30 - Ar-Room ()

|

(1) อลิฟ ลาม ลีม ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้วในตอนต้นของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์

(2) พวกเปอร์เซียได้พิชิตพวกโรมันแล้ว

(3) ในดินแดนที่ใกล้กับแคว้นชามค่อนไปทางอาณาจักรเปอร์เซีย และพวกโรมันนั้นหลังจากได้ปราชัยต่อชาวเปอร์เซียแล้ว พวกเขาจะมีชัยเหนือพวกเปอร์เซีย

(4) ในเวลาไม่ต่ำกว่าสามปี และไม่เกินสิบปี ทุกกิจการเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น ทั้งก่อนและหลังการได้รับชัยชนะของโรมัน และวันที่โรมันมีชัยเหนือพวกเปอร์เซียนั้นบรรดาผู้ศรัทธาจะดีใจ

(5) พวกเขามีความสุขด้วยการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ที่มีต่อชาวโรมัน เนื่องจากพวกเขานั้นคือชาวคัมภีร์ พระองค์จะทรงช่วยเหลือผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจที่ไม่ผู้ใดเอาชนะพระองค์ได้ ผู้ทรงเมตตาต่อปวงบ่าวผู้ศรัทธาเสมอ

(6) ชัยชนะที่เกิดขึ้นนั้น มันคือสัญญาจากอัลลอฮ์ ตะอาลา ซึ่งพระองค์ไม่ผิดสัญญาอย่างแน่นอน และด้วยการเกิดขึ้นจริง (แห่งชัยชนะ) นั้นทำให้ผู้ศรัทธามีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้นต่อสัญญาของอัลลอฮ์เกี่ยวกับการได้รับชัยชนะ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา

(7) พวกเขาไม่รู้จักศรัทธาและกฎของชะรีอะฮ์ พวกเขารู้เพียงแต่เรื่องผิวเผินของชีวิตทางโลกที่เกี่ยวข้องกับการหาเลี้ยงชีพ และความเจริญทางวัตถุเท่านั้น ในขณะที่พวกเขาหันหลังให้กับชีวิตจริงแห่งชีวิตหลังความตายโดยพวกเขาไม่สนใจมัน

(8) บรรดาผู้ตั้งภาคีผู้ปฏิเสธมิได้ใคร่ครวญในสิ่งที่อัลลอฮ์สร้างในตัวของพวกเขาหรอกหรือว่า อัลลอฮ์ได้ทรงสร้างมันและทำให้มันสมบูรณ์ได้อย่างไร อัลลอฮ์มิได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเพื่อสิ่งอื่นใด เว้นแต่เพื่อความจริง พระองค์มิได้สร้างทั้งสองนั้นขึ้นมาโดยไร้ประโยชน์ และพระองค์ได้ทรงกำหนดเวลาที่แน่นอนไว้สำหรับทั้งสองนั้นในการอยู่บนโลกนี้ และแท้จริงแล้ว ส่วนมากของมนุษย์นั้น จะเป็นผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อการพบกับพระผู้อภิบาลของพวกเขาในวันกิยามะฮ์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เตรียมพร้อมสำหรับวันแห่งการฟื้นคืนชีพด้วยการประกอบคุณงามความดี เป็นที่พึงพอพระทัย ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขา

(9) พวกเขาเหล่านั้นมิได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินหรอกหรือ เพื่อพิจารณาดูว่าจุดจบของประชาชาติผู้ปฏิเสธในยุคก่อนหน้าพวกเขาเป็นเช่นใร ประชาชาติเหล่านั้นมีพลังที่เข้มแข็งกว่าพวกเขา และพวกเขาเหล่านั้นขุดพรวนดินเพื่อเพาะปลูกและก่อสร้าง(เคหสถาน) ประชาชาติยุคก่อนก่อสร้างมันมากกว่าสิ่งที่พวกเขาก่อสร้าง และบรรดาเราะสูลของพวกเขาได้มาหาพวกเขาด้วยหลักฐานและเหตุผลอันชัดแจ้งที่แสดงถึงการเป็นพระเจ้าทรงเอกะของอัลลอฮ์ แต่แล้วพวกเขาก็ปฏิเสธ ดังนั้นอัลลอฮ์มิได้ทรงอธรรมต่อพวกเขาในขณะที่พระองค์ทรงทำลายพวกเขา แต่ว่าพวกเขาอธรรมต่อตัวของพวกเขาเองต่างหาก ด้วยการนำตัวของพวกเขาเองไปเผชิญกับความหายนะอันเนื่องมาจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา

(10) แล้วบั้นปลายของบรรดาผู้ที่การกระทำความชั่วเหล่านั้นด้วยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์และประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ชั่วช้า บั้นปลายสุดท้ายที่ได้รับก็คือความชั่ว โดยที่พวกเขาปฏิเสธต่อสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ์และพวกเขาเย้ยหยันและดูถูกมัน

