(1) นี่คือสูเราะฮฺหนึ่งที่เราได้ประทานมันลงมา และเราได้กำหนดเป็นข้อบังคับให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของมัน และเราได้ประทานลงมาในสูเราะฮนั้นซึ่งสัญญาณต่างๆ(ที่บ่งบอกถึงสัจธรรม)อันชัดแจ้ง เพื่อพวกเจ้าจักได้รำลึกใคร่ครวญถึงบทบัญญัติที่อยู่ในนั้น แล้วพวกเจ้าจะได้ปฏิบัติตามมัน
(2) หญิงโสดและชายโสดที่ผิดประเวณีนั้น พวกเจ้าจงเฆี่ยนทั้งสองคนนั้นคนละหนึ่งร้อยที และอย่าให้ความเมตตาสงสารต่อทั้งสองยับยั้งการกระทำของพวกเจ้า โดยทำให้พวกเจ้าไม่ตัดสินลงโทษหรือลดโทษแก่เขาทั้งสองนั้นเป็นอันขาด หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และจงให้กลุ่มหนึ่งของบรรดาผู้ศรัทธาเป็นพยานในการลงโทษทั้งสอง เพื่อเป็นการเปิดเผยการลงโทษทั้งสองและเป็นการยับยั้งสำหรับเขาทั้งสองและคนอื่นๆ
(3) เพราะความขยะแขยงของการผิดประเวณี อัลลอฮฺจึงได้ทรงกล่าวว่า ชายที่คุ้นเคยกับการทำซินาเขาไม่ต้องการจะสมรสกับใครนอกเสียจากหญิงที่ทำซินาเหมือนกับเขาหรือกับหญิงมุชริกะฮฺที่ไม่คอยระวังการทำซินาทั้งๆ ที่ไม่อนุญาติให้สมรสกับนางอยู่แล้ว และหญิงที่คุ้นเคยกับการทำซินานางไม่ต้องการจะสมรสกับใครนอกเสียจากชายที่ทำซินาเหมือนกับนางหรือชายมุชริกที่ไม่คอยระวังการทำซินาทั้งๆ ที่การสมรสของนางกับเขาเป็นที่ต้องห้ามอยู่แล้ว และการสมรสกับชายหญิงที่ทำซินานั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่บรรดาผู้ศรัทธา
(4) และบรรดาผู้ที่ใส่ร้ายบรรดาหญิงบริสุทธิ์ว่าทำซินา (และบรรดาชายบริสุทธิ์ก็เช่นกัน) แล้วพวกเขามิได้นำพยานสี่คนมายืนยันในสิ่งที่พวกเขาได้ใส่ร้ายว่าทำซินานั้น โอ้ บรรดาผู้พิพากษาทั้งหลาย พวกเจ้าจงโบยพวกเขาแปดสิบที และพวกเจ้าอย่ารับการเป็นพยานของพวกเขาเป็นอันขาด ชนเหล่านั้นที่ใส่ร้ายบรรดาหญิงบริสุทธิ์พวกเขาออกนอกกรอบการเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺ
(5) นอกจากบรรดาผู้ที่สำนึกผิดและขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺหลังจากนั้น และพวกเขาปรับปรุงการกระทำของตัวเองให้ดีขึ้น แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงตอบรับการขออภัยโทษและการเป็นพยานของพวกเขา แท้จริงแล้วอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาสำหรับบ่าวของพระองค์ที่สำนึกผิดเสมอ
(6) และบรรดาผู้ชายที่กล่าวหาภรรยาของพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีพยานนอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น ที่ยืนยันว่าสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวหานั้นเป็นความจริง โดยการให้คนๆ หนึ่งในหมู่พวกเขาได้ทำการยืนยันด้วยการกล่าวคำสาบานต่ออัลลอฮฺสี่ครั้ง ด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า แท้จริงเขานั้นเป็นผู้ที่พูดจริงในสิ่งที่เขาได้กล่าวหาว่าภรรยาของเขานั้นทำซินา
(7) แล้วในการสาบานครั้งที่ห้านั้นเขาต้องขอแช่งตัวเองว่าสมควรได้รับการสาปแช่งจากอัลลอฮฺหากเขานั้นเป็นผู้กล่าวเท็จในสิ่งที่เขาได้ใส่ร้ายเธอ
(8) สำหรับนางแล้วก็สมควรที่จะต้องถูกลงโทษ และนางจะพ้นจากการลงโทษนั้นก็ต่อเมื่อนางได้กล่าวคำสาบานต่ออัลลอฮฺสี่ครั้ง ว่าเขาเป็นผู้กล่าวเท็จที่ใส่ร้ายนางว่าทำซินา
(9) แล้วในการสาบานครั้งที่ห้านั้นให้นางแช่งตัวเองว่าความกริ้วของอัลลอฮฺจงมีแด่นางเอง หากเขาเป็นผู้ที่พูดจริงในสิ่งที่เขาได้กล่าวหานางไว้
(10) โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย และหากมิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺแก่พวกเจ้า และความเมตตาของพระองค์ต่อพวกเจ้าแล้ว โดยที่พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษให้แก่บ่าวของที่พระองค์ที่ขอการอภัยโทษ เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการจัดการและการบัญญัติศาสนา แน่นอนพระองค์จะทรงลงโทษพวกเจ้าด้วยเพราะบาปของพวกเจ้าอย่างเร่งด่วน และประจานเปิดเผยความผิดของพวกเจ้า
(11) แท้จริงบรรดาผู้ที่นำข่าวเท็จมานั้น (คือข่าวการปรักปรำมารดาแห่งศรัทธาชนท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮา ว่าทำซินา) เป็นกลุ่มหนึ่งที่ขึ้นกับพวกเจ้าเช่นกัน โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าอย่าได้คิดว่ามันเป็นผลร้ายแก่พวกเจ้า แต่ว่ามันเป็นผลดี เพราะในการนี้มีผลบุญเป็นการตอบแทนและเพื่อเป็นการขัดเกลาผู้ศรัทธา และในการนี้เช่นกันเป็นการยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของท่านหญิงอาอิชะฮฺ ทุกคนที่ร่วมกันปรักปรำท่านหญิงอาอิชะฮฺว่าทำซินานั้นจะถูกตอบแทนในสิ่งที่เขาได้ขวนขวายไว้จากการทำบาปที่ได้พูดเท็จ และผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในเรื่องนี้ เขาผู้นั้นจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์ ซึ่งหมายถึง ผู้นำบรรดามุนาฟิกีน อับดุลลอฮฺ บิน อุบัยฺ อิบนุ สะลูล
