจงยุติธรรมกับทั้งสองกลุ่มนี้ เพราะความยุติธรรมมันจะอยู่ใกล้กับการเกรงกลัวอัลลอฮฺมากกว่า และความอธรรมมันจะอยู่ใกล้กับการล่วงละเมิดต่อพระองค์มากกว่า และจงเกรงกลัวอัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และห่างไกลจากคำสั่งห้ามของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน ไม่มีการงานใดที่สามารถซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนการงานของพวกเจ้าทั้งหมด

(9) และอัลลอฮฺ (พระองค์ที่ไม่เคยผิดสัญญา) ได้สัญญากับบรรดาผู้ศรัทธาต่อพระองค์ ศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลของพระองค์ และปฏิบัติคุณงามความดีต่างๆ ด้วยการให้อภัยต่อบาปต่างๆของพวกเขา และด้วยการให้ผลบุญอันยิ่งใหญ่ นั้นก็คือการได้เข้าสรวงสวรรค์ของพระองค์นั่นเอง

(10) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และไม่เชื่อต่อโองการต่างๆ ของพระองค์ ชนเหล่านั้นคือชาวนรก เพื่อเป็นการลงโทษเนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาและการไม่เชื่อของพวกเขา พวกเขาจะอยู่กับการลงโทษตลอดกาล ดั่งที่เพื่อนจะอยู่กับเพื่อนของเขาตลอดกาล

(11) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงรำลึกด้วยจิตใจและลิ้นของพวกเจ้าถึงความกรุณาของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้า เช่น ความสงบปลอดภัยและสร้างความกลัวเกิดขึ้นในจิตใจของศัตรูขณะที่พวกเขาเจตนายื่นมือเข้าโจมตีพวกเจ้าและทำลายพวกเจ้า แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงยับยั้งพวกเขาและปกป้องให้พวกเจ้าปลอดภัยจากการทำร้ายของพวกเขา และจงเกรงกลัวอัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และห่างไกลจากคำสั่งห้ามของพระองค์ และแด่อัลลอฮฺเท่านั้นที่บรรดาผู้ศรัทธาต้องมอบหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์แห่งโลกนี้และโลกหน้า

(12) และแท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงทำสัญญาอันหนักแน่นกับลูกหลานอิสรออีล ดังที่จะกล่าวไว้ต่อไปนี้ และเราได้แต่งตั้งหัวหน้าขึ้นมาในหมู่ของพวกเขาสิบสองคน ซึ่งทุกคนจะทำหน้าที่ดูแลผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา และอัลลอฮฺได้กล่าวกับลูกหลานอิสรออีลว่า แท้จริงข้านั้นจะอยู่ร่วมกับพวกเจ้าในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนหากพวกเจ้าได้ทำการละหมาดอย่างสมบูรณ์แบบ จ่ายซะกาตทรัพย์สินของพวกเจ้า ศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลของข้าทั้งหมดโดยไม่มีการแยกแยะระหว่างพวกเขา ให้เกียรติและสนับสนุนช่วยเหลือพวกเขา บริจาคทรัพย์ในทางที่ดี หากพวกเจ้ากระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แน่นอนข้าจะลบล้างความชั่วต่างๆ ที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ และในวันกิยามะฮฺข้าจะให้พวกเจ้าได้เข้าสรวงสวรรค์ที่มีแม่น้ำไหลผ่านใต้ปราสาทของมัน ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามสัญญาอันหนักแน่นที่เขาได้ทำไว้นี้ แน่นอนเขาได้ออกห่างจากหนทางอันเที่ยงตรงในสภาพที่รู้เรื่องและตั้งใจ

(13) และเนื่องด้วยการทำลายสัญญาของพวกเขา เราได้ทำให้พวกเขาห่างไกลจากความเมตตาของเรา ให้จิตใจของพวกเขาแข็งกระด้างที่ความดีไม่สามารถเข้าไปได้ และคำตักเตือนไม่สามารถให้ประโยชน์มันได้ พวกเขากระทำการบิดเบือนถ้อยคำต่างๆ ออกจากตำแหน่งของมันด้วยการเปลี่ยนสำนวนประโยคและอธิบายความหมายให้สอดคล้องกับอารมณ์ความต้องการของพวกเขา และพวกเขาไม่สนใจต่อบางสิ่งที่พวกเขาได้ถูกตักเตือนไป โอ้ท่านเราะซูล เจ้าจะยังคงเห็นการบิดพลิ้วของพวกเขาที่มีต่ออัลลอฮฺและบรรดาบ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์ นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในหมู่ของพวกเขาที่ปฏิบัติตามสัญญาที่พวกเขาได้กระทำไว้ ดังนั้นเจ้าจงอภัยและอย่าได้เอาผิดพวกเขา และยกโทษให้พวกเขา เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความดี และอัลลอฮฺก็ทรงชอบผู้กระทำความดีทั้งหลาย

(14) ดังที่เราได้เคยทำสัญญาอันหนักแน่นกับชาวยิวแล้ว เราก็ได้เอาสัญญากับชาวคริสต์ที่ยกย่องพวกเขาเองว่าเป็นสาวกของท่านนบีอีซา อลัยฮิสสลาม แต่แล้วพวกเขาก็ละทิ้งการกระทำบางส่วนที่พวกเขาได้ถูกเตือนไว้ดังที่บรรพบุรุษของพวกเขาที่เป็นชาวยิวได้กระทำมาก่อน และเราก็ได้ให้ความเป็นศัตรูและการเกลียดชังเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาตลอดจนถึงวันสิ้นโลก จนทำให้พวกเขาต้องทะเลาะฆ่ากันเอง และกลุ่มหนึ่งได้กล่าวหาอีกกลุ่มหนึ่งว่า "พวกเจ้าได้ปฏิเสธศรัทธา" และอัลลอฮฺจะทรงบอกและตอบแทนพวกเขาเหล่านั้นในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้

(15) โอ้บรรดาชาวคัมภีร์ทั้งหลายทั้งที่เป็นยิวผู้เป็นเจ้าของคัมภีร์อัตเตารอตและชาวคริสต์ผู้เป็นเจ้าของคัมภีร์อัลอินญีล แท้จริงเราะซูลของเรามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะแจกแจงซึ่งสิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเจ้าได้ปกปิดมันไว้ในคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมายังพวกเจ้า และเขาจะระงับไม่เปิดเผยซึ่งสิ่งต่างๆ มากมายที่ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ นอกจากจะเป็นการประจานพวกเจ้า และแน่นอนอัลกุรอ่านซึ่งเป็นคัมภีร์จากอัลลอฮฺได้มายังพวกเจ้าแล้ว มันเป็นคัมภีร์ที่ให้แสงสว่างในการนำทาง และเป็นคัมภีร์ที่แจกแจงทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการในกิจการของเขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

(16) อัลลอฮฺจะทรงให้ทางนำด้วยคัมภีร์นี้ แก่ผู้ที่ปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์พึงพอพระทัย เช่น การศรัทธาและปฏิบัติคุณงามความดี ไปสู่แนวทางที่ปลอดภัยจากไฟนรก นั่นก็คือแนวทางที่นำไปสู่สรวงสวรรค์ และจะทรงให้พวกเขาออกจากความมืดมนแห่งการปฏิเสธศรัทธาและบาปต่างๆ ไปสู่แสงสว่างแห่งการศรัทธาและการเชื่อฟังพระองค์ด้วยอนุมัติของพระองค์ และจะทรงนำพวกเขาไปสู่แนวทางอิสลามอันเที่ยงตรง

(17) แน่นอนบรรดาชาวคริสต์ที่กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นคืออัลมะซีหฺ บุตรของมัรยัม พวกเขาได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว (โอ้ท่านเราะซูล) จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า มีผู้ใดบ้างที่สามารถยับยั้งอัลลอฮฺได้ หากพระองค์ต้องการจะทำลายอัลมะซีหฺ บุตรของมัรยัม มารดาของท่าน และผู้คนทั้งหมดในโลกนี้ และเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถยับยั้งพระองค์ในเรื่องดังกล่าวได้ มันก็บ่งบอกว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รับการเคารพอิบาดะฮฺนอกจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น และทั้งหมดทั้งอีซาบุตรของมัรยัม มารดาของท่าน และสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺสร้างทั้งสิ้น และกรรมสิทธิ์แห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองนั้นเป็นของอัลลอฮ์ พระองค์จะทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และจากผู้ที่พระองค์ได้ประสงค์สร้างนั้น เช่น อีซา อลัยฮิสสลาม โดยที่ท่านเป็นบ่าวและเราะซูลของพระองค์ พระองค์มีความสามารถเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

(18) ชาวยิวและชาวคริสต์กล่าวอ้างว่า พวกเราเป็นบุตรของอัลลอฮฺและเป็นที่รักของพระองค์ โอ้ท่านเราะซูล จงกล่าวตอบพวกเขาเถิดว่า แล้วไฉนเล่าพระองค์จึงได้ลงโทษพวกเจ้าด้วยเพราะบาปที่พวกเจ้าได้กระทำไว้?! หากพวกเจ้าเป็นที่รักของพระองค์จริงตามที่พวกเจ้าได้กล่าวอ้าง แน่นอนพระองค์จะไม่ลงโทษพวกเจ้าด้วยการฆ่าและเปลี่ยนรูปพวกเจ้าให้เป็นสัตว์ในโลกนี้ และจะไม่ลงโทษพวกเจ้าในโลกหน้า เพราะพระองค์จะไม่ลงโทษผู้ที่พระองค์รัก แต่พวกเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป ผู้ใดที่ปฏิบัติความดี พระองค์ก็จะตอบแทนเขาด้วยสรวงสวรรค์ และผู้ใดที่ปฏิบัติชั่วพระองค์ก็จะลงโทษเขาด้วยไฟนรก ซึ่งพระองค์จะทรงอภัยโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความกรุณาของพระองค์ และจะทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความยุติธรรมของพระองค์ และกรรมสิทธิ์แห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองเป็นของอัลลอฮฺเพียงผู้เดียว และยังพระองค์เท่านั้นที่ทุกคนต้องกลับไป

(19) โอ้บรรดาชาวคัมภีร์ทั้งที่เป็นยิวและคริสต์ทั้งหลาย แท้จริงเราะซูลของเรามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ได้มายังพวกเจ้าแล้วหลังจากที่ได้ถูกตัดขาดจากบรรดาเราะซูลและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่งเราะซูลมา ทั้งนี้เพื่อไม่อยากให้พวกเจ้าต้องมาแก้ตัวว่า ไม่มีเราะซูลสักคนมายังพวกเราที่แจ้งข่าวดีเกี่ยวกับผลบุญของอัลลอฮฺและเตือนการลงโทษของพระองค์ ดังนั้นแน่นอนเราะซูลมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ได้มายังพวกเจ้าแล้วโดยแจ้งข่าวดีเกี่ยวกับผลบุญและเตือนถึงการลงโทษของพระองค์ และพระองค์มีความสามารถเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดสามารถสกัดกั้นพระองค์ได้ และหนึ่งในความสามารถของพระองค์นั้นคือการส่งบรรดาเราะซูลมา และสิ้นสุดด้วยมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม

(20) โอ้ท่านเราะซูล และจงรำลึกเถิด ขณะที่มูซาได้กล่าวกับประชาชาติของเขาบะนีอิสรออีลว่า โอ้ประชาชาติของฉัน จงรำลึกด้วยจิตใจและลิ้นของพวกเจ้าซึ่งความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้าขณะที่พระองค์ได้ทรงให้มีในหมู่พวกเจ้าซึ่งบรรดานบีที่เชิญชวนพวกเจ้าไปสู่ทางนำ และได้ทรงให้พวกเจ้ามีอำนาจบริหารกิจการของพวกเจ้าเองหลังจากที่พวกเจ้าได้เคยตกเป็นทาสมาก่อน และพระองค์ได้ทรงประทานความโปรดปรานของพระองค์แก่พวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์มิเคยประทานให้กับประชาชาติใดมาก่อนในสมัยพวกเจ้า

(21) มูซาได้กล่าวว่า โอ้ประชาชาติของฉัน จงเข้าไปในแผ่นดินอันบริสุทธิ์(บัยตุลมักดิสและแผ่นดินรอบๆ) ที่อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาให้พวกเจ้าเข้าไปและทำการสู้รบกับผู้ปฏิเสธศรัทธาที่อยู่ที่นั้น และจงอย่ายอมแพ้ในการต่อสู้รบกับพวกที่แข็งแรงเหี้ยมโหด เพราะจะทำให้พวกเจ้ากลับกลายเป็นผู้ขาดทุนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

(22) ประชาชาติของเขากล่าวว่า โอ้มูซา แท้จริงในแผ่นดินอันบริสุทธิ์(บัยตุลมักดิสและแผ่นดินรอบๆ)นั้นมีกลุ่มชนหนึ่งที่แข็งแกร่งและเหี้ยมโหด ซึ่งสิ่งนี้มันจะห้ามเรามิให้เข้าไปในแผ่นดินนั้น ดังนั้นพวกเราจะไม่เข้าไปในแผ่นดินนั้นเป็นอันขาดตราบใดที่พวกเขายังอยู่ เพราะเราไม่มีอำนาจและพลังความสามารถในการสู้รบกับพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาออกไปจากที่นั้นแล้ว พวกเราก็จะเข้าไป