(11) อัลลอฮ์ทรงเริ่มการสร้างมวลมนุษย์โดยที่ไม่มีแบบอย่างมาก่อนหน้านี้ แล้วทรงให้มันสูญสลายไป แล้วทรงให้มันกลับมาเกิดอีกครั้ง แล้วยังพระองค์เท่านั้นที่พวกเจ้าจะถูกนำกลับไปเพื่อสอบสวนและตอบแทนในวันกิยามะฮ์

(12) และในวันแห่งการฟื้นคืนชีพนั้นมาถึง บรรดาผู้กระทำผิดก็จะสิ้นหวังในความเมตตาของพระเจ้า ความหวังของพวกเขาถูกตัดขาดเนื่องจากเหตุผลที่พวกเขาไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์

(13) และจะไม่มีผู้ใดจากบรรดาหุ้นส่วนของพวกเขา ผู้ที่พวกเขาเคยเคารพสักการะในโลกนี้ เป็นผู้ช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษ และพวกเขาก็เป็นผู้ปฏิเสธบรรดาภาคีของพวกเขาเช่นกัน เพราะบรรดาภาคีเหล่านั้นได้ทอดทิ้งพวกเขาในยามที่พวกเขาต้องการ เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดนั้นอยู่ในสภาพแห่งความหายนะที่เหมือนกัน

(14) และเมื่อถึงวันกิยามะฮ์นั้น มนุษย์ทั้งหมดจะถูกแบ่งออกไปตามการกระทำของตนในโลก บางคนจะถูกเลื่อนขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงสุด ในขณะที่คนอื่น ๆ จะถูกลดระดับไปที่ต่ำสุดของระดับที่ต่ำที่สุด

(15) ดังนั้น สำหรับบรรดาที่ผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และประกอบความดีอันเป็นที่พึงพอพระทัย ณ ที่พระองค์นั้น พวกเขาอยู่ในสรวงสวรรค์ก็จะปิติยินดีกับสิ่งที่พวกเขาได้รับในนั้น กับความผาสุขอันถาวร ซึ่งจะไม่ขาดหายไปตลอดกาล

(16) ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และปฏิเสธต่อโองการทั้งหลายของเราที่ถูกประทานลงมายังเราะสูลของเรา และปฏิเสธต่อการฟื้นคืนชีพและการสอบสวน ดังนั้น ชนเหล่านั้นจะถูกนำมาสู่การลงโทษ และพวกเขาจะอยู่กับการลงโทษนั้นอย่างถาวร

(17) (เมื่อพวกเจ้าได้รู้ถึงการนั้นแล้ว) ดังนั้น พวกเจ้าจงกล่าวคำสดุดีแด่อัลลอฮ์(ซุบหานัลลอฮ์) เมื่อพวกเจ้าย่างเข้าสู่ยามเย็น นั่นคือเวลาละหมาดสองเวลา คือมัฆริบและอีชาอ์ และพวกเจ้าจงกล่าวคำสดุดีแด่พระองค์เมื่อพวกเจ้าย่างเข้าสู่เวลาเช้า นั่นคือเวลาของการละหมาดฟัจร์

(18) มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของพระองค์เท่านั้น ทั้งในชั้นฟ้าทั้งหลายซึ่งบรรดามลาอิกะฮ์ได้ทำการสรรเสริญพระองค์ และในแผ่นดินที่ทุกสรรพสิ่งได้ทำการสรรเสริญพระองค์ และพวกเจ้าจงสรรเสริญแด่พระองค์เมื่อเข้าสู่เวลาพลบค่ำ คือเวลาละหมาดอัสรี และพวกเจ้าจงสรรเสริญแด่พระองค์เมื่อเข้าสู่เวลาละหมาดซุฮรี

(19) พระองค์ทรงให้มีชีวิตหลังจากการตาย เช่น การให้มนุษย์มีชีวิตออกมาจากอสุจิและตัวอ่อนมีชีวิตออกมาจากไข่ และทรงให้ตายหลังจากมีชีวิต เช่น การให้อสุจิตายเมื่อออกมาจากมนุษย์และให้ไข่ไม่มีชีวิตเมื่อออกจากไก่ และทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้น หลังจากการแห้งแล้งของมันด้วยการหลั่งสายฝนลงมาและให้แผ่นดินงอกงาม และดั่งเช่นการให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาโดยการให้มันงอกงามนั้นแหละ พวกเจ้าจะถูกนำออกมาจากหลุมฝังศพของพวกเจ้าเพื่อสอบสวนและตอบแทน