(12) เมื่อได้ยินข่าวเท็จอันยิ่งใหญ่นี้ ทำไมบรรดามุอฺมินีนและบรรดามุอฺมินะฮ จึงไม่คิดถึงความปลอดภัยของผู้ที่โดนกล่าวเท็จนั้นซึ่งเป็นพี่น้องร่วมศรัทธาของเขาเอง และกล่าวว่า นี่เป็นเรื่องโกหกอย่างชัดแจ้ง
(13) ทำไมบรรดาผู้ที่ใส่ร้ายมารดาแห่งศรัทธาชนท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮา ถึงไม่นำพยานสี่คนมาเพื่อเป็นการยืนยันถึงข้อเท็จจริงในสิ่งที่พวกเขาอ้างไว้ หากพวกเขาไม่นำพยานสี่คนมายืนยันเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว (ซึ่งพวกเขาไม่สามารถที่จะนำมาได้) ดังนั้นชนเหล่านั้น ณ อัลลอฮฺ คือกลุ่มชนผู้กล่าวเท็จ
(14) และหากมิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺและความเมตตาของพระองค์แก่พวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย)โดยที่พระองค์ไม่ทรงรีบร้อนในการลงโทษพวกเจ้า และได้ตอบรับผู้ที่กลับตัวกลับใจในหมู่พวกเจ้าแล้ว แน่นอนพวกเจ้าต้องประสบกับการลงโทษอย่างมหันต์ ในสิ่งที่พวกเจ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวในการกล่าวเท็จและใส่ร้ายต่อมารดาแห่งศรัทธาชนท่านหญิงอาอิชะฮฺ
(15) (จงรู้เถิด)ตอนที่พวกเจ้าได้เล่าและแพร่ขยายเรื่องเท็จนี้ระหว่างพวกเจ้าด้วยกันทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องเท็จ ซึ่งพวกเจ้าพูดกันในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้ และคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็ก แต่ ณ อัลลอฮฺนั้น มันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะในนั้นมีการกล่าวเท็จและปรักปรำผู้บริสุทธิ์
(16) และตอนที่พวกเจ้าได้ยินถึงการกล่าวร้ายนั้น ทำไมพวกเจ้าจึงไม่กล่าวว่า "มันไม่บังควรที่เราจะพูดถึงเรื่องน่ารังเกียจนี้ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ผู้เป็นพระผู้อภิบาลของเรา นี่คือสิ่งที่พวกเขาได้ปรักปรำท่านหญิงอาอีชะฮฺซึ่งถือว่ามันเป็นการกล่าวเท็จอย่างมหันต์"
(17) อัลลอฮฺได้ตักเตือนพวกเจ้า เพื่อมิให้พวกเจ้ากลับไปทำเช่นการกล่าวร้ายแบบนี้อีก โดยการปรักปรำผู้บริสุทธิ์ว่าทำความชั่ว (ผิดประเวณี) หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
(18) และอัลลอฮฺทรงชี้แจงโองการทั้งหลายอย่างชัดเจนแก่พวกเจ้าที่ครอบคลุมถึงบทบัญญัติและข้อตักเตือนต่างๆ ของพระองค์ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงการกระทำของพวกเจ้า โดยไม่มีสิ่งใดจะถูกปกปิดซ่อนเร้นจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าในสิ่งที่ได้กระทำไว้ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการจัดการและการบัญญัติ
(19) แท้จริงบรรดาผู้ที่ชอบเผยแพร่ความชั่วในหมู่ผู้ศรัทธานั้น เช่น การแพร่เรื่องการปรักปรำผู้อื่นว่าทำซินา พวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างเจ็บปวดในโลกนี้ด้วยการลงโทษพวกเขา (โบยแปดสิบที) และในโลกหน้าพวกเขาจะถูกลงโทษด้วยไฟนรก และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวเท็จไว้ และบั้นปลายการงานของบ่าวของพระองค์ และพระองค์ทรงรอบรู้ถึงผลประโยชน์ของพวกเขา และพวกเจ้าไม่รู้ถึงสิ่งนั้นเลย
(20) โอ้บรรดาผู้กล่าวเท็จทั้งหลาย หากมิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺแก่พวกเจ้าและความเมตตาของพระองค์ และหากอัลลอฮฺไม่เป็นผู้ทรงเอ็นดู ผู้ทรงเมตตาแก่พวกเจ้าแล้ว แน่นอนพระองค์จะทรงเร่งรีบในการลงโทษพวกเจ้าโดยทันที
(21) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและทำตามบทบัญญัติของพระองค์เอ๋ย พวกเจ้าอย่าปฎิบัติตามวิถีต่างๆของชัยฏอน ที่เขาได้ทำให้เกิดการหลงใหลในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง และผู้ใดปฎิบัติตามวิถีต่างๆของชัยฏอน แท้จริงมันจะใช้ให้ทำสิ่งที่น่ารังเกียจที่มาจากคำพูดและจากการกระทำและใช้ให้ทำในสิ่งที่ศาสนาได้ห้ามไว้ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย และหากมิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮฺแก่พวกเจ้า ก็จะไม่มีผู้ใดเลยในหมู่พวกเจ้าจะชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ถึงแม้ด้วยการขอเตาบะฮฺก็ตาม แต่อัลลอฮฺจะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ได้รับความบริสุทธิ์ด้วยการตอบรับการเตาบะฮฺของเขา และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินในคำพูดต่างๆของพวกเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ในการกระทำต่างๆของพวกเจ้า และไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการงานที่ได้กระทำไว้