(23) มีชายสองคนในหมู่สาวกของมูซาที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺและเกรงกลัวการลงโทษของพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงประทานความกรุณาให้ทั้งสองเชื่อฟังพระองค์ โดยที่ทั้งสองส่งเสริมให้กลุ่มชนของพวกเขาปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของมูซาว่า จงเข้าไปหาพวกแข็งแกร่งเหี้ยมโหดนั้นทางประตูเมืองเถิด เมื่อพวกเจ้าบุกประตูเข้าไปแล้ว แน่นอน(ด้วยการอนุมัติของพระองค์) พวกเจ้าจะได้รับชัยชนะโดยมั่นใจในกฎของอัลลอฮฺที่ว่า ชัยชนะนั้นย่อมมาจากการเตรียมการและการวางแผนที่ดี เช่น การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ การเตรียมเครื่องมืออาวุธต่างๆ และแด่อัลลอฮฺเท่านั้นพวกเจ้าจงยึดมั่นและมอบหมาย หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง เพราะการศรัทธาที่แท้จริงนั้นจำเป็นต้องมอบหมายแด่อัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว

(24) กลุ่มชนของมูซาที่มาจากบะนีอิสรออีลยังคงยืนยันไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งนบีของพวกเขาโดยพวกเขากล่าวแก่มูซาว่า แท้จริงพวกเราจะไม่เข้าไปในเมืองนั้นเป็นอันขาด ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในที่นั้น ดังนั้นเจ้า (มูซา) ก็จงเข้าไปกับพระเจ้าของเจ้าเถิด แล้วจงต่อสู้กับพวกเขา ส่วนพวกเราจะนั่งรออยู่ที่นี้ไม่ไปร่วมต่อสู้กับพวกเจ้าทั้งสอง

(25) มูซาได้กล่าวแก่พระผู้อภิบาลของเขาว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้า แท้จริงข้าไม่มีอำนาจใดนอกจากตัวของข้าเองและพี่ชายของข้าเท่านั้น ดังนั้นได้โปรดแยกระหว่างเรากับกลุ่มชนที่ละเมิดไม่เชื่อฟังพระองค์และเราะซูลของพระองค์ด้วยเถิด

(26) อัลลอฮฺได้ตรัสกับนบีมูซาว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้ห้ามบะนีอิสรออีลมิให้เข้าแผ่นดินอันบริสุทธิ์เป็นเวลาสี่สิบปี ซึ่งพวกเขาจะเร่ร่อนหลงทางในผืนแผ่นดินทะเลทราย ดังนั้นเจ้า (มูซา) อย่าได้เสียใจกับกลุ่มชนที่ละเมิดไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺ เพราะสิ่งที่ประสบกับพวกเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งของการลงโทษที่มีสาเหตุมาจากการฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังและบาปต่างๆ ของพวกเขา

(27) โอ้ท่านเราะซูล จงเล่าให้ชาวยิวผู้มีนิสัยอิจฉาและอธรรมได้ฟังเรื่องราวบุตรชายสองคนของอาดัม กอบีลและฮาบีลด้วยความจริงโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ขณะที่ทั้งสองได้กระทำการพลีซึ่งสิ่งพลีเพื่อเป็นการสร้างความไกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ แล้วอัลลอฮฺก็รับสิ่งพลีของฮาบีล เพราะเขาเป็นผู้ยำเกรง โดยที่ไม่รับสิ่งพลีของกอบีล เพราะเขาไม่ได้เป็นผู้ยำเกรง ดังนั้นด้วยความอิจฉากอบีลจึงรับไม่ได้ที่สิ่งพลีของฮาบีลถูกตอบรับและกล่าวว่า แน่นอนข้าจะฆ่าเจ้าโอ้ฮาบีล ฮาบีลก็ได้กล่าวตอบว่า แท้จริงอัลลอฮฺจะตอบรับสิ่งพลีของผู้ที่ยำเกรงพระองค์ด้วยการปฏิบัติคำสั่งใช้ของพระองค์และออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์

(28) หากเจ้ายื่นมือของเจ้ามายังฉันเพื่อที่จะฆ่าฉัน ฉันก็จะไม่แก้แค้นเจ้าเหมือนการกระทำของเจ้า ซึ่งมันไม่ใช่เพราะความขี้ขลาดของฉัน แต่ฉันกลัวอัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกต่างหาก

(29) แท้จริงฉันต้องการให้เจ้านำบาปที่ฆ่าฉันอย่างอธรรมและเป็นศัตรูไปรวมกับบาปต่างๆ ของเจ้าที่ผ่านมา แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นชาวนรกที่ต้องอยู่ในนั้นในวันกิยามะฮฺ ซึ่งการตอบแทนนี้มันเป็นการตอบแทนของผู้ที่ละเมิดขอบเขต และฉันไม่ต้องการนำบาปที่ฆ่าเจ้าซึ่งทำให้ฉันต้องอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วย

(30) ดังนั้นจิตใจอันชั่วร้ายของกอบีลได้ยั่วยุเขาให้ฆ่าน้องชายของเขาฮาบีลอย่างอธรรม แล้วเขาก็ฆ่าฮาบีล ด้วยเหตุดังกล่าวเขาจึงได้กลายเป็นผู้ขาดทุนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

(31) ดังนั้นอัลลอฮ์จึงส่งอีกาตัวหนึ่งมาคุ้ยดินตรงหน้าเขาเพื่อฝังซากอีกาที่ตายแล้ว เพื่อเป็นการสอนเขาถึงวิธีปกปิดร่างของน้องชายของเขา ทันใดนั้นคนฆ่าจึงพูดกับน้องชายของเขาว่า "ความวิบัติได้บังเกิดขึ้นแล้ว ฉันไม่สามารถที่จะเป็นเช่นกาตัวนี้ที่มันกลบร่างอีกาอีกตัวแล้วกลบศพน้องชายของฉันเชียวหรือนี่? แล้วเขาก็กลายเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ตรอมใจ

(32) ด้วยเหตุที่กอบีลฆ่าน้องชายของเขานั้นแหละ ทำให้เราได้บอกแก่บะนีอิสรออีลว่า ผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งโดยปราศจากสาเหตุ เช่น การประหารฆาตกร หรือการบ่อนทำลายในผืนแผ่นดินด้วยการปฏิเสธศรัทธา หรือการปล้นสะดม ก็เท่ากับว่าเขาได้ฆ่าชีวิตมนุษย์ทั้งมวล เพราะสำหรับเขาแล้วมันไม่แตกต่างอะไรระหว่างผู้บริสุทธิ์กับอาชญากร และผู้ใดที่ยับยั้งไม่ฆ่าชีวิตที่อัลลอฮฺทรงห้ามโดยศรัทธาว่าไม่อนุญาตให้ฆ่าชีวิตอื่น แล้วเขาก็ไม่ได้ฆ่า ก็เท่ากับว่าเขาได้ไว้ชีวิตมนุษย์ทั้งมวล เพราะการกระทำของเขานั้นมันทำให้ทุกคนได้ปลอดภัย และแท้จริงบรรดาเราะซูลของเราได้นำหลักฐานต่างๆ อันชัดแจ้งมายังบะนีอิสรออีลแล้ว พร้อมกันนั้นยังมีอีกจำนวนมากมายในหมู่พวกเขาที่เป็นผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺด้วยการกระทำบาปต่างๆ และฝ่าฝืนบรรดาเราะซูลของพวกเขา

(33) ไม่มีผลตอบแทนใดๆ สำหรับผู้ที่ทำสงครามกับอัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ สร้างความเป็นศัตรูกับพระองค์และบ่อนทำลายในผืนแผ่นดินด้วยกับการฆ่า การดักปล้นระหว่างทาง นอกจากพวกเขาจะต้องถูกประหารชีวิตโดยไม่ตรึงบนไม้กางเขน หรือถูกประหารชีวิตพร้อมกับตรึงบนกางเขน หรือตัดมือขวาของพวกเขาพร้อมกับเท้าซ้ายสลับข้างกัน หลังจากนั้นหากพวกเขากลับมาทำอาชญากรรมนี้อีก ก็ให้ตัดมือซ้ายพร้อมกับเท้าขวาสลับข้างกันอีก หรือพวกเขาต้องถูกเนรเทศออกไปจากประเทศ การลงโทษพวกเขาในลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นการประจานในโลกดุนยานี้ และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันใหญ่หลวงในปรโลก

(34) นอกจากผู้ที่ทำสงครามกับอัลลอฮฺที่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวก่อนที่พวกเจ้า (ผู้ปกครองบ้านเมือง) จะจับพวกเขาได้ (ก็ไม่ต้องรับโทษดังกล่าว) พึงทราบเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอภัยโทษพวกเขาหลังจากที่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว ทรงเมตตาพวกเขา และส่วนหนึ่งจากความเมตตาของพระองค์คือ การยกโทษให้แก่พวกเขา

(35) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และห่างไกลจากคำสั่งห้ามของพระองค์ และจงแสวงหาสื่อเข้าใกล้พระองค์ด้วยการปฏิบัติสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงใช้และห่างไกลจากสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงห้าม และจงต่อสู้กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเพื่อหวังความพอพระทัยจากพระองค์ หวังว่าพวกเจ้าจะได้รับในสิ่งที่พวกเจ้าแสวงหาและได้รับความคุ้มครองจากสิ่งที่พวกเจ้ากังวลกลัว

(36) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์นั้น หากสมมติว่าพวกเขาแต่ละคนครอบครองสิ่งที่มีอยู่ในแผ่นดินทั้งหมดและอีกหนึ่งเท่าของสิ่งที่มีอยู่ในแผ่นดินทั้งหมดมารวมกัน เพื่อที่จะใช้มันไถ่ตัวให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์ แน่นอนการไถ่ตัวนั้นจะไม่ถูกตอบรับ และพวกเขายังจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

(37) เมื่อพวกเขาได้ตกอยู่ในนรก พวกเขาปรารถนาที่จะออกจากไฟนรก พวกเขาจะออกได้อย่างไรเล่า? พวกเขาไม่มีทางที่จะออกจากมันได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต้องตกอยู่ในนรกตลอดกาล และจะได้รับการลงโทษตลอดไป

(38) และผู้ขโมยชายและผู้ขโมยหญิงนั้น พวกเจ้า (บรรดาผู้พิพากษา) จงตัดมือขวาของทั้งสอง เพื่อเป็นการตอบแทนทั้งสองและเป็นการลงโทษจากอัลลอฮฺในสิ่งที่ทั้งสองได้กระทำจากการขโมยทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบ และเพื่อเป็นการขู่ทั้งสองและผู้อื่น และอัลลอฮฺทรงเดชานุภาพที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเอาชนะพระองค์ได้ และทรงปรีชาญาณในกำหนดการต่างๆ และการบัญญัติแห่งศาสนา

(39) แล้วผู้ใดสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลลอฮฺจากการขโมยและแก้ไขปรับปรุงการงานของเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะทรงอภัยโทษแก่เขาด้วยความเมตตากรุณาจากพระองค์ เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษบาปต่างๆ ให้กับบ่าวของพระองค์ที่สำนึกผิด เป็นผู้ทรงเมตตาพวกเขา แต่ทว่าบทลงโทษการขโมย (ในโลกนี้) จะไม่หลุดออกไปจากพวกเขาด้วยการสำนึกผิดหากคดีการขโมยได้ไปถึงผู้พิพากษาแล้ว

(40) แท้จริงเจ้า โอ้ท่านเราะสูล ได้รู้แล้วว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงมีอำนาจในบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน โดยที่พระองค์จะทรงกระทำสิ่งต่างๆ ในทั้งสองตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์จะทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความยุติธรรมของพระองค์ จะทรงอภัยโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความกรุณาของพระองค์ พระองค์มีความสามารถเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางพระองค์ได้

(41) โอ้ท่านเราะสูล เจ้าอย่าได้เสียใจกับบรรดาผู้ที่รีบเร่งกันในการปฏิเสธศรัทธาต่อเจ้าและวะห์ยูที่เจ้าได้นำมา พวกเขาคือบรรดามุนาฟิก (ผู้กลับกลอก) ที่เปิดเผยการศรัทธาและปกปิดการปฏิเสธศรัทธา และจากหมู่ชาวยิว ซึ่งจะมีกลุ่มหนึ่งที่ชอบฟังคำพูดเท็จโดยตามบรรดาหัวหน้าของพวกเขาที่ผินหลังไม่เข้ามาหาเจ้า พวกเขาบิดเบือนถ้อยคำของอัลลอฮฺในคัมภีร์อัตเตารอตให้ตรงตามความปรารถนาของพวกเขา พวกเขากล่าวกับผู้ตามของพวกเขาว่า หากบทบัญญัติของมุฮัมมัดตรงตามความปรารถนาของพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงปฏิบัติตามเขา และหากมันไม่ตรงตามความปรารถนาของพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงระวัง และผู้ใดที่อัลลอฮฺประสงค์ให้เขาหลงทาง เจ้า(โอ้ท่านเราะสูล) ก็จะไม่พบกับผู้ที่สามารถปกป้องเขาให้รอดพ้นจากการหลงทางและชี้แนวทางอันเที่ยงตรงให้กับเขาได้ พวกเขาเหล่านนั้นที่มีคุณลักษณะดังกล่าวนี้ทั้งที่เป็นชาวยิวและบรรดามุนาฟิก พวกเขาคือผู้ที่อัลลอฮฺไม่ทรงประสงค์จะชำระจิตใจของพวกเขาให้สะอาดจากการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะได้รับความอัปยศในโลกนี้ และในโลกหน้าพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันมหันต์ นั้นก็คือการลงโทษด้วยไฟนรก