(20) และส่วนหนึ่งจากสัญญาณต่าง ๆ อันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ที่บ่งชี้ถึงความสามารถและความเป็นเอกภาพของพระองค์ คือ การที่พระองค์ทรงสร้างพวกเจ้า -โอ้มนุษย์เอ๋ย- มาจากดิน เมื่อตอนที่พระองค์ทรงสร้างบรรพบุรุษของพวกเจ้าจากดิน แล้วพวกเจ้าเป็นมนุษย์ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วยการสืบพันธุ์ และพวกเจ้าก็ได้กระจัดกระจายไปทั่วผืนแผ่นดิน

(21) และจากบรรดาสัญญาณอันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและความเป็นเอกภาพของพระองค์ นั่นคือพระองค์ทรงสร้างเพื่อพวกเจ้า -โอ้ มนุษย์ชายทั้งหลาย- คู่ชีวิตจากเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้พบความพอใจในตัวของนาง เนื่องจากความเข้ากันได้ระหว่างพวกเจ้า และพระองค์ทรงมอบความรักและความเสน่หาระหว่างพวกเจ้า แท้จริงในที่กล่าวมาข้างต้นเป็นข้อพิสูจน์และหลักฐานที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่ใคร่ครวญเพราะพวกเขาเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการใช้ปัญญา

(22) และส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญญาณต่าง ๆ อันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ที่บ่งชี้ถึงความสามารถและความเป็นเอกภาพของพระองค์ คือ การสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และความแตกต่างของภาษาของพวกเจ้า,และความแตกต่างของผิวพรรณของพวกเจ้า,แท้จริงสิ่งที่ได้ถูกกล่าวมานี้นั้น แน่นอน ย่อมเป็นหลักฐานและตัวบงชี้อันชัดแจ้งสำหรับบรรดาผู้มีความรู้และความเข้าใจ

(23) และส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญญาณต่าง ๆ อันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ที่บ่งชี้ถึงความสามารถและความเป็นเอกภาพของพระองค์ คือ การหลับนอนของพวกเจ้าในเวลากลางคืนและกลางวันเพื่อพวกเจ้าจะได้พักผ่อน หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานของพวกเจ้า และส่วนหนึ่งจากสัญญานทั้งหลายของพระองค์คือ ทรงให้เวลากลางวันแก่พวกเจ้า เพื่อให้พวกเจ้ากระจายกันออกไป เพื่อแสวงหาปัจจัยยังชีพจากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า แท้จริงสิ่งที่ได้ถูกกล่าวมานี้นั้น แน่นอน ย่อมเป็นหลักฐานและตัวบ่งชี้อันชัดแจ้งแก่หมู่ชนที่ฟังเพื่อใคร่ครวญและฟังเพื่อน้อมรับ

(24) และส่วนหนึ่งจากบรรดาสัญญาณต่าง ๆ อันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ที่บ่งชี้ถึงความสามารถและความเป็นเอกภาพของพระองค์ คือ ทรงให้พวกเจ้าเห็นสายฟ้าแลบบนท้องฟ้า ซึ่งทำให้พวกเจ้าเกิดความร้สึกระหว่างความกลัวกับการเกิดฟ้าผ่า และความหวังว่าฝนจะตก และทรงหลั่งสายฝนลงมาจากฟากฟ้าแก่พวกเจ้า แล้วแผ่นดินก็มีชีวิตชีวา หลังจากความแห้งแล้งของมันด้วยกับการงอกเงยของพืชพันธุ์ต่างๆ ในแผ่นดินนั้น แท้จริงสิ่งที่ได้ถูกกล่าวมานี้นั้น แน่นอน ย่อมเป็นหลักฐาน และตัวบ่งชี้อันชัดแจ้งแก่หมู่ชนผู้ใช้สติปัญญา แล้วพวกเขาก็เอามันไปเป็นข้อพิสูจน์เรื่องการฟื้นคืนชีพหลังจากความตายเพื่อการสอบสวนและการตอบแทน

(25) และจากสัญญาณต่าง ๆ ของอัลลอฮ์ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและเอกภาพของพระองค์นั้น คือการตั้งสูงของท้องฟ้าโดยไม่ให้มันร่วงตกลงมา และแผ่นดินไม่แตกสลายเนื่องจากพระบัญชาของพระองค์ จากนั้นเมื่อพระองค์ทรงเรียกพวกเจ้าจากแผ่นดิน โดยมลาอิกะฮ์ทำการเป่าสังข์ ทันใดนั้น พวกเจ้าก็จะออกมาจากหลุมศพของพวกเจ้าเพื่อการสอบสวนและรับการตอบแทน

(26) และผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและผู้ที่อยู่ในแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว ทั้งการครอบครอง การสร้างและการกำหนดสภาวะการณ์ ทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินจากสิ่งถูกสร้างของพระองค์นั้น ล้วนเป็นผู้จงรักภักดีต่อพระองค์ และจำนนต่อพระบัญชาของพระองค์