(22) และผู้มีเกียรติในศาสนาและผู้มั่งมีในทรัพย์สินเงินทอง อย่าได้สาบานที่จะไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ญาติสนิทที่มีความจำเป็นเพราะความยากจนของพวกเขาที่เป็นผู้อพยพในหนทางของอัลลอฮฺ เพราะความผิดที่พวกเขาได้กระทำไว้ จงอภัยและยกโทษในความผิดของพวกเขา พวกเจ้าไม่ชอบหรือที่จะให้อัลลอฮฺได้ทรงอภัยให้แก่พวกเจ้าเมื่อพวกเจ้าได้ให้อภัยและยกโทษแก่พวกเขา และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยแก่บ่าวของพระองค์ที่กลับตัว ผู้ทรงเมตตาแก่พวกเขาเสมอ ฉะนั้นผู้เป็นบ่าวของพระองค์ควรยึดพระองค์เป็นตัวอย่าง อายะฮฺนี้ถูกประทานลงมาเมื่อครั้งที่อบูบักรฺ อัซ-ซิดดีด เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ ได้สาบานที่จะล้มเลิกให้ความช่วยเหลือ แก่มิสเตาะฮฺที่เขาได้เข้าร่วมกันกล่าวเท็จ(ใส่ร้ายท่านหญิงอาอีชะฮฺ)
(23) แท้จริงบรรดาผู้ปรักปรำใส่ร้ายบรรดาหญิงบริสุทธิ์ หญิงผู้ศรัทธาที่หัวใจของพวกนางไม่มีแม้จะคิดเรื่องการผิดประเวณี พวกเขา(ที่ใส่ร้ายนั้น)จะไกลห่างจากความเมตตาของอัลลอฮฺทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์ในโลกหน้า
(24) พวกเขาจะได้รับการลงโทษในวันปรโลก วันที่ลิ้นของพวกเขาจะเป็นพยานยืนยันต่อพวกเขาตามที่พวกเขาได้พูดเท็จมา มือของพวกเขา และเท้าของพวกเขา จะเป็นพยานยืนยันต่อพวกเขาตามที่พวกเขาได้กระทำไว้
(25) ในวันนั้นอัลลอฮฺจะทรงตอบแทนพวกเขาตามส่วนที่พวกเขาจะต้องได้รับโดยครบอย่างยุติธรรม และพวกเขาจะรู้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮู วะตะอาลานั้น พระองค์คือผู้ทรงสัจจะ ทุกอย่างที่มาจากพระองค์ ทั้งที่เป็นเรื่องราว หรือคำสัญญาการตอบแทนความดี หรือคำสัญญาการลงโทษ ทั้งหมดนั้นเป็นความจริง ชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยใดๆ
(26) ทุกสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่เป็นชายหรือหญิง จะเป็นคำพูดหรือการกระทำ ล้วนแล้วจะเหมาะสมและคู่ควรกับสิ่งที่ไม่ดีนั้นๆ และทุกสิ่งที่ดีจากสิ่งเหล่านั้นก็จะเหมาะสมและคู่ควรกับสิ่งที่ดี บรรดาคนดีเหล่านั้นทั้งชายและหญิงพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ จากสิ่งที่เหล่าคนชั่วทั้งชายและหญิงได้กล่าวใส่ร้ายต่อพวกเขา สำหรับพวกเขา (คนดี) จะได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮฺ พระองค์จะอภัยโทษบาปของพวกเขาและสำหรับพวกเขาจะได้รับเครื่องยังชีพอันมีเกียรติ นั้นก็คือสรวงสวรรค์ของอัลลอฮฺ
(27) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และทำตามบทบัญญัติของพระองค์เอ๋ย พวกเจ้าอย่าเข้าไปในบ้านใดบ้านหนึ่ง อื่นจากบ้านของพวกเจ้า จนกว่าจะขออนุญาตจากเจ้าของบ้านเสียก่อน ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาพวกเขา และให้สลามแด่พวกเขาโดยการกล่าวสลามและขออนุญาต (อัส-สะลามุ อะลัยกุม ฉันเข้าไปได้ไหม?) การขออนุญาตดังกล่าวที่พวกเจ้าถูกสั่งให้ปฏิบัตินั้นเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเจ้าที่จะเดินเข้าไปอย่างกะทันหัน เผื่อว่าพวกเจ้าจะใคร่ครวญในสิ่งที่พวกเจ้าได้ถูกสั่ง แล้วนำไปปฏิบัติตาม
(28) ดังนั้นหากพวกเจ้าไม่พบผู้ใดในบ้านนั้นก็อย่าเข้าไปจนกว่าจะได้รับอนุญาตแก่พวกเจ้าจากผู้ที่มีสิทธิ์ในการให้อนุญาตได้ และเมื่อเจ้าของบ้านกล่าวแก่พวกเจ้าว่า จงกลับไป ก็จงกลับไปและห้ามเข้าไป เพราะการกระทำเช่นนั้นมันจะบริสุทธิ์กว่าสำหรับพวกเจ้า ณ อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเจ้ากระทำ และการกระทำของพวกเจ้าจะไม่ถูกซ่อนไว้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการงานของพวกเจ้า
(29) ไม่ถือเป็นความผิดแก่พวกเจ้าที่จะเข้าไปในสถานที่พักอาศัยสาธารณะที่ไม่ใช่ส่วนบุคคลโดยไม่ต้องขออนุญาต ซึ่งมีไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชน เช่น ห้องสมุด ร้านค้าในตลาด และอัลลอฮฺทรงรู้ดีสิ่งที่พวกเจ้าเปิดเผยจากการกระทำและความเป็นอยู่ของพวกเจ้า และสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดไว้ สิ่งนั้นจะไม่ถูกซ่อนไว้ ณ ที่อัลลอฮฺ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการงานของพวกเจ้า
(30) โอ้เราะสูลเอ๋ย จงกล่าวแก่ชายผู้ศรัทธาทั้งหลายเถิด ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ จากการมองสิ่งที่ไม่อนุญาตให้มอง เช่น ผู้หญิงและเอาเราะฮ์ และให้พวกเขารักษาอวัยวะเพศของพวกเขาไม่ให้ทำในสิ่งที่ต้องห้ามและอย่าเปิดเผยมัน โดยการลดสายตาลงต่ำต่อสิ่งอัลลอฮ์ทรงห้ามไว้และรักษาอวัยวะเพศนั้นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา ณ ที่อัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ ไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาตามที่ได้กระทำไว้