(42) ชาวยิวเหล่านั้นชอบฟังคำพูดเท็จ ชอบกินทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ เช่น ดอกเบี้ย แล้วหากพวกเขามาหาเจ้าให้ตัดสินดำเนินคดี เจ้าก็จงตัดสินระหว่างพวกเขาหากเจ้าต้องการ หรือละทิ้งการตัดสินระหว่างพวกเขาหากเจ้าต้องการ ซึ่งเจ้าสามารถที่จะเลือกระหว่างสองสิ่งดังกล่าว และหากเจ้าละทิ้งการตัดสินระหว่างพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะให้โทษใดๆ แก่เจ้า และหากเจ้าทำการตัดสินระหว่างพวกเขา ก็จงตัดสินด้วยความยุติธรรม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้อธรรมและศัตรูก็ตาม เพราะอัลลอฮฺทรงรักผู้ที่ยุติธรรมในการตัดสิน ถึงแม้ว่าโจทย์หรือจำเลยจะเป็นศัตรูกับผู้พิพากษาก็ตาม

(43) เรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้นแปลกจริงๆ ซึ่งพวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่อเจ้า และเข้าหาเจ้าให้ตัดสิน(ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา)เพื่อหวังคำตัดสินของเจ้าที่ตรงตามความปรารถนาของเขาทั้งๆ ที่พวกเขามีคัมภีร์อัตเตารอตที่พวกเขาอ้างว่าศรัทธาต่อมัน ซึ่งในนั้นจะมีคำตัดสินของอัลลอฮฺอยู่แล้ว แล้วพวกเขาก็ผินหลังไม่ยอมรับคำตัดสินของเจ้าหากมันไม่ตรงตามความปรารถนาของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาได้รวมระหว่างการปฏิเสธศรัทธาต่อคัมภีร์ของพวกเขากับการผินหลังไม่ยอมรับคำตัดสินของเจ้า การกระทำของพวกเขาไม่ใช่เป็นการกระทำของบรรดาผู้ศรัทธา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่บรรดาผู้ศรัทธาต่อเจ้าและต่อสิ่งที่เจ้าได้นำมา

(44) เราได้ประทานคัมภีร์อัตเตารอตให้แก่นบีมูซา อลัยฮิสสลาม โดยในนั้นจะมีข้อชี้นำและสัญญาณสู่ความดี มีแสงสว่างใช้ในการนำทาง ซึ่งบรรดานบีของบนีอิสรออีลที่เชื่อฟังอัลลอฮฺจะใช้มันในการตัดสินคดี และบรรดาผู้รู้และนักปราชญ์ที่ดูแลสั่งสอนผู้คนตามที่อัลลอฮฺได้มอบหมายให้พวกเขาดูแลสั่งสอนผู้คนเหล่านั้นตามคัมภีร์ของพระองค์ต่างก็ได้ใช้มันในการตัดสินคดีด้วย พระองค์ได้ให้พวกเขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ดูแลคัมภีร์ของพระองค์จากการบิดเบือนและเปลี่ยนแปลง พวกเขาเป็นพยานยืนยันถึงความสัจจริงของคัมภีร์นั้นด้วย และเป็นที่ปรึกษาของผู้คนในเรื่องต่างๆ ดังนั้นพวกเจ้า (โอ้ชาวยิว) จงอย่าได้กลัวคนอื่นและจงกลัวข้าเพียงผู้เดียว และจงอย่าได้แลกเปลี่ยนบทบัญญัติที่พระองค์ได้ประทานลงมากับราคาอันเล็กน้อย เช่น ตำแหน่ง ชื่อเสียง และเงินทอง และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยบทบัญญัติที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา โดยเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้หรือเชื่อว่าสิ่งอื่นนั้นดีกว่าหรือเสมอเท่าเทียมกัน แน่นอนพวกเขาเหล่านั้นคือผู้ปฏิเสธศรัทธาที่แท้จริง

(45) และเราได้บัญญัติไว้แก่ชาวยิวในคัมถีร์อัตเตารอตว่า ผู้ใดที่ฆ่าชีวิตหนึ่งโดยเจตนาอย่างมิชอบ เขาจะต้องถูกฆ่ากลับเช่นกัน ผู้ใดที่ทำดวงตาผู้อื่นหลุดออกโดยเจตนา ดวงตาของเขาจะต้องถูกเอาออกด้วยเช่นกัน ผู้ใดที่ทำให้จมูกผู้อื่นแหว่งโดยเจตนา จมูกของเขาจะต้องถูกทำให้แหว่งด้วยเช่นกัน ผู้ใดที่ตัดหูผู้อื่นโดยเจตนา หูของเขาจะต้องถูกตัดด้วยเช่นกัน ผู้ใดที่ถอนฟัน (ทำร้าย) ผู้อื่นหลุดออกโดยเจตนา ฟันของเขาจะต้องถูกถอน (ทำร้าย) ด้วยเช่นกัน และเราได้บัญญัติซึ่งบทบัญญัติว่าด้วยบาดแผลไว้แก่พวกเขาว่า อาชญากรนั้นจะต้องได้รับโทษตามอาชญากรรมที่เขาได้กระทำไว้ และผู้ใดอาสายกโทษให้กับอาชญากร การยกโทษของเขานั้นก็จะเป็นการลบล้างบาปต่างๆ ของเขา เนื่องด้วยเขาได้ยกโทษให้กับผู้ที่อธรรมต่อตัวเขา และผู้ใดที่มิได้ตัดสินคดีด้วยบทบัญญัติว่าด้วยการกิศอศ (การลงโทษอาชญากรตามอาชญากรรมที่ได้กระทำไว้) และบทบัญญัติอื่นๆ ที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา แน่นอนเขาคนนั้นคือผู้ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮฺ

(46) และเราได้ทำให้ผลงานของบรรดานบีของบนีอิสรออีลได้รับการสานต่อด้วยอีซาบุตรของมัรยัมโดยการที่เขาศรัทธาต่อสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์อัตเตารอตและตัดสินด้วยบทบัญญัติที่มีอยู่ในนั้น และเราได้ประทานให้แก่อีซาซึ่งคัมภีร์อัลอินญีลที่ครอบคลุมด้วยทางนำสู่สัจธรรม หลักฐานต่าง ๆ ที่ขจัดสิ่งคลุมเครือ และบทบัญญัติต่าง ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ โดยที่มันจะสอดคล้องกับคัมภีร์อัตเตารอตที่ได้ถูกประทานก่อนหน้ามัน นอกจากบทบัญญัติของคัมภีร์อัตเตารอตเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ถูกยกเลิก และเราได้ให้คัมภีร์อัลอินญีลเป็นทางนำในการแสวงหาสัจธรรม และเป็นสิ่งป้องกันมิให้กระทำในสิ่งที่เป็นที่ต้องห้าม

(47) และบรรดาชาวคริสต์จงศรัทธาต่อสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาในคัมภีร์อัลอินญีล และจงตัดสินด้วยบทบัญญัติที่มีอยู่ในนั้นที่เกี่ยวกับความจริงต่างๆ ก่อนที่นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิ วะซัลลัม จะถูกส่งไปยังพวกเขา และผู้ใดที่มิได้ตัดสินด้วยบทบัญญัติที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมา แน่นอนพวกเขาเหล่านั้นคือผู้ไม่เชื่อฟังคำสั่งอัลลอฮฺ ละทิ้งสัจธรรม และโน้มเอียงสู่ความเท็จ

(48) และเราได้ประทานอัลกุรอ่านให้แก่เจ้า โอ้ท่านเราะสูล ด้วยความสัจจริงที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ว่ามันมาจากอัลลอฮฺ อัลกุรอ่านเป็นคัมภีร์ที่ยืนยันถึงความสัจจริงของคัมภีร์ต่างๆ ที่ถูกประทานลงมาก่อนหน้ามัน และเป็นคัมภีร์ที่ให้การค้ำประกันกับคัมภีร์ต่างๆ เหล่านั้น ดังนั้นสิ่งใดที่สอดคล้องตรงกับอัลกุรอ่านมันก็เป็นสัจธรรม และสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับอัลกุรอ่านมันก็เป็นเท็จ ดังนั้นเจ้าจงตัดสินคดีระหว่างพวกเขาด้วยบทบัญญัติที่มีอยู่ในอัลกุรอ่านที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาให้แก่เจ้า และอย่าได้ตามความปรารถนาของพวกเขาโดยละทิ้งสัจธรรมที่ได้ถูกประทานลงมาให้แก่เจ้า และแน่นอนเราได้กำหนดบทบัญญัติและแนวทางอันชัดเจนให้กับทุกประชาชาติ และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์จะกำหนดให้มีบทบัญญัติอันเดียวกัน พระองค์สามารถกระทำได้ แต่ทว่าพระองค์ได้ทรงกำหนดบทบัญญัติให้กับทุกประชาชาติเพื่อที่จะทดสอบพวกเขาทุกคน แล้วจะได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เชื่อฟังและมีใครบ้างที่ไม่เชื่อฟัง ดังนั้นพวกเจ้าจงรีบเร่งสู่การทำความดีและละทิ้งความชั่ว และยังอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวคือการกลับไปของพวกเจ้าในวันกิยามะฮฺ และพระองค์จะทรงแจ้งให้แก่พวกเจ้าทราบในสิ่งที่พวกเจ้าได้ขัดแย้งกัน และตอบแทนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้

(49) และจงตัดสินระหว่างพวกเขา โอ้ท่านเราะสูล ด้วยบทบัญญัติที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาให้แก่เจ้าและอย่าได้ปฏิบัติตามข้อคิดเห็นของพวกเขาที่เกิดจากความใคร่ใฝ่ต่ำ และจงระวังพวกเขาในการที่จะให้เจ้าหลงออกจากบางสิ่งที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาให้แก่เจ้า ซึ่งพวกเขาจะไม่เฉื่อยช้าลดละความพยายามในเรื่องดังกล่าวเด็ดขาด แล้วหากพวกเขาผินหลังไม่ยอมรับบทบัญญัติที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาให้แก่เจ้า ก็พึงทราบเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺประสงค์จะลงโทษพวกเขาในโลกนี้เนื่องเพราะบาปบางส่วนของพวก และจะทรงลงโทษพวกเขาเนื่องเพราะบาปทั้งหมดในโลกหน้า และแท้จริงส่วนใหญ่ของมนุษย์นั้นจะออกจากการเชื่อฟังอัลลอฮฺ

(50) พวกเขาผินหลังไม่ยอมรับบทบัญญัติของเจ้าโดยปรารถนาต้องการข้อตัดสินของชาวญาฮิลียะฮฺที่กราบไหว้รูปเจว็ดต่างๆ ที่พวกเขาตัดสินตามความใคร่ใฝ่ต่ำกระนั้นหรือ?! ไม่มีผู้ใดที่ตัดสินดียิ่งกว่าอัลลอฮฺสำหรับผู้ที่เชื่อมั่นที่เข้าใจเกี่ยวกับบทบัญญัติที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาให้แก่เราะซูลของพระองค์ ไม่ใช่พวกโง่เขลาและปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำที่พวกเขาไม่ยอมรับบทบัญญัติของอัลลอฮฺนอกจากสิ่งที่สอดคล้องกับความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขาถึงแม้ว่ามันจะเป็นเท็จก็ตาม

(51) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นพันธมิตร ที่ต้องคอยปกป้องช่วยเหลือพวกเขา เพราะชาวยิวจะปกป้องช่วยเหลือเฉพาะพวกเขาและชาวคริสต์ก็จะปกป้องช่วยเหลือเฉพาะพวกเขา และทั้งสองกลุ่มนี้จะรวมตัวกันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่เป็นมิตรกับพวกเขา แน่นอนเขาจะเป็นคนหนึ่งในหมู่ของพวกเขา และแท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงให้ทางนำแก่กลุ่มชนที่อธรรมด้วยการเป็นมิตรกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา

(52) แล้วเจ้า โอ้ท่านเราะซูล จะได้เห็นบรรดามุนาฟิกีนผู้ที่อีหม่าน (การศรัทธา) ของเขาอ่อนแอ พวกเขาต่างรีบเร่งสู่การเป็นมิตรกับชาวยิวและชาวคริสต์ โดยกล่าวว่า พวกเรากลัวว่าพวกเขา (บรรดาผู้ศรัทธา) จะได้รับชัยชนะและมีประเทศให้ปกครอง ซึ่งมันอาจทำให้พวกเราต้องได้รับความเดือดร้อน หวังว่าอัลลอฮฺจะทรงให้ชัยชนะแก่เราะซูลของพระองค์และบรรดาผู้ศรัทธา หรือไม่ก็นำพระบัญชาอย่างใดอย่างหนึ่งมาจากพระองค์ เพื่อป้องกันกำลังความรุนแรงของชาวยิวและบรรดาผู้เป็นมิตรกับพวกเขา จนทำให้บรรดาผู้รีบเร่งเป็นมิตรกับพวกเขานั้นต้องเสียใจกับการกลับกลอก (นิฟาก) ที่พวกเขาได้ซ่อนไว้ในหัวใจเพราะพวกเขายึดเอาปัจจัยที่เป็นเท็จ

