(1) อลิฟ ลาม มีม ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้วในตอนต้นของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์
(2) อัลกุรอานที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นำมานั้น มันถูกประทานลงมายังท่านจากพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ซึ่งไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
(3) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นกล่าวว่า “แท้จริง มุฮัมมัด ได้ปั้นแต่งคัมภีร์นี้ขึ้นมาโดยอ้างว่ามาจากพระเจ้าของเขา” เรื่องราวมิได้เป็นอย่างที่พวกเขากล่าวอ้าง แต่ว่าคัมภีร์นี้ คือสัจธรรมที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ในนั้น เป็นคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาจากพระเจ้าของเจ้า -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- เพื่อเจ้าจักได้ตักเตือนกลุ่มชนหนึ่งที่มิได้มีผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเขาก่อนหน้าเจ้า เพื่อมาตักเตือนพวกเขาให้เกรงกลัวต่อการลงโทษของอัลลอฮ์ หวังว่าพวกเขาจะได้รับทางนำสู่สัจธรรม และได้ปฏิบัติตามแนวทางนั้น
(4) อัลลอฮ์คือผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองในเวลา 6 วัน และพระองค์สามารถสร้างมันในเวลาชั่วกระพริบตา แล้วพระองค์ทรงสถิตอยู่บนบัลลังก์อันสูงส่งที่คู่ควรแก่ความเกรียงไกรของพระองค์ สำหรับพวกเจ้านั้น โอ้มนุษย์เอ๋ย ไม่มีผู้คุ้มครองกิจการต่างๆของพวกเจ้า และไม่มีผู้ช่วยใด ที่จะช่วยเหลือพวกเจ้า ณ ที่พระเจ้าของเจ้าอื่นจากพระองค์ แล้วพวกเจ้ามิได้ใคร่ครวญบ้างหรอกหรือ? และจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างพวกเจ้า และไม่เคารพภักดีต่อสิ่งอื่นพร้อมกับพระองค์?!
(5) อัลลอฮ์ - ซุบฮานาฮู วะตะอาลา- ทรงดูแลกิจการของทุกสรรพสิ่งของพระองค์ทั้งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แล้วกิจการทั้งหลายจะขึ้นสู่พระองค์ในวันที่ค่าของมันเท่ากับหนึ่งพันปีตามการคำนวณของเจ้าในโลกนี้ โอ้มนุษย์เอ๋ย
(6) นั่นแหละพระองค์ผู้ทรงบริหารจัดการสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด พระองค์คือผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่เร้นลับและที่เปิดเผย ไม่มีสิ่งใดจากทั้งสองจะซ้อนเร่นไปจากพระองค์ได้ เป็นผู้ทรงอำนาจ ซึ่งไม่มีผู้ที่จะแก้แค้นจากศัตรูของเขาเอาชนะพระองค์ได้ ผู้ทรงเมตตาต่อปวงบ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์เสมอ
(7) ผู้ทรงสร้างให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นดีที่สุด และพระองค์ทรงเริ่มสร้างอาดัมมาจากดิน โดยที่ไม่มีตัวอย่างก่อนหน้านี้
(8) แล้วพระองค์ก็ทรงสร้างลูกหลานของเขามาหลังจากเขา เกิดขึ้นมาจากน้ำที่หลั่งไหลออกมา(อสุจิ)
(9) แล้วทรงทำให้การสร้างมนุษย์นั้นมีสัดส่วนที่สมบูรณ์ และทรงเป่ารูหฺ (วิญญาณ) จากพระองค์เข้าไปในเขา โดยการบัญชาให้มลาอิกะฮ์เป็นผู้ทำหน้าที่เป่าวิญญาณ และทรงทำให้พวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย มีการได้ยิน พวกเจ้าจักได้ใช้มันเพื่อรับฟัง และได้เห็น พวกเจ้าจักได้ใช้มันเพื่อมองเห็นและให้มีจิตใจ เพื่อพวกเจ้าจักได้ใช้สติปัญญา ส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าจะขอบคุณในความโปรดปรานต่าง ๆ ของอัลลอฮ์ ที่พระองค์ทรงประทานให้แก่พวกเจ้า