(31) และจงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) แก่บรรดาหญิงผู้ศรัทธา ให้ลดสายตาของพวกนางลงต่ำจากการมองในสิ่งที่ไม่อนุญาตให้พวกนางมอง เช่น เอาเราะฮฺต่างๆ (ส่วนอันพึงปกปิด) และให้พวกนางรักษาอวัยวะเพศของพวกนางด้วยการห่างไกลจากซินา(ผิดประเวณี)และปกปิดร่างกายของพวกนาง และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนางต่อหน้าชายที่สามารถแต่งงานกับพวกนางได้เว้นแต่สิ่งที่เปิดเผยไม่สามารถซ่อนได้เช่นเสื้อผ้า และให้พวกนางดึงผ้าคลุมปิดส่วนบนของเสื้อผ้าเพื่อปกปิดศีรษะ ใบหน้า และลำคอของพวกนาง และอย่าให้นางเปิดเผยเครื่องประดับของพวกนางเว้นแต่แก่สามีของพวกนาง หรือบิดาของพวกนาง หรือบิดาของสามีของนางหรือลูกชายของนาง หรือลูกชายของสามีของพวกนาง หรือพี่ชายน้องชายของพวกนาง หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกนาง หรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกนาง หรือบรรดาผู้หญิงของพวกนางที่ไว้ไจได้ ทั้งทีเป็นหญิงผู้ศรัทธาหรือหญิงผู้ปฏิเสธศรัทธา หรือบรรดาผู้ที่อยู่ในความครอบครองของนาง เช่น ทาสชายและหญิง หรือคนใช้ผู้ชายที่ไร้ความต้องการทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิงเพราะยังเล็กอยู่ และอย่าให้พวกนางกระทืบเท้าของพวกนางเพื่อให้ผู้อื่นรู้ถึงสิ่งที่พวกนางปกปิดจากเครื่องประดับของพวกนาง เช่น ข้อเท้าหรือเครื่องประดับที่ใกล้เคียง โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าทั้งหลายจงขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺเถิด ในสิ่งที่พวกเจ้าได้มองและกระทำสิ่งอื่นๆ เพื่อหวังให้พวกเจ้าได้บรรลุในสิ่งที่ต้องการ และรอดพ้นจากสิ่งที่พวกเจ้าหวาดกลัว
(32) โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงจัดแต่งงานให้แก่ผู้ชายที่ไม่มีภรรยาและผู้หญิงที่ไม่มีสามี และจงจัดแต่งงานให้แก่ผู้ศรัทธาที่เป็นทาสชายและทาสหญิงของพวกเจ้า หากพวกเขายากจน อัลลอฮฺจะทรงให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นจากความโปรดปรานอันไพศาลของพระองค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงไพบูลย์ต่อปัจจัยยังชีพ ปัจจัยยังชีพของพระองค์จะไม่ลดด้วยกับการให้คนหนึ่งคนใดรวย และผู้ทรงรอบรู้ถึงสถานะภาพบ่าวของพระองค์
(33) และบรรดาผู้ที่ยังไม่มีโอกาสแต่งงาน เพราะความยากจนของพวกเขา ก็จงให้พวกเขาสงวนตัวจากการทำผิดประเวณี จนกว่าอัลลอฮฺจะทรงให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นจากความโปรดปรานอันกว้างขวางของพระองค์ และบรรดาผู้ที่ต้องการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสด้วยการจ่ายเงินไถ่ตัวเองนั้น ดังนั้นจำเป็นสำหรับผู้ที่เป็นนายของพวกเขานั้น ตอบรับคำขอของพวกเขาถ้ารู้ว่าพวกเขามีความสามารถในการจ่ายค่าไถ่และประพฤติดีในศาสนา และจำเป็นสำหรับผู้ที่เป็นนายคือบริจาคแก่พวกเขา(ทาส)ซึ่งทรัพย์สมบัติของอัลลอฮฺที่พระองค์ทรงประทานให้ ด้วยการลดค่าไถ่ส่วนหนึ่งให้พวกเขา และพวกเจ้าอย่าบังคับบรรดาทาสหญิงของพวกเจ้าให้ทำผิดประเวณีเพื่อหาเงิน (เหมือนที่อับดุลลอฮฺ บิน อุบัยฺทำกับทาสหญิงของเขาสองคนตอนที่นางทั้งสองได้ขอการสงวนตัวและห่างไกลจากการทำผิดประเวณี) และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าบังคับพวกนางเช่นนั้น แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงอภัยในบาปของพวกนางหลังจากการบังคับนั้นได้เกิดขึ้นแก่พวกนาง และทรงเมตตาแก่พวกนาง เพราะพวกนางถูกบังคับ และบาปนั้นจะตกอยู่กับผู้ที่บังคับพวกนาง
(34) และโดยแน่นอน เราได้ประทานโองการต่าง ๆ อันชัดแจ้งโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ แก่พวกเจ้าแล้ว (โอ้ มนุษย์เอ๋ย ) และเราได้ประทานอุทาหรณ์จากบรรดาผู้ได้ล่วงลับไปก่อนพวกเจ้าจากบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธศรัทธา และเราได้ประทานข้อตักเตือนเพื่อเตือนแก่บรรดาผู้ยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาโดยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้และหลีกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์
(35) อัลลอฮฺทรงเป็นแสงสว่างแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและเป็นผู้ชี้นำแก่ทุกสิ่งที่อยู่ในทั้งสอง แสงสว่างของพระองค์ในดวงใจของผู้ศรัทธานั้น เสมือนดัง (แสงสว่างของ) ตะเกียงในช่องผนังที่ไม่มีช่องทะลุ ตะเกียงนั้นอยู่ในโคมแก้วที่เรืองแสง เสมือนดวงดาวที่ประกายแสง และตะเกียงนั้นได้ถูกจุดจากน้ำมันของต้นไม้ที่มีความจำเริญคือต้นมะกอก ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ไม่มีสิ่งใดๆจะบดบังมันจากแสงอาทิตย์ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น ด้วยความใสบริสุทธิ์ของน้ำมันนั้น มันเกือบจะส่องแสงออกมาด้วยตัวของมันเองถึงแม้ว่าจะไม่มีไฟจุดมันก็ตาม แล้วถ้ามันโดนไฟจุดขึ้นมา มันจะเป็นอย่างไร?! แสงสว่างของตะเกียงซ้อนแสงสว่างของโคมไฟ และนี่เหละคือดวงใจของผู้ศรัทธาเมื่อใดที่ถูกส่องด้วยแสงฮิดายะฮฺ และอัลลอฮฺทรงให้ความง่ายดายในการปฏิบัติตามคัมภีร์อัลกรุอ่านให้กับบ่าวของพระองค์ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺทรงชี้ชัดสิ่งต่างๆ ด้วยสิ่งที่คล้ายคลึงกันเพื่อมนุษย์ได้เกิดความกระจ่างโดยการยกอุทาหรณ์ทั้งหลายมา และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง จะไม่มีสิ่งใดที่จะถูกซ่อนไว้