(53) และบรรดาผู้ศรัทธากล่าวโดยแสดงความรู้สึกแปลกใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของพวกกลับกลอกว่า ชนเหล่านั้นหรือที่สาบานต่ออัลลอฮฺอย่างจริงจังว่า แท้จริงพวกเขานั้นจะอยู่ร่วมกับเจ้า (บรรดาผู้ศรัทธา) ทั้งในเรื่องการศรัทธา การช่วยเหลือ และการเป็นมิตร?! การงานของพวกเขานั้นไร้ผล แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้ขาดทุนที่ไม่ได้รับอะไรเลยจากความต้องการของพวกเขา แถมยังต้องได้รับโทษอีกด้วย

(54) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่ออกนอกศาสนาอิสลามไปสู่การปฏิเสธศรัทธา อัลลอฮฺก็จะทรงนำมาซึ่งพวกหนึ่งแทนที่พวกเขา โดยที่พระองค์ทรงรักพวกเขา และพวกเขาก็รักพระองค์ พวกเขาเป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่อบรรดาผู้ศรัทธา เข้มแข็งกล้าหาญต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาต่อสู้เสียสละด้วยทรัพย์สินและชีวิตเพื่อให้ศาสนาของอัลลอฮฺสูงส่งและไม่กลัวการตำหนิของผู้ใดทั้งนั้น เพราะพวกเขายึดเอาความพอพระทัยของอัลลอฮฺ(และกลัวการตำหนิของพระองค์เป็นหลัก) นั้นคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺซึ่งพระองค์จะให้แก่บ่าวผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงกว้างขวางในความโปรดปรานและความดี เป็นผู้ทรงรอบรู้ว่าผู้ใดบ้างที่สมควรได้รับความโปรดปรานของพระองค์แล้วพระองค์ก็จะประทานให้ และผู้ใดบ้างที่ไม่สมควรได้รับความโปรดปรานของพระองค์แล้วพระองค์ก็จะห้ามมัน

(55) ชาวยิว ชาวคริสต์ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่ใช่มิตรของพวกเจ้า แต่ทว่าผู้เป็นมิตรและผู้ช่วยเหลือของพวกเจ้านั้นคือ อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาที่ดำรงการละหมาดอย่างสมบูรณ์แบบและจ่ายซะกาตทรัพย์สินของพวกเขา พวกเขาคือบรรดาผู้นอบน้อมถ่อมตนต่ออัลลอฮฺ

(56) และผู้ใดเป็นมิตรกับอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาด้วยการช่วยเหลือ เขาก็จะเป็นคนหนึ่งในพรรคพวกของอัลลอฮฺ และพรรคพวกของอัลลอฮฺคือ บรรดาผู้ที่ได้รับชัยชนะเพราะอัลลอฮฺทรงเป็นผู้ช่วยเหลือพวกเขา

(57) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้เป็นมิตรกับพวกที่เย้ยหยันและล้อเล่นกับศาสนาของพวกเจ้า เช่น ชาวยิว ชาวคริสต์ และบรรดาผู้ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺก่อนหน้าพวกเจ้า และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด ด้วยการออกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม เช่น การเป็นมิตรกับพวกเขา หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่อพระองค์และศรัทธาต่อสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมา

(58) และเมื่อพวกเจ้าได้เรียกร้องไปสู่การละหมาดซึ่งเป็นความดีที่ทำให้ใกล้ชิดอัลลอฮฺที่สุด พวกเขาก็จะเย้ยหยันและล้อเล่นเช่นกัน เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความหมายการเคารพอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺและบทบัญญัติต่างๆ ที่อัลลอฮฺได้บัญญัติไว้ให้กับมวลมนุษย์

(59) โอ้ท่านเราะสูล จงกล่าวแก่ชาวคัมภีร์ที่เย้ยหยันเถิดว่า พวกเจ้ามิได้ตำหนิติเตียนพวกเราเพราะอื่นใด นอกจากว่าพวกเราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมาแก่พวกเรา และสิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมาก่อนหน้าพวกเรา และพวกเราศรัทธาว่าส่วนมากของพวกเจ้านั้นออกนอกกรอบการเชื่อฟังคำสอนของอัลลอฮฺด้วยการปฏิเสธศรัทธาและละทิ้งคำบัญชาของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่พวกเจ้าตำหนิพวกเรานั้นมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราไม่ใช่เป็นการติเตียน

(60) โอ้ท่านเราะสูล จงกล่าวเถิดว่า จะให้ฉันบอกแก่พวกเจ้าไหมว่า ผู้ใดสมควรได้รับการตำหนิและรับโทษอันรุนแรงมากกว่า พวกเขาคือบรรพชนของพวกเขาที่อัลลอฮ์ได้ขับไล่พวกเขาออกจากความเมตตาของพระองค์ และได้เปลี่ยนรูปร่างพวกเขาให้เป็นลิงและสุกร และได้ให้ส่วนหนึ่งจากพวกเขาเป็นผู้บูชารูปปั้น ซึ่งหมายถึงทุกอย่างที่ถูกกราบไหว้โดยที่เขาพอใจนอกจากอัลลอฮ์ ชนเหล่านั้นจะมีฐานะที่เลวร้ายที่สุดในวันกิยามะฮ์และเป็นผู้หลงทางที่สุด

(61) และเมื่อบรรดาผู้กลับกลอกได้เข้ามาหาพวกเจ้า (บรรดาผู้ศรัทธา) ซึ่งในหมู่พวกเขานั้นจะมีผู้ที่เปิดเผยให้พวกเจ้าเห็นถึงการศรัทธาทั้งๆ ที่มันเป็นการกลับกลอก ซึ่งความเป็นจริงแล้วนั้นขณะที่พวกเขาเข้ามาและออกไปพวกเขาอยู่ในสภาพการปฏิเสธศรัทธา และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรู้ยิ่งเกี่ยวกับการปฏิเสธศรัทธาที่พวกเขาได้ปิดบังมันไว้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเปิดเผยการศรัทธาให้พวกเจ้าเห็นก็ตาม และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาในเรื่องดังกล่าว

(62) และเจ้า โอ้ท่านเราะสูล จะได้เห็นถึงจำนวนมากมายจากชาวยิวและบรรดาผู้กลับกลอกที่รีบเร่งกันในการกระทำบาป เช่น การโกหก การอธรรม การกินในสิ่งที่ต้องห้าม ช่างเลวจริงๆ สิ่งที่พวกเขากระทำกัน

(63) ไฉนเล่าบรรดาผู้นำและนักปราชญ์ของพวกเขาจึงไม่ห้ามพวกเขาในสิ่งที่พวกเขารีบเร่งกันกระทำ เช่น การโกหก เป็นพยานเท็จ กินทรัพย์สินผู้อื่นโดยมิชอบ ช่างเลวจริงๆ การกระทำของผู้นำและนักปราชญ์ของพวกเขาที่ไม่ห้ามพวกเขากระทำในสิ่งที่ไม่ดี

(64) และชาวยิวกล่าวขณะที่พวกเขาต้องประสบกับความยุ่งยากแห้งแล้งว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮฺนั้นถูกล่ามตรวนไม่สามารถแบ่งปันความดี พระองค์สกัดสิ่งที่อยู่กับพระองค์ไม่ให้แก่พวกเรา พึ่งรู้เถิดว่า มือของพวกเขาต่างหากที่ถูกล่ามตรวนมิให้กระทำความดีมีประโยชน์ พวกเขาถูกขับไล่ออกจากความเมตตาของพระองค์เนื่องจากคำพูดของพวกเขา ในทางตรงกันข้ามพระหัตถ์ของพระองค์ถูกแบออกด้วยความดีและการให้ต่างหาก พระองค์จะทรงแจกจ่ายตามที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์จะทรงแผ่ปัจจัยยังชีพและพระองค์จะทรงยับยั้งมัน ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขว้างและบังคับพระองค์ได้ และสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เจ้านั้น (โอ้ท่านเราะสูล) มันจะไม่เพิ่ม (ความดีใดๆ) ให้แก่ชาวยิว นอกเสียจากการละเมิดและการปฏิเสธศรัทธา เนื่องจากความอิจฉาคุมแค้นที่มีอยู่ในตัวพวกเขา และเราได้ก่อให้เกิดความเป็นศัตรูและความเกลียดชังระหว่างกลุ่มชนชาวยิว ทุกครั้งที่พวกเขารวมตัวกันทำสงคราม เตรียมการต่างๆ หรือวางแผนลับเพื่อจุดชนวนสงคราม พระองค์ก็จะทรงให้การรวมตัวของพวกเขากระจัดกระจาย ทำลายกำลังความสามารถของพวกเขา และพวกเขาจะยังคงพยายามสร้างความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน เช่น การพยายามล้มล้างอิสลามและวางแผนทำร้ายมัน และอัลลอฮฺจะไม่ทรงชอบผู้ที่สร้างความเสียหาย

(65) และหากชาวยิวและชาวคริสต์ได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมา และยำเกรงต่ออัลลอฮฺด้วยการหลีกห่างจากบาปต่างๆ แน่นอนเราจะลบล้างบาปต่างๆ ที่พวกเขาได้กระทำไว้ ถึงแม้ว่ามันจะมีมากก็ตาม และแน่นอนเราจะให้พวกเขาได้เข้าสรวงสวรรค์อันหลากหลาย อย่างสุขสำราญในวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะสุขสบายกับความโปรดปรานที่ชั่วนิรันดร์

(66) และหากชาวยิวปฏิบัติตามบทบัญญัติที่มีอยู่ในคัมภีร์อัตเตารอต และชาวคริสต์ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่มีอยู่ในคัมภีร์อัลอินญีล และพวกเขาทั้งหมดปฏิบัติตามคัมภีร์อัลกุรอ่านที่ถูกประทานลงมาให้แก่พวกเขา แน่นอนข้าจะให้สาเหตุแห่งปัจจัยยังชีพเกิดขึ้นอย่างง่ายดายแก่พวกเขา เช่น การประทานน้ำฝนลงมา การให้พืชผลงอกเงย และส่วนหนึ่งในหมู่ชาวคัมภีร์นั้นจะมีผู้ที่ยืนหยัดบนสัจธรรม และส่วนมากของพวกเขานั้นช่างเลวจริงๆ สิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้เพราะพวกเขาไม่ศรัทธาต่อสิ่งที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮวะซัลลัม ได้นำมา

(67) โอ้ท่านเราะสูลจงประกาศเผยแพร่สิ่งที่พระองค์ได้ประทานลงมาแก่เจ้าทั้งหมด และอย่าได้ปกปิดแม้แต่สิ่งเดียว และหากเจ้าปกปิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เท่ากับว่าเจ้ายังไม่ได้ประกาศเผยแพร่ศาสนาของพระเจ้าของเจ้า (โดยแน่นอนท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ได้ประกาศเผยแพร่ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นผู้ใดที่อ้างตรงข้ามกับสิ่งดังกล่าว แน่นอนเขาได้โกหกใส่ร้ายอัลลอฮฺอย่างหนัก) และหลังจากวันนี้อัลลอฮฺจะทรงคุ้มครองเจ้าให้พ้นจากการทำร้ายของมนุษย์จนไม่มีใครสามารถเข้าทำร้ายเจ้าได้ ดังนั้นหน้าที่ของเจ้าคือการประกาศเผยแพร่ศาสนา และแท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงให้ทางนำแก่ผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาที่ไม่ต้องการทางนำ

(68) โอ้ท่านเราะซูล จงกล่าวเถิดว่า พวกเจ้า (ชาวยิวและชาวคริสต์) ยังไม่ได้ปฏิบัติศาสนาอันถูกต้องแต่อย่างใดจนกว่าพวกท่านจะปฏิบัติตามคำสอนที่มีอยู่ในคัมภีร์อัตเตารอตและคัมภีร์อัลอินญีลและปฏิบัติตามคำสอนที่มีอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอ่าน ซึ่งการศรัทธาของพวกเจ้าจะไม่ถูกต้องจนกว่าจะต้องศรัทธาต่อคัมภีร์อัลกุรอ่านพร้อมกับปฏิบัติตามคำสอนที่มีอยู่ในนั้นด้วย และแน่นอนสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นจะเพิ่มการละเมิดและการปฏิเสธศรัทธาทับซ้อนกันแก่คนจำนวนมากในหมู่ชาวคัมภีร์ เนื่องจากความโกรธแค้นที่มีติดตัวอยู่กับพวกเขา ดังนั้นเจ้าอย่าได้เสียใจกับพวกปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นเลย และในบรรดาผู้ศรัทธาที่ปฏิบัติตามเจ้ามันก็เพียงพอแล้ว