(27) และพระองค์คือผู้ทรงเริ่มแรกในการสร้างโดยที่ไม่มีแบบอย่างมาก่อนหน้านี้ แล้วทรงทำให้มันกลับขึ้นมาอีกครั้งหลังจากมันสูญสลายไป และการให้กลับขึ้นมาอีกครั้งนั้นง่ายกว่าการเริ่มสร้างครั้งแรก และทั้งสองอย่างเป็นเรื่องง่ายสำหรับพระองค์ เพราะเมื่อพระองค์ทรงประสงค์ต่อสิ่งใดแล้ว พระองค์จะทรงตรัสแก่สิ่งนั้นว่า “จงเป็น” แล้วสิ่งนั้นก็เป็นขึ้นมา และคุณลักษณะอันสูงส่งและสมบูรณ์แบบเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจที่ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในการสร้างและการบริหารจัดการของพระองค์

(28) อัลลอฮ์ทรงยกอุทธาหรณ์แก่พวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีเอ๋ย- เป็นอุทธาหรณ์ที่นำมาจากชีวิตจริงของพวกเจ้าเอง คือ จะมีบ้างไหมสำหรับพวกเจ้าที่จะยอมให้คนรับใช้และทาสของพวกเจ้ามาเป็นหุ้นส่วน โดยที่พวกเขามีส่วนในทรัพย์สินของพวกเจ้าอย่างเท่าเทียมกัน โดยพวกเจ้ากลัวว่าพวกเขาจะมามีส่วนแบ่งในทรัพย์สินของพวกเจ้า เหมือนกับที่พวกเจ้าบางคนกลัวซึ่งกันและกันหรือไม่? แน่นอนว่าพวกเจ้าไม่พอใจต่อเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอน ดังนั้นอัลลอฮ์ก็สมควรยิ่งกว่า ที่จะไม่ยอมให้สิ่งที่ถูกสร้างและปวงบ่าวของพระองค์มาเป็นหุ้นส่วนกับพระองค์ ด้วยการยกอุทาหรณ์และด้วยวิธีอื่น ๆ นั้นแหละ เราได้ชี้แจงเหตุผลและหลักฐานต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบแก่หมู่ชนผู้ใช้ปัญญาเพื่อไตร่ตรอง เพราะพวกเขาคือผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว

(29) สาเหตุการหลงผิดของพวกเขาไม่ใช่เพราะความบกพร่องของหลักฐาน และไม่ใช่เพราะหลักฐานไม่ชัดเจน แต่ความเป็นจริงแล้วมันคือการปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำและทำตามบรรพบุรุษของพวกเขาโดยไม่รู้ถึงสิทธิของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขา แล้วผู้ใดเล่าจะช่วยให้ได้รับทางนำแก่ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงปล่อยให้เขาหลงทางไปแล้ว? ไม่มีผู้ใดช่วยเขาได้หรอก และสำหรับพวกเขาจะไม่มีผู้ช่วยเหลือที่จะมาปกป้องพวกเขาจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้

(30) ดังนั้น -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- เจ้าและผู้ที่อยู่ร่วมกับเจ้าจงผินหน้ามุ่งสู่ศาสนาที่อัลลอฮ์ทรงให้เจ้าผินไปหา โดยการเลี่ยงจากศาสนาอื่นทั้งหมดสู่ศาสนานั่นศาสนาเดียว นั่นก็คือศาสนาอิสลามที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาโดยให้มนุษย์นั้นยึดมันอยู่กับมัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างของอัลลอฮ์ นั่นคือศาสนาอันเที่ยงตรงที่ไม่คดเคี้ยว แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าศาสนาที่เที่ยงธรรม คือศาสนานี้

(31) และพวกเจ้าทั้งหลายจงกลับไปหาพระองค์ด้วยการสำนึกในบาปต่าง ๆของพวกเจ้าเถิด และจงยำเกรงพระองค์ โดยการปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงใช้และออกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม และจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดให้สมบูรณ์แบบที่สุดและอย่าเป็นส่วนหนึ่งในหมู่ผู้ตั้งภาคี ซึ่งขัดแย้งกับธรรมชาติ นั่นคือการที่พวกเขาก็เอาผู้อื่นมาเป็นภาคีร่วมกับอัลลอฮ์ในเรื่องการเคารพสักการะของพวกเขา

(32) และพวกเจ้าทั้งหลายจงอย่าได้เป็นส่วนหนึ่งในหมู่ผู้ตั้งภาคีที่เปลี่ยนแปลงศาสนาของพวกเขา แล้วพวกเขาก็ศรัทธาบางส่วนและปฏิเสธบางส่วน และพวกเขาก็แยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ และแต่ละหมู่คณะจากพวกเขานั้น ต่างก็พอใจต่อความเท็จที่พวกเขายึดมั่นอยู่ พวกเขาจะเห็นว่าพวกเขาคือกลุ่มเดียวเท่านั้นที่อยู่บนความถูกต้อง และกลุ่มอื่นที่นอกเหนือจากพวกเขาอยู่บนความผิด