(36) โคมไฟนี้จะสว่างไสวในมัสยิดต่างๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงบัญชาให้เคารพและสร้างมันขึ้นมา และรำลึกพระนามของพระองค์ในมัสยิดด้วยการอาซาน การรำลึกพระองค์ และการละหมาด โดยการละหมาดในมัสยิดนั้นเพื่อหวังความพอพระทัยของพระองค์ ทั้งในยามเช้าและยามพลบค่ำ
(37) บรรดาชายที่การซื้อขายมิได้ทำให้พวกเขาหันห่างออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮฺ การดำรงละหมาดอย่างสมบูรณ์ และการจ่ายซะกาตให้กับกลุ่มเป้าหมายของมัน เพราะพวกเขากลัววันกิยามะฮฺ (วันปรโลก) วันที่หัวใจผันผวนระหว่างความหวังที่อยากให้รอดจากการลงโทษและการเกรงกลัวมัน และเป็นวันที่สายตาจะเหลือกลานไปในทุกทิศทาง
(38) พวกเขาได้กระทำสิ่งนั้นเพื่อที่จะให้อัลลอฮฺได้ทรงตอบแทนการกระทำของพวกเขาอย่างดีเยี่ยม และพระองค์จะทรงเพิ่มการตอบแทนให้พวกเขาอีกจากความโปรดปรานของพระองค์ และอัลลอฮฺทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์โดยปราศจากการคำนวณถึงปริมาณการกระทำของพวกเขา แต่จะทรงตอบแทนพวกเขาหลายเท่าตัวในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้
(39) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น การงานของพวกเขาที่ได้กระทำไว้จะไม่มีผลตอบแทนใดๆ เปรียบเสมือนภาพลวงตาบนดินที่ราบต่ำ ซึ่งคนกระหายน้ำคิดว่ามันเป็นแอ่งน้ำ แล้วเดินไปหามันจนกระทั้งพวกเขามาถึงมันและได้ยืนดูใกล้ๆ มันแต่กลับไม่พบน้ำเลย และผู้ปฏิเสธศรัทธาก็เช่นเดียวกัน เขาคิดว่าการงานของเขาจะเป็นประโยชน์แก่เขา จนกระทั่งเมื่อเขาได้ตายไปและถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมา เขาจะไม่ได้รับผลตอบแทนของมันเลย และเขาได้พบพระผู้อภิบาลของเขา (อัลลอฮฺ) ทรงอยู่ประจันหน้าเขา แล้วพระองค์ทรงตอบแทนบัญชีการงานของเขาอย่างครบครัน และอัลลอฮฺนั้นทรงฉับพลันในการตอบแทน
(40) หรือการงานของพวกเขา (บรรดาผู้ปฏิเสธ) เปรียบเสมือนความมืดมนทั้งหลายในท้องทะเลลึก ที่มีคลื่นซ้อนคลื่นท่วมมิดตัวเขาและเบื้องบนของคลื่นนั้นก็มีเมฆหนาทึบปิดกันการมองเห็นดวงดาวต่างๆที่ใช้ไว้นำทาง เป็นความมืดมนที่ซ้อนกันต่อเป็นชั้นๆ ซึ่งเมื่อผู้ที่อยู่ในความมืดมนนี้ได้เอามือของเขาออกมา เขาแทบจะมองไม่เห็นมันเลย เนื่องด้วยความมืดที่ทึบมาก และผู้ปฏิเสธศรัทธาก็เป็นเช่นนี้เเหละ โดยที่ความมืดมนแห่งความอวิชา ความสงสัย ความสับสนและการประทับตราลงบนหัวใจของเขาได้ทับถมอยู่ในตัวเขา และผู้ใดที่อัลลอฮฺไม่ประสงค์ให้เขาได้รับทางนำเพื่อให้ออกจากการหลง และรับรู้ถึงคัมภีร์ของพระองค์ ดังนั้นจะไม่มีทางนำสำหรับเขาที่จะชี้ทางให้แก่เขา และจะไม่มีคัมภีร์ใดที่จะทำให้เขาได้รับแสงสว่าง
(41) โอ้ เราะสูลเอ๋ย เจ้าไม่เห็นหรอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้น คือพระองค์ผู้ซึ่งที่ทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และนกที่กางปีกกลางอากาศอยู่นั้น ต่างก็แซ่ซ้องสดุดีพระองค์ ซึ่งทั้งหมดนั้น อัลลอฮฺให้เขารู้ถึงการสวดวิงวอนของเขา เช่น มนุษย์ และการแซ่ซ้องสดุดีของเขา เช่น นก และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ การกระทำของพวกเขาทุกอย่างจะไม่ถูกซ่อนไว้ ณ ที่อัลลอฮฺ
(42) และการครอบครองทั้งหมดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้เดียว และยังอัลลอฮฺพระองค์เดียวที่ทั้งหมดต้องกลับไปหาในวันปรโลกเพื่อพิพากษาและรับผลตอบแทน
(43) โอ้รอสูลเอ๋ย เจ้ามิได้เห็นหรอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงให้เมฆลอย แล้วทรงทำให้ประสานตัวซึ่งกันและกัน แล้วทรงทำให้รวมกันเป็นกลุ่มก้อนซ้อนกัน แล้วเจ้าก็จะเห็นฝนโปรยลงมาจากกลุ่มเมฆนั้น และพระองค์ทรงให้น้ำแข็งเหมือนก้อนหินเล็กๆ ตกลงมาจากฟากฟ้าจากกลุ่มเมฆที่หนาทึบที่ความยิ่งใหญ่ของมันคล้ายภูเขา แล้วพระองค์จะทรงให้ลูกเห็บนั้นหล่นลงมาโดนผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบ่าวของพระองค์ และพระองค์จะทรงให้มันผ่านพ้นไปจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากพวกเขา แสงประกายของสายฟ้าแลบที่สว่างจ้าเกือบจะเฉี่ยวสายตาผู้ที่มองดู
(44) อัลลอฮฺทรงสับเปลี่ยนระหว่างกลางคืนและกลางวันที่ทำให้มีระยะเวลาที่ยาวและสั้น และหมุนเวียนกลับไปกลับมา แท้จริงแล้วสิ่งที่ได้กล่าวมาที่เกี่ยวกับสัญญาณต่างๆจากสัญญาณการเป็นพระผู้ทรงอภิบาลของพระองค์อัลลอฮ(เช่น การสร้าง การมีอำนาจกรรมสิทธิ์ การบริหารจัดการ และอื่นๆทั้งหมดนั้น) เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับบรรดาผู้มีสายตาสังเกตต่อเดชานุภาพของอัลลอฮฺและความเป็นเอกภาพของพระองค์