(69) และแท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา ชาวยิว ชาวศอบิอูน (ผู้ที่ปฏิบัติตามนบีบางท่าน) และชาวคริสต์ ผู้ใดที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและศรัทธาต่อวันปรโลกพร้อมกับประกอบคุณงามความดีแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เกิดขึ้นกับพวกเขาในอนาคต และพวกเขาจะไม่ระทมเสียใจกับสิ่งที่พวกเขาได้พลาดไปจากส่วนแบ่งแห่งโลกนี้

(70) แท้จริงเราได้ทำสัญญาอันหนักแน่นกับบนีอิสรอีลในเรื่องการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม แล้วพวกเขาก็ได้ทำลายสัญญาดังกล่าวและปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขา เช่น การผินหลังให้กับคำสอนที่บรรดาเราะสูลได้นำมาให้แก่พวกเขา การโกหกซึ่งกันและกัน และการฆ่าซึ่งกันและกัน

(71) พวกเขาคิดว่าการที่พวกเขาทำลายสัญญาอันหนักแน่น โกหก และฆ่าชีวิตบรรดานบีนั้นมันจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ให้กับพวกเขา แล้วผลกระทบที่พวกเขาไม่คาดคิดนั้นก็เกิดขึ้น พวกเขาต้องตาบอดไม่เห็นสัจธรรม ทำให้แสวงหาสัจธรรมไม่เจอ พวกเขาต้องหูหนวกไม่ได้ยินคำสัจธรรม หลังจากนั้นอัลลอฮฺก็ได้ทรงอภัยโทษพวกเขาเพื่อเป็นการโปรดปรานพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็ตาบอดไม่เห็นสัจธรรมและหูหนวกไม่ได้ยินมันอีก เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับหลายคนในหมู่พวกเขา และอัลลอฮฺนั้นทรงเห็นสิ่งที่พวกเขากระทำกัน ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาตามที่พวกเขาได้กระทำไว้

(72) แท้จริงชาวคริสต์ที่กล่าวว่าอัลมะซีห อีซาบุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้านั้นพวกเขาได้กลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว เพราะพวกเขาได้พาดพิงความเป็นพระเจ้าให้กับสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ ทั้งๆ ที่อัลมะซีห บุตรของมัรยัมเองกล่าวว่า "โอ้บนีอิสรออีล จงเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียวเถิด เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของฉันและเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า ดังนั้นเราทุกคนอยู่ในฐานะที่เหมือนกันบนความเป็นบ่าวที่ต้องเคารพอิบาดะฮ์ต่อพระองค์ เพราะผู้ใดที่ตั้งภาคีกับพระองค์ แน่นอนพระองค์จะทรงห้ามมิให้เขาเข้าสวรรค์ตลอดกาล และที่พำนักของเขานั้นคือนรกญะฮันนัม ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือเขาต่อหน้าอัลลอฮ์และไม่มีผู้ใดสามารถให้เขารอดพ้นจากการลงโทษได้

(73) แท้จริงชาวคริสต์ที่กล่าวว่าอัลลอฮฺประกอบด้วยสามองค์นั้นพวกเขาได้กลายเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว พวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺประกอบด้วย พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ อัลลอฮฺสูงส่งยิ่งใหญ่เหนือคำกล่าวของพวกเขา อัลลอฮฺมิได้มีหลายองค์ แต่อัลลอฮฺเป็นพระเจ้าองค์เดียวโดยไม่มีภาคีใดๆ และหากพวกเขายังไม่หยุดยั้งจากคำกล่าวอันน่าเกลียดนี้อีก แน่นอนพวกเขาจะต้องได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

(74) พวกเขาจะไม่ถอนคำพูดดังกล่าวแล้วสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวเข้าหาอัลลอฮฺและขออภัยโทษจากพระองค์จากการตั้งภาคีที่พวกเขาได้กระทำไว้กระนั้นหรือ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษให้กับผู้ที่สำนึกผิดจากบาปทุกสิ่ง ถึงแม้ว่าบาปนั้นจะเป็นการปฏิเสธศรัทธาก็ตาม และพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาเสมอ

(75) อัลมะซีหฺ บุตรของมัรยัมนั้นมิใช่ใครอื่นใดนอกจากเป็นเราะซูลคนหนึ่งในบรรดาเราะซูลทั้งหมด เขาจะต้องประสบอย่างที่บรรดารอสูลทุกคนก่อนหน้าเคยประสบคือเสียชีวิต และมารดาของเขาคือมัรยัมผู้มีความจริงใจและน่าเชื่อถือมาก ซึ่งทั้งสองนั้นจะรับประทานอาหารเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นทั้งสองจะมาเป็นพระเจ้าได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ทั้งสองต้องพึ่งพาอาหารเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นเจ้า (โอ้ท่านเราะสูล) จงพิจารณาเถิดว่า เราได้แจกแจงสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกภาพของพระเจ้าและชี้แจงถึงความผิดพลาดของพวกเขาที่พาดพิงความเป็นพระเจ้าให้กับสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺอย่างไร แต่ถึงกระนั้นพวกเขายังปฏิเสธสัญญาณต่างๆ เหล่านี้ แล้วจงพิจารณาอีกว่า พวกเขาได้หันเหออกจากสัจธรรมได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มีสัญญาณต่างๆ อันชัดแจ้งที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกภาพของอัลลอฮฺ

(76) (โอ้ท่านเราะสูล) จงกล่าวแย้งพวกเขาในเรื่องการเคารพสักการะสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺเถิดว่า พวกเจ้าจะเคารพสักการะสิ่งที่ไม่มีอำนาจให้ประโยชน์กับพวกเจ้าและไม่สามารถป้องกันพวกเจ้าจากอันตรายได้กระนั้นหรือ?! มันอ่อนแอไร้อำนาจความสามารถใดๆ และอัลลอฮฺบริสุทธิ์จากความอ่อนแอ อัลลอฮฺผู้เดียวเป็นผู้ทรงได้ยินคำพูดของพวกเจ้าทั้งหมด ไม่มีคำพูดใดที่พลาดไปจากพระองค์ พระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงการกระทำของพวกเจ้าทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นไปจากพระองค์ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าได้กระทำไว้

(77) โอ้ท่านเราะซูล จงกล่าวแก่ชาวคริสต์เถิดว่า พวกเจ้าอย่าได้ละเมิดขอบเขตในการปฏิบัติตามสัจธรรม และอย่าได้เลยเถิดในการให้เกียรติใครสักคน เช่น บรรดานบี ซึ่งพวกเจ้าเชื่อว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าดังที่พวกเจ้าได้กระทำไว้กับนบีอีซาบุตรของมัรยัม (การกระทำเหล่านี้) มีสาเหตุมาจากการที่พวกเจ้าปฏิบัติตามบรรพชนรุ่นก่อนที่หลงผิด ซึ่งพวกเขาได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากหลงทาง และพวกเขาเองก็หลงทางแห่งสัจธรรมเช่นกัน

(78) อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้บอกว่า พระองค์นั้นได้ขับไล่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่บนีอิสรออีลออกจากความเมตตาของพระองค์ ซึ่งเรื่องนี้พระองค์ได้บอกไว้ในคัมภีร์อัซซะบูรที่ถูกประทานลงมาให้แก่นบีดาวูดและในคัมภีร์อัลอินญีลที่ถูกประทานลงมาให้แก่นบีอีซาบุตรของมัรยัม ซึ่งการขับไล่ออกจากความเมตตาของพระองค์นั้นมีสาเหตุมาจากการที่พวกเขาได้กระทำบาปต่างๆ และทำการละเมิดต่อสิ่งต้องห้ามต่างๆ ของอัลลอฮฺ

(79) (ส่วนหนึ่งจากบาปของพวกเขาคือ) พวกเขาไม่ห้ามปรามผู้กระทำบาปในหมู่พวกเขา ยิ่งกว่านั้นบรรดาผู้กระทำบาปในหมู่พวกเขาเปิดเผยการกระทำบาปและความชั่วต่างๆ เพราะไม่มีผู้ใดมาห้ามปรามพวกเขา การไม่ห้ามปรามความชั่วนั้นเป็นการกระทำที่ช่างเลวร้ายจริงๆ

(80) โอ้ท่านเราะซูล เจ้าจะได้เห็นบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่ชาวยิวเป็นมิตรกับบรรดามุชริกีน (ผู้ตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ) ที่ไม่มีศาสนา พวกเขาจะเป็นศัตรูกับเจ้าและเป็นศัตรูกับผู้ที่ศรัทธาต่อความเป็นเอกภาพของอัลลอฮฺ การเป็นมิตรของพวกเขากับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามันช่างเลวร้ายจริงๆ อันเป็นสาเหตุให้อัลลอฮฺโกรธกริ้วพวกเขาและทำให้พวกเขาต้องตกนรกตลอดกาลไม่สามารถออกจะมันได้เป็นอันขาด

(81) และหากชาวยิวเหล่านั้นศรัทธาต่ออัลลอฮฺอย่างแท้จริงและศรัทธาต่อนบีของพวกเขา แน่นอนพวกเขาจะไม่เป็นมิตรกับบรรดาผู้ตั้งภาคี เพราะพวกเขาถูกห้ามมิให้เอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธามาเป็นมิตร แต่ชาวยิวจำนวนมากออกจากการเชื่อฟังอัลลอฮฺ การเป็นมิตรกับพระองค์ และการเป็นมิตรกับบรรดาผู้ศรัทธา

(82) แน่นอนเจ้า โอ้ท่านเราะสูล จะได้พบกับหมู่ชนที่เป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดต่อบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเจ้าและศรัทธาต่อคำสอนที่เจ้าได้นำมาคือชาวยิว เพราะความแค้นอิจฉาและหยิ่งยโสที่ติดตัวอยู่กับพวกเขา บรรดาผู้สักการะรูปเจว็ดต่างๆ และบรรดามุชริกีนผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ และแน่นอนเจ้าจะได้พบว่าบรรดาผู้ที่มีความรักใคร่ต่อบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเจ้าและศรัทธาต่อคำสอนที่เจ้าได้นำมา มากที่สุดคือบรรดาผู้ที่กล่าวว่าพวกเราเป็นคริสต์ นั้นก็เพราะว่าในหมู่พวกเขานั้นมีบรรดาผู้รู้ นักปราชญ์ และบาทหลวง และก็เพราะว่าพวกเขานอบน้อมไม่เย่อหยิ่ง เพราะผู้ที่เย่อหยิ่งนั้นความดีจะไม่เข้าไปถึงหัวใจของเขา

(83) และพวกเขาเหล่านั้น (เช่น กษัตริย์อันนะญาชีย์และพรรคพวกของเขา) มีจิตใจที่อ่อนโยน โดยที่พวกเขาจะร้องไห้นอบน้อมขณะที่ได้ยินเสียงอัลกุรอ่านที่ถูกประทานลงมา เนื่องจากความจริงที่พวกเขารู้ เพราะพวกเขารู้เกี่ยวกับคัมภีร์ที่อีซา อลัยฮิสสลาม ได้นำมา พวกเขาจะกล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเรา พวกเราได้ศรัทธาต่ออัลกุรอ่านที่พระองค์ได้ประทานลงมาให้แก่เราะซูลของพระองค์ มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม แล้ว ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดบันทึกพวกเราให้อยู่ร่วมกับประชาชาติของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ที่จะเป็นพยานให้มวลมนุษย์ทั้งหมดในวันกิยามะฮฺด้วยเถิด

(84) และเหตุผลอันใดกันที่มันคอยมาขวางกั้นระหว่างเรากับการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และสิ่งที่พระองค์นั้นได้ทรงประทานมันลงมาจากความจริงที่ท่านนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะซัลลัม นั้นได้นำมา?! และเราก็ปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อการเข้าไปในสวนสวรรค์พร้อมกับบรรดานบีและบรรดาผู้ที่ติดตามพวกเขา คือ บรรดาผู้ที่เชื่อฟังต่ออัลลอฮฺและเกรงกลัวต่อการลงโทษของพระองค์

(85) แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงตอบแทนแก่พวกเขาเนื่องด้วยการศรัทธาของพวกเขาและการยอมรับในสัจธรรม ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่ภายใต้พระราชวังและต้นไม้ของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล และนั่นแหละคือ การตอบแทนแก่บรรดาผู้กระทำดีในการที่พวกเขานั้นได้ปฏิบัติตามต่อสัจธรรมและน้อมรับเชื่อฟังต่อมัน โดยที่ไม่มีข้อผูกมัดหรือเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น

(86) และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ และปฏิเสธต่อบรรดาโองการต่าง ๆ ของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ได้ทรงประทานมันลงมาให้แก่ศาสนทูตของพระองค์นั้น ชนเหล่านั้นแหละคือ บรรดาผู้ที่คู่ควรแก่นรกที่มีเปลวไฟอันโชติช่วง ซึ่งพวกเขาก็จะไม่สามารถออกมาจากมันได้