(33) และเมื่อความทุกข์ยากใด ๆ ได้ประสบแก่บรรดาผู้ตั้งภาคี ในรูปของความเจ็บป่วย ความยากจน หรือความแห้งแล้ง พวกเขาก็จะวิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น กลับคืนสู่พระองค์ ด้วยความนอบน้อมและแสวงหาที่พึ่งในพระองค์เพื่อให้พระองค์ได้ขจัดความทุกข์ยากออกจากพวกเขา หลังจากที่พระองค์ได้ทรงเมตตาพวกเขาด้วยการขจัดสิ่งที่ประสบกับพวกเขาแล้ว ทันใดนั้นก็มีกลุ่มหนึ่งจากพวกเขากลับสู่การตั้งภาคีที่พวกเขานำมาเป็นหุ้นส่วนร่วมกับอัลลอฮ์ในการวิงวอนขอ

(34) เมื่อพวกเขาเนรคุณต่อความโปรดปรานของอัลลอฮ์ หนึ่งในนั้นคือความโปรดปรานในการขจัดความทุกข์ยาก แล้วพวกเขาก็เพลิดเพลินกับสิ่งที่พวกเขาครอบครองในชีวิตบนโลกนี้ แล้วพวกเขาก็จะได้เห็นในวันกิยามะฮ์ด้วยตาของพวกเขาเองว่า พวกเขาอยู่ในหนทางที่หลงผิดที่ชัดเจน

(35) สิ่งใดเล่าที่เชิญชวนพวกเขาไปสู่การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ และไม่มีเหตุผลอะไรเลยสำหรับพวกเขา แล้วเราก็ไม่ได้ให้หลักฐานใด ๆ ที่เป็นคัมภีร์ให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้นำมันมาเป็นหลักฐานเกี่ยวกับการตั้งภาคีของพวกเขาที่มีต่ออัลลอฮ์ และพวกเขาก็มิได้มีคัมภีร์ใด ๆ ที่พูดเกี่ยวกับการตั้งภาคีของพวกเขา และยืนยันให้แก่พวกเขาถึงความถูกต้องของสิ่งที่พวกเขากำลังเป็นอยู่จากการตั้งภาคีนั้น

(36) และเมื่อเราได้ให้มนุษย์ลิ้มรสความเมตตาใด จากความเมตตาของเรา เช่น การมีสุขภาพที่ดีและมีความมั่งคั่ง พวกเขาก็ดีใจกับมันอย่างโอหัง และหากสิ่งที่จะก่อให้เกิดภัยอันตรายอันใดแก่พวกเขาได้ประสบแก่พวกเขา เช่น การเจ็บไข้ได้ป่วย ความยากจน เนื่องจากบาปที่พวกเขาทำ พวกเขาก็จะสิ้นหวังในความเมตตาของอัลลอฮ์และรู้สึกท้อแท้จากการที่จะให้สิ่งร้าย ๆ ได้หายจากพวกเขาไป

(37) พวกเขาไม่เห็นหรอกหรือว่า อัลลอฮ์ทรงทำให้ปัจจัยยังชีพกว้างขวางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบรรดาปวงบ่าวของพระองค์ เพื่อเป็นการทดสอบว่าเขานั้นจะขอบคุณหรือจะเนรคุณ? และพระองค์จะทรงให้ปัจจัยยังชีพคับแคบแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เพื่อเป็นการทดสอบว่าเขานั้นจะอดทนหรือจะไม่พอใจ? แท้จริงในการทำให้ปัจจัยยังชีพกว้างขวางแก่บางคนและทำให้มันคับแคบแก่บางคนนั้นย่อมเป็นสัญญาณมากหลายสำหรับหมู่ชนผู้ศรัทธา ที่บ่งบอกถึงความอ่อนโยนและความเมตตาของอัลลอฮ์

(38) ดังนั้น -โอ้มุสลิมเอ๋ย- จงบริจาคให้แก่ญาติสนิทซึ่งสิทธิที่เขาควรจะได้รับ เช่น การปฏิบัติดีและเชื่อมสัมพันธ์ทางเครือญาติ และจงให้แก่คนขัดสนซึ่งสิ่งที่จะช่วยแบ่งเบาภาระของเขา และจงให้แก่คนแปลกหน้าผู้ซึ่งเดินทางออกมาไกลจากดินแดนของเขา การบริจาคในลักษณะนี้นั้นมันเป็นสิ่งที่ดียิ่งสำหรับบรรดาผู้หวังจากการกระทำนั้นเพื่อพระพักตร์ของอัลลอฮ์ บรรดาผู้ที่หยิบยื่นการช่วยเหลือและให้สิทธิต่าง ๆ เหล่านี้แหละ พวกเขาเป็นผู้ประสบชัยชนะ ด้วยการได้รับสิ่งที่พวกเขาปรารถนานั่นคือสรวงสวรรค์ และด้วยความปลอดภัยจากสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวจากการถูกลงโทษ

(39) และทรัพย์สินที่พวกเจ้าบริจาคไปแก่คนใดคนหนึ่งด้วยเจตนาเพื่อให้เขาตอบกลับด้วยจำนวนที่มากกว่า ดังนั้นผลบุญของมันจะไม่งอกเงย ณ ที่อัลลอฮ์ และสิ่งที่พวกเจ้าได้บริจาคไปจากทรัพย์สินของพวกเจ้าแก่ผู้ที่จะนำมันไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น โดยพวกเจ้าปรารถนาจากการกระทำนั้นเพื่อพระพักตร์ของอัลลอฮ์ ไม่ใช่เพื่อเกียรติยศชื่อเสียงและรางวัลใด ๆ จากผู้คน ดังนั้นชนเหล่านั้นแหละพวกเขาคือผู้ได้รับการตอบแทน ณ ที่อัลลอฮ์อย่างทวีคูณ

(40) อัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้นคือผู้ทรงสร้างพวกเจ้าด้วยพระองค์เอง แล้วทรงให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า แล้วทรงให้พวกเจ้าตาย แล้วทรงให้พวกเจ้ามีชีวิตอีกครั้งสำหรับวันแห่งการฟื้นคืนชีพ จะมีผู้ใดบ้างจากบรรดาเจว็ดที่พวกเจ้าเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ สามารถกระทำสักอย่างหนึ่งจากสิ่งเหล่านั้น มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์และพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่บรรดาผู้ตั้งภาคีได้พูดและยึดถือกัน

(41) ความเสื่อมเสียที่เกิดขึ้นทั้งทางบกและทางน้ำ เช่นความแห้งแล้ง ฝนตกน้อย การเกิดโรคภัยต่าง ๆ อย่างมากมายและโรคระบาด เนื่องจากบาปต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ก่อไว้ ความเสื่อมเสียเหล่านั้นเกิดขึ้นก็เพราะว่าอัลลอฮ์จะได้ให้พวกเขาได้ลิ้มรสที่เป็นผลจากความชั่วบางประการที่พวกเขาได้กระทำไว้ในชีวิตบนโลกดุนยานี้ โดยหวังจะให้พวกเขากลับคืนสู่พระองค์ด้วยการสำนึกในความผิด(เตาบะฮ์)

(42) จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจงท่องไปในแผ่นดิน และดูว่าบรรดาผู้ปฏิเสธก่อนหน้าพวกเจ้ามีจุดจบเป็นเช่นไร? ซึ่งแท้จริงแล้วจุดจบของพวกเขานั้นเป็นจุดจบที่ไม่ดี ส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ พวกเขาเคารพสักการะสิ่งอื่นพร้อมกับพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจึงพินาศเพราะการตั้งภาคีของพวกเขาต่ออัลลอฮ์

(43) ดังนั้น โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย เจ้าจงมุ่งหน้าของเจ้าสู่ศาสนาอิสลามอันเที่ยงธรรมเถิด ที่ไม่บิดเบือน ก่อนที่วันกิยามะฮ์จะมาถึง ซึ่งเมื่อวันนั้นมาถึงแล้ว จะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งในวันนั้นมนุษย์จะแยกออกจากกัน กลุ่มหนึ่งจะอยู่ในสรวงสวรรค์อย่างมีความสุข ส่วนอีกกลุ่มจะอยู่ในไฟนรกอย่างทุกข์ทรมาน

(44) ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ดังนั้นผลของการปฏิเสธศรัทธาของเขานั้น -การถูกจองจำในนรกตลอดกาล- จะกลับมายังเขา และผู้ใดกระทำความดีเพื่อหวังพระพักตร์ของอัลลอฮ์ ดังนั้นพวกเขาก็ได้เตรียมสำหรับตัวของพวกเขาเองเพื่อเข้าสู่สรวงสวรรค์ และมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ในนั้น และจะอยู่ในนั้นตลอดกาล

(45) เพื่อพระองค์จะทรงตอบแทนบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และกระทำความดีทั้งหลายที่เป็นที่พึงพอพระทัยแก่พระผู้อภิบาลของพวกเขา แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์และต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์ แท้จริงพระองค์ทรงเกลียดชังพวกเขาอย่างรุนแรงและพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาในวันกิยามะฮ์