(45) และอัลลอฮฺทรงให้บังเกิดสัตว์ทุกชนิดที่คืบคลานบนหน้าแผ่นดินจากเชื้ออสุจิ แล้วในหมู่พวกมันจะมีชนิดที่เคลื่อนย้ายด้วยท้องของมัน เช่น งูต่างๆ และในหมู่พวกมันจะมีชนิดที่เดินด้วยสองเท้า เช่น มนุษย์และนก และในหมู่พวกมันจะมีชนิดที่เดินด้วยสี่เท้า เช่น สัตย์สี่ขาทั้งหลาย อัลลอฮฺทรงบังเกิดสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ทั้งที่ได้กล่าวมาและไม่ได้กล่าว แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่จะทำให้พระองค์ล้มเหลวได้
(46) โดยแน่นอน เราได้ประทานแก่มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งโองการต่าง ๆ อันชัดแจ้งที่จะนำพาไปสู่เส้นทางแห่งสัจธรรม และอัลลอฮ์ทรงอนุมัติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์สู่เส้นทางที่เที่ยงตรงไม่โค้งงอ แล้วทางนั้นจะนำพาเขาไปสู่สรวงสวรรค์ของอัลลอฮ์
(47) และบรรดามุนาฟิกีน พวกเขากล่าวกันว่า เราศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อรอสูล และเรายอมจำนนเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอสูลของพระองค์ แล้วหลังจากนั้นส่วนหนึ่งจากพวกเขาก็หันหลังกลับไป ไม่เชื่อฟังคำสั่งของอัลลอฮฺและรอสูลของพระองค์ ว่าด้วยการญิฮาดในหนทางของอัลลอฮฺและเรื่องอื่นๆ หลังจากที่พวกเขาอ้างว่าพวกเขานั้นศรัทธาต่ออัลลอฮและต่อสูลของพระองค์และเชื่อฟังต่อทั้งสอง ชนเหล่านั้นมิใช่ผู้ที่เชื่อฟังของอัลลอฮฺและรอสูลของพระองค์ แต่พวกเขาเพียงอ้างว่าพวกเขานั้นเป็นผู้ศรัทธา
(48) และเมื่อใดที่บรรดามุนาฟิกีนเหล่านี้ถูกเรียกร้องไปยังอัลลอฮฺและรอสูล เพื่อที่ท่านรอสูลจะตัดสินระหว่างพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้โต้เถียงกัน ทันใดนั้นพวกเขาจะผินหลังไม่ตอบรับคำตัดสินของท่าน เพราะความตลบตะแลงของพวกเขา
(49) และเมื่อใดที่พวกเขารู้ว่าความจริงนั้นอยู่กับพวกเขา และเขา (มุหัมมัด) จะตัดสินเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็จะมาหาท่านอย่างนอบน้อมถ่อมตน
(50) ในหัวใจของพวกเขาเหล่านั้นมีโรคเกาะติดกระนั้นหรือ? หรือว่าพวกเขาสงสัยในความเป็นรอสูลของเขา(มุหัมมัด)? หรือว่าพวกเขากลัวว่าอัลลอฮฺและรอสูลของพระองค์จะไม่ยุติธรรมในการตัดสิน? มันไม่ได้เป็นอย่างที่ได้กล่าวมานั้นเลย แต่เป็นเพราะโรคบางอย่างในตัวของพวกเขาเอง เนื่องจากการผินหลังของพวกเขาให้กับคำตัดสินของรอสูล และการดื้อรั้นของพวกเขาที่มีต่อท่าน
(51) แท้จริงคำกล่าวของบรรดาผู้ศรัทธา เมื่อพวกเขาถูกเรียกร้องไปสู่อัลลอฮฺและรอสูลของพระองค์เพื่อที่จะตัดสินระหว่างพวกเขา พวกเขาจะกล่าวว่า เราเชื่อฟังในคำพูดของพระองค์ และเราปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ และผู้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว พวกเขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ
(52) และผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและรอสูลของพระองค์ และยอมจำนนต่อคำตัดสินของทั้งสอง และกลัวสิ่งที่จะได้รับที่เกิดขึ้นจากบาป และยำเกรงบทลงโทษของอัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และหลีกเลี่ยงคำสั่งห้ามของพระองค์ ดังนั้นชนเหล่านั้นเท่านั้น ที่เป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะด้วยสองสิ่งที่ดีทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ
(53) และบรรดามุนาฟิกีนได้สาบานต่ออัลลอฮฺอย่างแข็งขันเท่าที่พวกเขาสามารถสาบานได้ว่า "หากเจ้ามีคำสั่งแก่พวกเขาให้ออกญิฮาด(สู้รบ) แน่นอนพวกเขาก็จะออกไป" โอ้ รอสูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า "พวกเจ้าอย่าสาบานเลย เพราะเรื่องการโกหกของพวกเจ้านั้น เป็นที่รู้กันดี และการเชื่อฟังที่เสแส้รงของพวกเจ้าก็เป็นที่รู้กันดีเช่นกัน แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ และการงานของพวกเจ้าทุกอย่างจะไม่ถูกซ่อนไว้ ณ ที่อัลลอฮฺ ถึงแม้ว่าพวกเจ้าได้ปกปิดมันไว้ก็ตาม
(54) โอ้เราะสูล (มุหัมมัด) จงกล่าวแก่บรรดามุนาฟิกีนเหล่านั้นเถิดว่า พวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังรอสูลทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม หากพวกเจ้าผินหลังให้ในสิ่งที่พวกเจ้าได้ถูกสั่งให้เชื่อฟังอัลลอฮฺและรอสูลแล้ว แท้จริงหน้าที่ของเขา (รอสูล) คือ การเผยแพร่ที่เขาได้ถูกมอบหมายให้ และหน้าที่ของพวกเจ้าคือ การเชื่อฟังที่พวกเจ้าได้ถูกมอบหมายให้และปฏิบัติตามสิ่งที่เขาได้นำมา และหากพวกเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามเขาแล้วด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่เขาสั่งให้ปฏิบัติ และยับยั้งในสิ่งที่เขาได้ห้ามพวกเจ้าไว้ พวกเจ้าก็จะอยู่ในทางที่ถูกต้อง (ฮิดายะฮฺ) และหน้าที่ของรอสูลมิใช่อื่นใด นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้งเท่านั้น ดังนั้นไม่ใช่หน้าที่ของรอสูลในการให้ฮิดายะฮฺแก่พวกเจ้า หรือบังคับพวกเจ้าให้ทำตาม