(87) โอ้ผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงอย่าได้ทำให้ความชื่นชอบอันโอชะที่พระเจ้าได้ทรงอนุมัติไว้ทั้งที่เป็นอาหาร เครื่งดื่ม และการแต่งงานนั้นให้เป็นที่ต้องห้าม เพื่อแสดงตนว่าไม่หลงดุนยาหรือเพื่อการมุ่งหน้าทำแต่การเคารพบูชา และพวกเจ้าจงอย่าละเมิดขอบเขตของสิ่งที่อัลลอฮฺนั้นได้ทรงห้ามปรามต่อพวกเจ้าเอาไว้ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้ละเมิดต่อขอบเขตของพระองค์ มิหนำซ้ำพระองค์ยังทรงกริ้วพวกเขาอีกต่างหาก

(88) และพวกเจ้าจงบริโภคสิ่งที่อัลลอฮฺทรงนำมันมาให้แก่พวกเจ้า จากปัจจัยชีพดีๆซึ่งพระองค์ได้อนุมัติไว้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่อนุมัติและต้องห้าม เช่น การได้มาโดยการบังคับใช้กำลังหรือการขู่รีดไถ และพึงยำเกรงต่ออัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้และออกห่างจากคำสั่งห้ามต่าง ในเมื่อพระองค์คือพระเจ้าที่พวกเจ้านับถือศรัทธา ดังนั้นจึงจำเป็นที่พวกเจ้าต้องยำเกรงต่อพระองค์

(89) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย อัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงเอาโทษต่อพวกเจ้ากับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับลิ้นของพวกเจ้า ซึ่งการสาบานโดยที่มิได้เจตนา แต่ทว่าพระองค์จะทรงเอาโทษกับพวกเจ้าต่อสิ่งที่พวกเจ้านั้นเจตนาและปลงใจหรือลำเอนเอียงไปหามัน แล้วพระองค์ก็จะทรงลบบาปออกไปจากพวกเจ้า คือสิ่งที่พวกเจ้านั้นตั้งใจเจตนาสาบานต่อมันหรือที่พวกเจ้าได้กล่าวถ่อยคำสาบานมันเอาไว้ เมื่อไหร่ที่พวกเจ้านั้นได้กลับไปสู่หนึ่งในสามสิ่งที่ให้เลือกปฏิบัติ(เพื่อการไถ่โทษ) คือ การให้อาหารแก่คนยากจนจำนวนสิบคนจากอาหารขนาดปานกลางในประเทศของพวกเจ้า โดยคนละครึ่งศ๊ออฺ หรือไม่ก็ให้เครื่องนุ่งห่มให้แก่พวกเขา ด้วยสิ่งที่ถือว่าเป็นเครื่องนุ่งห่ม หรือไถ่ทาสที่ศรัทธาคนหนึ่งให้เป็นอิสระ แล้วถ้าหากเขาไม่พบสิ่งที่ต้องใช้ในการไถ่โทษการสาบานของเขา ซึ่งจากหนึ่งในสามสิ่งนี้ ก็ให้เขาถือบวชสามวัน โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย สิ่งที่ถูกกล่าวมานั้นคือสิ่งไถ่โทษในคำสาบานของพวกเจ้า ครั้นเมื่อที่พวกเจ้าได้สาบานต่ออัลลอฮฺและได้ถอนคำสาบาน และจงรักษาการสาบานของพวกเจ้าเอาไว้โดยให้ห่างไกลจากการสาบานต่ออัลลอฮฺที่เป็นการสาบานที่โกหก และการสาบานต่ออัลลอฮฺที่มากมายหลายครั้ง และการไม่รักษาสัญญาต่อคำสาบาน ดังนั้นพวกเจ้าจงทำดีและขอไถ่โทษต่อการสาบานของพวกเจ้า ดังเช่นที่อัลลอฮฺนั้นทรงได้อธิบายให้แก่พวกเจ้าถึงวิธีการไถ่โทษต่อคำสาบาน ซึ่งพระองค์ก็ได้ชี้แจงให้แก่พวกเจ้าถึงบทบัญญัติต่างๆ อันชัดแจ้งของพระองค์ ถึงสิ่งที่อนุมัติและที่ไม่อนุมัติต้องห้าม เพื่อหวังว่าพวกเจ้าจักขอบคุณต่ออัลลอฮฺถึงสิ่งที่พระองค์นั้นได้พร่ำสอนพวกเจ้ากับสิ่งที่พวกเจ้านั้นไม่ได้รู้มาก่อน

(90) โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ที่จริงสุราที่มันทำให้สตินั้นหายไป และการพนันที่มันมีส่วนได้ส่วนเสียต่อทั้งสองฝ่าย และแท่นหินที่บรรดาผู้ตั้งภาคีนั้นเชือดสัตว์บูชายัญต่อมันหรือที่พวกเขานั้นยกมันขึ้นมาเพื่อการเคารพบูชาต่อมัน และลูกศรที่พวกเขานั้นใช้เสี่ยงทายโชคลาภด้วยกับมัน ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสีย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จต่อการมีชีวิตที่ดีในโลกดุนยาและรับความโปรดปรานของสวรรค์ในปรโลก

(91) แท้จริงแล้วชัยฏอนต้องการทำให้สิ่งมึนเมาและการพนันนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและสวยงาม และที่จะทำให้เกิดการเป็นศัตรูกัน การเกลียดชังกันระหว่างพวกเจ้า และการทำให้พวกเจ้าหันเหออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺและการละหมาด แล้วพวกเจ้าจะยุติความชั่วร้ายเหล่านี้หรือไม่ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้เหมาะสำหรับสูเจ้าหรือไม่ ดังนั้นสู่เจ้าจงหยุดมันเถิด

(92) และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังเราะซูลเถิด ด้วยการปฏิบัติตามบบทบัญญัติใช้ที่ได้กำหนดไว้ และจงออกห่างจากบทบัญญัติห้ามเอาไว้ และพึงระวังการละเมิด ซึ่งถ้าพวกเจ้าได้ผินหลังไส่ ก็พึงรู้เถิดว่าแท้จริงหน้าที่ของเราะซูลของเรานั้น คือ การประกาศสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงสั่งใช้ และแท้จริงนั้นเขาก็ได้ประกาศมันแล้ว ถ้าหากสูเจ้าได้กระทำตาม มันก็จะเป็นผลดีต่อตัวสูเจ้าเอง แต่ถ้าสูเจ้ากระทำชั่ว มันก็จะเป็นผลร้ายต่อตัวสูเจ้าเอง

(93) ไม่เป็นบาปใด ๆ แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและปฏิบัติสิ่งที่ดีงามทั้งหลายเพื่อที่พวกเขาจะได้ใกล้ชิดกับพระองค์ ถึงแม้นว่าพวกเขาได้ดื่มสุราก่อนการห้ามมันมาแล้ว หากพวกเขาหลีกเลี่ยงจากข้อห้ามอื่นๆ โดยที่พวกเขานั้นเกรงกลัวในสิ่งที่อัลลลฮฺไม่พึงพอใจต่อพวกเขา และพวกเขาก็ศรัทธาต่อพระองค์ และปฏิบัติสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย แล้วพวกเขาก็ได้ตระหนักมากขึ้นต่อการเฝ้ามองของอัลลอฮฺ จนกระทั่งพวกเขาเคารพอิบาดะฮฺต่อพระองค์ราวกับว่าพวกเขานั้นเห็นพระองค์ และอัลลอฮฺก็ทรงรักบรรดาผู้ที่เคารพอิบาดะฮฺต่อพระองค์ราวกับว่าพวกเขานั้นเห็นพระองค์ เพราะพวกเขารู้สำนึกอยู่เสมอถึงการเฝ้ามองของอัลลอฮฺอย่างต่อเนื่องตลอด และสิ่งนี้เองที่จะทำให้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย เชี่ยวชาญ และชำนาญแต่การกระทำความดีโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง

(94) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย แน่นอนอัลลอฮฺ จะทรงทดสอบพวกเจ้าด้วยสิ่งหนึ่ง ซึ่งพระองค์จะส่งมันมายังพวกเจ้า นั่นคือสัตว์ป่า ขณะที่พวกเจ้านั้นครองอิหฺรอมอยู่ ซึ่งพวกเจ้าสามารถล่าสัตว์ตัวเล็ก ๆ ได้ด้วยมือของพวกเจ้า และล่าตัวใหญ่ด้วยหอกของพวกเจ้า เพื่อที่อัลลอฮฺจะได้ทรงรู้ว่า ผู้ใดบ้างที่เกรงกลัวต่อพระองค์อย่างแท้จริง ทั้งในทางเปิดเผย และ ในทางเร้นลับ ผู้ใดที่เกรงกลัวต่อพระองค์ในสภาพที่พวกเขาไม่เห็นพระองค์ แต่เนื่องด้วยการศรัทธาของเขาที่เต็มเปี่ยมว่าอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ยิ่ง แล้วเขาก็ได้หักห้ามใจต่อการล่าสัตว์เพราะเกรงกลัวต่อพระเจ้า ซึ่งการกระทำของเขานั้นไม่อาจซุกซ่อนต่อพระองค์ได้ แล้วผู้ใดที่ละเมิดขอบเขต และทำการล่าสัตว์ขณะที่เขาครองอิหฺรอมในช่วงทำฮัจญ์หรือว่าทำอุมเราะฮ์นั้น สำหรับเขาก็จะได้รับโทษอันเจ็บแสบในวันกิยามะฮฺ เพราะว่าเขานั้นได้ทำในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ห้ามมันเอาไว้

(95) โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าฆ่าสัตว์ล่าในขณะที่พวกเจ้ากำลังครองอิหฺรอมในการประกอบพิธีฮัจญ์หรืออุมเราะฮฺอยู่ และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่ได้ฆ่ามันโดยเจตนา ดังนั้นเขาจงชดเชยเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันกับที่เขาได้ฆ่ามัน จากปศุสัตว์ อาทิเช่น อูฐ วัว หรือแพะ โดยให้ผู้ที่มีความยุติธรรมสองคนในหมู่คนผู้ศรัทธาดำการชี้ขาดเกี่ยวกับมัน ด้วยการให้ผู้กระทำผิดนั้น (อย่าฆ่าสัตว์ล่าในขณะที่พวกเจ้ากำลังครองอิหฺรอม) ชดเชยมันในฐานะที่ถือว่าเป็นสัตว์พลีที่ต้องส่งคืนไปยังมักกะฮฺ และเชือดมันในเขตฮารอม หรือคิดคำนวนค่าสัตว์ตัวนั้นเป็นเงินตรา เพื่อซื้ออาหารแจกจ่ายให้แก่บรรดาคนยากจนในเขตฮารอม ซึ่งมอบให้คนละครึ่งศออฺ หรือชดเชยด้วยการถือศีลอดเพื่อแลกกับอาหารทุก ๆ ครึ่งศออฺ ทั้งหมดนี้ เพื่อที่ผู้ฆ่าสัตว์จะได้ลิ้มรสบทลงโทษในสิ่งที่เขาได้กระทำมา อัลลอฮฺได้ทรงอภัยให้ในสิ่งที่ได้ล่วงเลยมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์ในเขตพื้นที่ฮารอมหรือการล่าสัตว์ป่าของผู้ที่ครองอิหฺรอมก่อนการสั่งห้ามล่าฆ่ามัน และผู้ใดกลับไปกระทำมันอีกหลังจากที่ได้มีกฎห้ามแล้ว อัลลอฮฺก็จะทรงลงโทษเขาด้วยพระองค์เอง และอัลลอฮฺคือผู้ที่ทรงเดชานุภาพที่ไม่มีใครเอาชนะได้ และด้วยความเดชานุภาพของพระองค์ พระองค์จะตอบโต้อย่างเด็ดขาดต่อผู้ที่ฝ่าฟืนในคำสั่งของพระองค์หากพระองค์ทรงประสงค์ โดยไม่มีผู้ใดสกัดกั้นพระองค์ได้

(96) อัลลอฮฺได้ทรงอนุมัติแก่พวกเจ้า ซึ่งการล่าสัตว์น้ำทะเล และสิ่งที่ทะเลซัดสาดมันขึ้นมาให้แก่พวกเจ้าทั้งที่มันมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์สำหรับพวกเจ้าที่อาศัยอยู่หรือผู้ที่เดินทางได้นำมันมาเป็นเสบียง และได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้า ซึ่งการล่าสัตว์ล่าบกตราบใดที่พวกเจ้ายังคงครองอิหฺรอมอยู่ในการทำฮัจญ์หรือว่าอุมเราะฮฺ และจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ และออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์ ดังนั้นพระองค์คือผู้เดียวเท่านั้นที่พวกเจ้าจะต้องกลับไปสู่พระองค์ในวันกิยามะฮฺ แล้วพระองค์ก็จะทรงตอบแทนพวกเจ้าต่อการงานของพวกเจ้า