(10) และบรรดาผู้ตั้งภาคีผู้ปฏิเสธต่อวันแห่งการฟื้นคืนชีพกล่าวกันว่า “เมื่อเราได้ตายและสลายตัวลงสู่ใต้ผืนดินไปแล้วและร่างกายของพวกเราก็กลายเป็นฝุ่นดิน เราจะถูกทำให้เกิดขึ้นมามีชีวิตใหม่อีกครั้งกระนั้นหรือ?!” มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ในความจริงแล้วพวกเขาปฏิเสธต่อวันแห่งการฟื้นคืนชีพและไม่ศรัทธาต่อมันต่างหาก
(11) จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีผู้ปฏิเสธวันแห่งการฟื้นคืนชีพว่า “มลาอิกะฮ์ผู้ปลิดชีวิตที่อัลลอฮ์ทรงมอบหมายเขาให้เขาดึงวิญญาณพวกเจ้านั้น จะมาเอาชีวิตพวกเจ้า หลังจากนั้นยังเราเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่พวกเจ้าจะถูกนำกลับไปในวันกิยามะฮ์เพื่อการสอบสวนและตอบแทน
(12) บรรดาผู้กระทำผิดทั้งหลายจะปรากฏในวันกิยามะฮ์ โดยที่พวกเขานั้นอยู่ในสภาพที่ต่ำต้อย พวกเขาจะก้มศีรษะของพวกเขาลงเนื่องจากการปฏิเสธของพวกเขาที่มีต่อวันแห่งการฟื้นคืนชีพ พวกเขารู้สึกถึงความอัปยศ และกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา เราได้เห็นการฟื้นคืนชีพที่เราปฏิเสธมันแล้ว เราได้ยินสัจธรรมที่บรรดาเราะสูลนำมาจากพระองค์แล้ว ขอได้ทรงโปรดส่งเรากลับไปมีชีวิตยังโลกดุนยา เพื่อเราจะได้กระทำความดีที่พระองค์ทรงพอพระทัยพวกเรา แท้จริง บัดนี้ เราเป็นผู้ที่เชื่อมั่นต่อการฟื้นคืนชีพและต่อสัจธรรมที่บรรดาระสูลนำมา ถ้าหากเจ้าได้เห็นบรรดาผู้กระทำผิดทั้งหลายในสภาพเช่นนั้น แสดงว่าเจ้าได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
(13) และหากเราประสงค์ที่จะให้ทุกชีวิตได้รับแนวทางที่ถูกต้องและได้รับการชี้นำ แน่นอนเราก็จะดำเนินการในสิ่งนั้น แต่คำสัญญาของข้านั้นต้องเป็นจริงด้วยวิทยปัญญาและความยุติธรรม แน่นอนในวันกิยามะฮ์ข้าจะให้นรกญะฮันนัมเต็มไปด้วยผู้ปฏิเสธศรัทธาจากสองจำพวก คือ ญินและมนุษย์ เพราะพวกเขาเลือกหนทางแห่งการปฏิเสธและหลงผิด มากกว่าทางแห่งศรัทธาและความมั่นคง
(14) และได้มีการกล่าวแก่พวกเขาด้วยการตำหนิและเย้ยหนันพวกเขาในวันกิยามะฮ์ว่า “ดังนั้น พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษเถิด เนื่องจากการหลงระเริงของพวกเจ้าในการใช้ชีวิตในโลกดุนยาจนลืมการพบกับอัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์พเพื่อสอบสวนพวกเจ้า แท้จริงเราก็ได้ทิ้งพวกเจ้าให้อยู่ในการลงโทษโดยจะไม่สนใจถึงสิ่งที่ทำให้พวกเจ้าทรมาน และจงลิ้มรสการลงโทษของไฟนรกที่นิรันดร์ โดยไม่มีที่สิ้นสุดเถิด อันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนต่าง ๆ ที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ในโลกดุนยา
(15) แท้จริงผู้ที่ศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของเราที่ถูกประทานลงมายังเราะสูลของเรา พวกเขาคือเมื่อถูกตักเตือนให้รำลึกถึงโองการ พวกเขาก็จะก้มลงสุญูดต่ออัลลอฮ์ ด้วยการสดุดีสรรเสริญแด่พระองค์ และพวกเขาจะไม่หยิ่งผยองต่อการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์และการสุญูดต่อพระองค์ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม
(16) สีข้างของพวกเขาเคลื่อนห่างออกจากที่นอนของพวกเขา ซึ่งพวกเขาอยู่บนนั้นเวลาที่พวกเขานอน โดยที่พวกเขาทิ้งมันและมุ่งสู่อัลลอฮ์ พลางวิงวอนขอต่อพระองค์ในเวลาละหมาดของพวกเขาและช่วงเวลาอื่น ๆ ด้วยความกลัวต่อการลงโทษของพระองค์และหวังในความเมตตาของพระองค์ และพวกเขาทุ่มเทบริจาคทรัพย์สินที่เราได้ประทานให้แก่พวกเขาไปในหนทางของอัลลอฮ์
(17) ดังนั้น จึงไม่มีชีวิตใดรู้สิ่งที่อัลลอฮ์ทรงเตรียมมันไว้ให้สำหรับพวกเขา ให้เป็นที่รื่นรมย์แก่สายตาของพวกเขา เป็นการตอบแทนจากพระองค์แก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ในโลกดุนยาจากการงานที่ดีทั้งหลาย มันคือผลตอบแทนที่ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากอัลลอฮ์ อันเนื่องจากความยิ่งใหญ่ของมัน
(18) ผู้ใดศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ปฏิบัติสิ่งที่พระองค์ทรงใช้และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม จะไม่เหมือนกับผู้ที่ออกห่างจากการเชื่อฟังพระองค์ คนสองกลุ่มนี้จะไม่เท่าเทียมกัน ณ ที่อัลลอฮ์ ในเรื่องของการตอบแทน
(19) ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และกระทำความดีทั้งหลายนั้น ผลตอบแทนที่ถูกเตรียมไว้สำหรับเขานั้นคือสรวงสวรรค์ที่หลากหลาย พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พวกเขาจากอัลลอฮ์ เพื่อเป็นรางวัลสำหรับความดีต่างๆ ที่พวกเขาเคยกระทำไว้ในขณะที่อยู่ในโลกดุนยา
(20) ส่วนบรรดาผู้ที่ออกจากการเชื่อฟังอัลลอฮ์โดยการปฏิเสธศรัทธาและกระทำการฝ่าฝืนนั้น ที่พำนักที่ถูกเตรียมไว้สำหรับพวกเขาในวันกิยามะฮ์คือไฟนรก พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล ทุกครั้งที่พวกเขาต้องการจะออกไปจากมัน พวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่มันอีก และจะมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาอย่างเย้ยหยันว่า “จงลิ้มรสการลงโทษของไฟนรกซึ่งพวกเจ้าเคยปฏิเสธมัน ไม่เชื่อมันในโลกดุนยา เมื่อตอนที่บรรดาเราะสูลของพวกเจ้าได้เคยตักเตือนพวกเจ้าให้กลัวมัน”
(21) และแน่นอน เราจะให้บรรดาผู้ปฏิเสธที่ผินหลังออกจากการเชื่อฟังพระผู้อภิบาลของพวกเขาได้ลิ้มรสแห่งการทดสอบและความทุกข์ยากในโลกนี้ ก่อนการลงโทษอันยิ่งใหญ่ที่ถูกเตรียมไว้ให้แก่พวกเขาในวันปรโลกหากพวกเขาไม่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว ทั้งนี้เผื่อว่าพวกเขาจะหันกลับไปสู่การเชื่อฟังต่อพระผู้อภิบาลของเขา
(22) และไม่มีผู้ใดที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ถูกเตือนให้รำลึกถึงโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์ แล้วเขาก็ไม่เชื่อฟังและผินหลังให้กับโองการเหล่านั้นอย่างไม่สนใจใดๆ เลย แท้จริงเราเป็นผู้จองเวรบรรดาผู้กระทำผิดด้วยการปฏิเสธศรัทธาและฝ่าฝืนโดยการผินหลังให้กับอายาตทั้งหลายของอัลลอฮ์
(23) และโดยแน่นอน เราได้ให้คัมภีร์อัตเตารอตแก่มูซา ดังนั้นเจ้า โอ้เราะสูลเอ๋ย อย่าอยู่ในการสงสัยต่อการที่เจ้าได้พบกับมูซาในค่ำคืนที่มีการอิสรออ์และเมี้ยะรอจญ์ และเราได้ทำให้คัมภีร์ที่ถูกประทานลงมายังมูซาเป็นแนวทางที่ถูกต้องแก่วงศ์วานของอิสรออีลจากการหลงผิด