(55) อัลลอฮฺทรงสัญญากับบรรดาผู้คนในหมู่พวกเจ้าที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และประกอบคุณงามความดีว่า อัลลอฮฺจะทรงให้ความช่วยเหลือพวกเขาเหนือบรรดาศัตรูของพวกเขา และจะทรงให้พวกเขาเป็นตัวแทนสืบช่วงในแผ่นดิน เสมือนดังที่พระองค์เคยทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาก่อนพวกเขาเป็นตัวแทนสืบช่วงในแผ่นดิน และพระองค์ได้สัญญากับพวกเขาว่าจะทรงทำให้ศาสนาของพวกเขาที่พระองค์ทรงโปรดปรานเป็นที่มั่นคงเป็นเกียรติแก่พวกเขา (นั้นก็คือศาสนาอิสลาม) และพระองค์ได้สัญญากับพวกเขาว่าจะทรงเปลี่ยนแปลงพวกเขาจากการใช้ชีวิตที่อยู่ในความหวาดกลัวสู่ความสงบสุข โดยที่พวกเขาเคารพภักดีต่อข้าเพียงองค์เดียว ไม่ตั้งภาคีอื่นใดต่อข้า และผู้ใดปฏิเสธศรัทธาหลังจากได้รับความสุขสบายนั้น ชนเหล่านั้นคือผู้ที่ออกจากการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
(56) และพวกเจ้าจงดำรงการละหมาดอย่างสมบูรณ์ จงจ่ายซะกาตทรัพย์สินของพวกเจ้า และจงเชื่อฟังรอสูลด้วยการทำตามในสิ่งที่ท่านได้สั่งและละทิ้งในสิ่งที่ท่านได้ห้ามไว้ เพื่อหวังให้พวกเจ้านั้นจะได้รับความเมตตาของอัลลอฮ
(57) โอ้ รอสูลเอ๋ย เจ้าอย่าคิดว่า บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺนั้นพวกเขาจะรอดพ้นไปจากข้า (อัลลอฮฺ) เมื่อใดที่ข้าต้องการที่จะลงโทษพวกเขา และที่พำนักของพวกเขาในวันกิยามะฮฺคือ นรก (ญะฮันนัม) และมันชั่งเป็นปลายทางที่ชั่วช้าสำหรับคนที่มีนรกญะฮันนัมเป็นปลายทางของพวกเขา
(58) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และผู้ที่ปฏิบัติตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้เอ๋ย จงให้บรรดาทาสชาย ทาสหญิง และเด็กที่มีอิสรภาพที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะของพวกเจ้า ทำการขออนุญาตพวกเจ้าในสามเวลาคือ ก่อนเวลาละหมาดซุบฮีที่พวกเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนเป็นชุดปกติ เวลาเที่ยงขณะที่พวกเจ้าเปลื้องเสื้อผ้าเพื่อพักผ่อนกลางวัน และเวลาหลังจากละหมาดอิชาอ์เพราะมันเป็นช่วงเวลานอนของพวกเจ้า และเป็นเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดปกติเป็นชุดนอน ทั้งสามเวลานี้เป็นเวลาส่วนตัวสำหรับพวกเจ้า ห้ามมิให้ใครเดินเข้าไปหาพวกเจ้านอกเสียจากได้รับอนุญาตจากพวกเจ้าเสียก่อน และจะไม่เป็นที่ตำหนิแก่พวกเจ้าและพวกเขาที่จะเดินเข้าไปโดยไม่ขออนุญาตในช่วงเวลาอื่นนอกเสียจากสามเวลานี้ เพราะปกติของพวกเขานั้นจะเดินวนเวียนรับใช้บางคนในหมู่พวกเจ้า เลยเป็นการไม่สะดวกที่จะห้ามมิให้พวกเขาเข้ามาในทุกเวลานอกเสียจากด้วยการขออนุญาต ดังที่อัลลอฮ์ได้ทรงชี้แจงบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องการขออนุญาต พระองค์ก็ได้ชี้แจงอายะฮ์ต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงบทบัญญัติต่าง ๆ ที่พระองค์ได้บัญญัติให้พวกเจ้า และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงผลประโยชน์ต่าง ๆ ของปวงบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในการบัญญัติบทบัญญัติต่าง ๆ สำหรับพวกเขา
(59) และเมื่อเด็กๆ ในหมู่พวกเจ้าได้บรรลุศาสนภาวะ ก็จงให้พวกเขาขออนุญาตก่อนจะเข้าบ้านในทุกช่วงเวลา เช่นเดียวกันกับที่ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับผู้ใหญ่ก่อนหน้านี้ ดังที่อัลลอฮฺได้ทรงชี้แจงบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องการขออนุญาตไว้แล้ว พระองค์ก็ได้ชี้แจงอายะฮฺต่างๆ ของพระองค์อีกเช่นกัน และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ผลประโยชน์ของบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติให้กับพวกเขา
(60) และบรรดาหญิงวัยชราที่หมดประจำเดือนและไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกเพราะความชราภาพ ที่ไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานแล้ว มันไม่เป็นการบาปแก่พวกนางที่จะเปลื้องเสื้อผ้าบางส่วนของนางออก อย่างเช่นเสื้อคลุมชั้นนอกและผ้าปิดหน้า โดยที่ไม่ได้ต้องการจะอวดเครื่องประดับของพวกนางที่พวกนางถูกสั่งให้ปกปิดไว้ และหากพวกนางไม่กระทำสิ่งนั้นก็จะเป็นการดีกว่าสำหรับพวกนาง และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยินในคำพูดของพวกเจ้า ผู้ทรงรอบรู้การกระทำของพวกเจ้า จะไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนไว้ ณ ที่อัลลอฮฺ และอัลลอฮฺจะตอบแทนพวกเจ้า