(97) อัลลอฮฺได้ทรงทำให้อัล-กะอฺบะฮฺอันเป็นบ้านที่ต้องห้ามนั้น เป็นที่ดำรงอยู่สำหรับมนุษย์ เพื่อประโยชน์อันสูงสุดของพวกเขาทั้งทางด้านศาสนา เช่น การละหมาด การทำฮัจญ์และอุมเราะฮ และทางด้านดุนยา เช่น ในเรื่องความปลอยภัยในเขตพื้นที่ที่ต้องห้ามและการเก็บรวบรวมพืชผลต่างๆ นาๆ และพระองค์ทรงได้ทำให้มีเดือนที่ต้องห้าม คือเดือน (ซุลกออฺดะฮฺ ซุลฮิจญะฮฺ มุหัรรอม และเราะญับ) เพื่อดำรงไว้ให้แก่พวกเขาซึ่งความปลอดภัยในพื้นที่แห่งนั้น จากการรุกราน หรือ สู้รบกัน และเช่นเดียวกันสัตว์พลี และสัตว์ที่ถูกสวมเครื่องหมายไว้ที่คอ ที่ถูกนำพามายังพื้นที่ฮะรอม (พื้นที่ต้องห้าม) เป็นพื้นที่ปลอดภัยจากการซุ่มทำร้าย นั้นคือสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงโปรดปรานมันให้กับพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงรู้สิ่งที่อยู่ในบรรดาชั้นฟ้า และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และแท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง และโดยแท้จริงแล้วบทบัญญัติของพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ต่อพวกเจ้าและเป็นการปกป้องภยันตรายให้แก่พวกเจ้าและนี่คือหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความรอบรู้ของพระองค์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับปวงบ่าวทั้งหลาย

(98) โอ้มนุษย์เอ๋ย พวกเจ้าพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺ เป็นผู้รุนแรงในการลงโทษ แก่ผู้ที่ทรยศต่อพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษยิ่งแก่ผู้ที่กลับเนื้อกลับตัว ทรงเอ็นดูเมตตายิ่งต่อเขา

(99) หน้าที่ของเราะซูลนั้นมิใช่อะไรอื่น นอกจากการประกาศให้ทราบถึงสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงสั่งใช้ให้เขานั้นประกาศมันเพียงเท่านั้น เขาไม่ได้มีหน้าที่ทำให้มนุษย์นั้นบรรลุไปสู่ทางนำ ดังนั้นเรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับพระหัตของอัลลอฮฺเพียงผู้เดียว และอัลลอฮฺทรงรู้สิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยมัน และสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดมันจากสิ่งที่ถูกต้องหรือหลงผิด และพระองค์ก็จะทรงตอบแทนพวกเจ้าสำหรับสิ่งนั้น

(100) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะซูล ว่าสิ่งเลวทรามจากทุกทั่วสารทิศกับสิ่งดีจากทุกทั่วสารทิศนั้นย่อมไม่เท่าเทียมกัน และแม้ว่าความมากมายของสิ่งชั่วนั้น ได้ทำให้ท่านประทับใจก็ตาม แท้จริงแล้วความมากมายของมันนั้นมิได้ชี้ให้เห็นถึงความประเสริฐของมันเลย จงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด โอ้ผู้มีสติปัญญาทั้งหลาย โดยการละทิ้งสิ่งที่เลวทรามและปฏิบัติสิ่งที่ดี เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะด้วยสวนสวรรค์

(101) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าถามเราะสูลของพวกเจ้า ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มันไม่ได้มีความจำเป็นสำหรับพวกเจ้าเลย และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ศาสนาของพวกเจ้าดีขึ้น หากสิ่งเหล่านี้ปรากฎขึ้นแก่พวกเจ้าแล้ว มันจะก่อให้เกิดความเลวร้ายแก่พวกเจ้า เนื่องด้วยความยากลำบากที่มีในสิ่งนั้น ถ้าพวกเจ้าถามถึงสิ่งเหล่านั้น ทั้งที่พวกเจ้าได้ถูกห้ามไม่ให้ถามถึงมัน ขณะที่วะฮ์ยู (อัล-กุรอาน) ถูกประทานลงมาแก่ท่านเราะสูล มันก็จะถูกเปิดเผยขึ้นแก่พวกเจ้า และสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นได้ทรงละเว้นสิ่งต่าง ๆ ที่อัลกุรอานมิได้พูดถึงมัน ดังนั้นพวกเจ้าอย่าได้ถามถึงมัน แล้วหากพวกเจ้าถามถึงมัน บทบัญญัติก็จะถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้าตามบทบัญญัติที่เกี่ยวกับมัน และอัลลอฮ์คือผู้ทรงลบล้างบาปของบ่าวของพระองค์ เมื่อพวกเขาทำการกลับเนื้อกลับตัว โดยที่พระองค์ทรงยกโทษให้ในการลงโทษต่อพวกเขาด้วยสิ่งดั่งกล่าวนั้น

(102) แท้จริงได้มีพวกหนึ่งก่อนพวกเจ้าได้ถามถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมาแล้ว เมื่อพวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำมัน พวกเขาก็ไม่ได้ทำ แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้ปฏิเสธด้วยสาเหตุนั้น

(103) อัลลอฮฺได้ทรงให้อูฐเป็นสิ่งอนุมัติ แล้วไม่ได้ห้ามส่วนใดส่วนหนึ่งอะไรทั้งนั้น ดังเช่นที่บรรดาผู้ที่ตั้งภาคีได้เชื่อกันว่ามันเป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขา แต่เป็นที่อนุมัติเพื่อบรรดาเจว็ดของพวกเขา ทั้งอัล-บะฮีเราะฮฺ คืออูฐที่คลอดลูกออกมาแล้วจำนวนหนึ่ง โดยหูของมันก็จะถูกตัดออกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ และซาอิบะฮฺ คืออูฐที่ครั้นเมื่อถึงวัยที่กำหนดก็จะต้องละไว้เพื่อบรรดาเจว็ดของพวกเขา และวะซีละฮฺ คืออูฐที่ถึงรอบคลอดลูกออกมาเป็นตัวเมีย และฮาม คือพ่อพันธุ์อูฐที่ได้ผสมพันธุ์จนได้ลูกจำนวนหลายตัว แต่ทว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่างหากที่อุปโลกน์ความเท็จแต่งเรื่องขึ้นมาว่าแท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงไม่อนุมัติสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น และส่วนมากของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาพวกเขาจะไม่แยกแยะระหว่าง ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือว่าเป็นสิ่งที่ผิด เป็นสิ่งที่อนุมัติหรือว่าสิ่งที่ไม่อนุมัติ

(104) และเมื่อได้มีการกล่าวแก่บรรดาผู้ที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ ถึงการตั้งข้อห้ามเกี่ยวกับอูฐบางตัวว่า : พวกเจ้าจงมาเถิด มาสู่สิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาจากอัลกุรอ่าน และมาสู่แนวทางของท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะซัลลัม เพื่อที่พวกเจ้าจะได้รู้จักแยกแยะสิ่งที่เป็นที่อนุมัติจากสิ่งที่เป็นที่ต้องห้าม พวกเขาก็กล่าวว่า มันเพียงพอแล้วสำหรับเรา สิ่งที่เราได้มาและเป็นที่สืบทอดมาจากบรรดาบรรพบุรุษของเรา ทั้งความเชื่อ คำพูด และการกระทำ สิ่งนั้นมันจะพอเพียงแก่พวกเขาได้อย่างไร แท้จริงแล้วบรรพบุรุษของพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไร และพวกเขาก็ไม่ได้หันไปสู่ซึ่งสิ่งที่เป็นสัจธรรมเลย?! ดังนั้นเขาไม่ควรทำตามพวกเขา เว้นแต่ผู้ที่โง่เขลายิ่งในหมู่ของพวกเขาและผู้ที่หลงทาง แล้วพวกเขาก็คือผู้ที่โง่เขลาหลงทาง

(105) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงปกป้องตัวของพวกเจ้าเองเถิด โดยการดำรงไว้ซึ่งความดีงามทั้งหลาย ผู้ใดที่หลงผิดและไม่ยอมรับพวกเจ้านั้น พวกเขาไม่อาจสร้างความเสียหายต่อพวกเจ้าได้หรอก หากพวกเจ้าได้รับการชี้นำโดยแท้จริง และผลจากการแนะนำชักชวนของพวกเจ้า การสั่งใช้ของพวกเจ้าด้วยในการทำความดี และการห้ามปรามของพวกเจ้าจากสิ่งที่ไม่ดี ทุกอย่างจะกลับไปสู่อัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว นั้นคือ การกลับไปของพวกเจ้าในวันกิยามะฮฺ แล้วพระองค์ก็จะทรงบอกแก่พวกเจ้าทั้งหลาย ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันในโลกดุนยา และจะทรงตอบแทนมันแก่พวกเจ้า

(106) โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อความตายได้มายังคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้า คือการปรากฏตัวของสัญญาณหนึ่งจากสัญญาณต่างๆแห่งความตาย ดังนั้นจงแต่งตั้งพยานสองคนที่เป็นผู้เที่ยงธรรมจากหมู่คนมุสลิมตามคำสั่งเสียของเขา (การทำพินัยกรรม) หรือชายสองคนที่มาจากหมู่ผู้ปฏิเสธศรัทธา ครั้นตอนที่มีความจำเป็นอันเนื่องมาจากไม่พบพยานสองคนที่เป็นมุสลิม หากพวกเจ้าได้เดินทางไปในผืนแผ่นดิน แล้วได้มีเหตุภยันตรายแห่งความตายประสบกับพวกเจ้า และหากมีข้อสงสัยในคำให้การของพยานทั้งสอง ก็ให้กักตัวเขาทั้งสองไว้หลังจากละหมาด แล้วทั้งสองนั้นก็จะสาบานต่ออัลลอฮฺว่า : เขาทั้งสองนั้นจะไม่ขายโชคของเขาทั้งสองที่มาจากอัลลอฮฺด้วยข้อแลกเปลี่ยนใดๆ และเขาทั้งสองก็จะไม่ให้พวกเขาเป็นที่รักใคร่ต่อวงญาติด้วยกับมัน และเขาทั้งสองจะไม่ปกปิดหลักฐานของอัลลอฮฺ ณ ที่พวกเขาทั้งสอง และแน่นอนหากเขาทั้งสองได้ทำเช่นนั้น พวกเขาทั้งสองก็จะอยู่ในหมู่ผู้ที่กระทำบาป เป็นผู้ที่ทรยศต่ออัลลอฮฺ

(107) แล้วหากได้รับรู้ในภายหลังการให้คำสาบานว่า เขาทั้งสองคนนั้นได้โกหกในการเป็นพยานหรือการให้สาบาน หรือเกิดการบิดเบือนในพวกเขาทั้งสอง ก็ให้คนอื่นสองคนทำหน้าที่ในตำแหน่งพยานทั้งสองนั้นแทน ซึ่งเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดที่สุดกับผู้ตายในการดำรงไว้ซึ่งสิ่งที่เป็นความจริง แล้วทั้งสองนั้นก็จะสาบานต่ออัลลอฮฺ เพื่อให้เห็นว่าการเป็นพยานของเราต่อการโกหกและการบิดเบือนของพวกเขาทั้งสองนั้น เป็นความจริงยิ่งไปกว่าการเป็นพยานของเขาทั้งสองที่บอกว่าเขาทั้งสองนั้นมีความสัจจะและไว้วางใจได้ และเรานั้นก็มิได้สาบานเท็จ แน่นอนหากเรานั้นเป็นพยานเท็จ เราก็จะอยู่ในหมู่ผู้อธรรมที่ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮฺ

(108) จากการให้คำ(สาบาน)ของพยานทั้งสอง ภายหลังจากการละหมาด ตอนที่มีข้อสงสัยในการเป็นพยานของเขาทั้งสองดังที่กล่าวมานั้น และจากคำให้การของพวกเขาทั้งสอง หากมันมีความใกล้เคียงกับข้อพิสูจน์ของเขาทั้งสองที่ได้นำมันมาเป็นพยานหลักฐานที่ตรงตามข้อบัญญัติของการนำมาซึ่งข้อพิสูจน์พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับมัน ดังนั้นพวกเขาจะไม่บิดเบือนพยานหลักฐานหรือเปลี่ยนแปลงมันหรือทรยศมัน และใกล้ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขากลัวว่า การที่ทายาทนั้นจะกลับมาโต้แย้งคำสาบานหลังจากการให้คำสาบานของพวกเขาทั้งสอง แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็จะสาบานโดยการให้คำให้การที่ตรงกันข้ามที่แตกต่างไปจากสิ่งที่พวกเขาทั้งสองได้ให้คำให้การเอาไว้ และแล้วคำสาบานของเขาทั้งสองมันก็ถูกปฏิเสธไป และจงยำเกรงอัลลอฮฺต่ออัลลอฮฺเถิด ด้วยการละทิ้งการโกหกและการกลับกลอกในการเป็นพยานและการให้คำสาบาน และจงสดับฟังในสิ่งที่พวกเจ้านั้นถูกสั่งใช้ให้สดับฟังมันจนมันกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงแนะนำพวกที่เป็นผู้ละเมิดที่ออกไปจากการเชื่อฟังของพระองค์

(109) จงนึกถึงเถิด โอ้มนุษย์ วันที่อัลลอฮฺจะทรงชุมนุมบรรดาเราะซูล แล้วตรัสแก่พวกเขาว่า : ประชาชาติของพวกเจ้าได้ตอบรับสิ่งใดบ้างจากสิ่งที่เราได้มอบหมายให้พวกเจ้าส่งถึงไปยังพวกเขา? พวกเขาต่างกล่าวโดยมอบหมายทุกอย่างว่า สุดแล้วแต่พระองค์: ข้าพระองค์ไม่มีความรู้ใด ๆ แท้จริงแล้ว พระองค์เท่านั้นที่ทรงรู้ดีแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น โอ้พระผู้ทรงอภิบาลของเรา แท้จริงพระองค์คือผู้เดียวเท่านั้นที่รอบรู้ถึงสิ่งเร้นลับทั้งหลาย