(46) และหนึ่งจากสัญญาณต่างๆ อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่บ่งบอกถึงความสามารถและความเป็นเอกภาพของพระองค์ คือ การที่พระองค์ทรงส่งลมมานั้น เพื่อเป็นการแจ้งข่าวดีแก่ปวงบ่าวของพระองค์ว่าฝนใกล้จะตกแล้ว และเพื่อพระองค์จะทรงให้พวกเจ้า -โอ้มนุษย์เอ๋ย- ได้ลิ้มรสความเมตตาของพระองค์ด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากฝนตก ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่ง และเพื่อเรือเดินสมุทรจะได้แล่นไปในท้องทะเลโดยพระประสงค์ของพระองค์ และเพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาความโปรดปรานของพระองค์โดยการค้าในท้องทะเลและเพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณในความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้า แล้วพระองค์ก็จะทรงเพิ่มพูนความโปรดปรานนั้นแก่พวกเจ้าอีก

(47) และโดยแน่นอน เราได้แต่งตั้งบรรดาเราะสูลก่อนหน้าเจ้า -โอ้ท่านเราะซูลเอ๋ย- ไปยังหมู่ชนของพวกเขา และเขาเหล่านั้นได้นำหลักฐานต่าง ๆที่แสดงถึงความสัจจริงของพวกเขา แต่แล้วหมู่ชนต่างๆเหล่านั้นก็ปฏิเสธสิ่งที่บรรดาเราะสูลของพวกเขานำมา ดังนั้น เราได้ลงโทษบรรดาผู้กระทำความผิดอย่างสาสม เราได้ทำลายพวกเขาด้วยการลงโทษของเรา และเราได้ช่วยให้บรรดาเราะสูลและบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อพวกเขาให้พ้นจากความพินาศ และความปลอดภัยของบรรดาผู้ศรัทธาและการช่วยเหลือพวกเขานั้นเป็นสิทธิและเป็นหน้าที่สำหรับเรา

(48) อัลลอฮ์ ซบฮานะฮูวะตะอาลา คือผู้ทรงควบคุมลมและทรงขับเคลื่อนมัน แล้วลมก็ได้เคลื่อนเมฆนั้น และพระองค์ทรงแผ่มันบนท้องฟ้าตามที่พระองค์ทรงประสงค์ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก และทำให้มันจับตัวเป็นก้อน แล้วเจ้าจะเห็น ฝนที่ตกลงมาจากก้อนเมฆเหล่านั้น ดังนั้นเมื่อฝนได้ตกลงมาสู่บรรดาปวงบ่าวของพระองค์ที่พระองค์ทรงประสงค์ ทันใดนั้นพวกเขาก็มีความสุขเพราะความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขา ด้วยการส่งฝนลงมาซึ่งตามด้วยการงอกเงยของพืชผลต่าง ๆ บนแผ่นดิน เป็นสิ่งที่พวกเขาและปศุสัตว์ของพวกเขาต้องการ

(49) และแน่นอน ก่อนที่อัลลอฮ์จะทรงประทานฝนลงมาแก่พวกเขา แท้จริงพวกเขาได้สิ้นหวังกับการตกลงมาของมันแล้ว

(50) ดังนั้น -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- เจ้าจงพิจารณาดูผลที่เกิดจากฝนที่อัลลอฮ์ทรงให้ตกลงมา เพื่อเป็นความเมตตาแก่ปวงบ่าวของอัลลอฮ์ว่า พระองค์ทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาโดยการให้มีพืชพันธุ์หลากหลายชนิดงอกเงยออกมาบนแผ่นดินหลังจากที่มันได้ประสบกับความแห้งแล้งได้อย่างไร? แท้จริงผู้ที่ทำให้แผ่นดินที่แห้งแล้งเหล่านั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมานั้น แน่นอน เขาสามารถให้ชีวิตแก่ผู้ที่ตายไปแล้วได้ และเขาเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พระองค์อ่อนแอได้

(51) และหากเราส่งลมพัดมาที่ไร่นาและสวนผลไม้ของพวกเขา ซึ่งได้ทำให้พืชผลเหล่านั้นเสียหาย แล้วพวกเขาเห็นไร่นาของพวกเขาเป็นสีเหลืองหลังจากที่เคยเขียวขจี แน่นอนพวกเขาก็จะเริ่มแสดงความอกตัญญูต่อความโปรดปรานอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขาหลังจากที่ได้เห็นความสูญเสียเหล่านั้น

(52) และดั่งเช่นที่เจ้านั้นไม่สามารถทำให้คนตายได้ยินและไม่สามารถทำให้คนหูหนวกได้ยิน และพวกเขาก็ได้ออกห่างจากเจ้า เพื่อเป็นการยืนยันถึงการไม่ได้ยินของพวกเขา ดังนั้นในทำนองเดียวกันนั้น เจ้าไม่สามารถชี้นำผู้ที่คล้ายกับพวกเขาได้หากพวกเขาหันหนีและไม่รับประโยชน์