(61) ไม่เป็นบาปอันใดแก่คนตาบอดที่มองไม่เห็น คนพิการ และคนป่วยที่พวกเขาจะละทิ้งข้อบังคับบางอย่างที่พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติได้ เช่นการญิฮาด (ออกรบ) ในหนทางของอัลลอฮฺ และไม่เป็นบาปอันใดเช่นกันแก่ตัวของพวกเจ้า โอ้ ผู้ศรัทธาเอ๋ย ที่จะรับประทานอาหารที่บ้านของพวกเจ้าและบ้านของบรรดาลูกๆ ของพวกเจ้า หรือบ้านของบรรดาพ่อของพวกเจ้า หรือบรรดาแม่ของพวกเจ้า หรือบรรดาพี่ชายน้องชายของพวกเจ้า หรือบรรดาพี่สาวน้องสาวของพวกเจ้า หรือบรรดาลุง อาชายของพวกเจ้า หรือบรรดาป้า อาสาวของพวกเจ้า หรือบรรดาลุง น้าชายของพวกเจ้า หรือบรรดาป้า น้าสาวของพวกเจ้า หรือบ้านที่พวกเจ้าได้รับมอบหมายให้ดูแล เช่น เป็นผู้ดูแลสวน และไม่เป็นบาปอันใดแก่พวกเจ้าที่จะรับประทานอาหารที่บ้านเพื่อนของพวกเจ้า และไม่เป็นบาปอันใดแก่พวกเจ้าที่จะร่วมรับประทานกันเป็นหมู่คณะหรือส่วนตัว ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าจะเข้าไปในบ้านดังกล่าวหรือบ้านอื่นๆ ก็จงกล่าวสลามให้แก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้น โดยกล่าวว่า "อัสสลามมุอะลัยกุม" (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) และถ้าหากไม่มีไครอยู่ในบ้านก็จงให้สลามแก่ตัวของพวกเจ้าเอง โดยกล่าวว่า "อัสสลามุ อะลัยนา วะอะลา อิบาดิลลอฮฺ อัสศอลิฮีน" (ขอความสันติสุขจงมีแด่ตัวเราเองและบ่าวที่ดีของอัลลอฮฺ) ซึ่งเป็นการทักทายอันจำเริญยิ่งจากอัลลอฮฺที่ได้ทรงบัญญัติไว้แก่พวกเจ้า เพราะมันจะทำให้เกิดความรักและความสนิทสนมระหว่างพวกเจ้า และเป็นความดีที่จะทำให้คนที่ได้ยินการให้สลามนั้นรู้สึกยืนดี อัลลอฮฺจะทรงชี้แจงอายะฮฺต่างๆ ให้เป็นที่ชัดแจ้งดังการชี้แจงนี้ที่ได้กล่าวใว้ข้างต้นของซูเราะฮฺ หวังให้พวกเจ้าจะได้ใช้สติปัญญาพิจารณาและปฏิบัติตามสิ่งที่มีอยู่ในนั้น
(62) แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาที่ยึดมั่นในความศรัทธาของพวกเขานั้น พวกเขาคือ บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและศรัทธาต่อรอสูลของพระองค์ และเมื่อพวกเขาได้มาอยู่รวมกันกับท่านนบี มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม เพื่อกิจการใดกิจการหนึ่งที่เป็นประโยชน์แก่บรรดามุสลิมีนทั้งหลายแล้ว พวกเขาจะไม่ผละออกไปจนกว่าพวกเขาจะขออนุญาตจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัมเสียก่อน โอ้ รอสุลเอ๋ย แท้จริงบรรดาผู้ที่ขออนุญาตจากเจ้าขณะที่จะออกไปนั้น เขาเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและรอสูลของพระองค์อย่างแท้จริง ดังนั้นเมื่อพวกเขาขออนุญาตจากเจ้าเพื่อกิจการบางอย่างของพวกเขาแล้ว ก็จงอนุญาตแก่ผู้ที่เจ้าพึงประสงค์ในหมู่พวกเขาเถิด และจงขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺให้แก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษสำหรับผู้ที่ขออภัยโทษในบรรดาบ่าวของพระองค์ เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ
(63) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงให้เกียรติแก่ท่านเราะสูลุลลอฮ์ เมื่อใดที่พวกเจ้าต้องการเรียกท่าน พวกเจ้าอย่าเรียกท่านด้วยชื่อของท่าน เช่น โอ้ มุฮัมมัด หรือเรียกชื่อของบิดาของท่าน เช่น โอ้ บุตรของอับดุลลอฮ์ อย่างที่พวกเจ้าได้เรียกในระหว่างพวกเจ้าด้วยกัน แต่พวกเจ้าจงเรียกว่า โอ้ เราะสูลุลอฮ์ หรือโอ้ นบียุลลอฮ์ และเมื่อท่านเราะสูลได้เรียกพวกเจ้าในเรื่องส่วนรวม พวกเจ้าจงอย่าถือว่าการเรียกของท่านเราะสูลนั้นเหมือนกับที่พวกเจ้าเรียกกันในเรื่องที่ไม่สำคัญ แต่พวกเจ้าจงรีบเร่งที่จะตอบรับการเรียกร้องของท่าน แน่นอนอัลลอฮ์ทรงรู้บรรดาผู้ที่แอบหลีกออกไปจากหมู่พวกเจ้าโดยไม่ขออนุญาต ดังนั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเราะสูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม จงระวังตัวเถิดว่า ความทุกข์ยากและภัยพิบัติจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาหรือการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาโดยพวกเขาไม่สามารถที่จะอดทนได้
(64) จงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ทั้งเรื่องการสร้าง การครอบครองอำนาจ และการจัดการนั้น ล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺเพียงผู้เดียว พระองค์ทรงรอบรู้สภาพการเป็นอยู่ของพวกเจ้า (โอ้ มนุษย์เอ๋ย) จะไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนไว้ ณ ที่อัลลอฮฺ และในวันปรโลกนั้น(ขณะที่พวกเขากลับไปสู่พระองค์โดยการฟื้นคืนชีพหลังจากความตาย) พระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ซึ่งการงานต่างๆของพวกเขาในโลกดุนยา และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง จะไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนไว้สำหรับพระองค์ ไม่ว่าจะอยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายหรือในแผ่นดิน