(110) จงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺ ตรัสแก่อีซา อลัยฮิสลาม ว่า : โอ้อีซาบุตรของมัรฺยัมว่า จงรำลึกถึงความโปรดปรานของข้าที่มีต่อเจ้า ขณะที่ข้านั้นได้สร้างเจ้าขึ้นมาโดยที่ไม่มีบิดา และจงรำถึงความโปรดปรานของข้าที่มีต่อมารดาของเจ้า ขณะที่ข้านั้นได้เลือกนางไว้เหนือบรรดาหญิงในยุคของนาง และจงรำลึกถึงสิ่งที่ข้านั้นได้โปรดปรานมันต่อเจ้า ขณะที่ข้าได้ทำให้เจ้ามีความเข้มแข็ง ด้วยญิบรีล อลัยฮิสลาม ทำให้เจ้านั้นพูดกับผู้คนได้ ทั้ง ๆ ที่เจ้านั้นยังเป็นทารกอยู่ โดยเชิญชวนเรียกร้องพวกเขาให้ไปสู่อัลลอฮฺ และเช่นเดียวกันให้พูดกับพวกเขาในขณะช่วงวัยกลางคนของเจ้า ในสิ่งที่ข้านั้นได้ส่งเจ้าพร้อมกับมันไปยังพวกเขา และจากสิ่งที่ข้าได้โปรดปรานมันให้แก่เจ้า คือการที่ข้าได้สอนการขีดเขียนแก่เจ้า และข้าได้สอนเจ้าซึ่งคัมภีร์อัต-เตารอตที่มันได้ถูกประทานลงมาให้แก่มูซา อลัยฮิสลาม และคัมภีร์อัล-อินญีลที่ได้ประทานลงมาให้แก่เจ้า และข้าก็ได้สอนเจ้าถึงจุดมุ่งหมายแห่งบัญญัติศาสนา ประโยชน์ของมัน และวิทยปัญญาของมัน และจากสิ่งที่ข้าได้โปรดปรานมันให้แก่เจ้า คือการที่เจ้านั้นปั้นรูปจากดินขึ้นมาดั่งรูปนก จากนั้นเจ้าก็เป่าเข้าไปในรูปนกนั้น แล้วมันก็กลายเป็นนก และได้ให้เจ้ารักษาคนที่ตาบอดตั้งแต่กำเนิด และคนที่เป็นโรคผิวหนังนั้นหายดี ด้วยอนุมัติของข้า และการที่เจ้าได้ทำให้บรรดาคนตายนั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยกับคำขอพรของเจ้าต่ออัลลอฮฺ ทุกอย่างล้วนแล้วด้วยการอนุมัติของข้า และจากสิ่งที่ข้าได้โปรดปรานมันให้แก่เจ้า คือการที่ข้าได้ยับยั้งและหันเหวงศ์วานอิสรออีลออกจากเจ้า โดยที่พวกเขานั้นจงใจจะฆ่าเจ้า ครั้นเมื่อตอนที่เจ้าได้นำบรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเขา แล้วพวกเขาก็มิได้เชื่อเว้นแต่เป็นผู้ที่ปฏิเสธมัน และพวกเขาก็กล่าวว่า สิ่งนี้ที่อีซานำมันมานั้น มิใช่สิ่งอื่นใด นอกจากมายากลอันชัดแจ้งเท่านั้น

(111) และจงรำลึกถึงสิ่งที่ข้านั้นได้โปรดปรานมันให้แก่เจ้า การที่ข้าได้มอบความง่ายดายแก่เจ้า ครั้งที่ข้าได้ดลใจแก่อัลฮะวารียินว่าจงศรัทธาต่อข้าและต่อเจ้า แล้วพวกเขาก็น้อมรับและตอบสนองมัน และพวกเขากล่าวว่า พวกข้าพระองค์ศรัทธากันแล้ว และโอ้พระผู้ทรงอภิบาลของเรา โปรดได้ทรงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกข้าพระองค์นั้น เป็นผู้สวามิภักดิ์ยอมจำนนต่อพระองค์

(112) และจงรำลึกถึงขณะที่อัล-ฮะวารียูนนั้นกล่าวว่า : พระเจ้าของท่านมีความสามารถไหม ครั้นเมื่อเจ้าขอพรจากพระองค์ โดยการทำให้สำรับอาหารนั้นลงมาจากฟากฟ้า? แล้วอีซา อลัยฮิสลาม ก็ได้ตอบแก่พวกเขา ด้วยสั่งใช้ให้พวกเขาจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺและละทิ้งในสิ่งที่พวกเขานั้นได้ถามถึง เพราะว่าสิ่งนั้นมันจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายแก่พวกเขา และเขาก็ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า : พวกเจ้าจงมอบหมายต่อพระผู้ทรงอภิบาลของพวกเจ้าเถิดในการขอปัจจัยยังชีพ หากพวกเจ้าเป็นบรรดาที่ผู้ศรัทธา

(113) บรรดาอัล-ฮะวารียูนนั้นได้กล่าวแก่อีซาว่า : พวกเราเพียงแค่ต้องการที่จะบริโภคจากสำรับอันนี้ และเพื่อที่จะทำให้หัวใจของพวกเรานั้นสงบด้วยกับความสามารถของอัลลอฮฺอันครบถ้วนสมบูรณ์ และก็เพื่อที่พวกเราจะได้รู้ว่า ท่านนั้นคือเราะซูลของพระองค์ และเราก็จะได้รับรู้อย่างมั่นใจว่าท่านนั้นได้พูดจริงแก่พวกเรา ในสิ่งที่ท่านนั้นได้นำพามันมาจากอัลลอฮฺ และที่พวกเราจะได้เป็นพยานยืนยันในเรื่องนั้นแก่ผู้อื่นที่ไม่ได้มาร่วม

(114) แล้วอีซาก็ได้ตอบรับคำขอของพวกเขา และเขาก็ได้ขอพรต่ออัลลอฮฺโดยกล่าวว่า : โอ้พระผู้ทรงอภิบาลของเรา โปรดได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเรา ซึ่งสำรับอาหารด้วยเถิด เราจะได้นำวันที่มันลงมาตั้งเป็นวันรื่นเริง พวกเราก็จะทำให้มันเป็นวันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นการขอบคุณแก่พระองค์ และมันก็จะเป็นสัญญาณหนึ่งและหลักฐานหนึ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์ และบ่งบอกถึงความจริงที่ฉันนั้นได้ถูกส่งมาด้วยกับมัน และโปรดได้ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเราด้วยเถิด มันจะคอยช่วยเหลือพวกเราในการเคารพอิบาดะฮ์ต่อพระองค์ และพระองค์นั้น โอ้ผู้อภิบาลของเรา คือผู้ที่ดีเยี่ยมในหมู่ผู้ประทานปัจจัยยังชีพทั้งหลาย

(115) แล้วอัลลอฮฺก็ทรงตอบรับการขอพรของอีซา อลัยฮิสลาม และตรัสว่า : แท้จริงข้าเป็นผู้ที่ประทานซึ่งสำรับอันนี้ ที่พวกเจ้านั้นได้ขอให้มันถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้า แล้วผู้ใดที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากการลงมาของมัน เขาก็อย่าได้โทษใครเว้นแต่ตัวของเขาเอง แน่นอนข้าจะลงโทษเขา ซึ่งเป็นการลงโทษที่หนักหน่วง ที่ข้าไม่เคยลงโทษผู้ใดมาก่อน เพราะว่าเขานั้นได้เห็นข้อพิสูจน์อันแจ่มแจ้งแล้ว ดังนั้นการปฏิเสธของเขานั้นคือการปฏิเสธที่ดื้อดึง และอัลลอฮฺก็ได้ทรงทำให้สัญญาของพระองค์แก่พวกเขานั้นเป็นจริง แล้วก็ทรงประทานมันลงมาให้แก่พวกเขา

(116) และจงรำลึกถึงขณะที่อัลลอฮฺ จะทรงตรัสในวันกิยามะฮฺ โดยการสนทนากับอีซาบุตรของมัรยัม อลัยฮิสสลาม ว่า : โอ้อีซาบุตรของมัรยัม เอ๋ย เจ้าได้พูดแก่ผู้คนกระนั้นหรือว่า : จงยึดถือฉันและมารดาของฉันเป็นที่เคารพสักการะทั้งสองอื่นจากอัลลอฮฺ? แล้วอีซาก็ตอบโดยกล่าวให้ความบริสุทธิ์แด่พระผู้อภิบาลของเขาว่า : มันไม่จำเป็นเลยสำหรับข้าพระองค์ที่จะต้องบอกกล่าวแก่พวกเขาเว้นเสียแต่ความจริง หากข้าพระองค์เคยกล่าวสิ่งนั้น แน่นอนพระองค์ย่อมรู้มันดี เพราะว่าแท้จริงแล้วไม่มีสิ่งใดที่สามารถซุกซ่อนต่อพระองค์ได้ พระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของพระองค์ แท้จริงพระองค์ผู้เดียวที่ทรงรอบรู้ในทุก ๆ สิ่งที่เร้นลับ ในทุก ๆ สิ่งที่ซุกซ่อน และในทุก ๆ สิ่งที่เปิดเผย

(117) อีซาได้กล่าวแก่พระผู้อภิบาลของเขาว่า : ข้าพระองค์มิได้กล่าวแก่ผู้คนเลย นอกจากสิ่งที่พระองค์ได้สั่งใช้ข้าพระองค์เท่านั้น ด้วยกับคำพูดของเขาที่ว่า สั่งใช้ให้พวกเขานั้นมอบความเป็นเอกะต่อพระองค์ในการเคารพสักการะ และข้าพระองค์ก็ได้เฝ้าดูถึงสิ่งที่พวกเขากำลังพูดในระยะเวลาที่ข้าพระองค์อยู่ในหมู่พวกเขา แล้วครั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงทำให้เวลาการใช้ชีวิตของข้าพระองค์กับพวกเขาสิ้นสุดลง ด้วยการที่ยกข้าพระองค์ไปยังฟากฟ้าโดยที่มีชีวิตอยู่ โอ้พระผู้ทรงอภิบาล พระองค์ท่านก็เป็นผู้เก็บรักษาซึ่งการงานของพวกเขา และพระองค์ทรงเป็นสักขีพยานในทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่มันจะหากหายไปจากพระองค์ได้ ดังนั้นมันมิอาจซุกซ่อนต่อพระองค์ได้เลย สิ่งที่ข้าพระองค์นั้นได้กล่าวไว้แก่พวกเขาและสิ่งที่พวกเขานั้นได้กล่าวไว้ภายหลังจากข้าพระองค์

(118) หากพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขา โอ้พระผู้ทรงอภิบาล แท้จริงพวกเขาก็คือบ่าวของพระองค์ พระองค์นั้นสามารถกระทำต่อพวกเขาได้เลยตามสิ่งที่พระองค์ประสงค์ และหากพระองค์จะทรงโปรดปรานแก่ผู้ใดคนหนึ่งที่เป็นผู้ศรัทธาที่มาจากพวกเขาด้วยการอภัยโทษ ดังนั้นก็ไม่มีใครหรอกที่ห้ามปรามพระองค์จากสิ่งนั้นได้ และแท้จริงพระองค์ท่านคือ ผู้ทรงเดชานุภาพที่ไม่มีวันพ่ายแพ้ เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการบริหารจัดการของพระองค์เอง

(119) อัลลอฮฺ ทรงได้ตรัสแก่อีซา อลัยฮิสลามว่า : นี่แหละคือวันที่ความสัตย์จริงของพวกเขาจะอำนวยประโยชน์แก่บรรดาผู้ที่สัตย์จริงในเจตนา ในการงาน และในคำพูด พวกเขาจะได้รับบรรดาสวนสวรรค์ที่มีธารน้ำไหลรินจากทางด้านใต้ของบรรดาราชวังและต้นไม้ของมัน โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล ความตายก็จะไม่มาประสบกับพวกเขา อัลลอฮฺทรงพอพระทัยในพวกเขา พระองค์จะไม่มีวันโกรธกริ้วต่อพวกเขาไปตลอดกาล และพวกเขาก็พึงพอใจในพระองค์ ก็เพราะสิ่งที่พวกเขาได้รับมันมาจากความสุขที่นิรันดร ผลตอบแทนและความพึงพอใจต่อพวกเขาอันนี้คือ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ดั้งนั้นไม่มีชัยชนะใดที่เทียบเท่ากับมันเลย

(120) แด่อัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้น อำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน ดังนั้นพระองค์คือผู้สร้างและเป็นผู้บัญชาการกิจการของมันทั้งสอง และแด่พระองค์เช่นเดียวกันมีอำนาจเหนือทุกๆสิ่งที่อยู่ในนั้น ซึ่งจากสิ่งที่ถูกสร้างมาทั้งหมด และพระองค์คือผู้ที่ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางพระองค์ได้