(24) และเราได้คัดเลือกจากวงศ์วานของอิสรออีลให้มีบรรดาผู้นำ เพื่อให้ผู้คนได้ปฏิบัติตามพวกเขาในเรื่องสัจธรรมและชี้นำไปสู่สัจธรรม เมื่อพวกเขาอดทนในการเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ และหลีกเลี่ยงข้อห้ามของพระองค์ และอดทนเมื่อได้รับการทดสอบในเส้นทางแห่งการเผยแพร่ศาสนา และพวกเขาเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นต่อโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์ที่ถูกประทานลงมาแก่บรรดาเราะซูลของพระองค์
(25) แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้า -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- พระองค์คือผู้ทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในวันกิยามะฮ์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกันในโลกนี้ จะทรงชี้แจงว่าคนไหนถูกและคนไหนผิดและพระองค์จะทรงตอบแทนทุกคนตามสิ่งที่สมควรได้รับ
(26) พวกเขาตาบอดกระนั้นหรือ จึงไม่เห็นว่าเราได้ทำลายล้างกี่ประชาชาติมาแล้วก่อนหน้าพวกเขา? และนี่พวกเขาก็กำลังใช้ชีวิตในพื้นที่ที่คนเหล่านั้นเคยอาศัยมาก่อน ก่อนที่พวกเขาจะถูกทำลาย แต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาจากกลุ่มชนของเจ้าไม่ได้รับรู้จากสภาพของพวกเขา อันที่จริง ในเหตุการณ์ความพินาศที่เกิดขึ้นกับชนชาติก่อน ๆ อันเนื่องจากการปฏิเสธของพวกเขาและการเนรคุณของพวกเขา มีบทเรียนที่เป็นข้อพิสูจน์ถึงความสัจจริงของบรรดาเราะสูลที่มาหาพวกเขาจากอัลลอฮ์ บรรดาผู้ปฏิเสธโองการของอัลลอฮ์ไม่ได้ยินบ้างเลยหรือ?!ด้วยการฟังอย่างมีสติและรับเป็นบทเรียน
(27) บรรดาพวกปฏิเสธศรัทธาต่อการฟื้นคืนชีพไม่เห็นหรอกหรือว่า เราได้ส่งน้ำฝนลงมาสู่แผ่นดินที่แห้งแล้ง แผ่นดินที่ไม่มีพืชผลเลย แล้วด้วยน้ำฝนนั้น เราได้ให้พืชผลงอกเงยออกมา เพื่ออูฐ วัว แพะของพวกเขาและตัวของพวกเขาเองจะได้กินจากมัน แล้วพวกเขายังไม่รู้อีกหรือว่าผู้ที่ทำให้แผ่นดินที่แห้งแล้ง งอกงามขึ้นมาอีกครั้ง สามารถให้ชีวิตแก่ผู้ที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาได้
(28) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อการฟื้นคืนชีพ เป็นผู้ขอให้มีการลงโทษอย่างรีบเร่งโดยกล่าวว่า “เมื่อใดเล่าการตัดสินนี้ ที่พวกเจ้าอ้างว่ามันจะตัดสินระหว่างพวกเรากับพวกเจ้าในวันกิยามะฮ์นั้นจะเกิดขึ้น แล้วบั้นปลายของพวกเราคือไฟนรก และบั้นปลายของพวกเจ้าคือสวรรค์?!
(29) จงกล่าวเถิด -โอ้ท่านเราะซูลเอ๋ย- ว่าสัญญานี้คือวันกิยามะฮ์ ซึ่งมันคือวันแห่งการตัดสินระหว่างปวงบ่าว ขณะที่การศรัทธาของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ในโลกนี้จะไม่อำนวยประโยชน์แก่พวกเขาเลยหลังจากที่วันกิยามะฮ์ได้เกิดขึ้นแล้ว และพวกเขาก็จะไม่ถูกให้ยืดเวลาออกไป เพื่อให้พวกเขาสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่อพระเจ้าของพวกเขาและหันหน้าเข้าหาพระองค์
(30) ดังนั้น -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- จงผินหลังออกห่างจากพวกเขาเสียเถิด หลังจากที่พวกเขานั้นยังคงอยู่ในการหลงผิดของพวกเขา และจงรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขา แท้จริงพวกเขาเป็นผู้ที่ำลังรอคอยการลงโทษที่พวกเขาถูกสัญญาไว้