(53) และเจ้ามิได้เป็นผู้ชี้แนะแนวทางแก่ผู้ที่หลงออกไปจากทางที่เที่ยงตรงให้ไปสู่ทางแห่งสัจธรรม เจ้าจะไม่ทำให้ผู้ใดได้ยินด้วยการได้ยินที่ให้คุณประโยชน์ นอกจากผู้ศรัทธาต่อโองการต่าง ๆ ของเราเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วเขาคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เจ้าได้บอกกล่าว พวกเขาเป็นผู้นอบน้อมต่อพระบัญชาของเรา และเป็นผู้ที่จำนนต่อพระบัญชานั้น

(54) อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้สร้างพวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย จากน้ำที่ต่ำต้อยไร้ค่า (อสุจิ) แล้วพระองค์ก็ทรงทำให้หลังจากความอ่อนแอในวัยเด็กของพวกเจ้า เป็นวัยรุ่นที่มีความแข็งแรง แล้วพระองค์ก็ทรงทำให้หลังจากวัยรุ่นที่มีความแข็งแรง เป็นวัยชราที่มีความอ่อนแอและชราภาพ พระองค์ทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ จะเป็นความอ่อนแอหรือความแข็งแรง และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ ผู้ทรงอานุภาพที่ไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์อ่อนแอได้

(55) และเมื่อวันกิยามะฮ์เกิดขึ้น บรรดาผู้กระทำผิดต่างก็จะสาบานว่า พวกเขามิได้พำนักอยู่ในหลุมฝังศพนอกจากเพียงชั่วครู่เท่านั้น และดั่งที่พวกเขาถูกให้หันออกจากการรับรู้เกี่ยวกับระยะเวลาที่พวกเขาพำนักอยู่ในหลุมฝังศพ เช่นนั้นแหละ พวกเขาก็ถูกทำให้หันออกจากความจริงในโลกดุนยานี้

(56) และบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงประทานความรู้ให้แก่พวกเขาที่เป็นทั้งบรรดานบีและบรรดามลาอิกะฮ์ ต่างก็กล่าวว่า “โดยแน่นอน พวกท่านได้พำนักอยู่ตามที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดไว้ตั้งแต่แรก ตั้งแต่วันที่สร้างพวกเจ้าจนวันฟื้นคืนชีพของพวกเจ้า ที่พวกเจ้านั้นปฏิเสธมัน แต่ในกาลก่อนนั้น พวกเจ้า ไม่รู้ว่าการฟื้นคืนชีพจะเกิดขึ้นจริง ดังนั้นพวกเจ้าจึงปฏิเสธมัน"

(57) ดังนั้นในวันที่อัลลอฮ์ให้ทุกสิ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งเพื่อการสอบสวน และรับการตอบแทน การแก้ตัวที่บรรดาผู้อธรรมอุปโลกน์ขึ้นนั้นมันจะไม่อำนวยประโยชน์ใด ๆ แก่พวกเขาเลย และพวกเขาจะไม่ถูกเรียกร้องเพื่อให้อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อพวกเขา ด้วยการกลับเนื้อกลับตัวและหันหน้าเข้าสู่พระองค์ เพราะเวลาเหล่านั้นหมดไปเสียแล้ว

(58) และโดยแน่นอน ในอัลกุรอานนี้เราได้ยกอุทาหรณ์ไว้ทุกอย่างสำหรับมนุษย์ เป็นการให้ความสำคัญแก่พวกเขา เพื่อให้เกิดความกระจ่างแก่พวกเขาสามารถแยกแยะความจริงออกจากความเท็จ และหากเจ้า โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย นำหลักฐานหนึ่งที่บ่งบอกถึงความสัจจะของเจ้าให้พวกเขา แน่นอน บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์จะกล่าวว่า พวกท่านมิใช่ใครอื่น นอกจากเป็นผู้หลอกลวงในสิ่งที่พวกท่านนำมันมา

(59) ดั่งตราประทับบนหัวใจของบรรดาผู้ที่เมื่อเจ้านำโองการหนึ่งมายังพวกเขา แล้วพวกเขาไม่ศรัทธาต่อมัน อัลลอฮ์จะทรงประทับตราบนหัวใจของบรรดาผู้ไม่ยอมรับรู้ว่าสิ่งที่เจ้านำมันมานั้นคือสัจธรรม

(60) จงอดทนเถิด โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย ต่อการปฏิเสธของกลุ่มชนของเจ้าที่มีต่อเจ้า แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์ ว่าด้วยการช่วยเหลือและให้ความมั่นคงแก่เจ้านั้นเป็นจริงเสมอ อย่างไม่มีข้อสงสัย และอย่าให้บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อมั่นว่าพวกเขานั้นจะถูกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งทำให้เจ้าเร่งรีบและละทิ้งการอดทน