7 - Al-A'raaf ()

|

(1) (อะลิฟ ลาม มีม ศอด)ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้วในตอนต้นของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์

(2) โอ้เราะสูลเอ่ย อัลกรุอานุลการีมเป็นคัมภีร์หนึ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมาแก่เจ้า ดังนั้นจงอย่าได้มีความอึดอัด และลังเลในหัวอกของเจ้าเลย คัมภีร์นั้นถูกประทานลงมาแก่เจ้าเพื่อตักเตือนให้ผู้คนเกรงกลัว และให้มันเป็นหลักฐานอันชัดแจ้ง และเพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย เพราะพวกเขาคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการตักเตือน

(3) โอ้มวลมนุษย์ทั้งหลาย พวกเจ้าจงปฏิบัติตามคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาจากพระเจ้าของพวกเจ้าแก่พวกเจ้า และแนวทางของท่านนบีของพวกเจ้าเถิด และจงอย่าปฏิบัติตามความปรารถนาของพวกที่พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาคือผู้คุ้มครองจากบรรดาชัยฏอนหรือผู้นำที่ไม่ดีที่ควบคุมพวกเจ้าให้ละทิ้งสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมาแก่เจ้าเพื่อสิ่งที่พวกเขาปรารถนา แต่น้อยนักที่พวกเจ้าจะรำลึก หากพวกเขารำลึกแน่นอนพวกเจ้าจะไม่แสวงหาสัจธรรมอื่นนอกจากของพระองค์ และจะดำเนินตามสิ่งที่เราะซูลของพวกเจ้านำมา และปฏิบัติตามมัน และละทิ้งสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากนั้น

(4) กี่เมืองแล้วที่เราได้ทำลายมันด้วยบทลงโทษของเราเมื่อชาวเมืองนั้นยังคงอยู่ในการปฏิเสธและหลงผิด และบทลงโทษของเราอันเจ็บปวดก็ได้ลงมายังเมืองนั้น ในยามค่ำคืนที่มืดหรือยามกลางวัน และพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะต่อต้านบทลงโทษให้รอดพ้นด้วยตัวของพวกเขาเอง และบรรดาพระเจ้าที่ถูกแอบอ้างว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะช่วยพวกเขาให้รอดจากบทลงโทษได้เช่นกัน

(5) ไม่มีอะไรจากพวกเขาหลังจากที่การลงโทษได้ลงมา นอกจากการสารภาพด้วยตัวของพวกเขาเองซึ่งการอธรรมและการปฏิเสธของพวกเขาต่ออัลลอฮ์

(6) ดังนั้นในวันแห่งการตัดสิน(วันกิยามะฮ์)แน่นอนเราจะถามประชาชาติต่างๆที่เราได้ส่งเราะสูลของเราไปยังพวกเขาในสิ่งที่บรรดาเราะสูลได้นำมา และแน่นอน เราจะถามบรรดาเราะสูลทั้งหลายถึงการส่งสาสน์ ที่เราได้สั่งพวกเขาให้ปฏิบัติ และการตอบรับของประชาชาติของพวกเขา

(7) แล้วแน่นอนเราจะบอกให้ทุกสิ่งที่ถูกสร้างได้รู้ถึงการงานของพวกเขาที่ได้ปฏิบัติมาในโลกนี้ แท้จริงเราเป็นผู้รู้ถึงการงานของพวกเขาทั้งหมด และจะไม่หายไปจากเราเลย และเราไม่เคยหายไปจากพวกเขาในเวลาไหนก็ตาม

(8) และตราชั่งการงานในวันกิยามะฮ์นั้นจะชั่งด้วยความยุติธรรม จะไม่เกินหรืออยุติธรรม ดังนั้นผู้ใดเมื่อถูกชั่งแล้วความดีของเขาหนักกว่าความชั่วของเขา ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ได้รับความสำเร็จที่ต้องการ และรอดพ้นจากความกลัว

(9) และผู้ใดเมื่อถูกชั่งแล้วความชั่วของเขาหนักกว่าความดีของเขาแล้ว ชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ก่อความสูญเสียให้แก่ตัวของพวกเขาเอง ที่จะนำไปสู่ความหายนะในวันกิยามะฮ์ เนื่องจากการปฏิเสธบรรดาโองการต่างๆของอัลลอฮ์

(10) โอ้วงค์วานของอาดัมเอ๋ย แท้จริงแล้ว เราได้ทำให้พวกเจ้ามีที่พำนักอยู่ในผืนแผ่นดิน และเราได้ให้มีขึ้นแก่พวกเจ้า ซึ่งบรรดาเครื่องยังชีพในผืนแผ่นดินนั้น ดังนั้นสำหรับพวกเจ้าต้องขอบคุณอัลลอฮ์ถึงสิ่งนั้น แต่การขอบคุณของพวกเจ้านั้นมีเพียงน้อยนิด

(11) โอ้มวลมนุษย์เอ๋ย แท้จริงเราได้บังเกิดอาดัมพ่อของพวกเจ้า แล้วเราได้ให้เขาเป็นรูปร่างที่ดียิ่ง และสวยงามยิ่ง แล้วเราได้สั่งให้มลาอิกะฮ์ ทำการก้มกราบแก่อาดัม เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เขา แล้วพวกเขาก็ทำตามและนบนอบกัน นอกจากอิบลิสเท่านั้นที่ไม่ยอมก้มกราบเพราะความเย่อหยิ่งและละเมิด

(12) อัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงตรัส เพื่อเป็นการตำหนิอิบลิสว่า "อะไรเป็นสิ่งที่ขัดขวางเจ้ามิให้ปฏิบัติตามคำสั่งของข้าที่มีต่อเจ้าให้กราบอาดัม? อิบลิส ได้ตอบพระเจ้าของเขาว่า "สิ่งที่ได้ขัดขวางข้าพระองค์นั้นเพราะข้าพระองค์นั้นดีกว่าเขา โดยที่พระองค์ทรงบังเกิดข้าพระพระองค์จากไฟ และได้บังเกิดเขาจากดิน และไฟนั้นย่อมมีเกียรติกว่าดิน"

(13) พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "เจ้าจงลงจากสวนสวรรค์นั้นไปเสีย ไม่สมควรแก่เจ้าที่จะทำโอหังในนั้น เพราะเป็นที่พำนักสำหรับบรรดาคนดีที่บริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับเจ้าที่จะอยู่ในนั้น" โอ้อิบลิสเอ๋ย "แท้จริงเจ้านั้นอยู่ในหมู่ผู้ต่ำต้อยไม่มีเกียรติ แม้ว่าเจ้าเห็นว่าตัวเจ้านั้นมีเกียรติกว่าอาดัมก็ตาม"

(14) อิบลิส กล่าวว่า "โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ได้โปรดประวิงเวลาให้แก่ข้าพระองค์จนถึงวันฟื้นคืนชีพด้วยเถิด จนข้าพระองค์นั้นชักชวนมวลมนุษย์ที่ข้าพระองค์สามารถชักชวนได้"

(15) อัลลอฮ์ตรัสแก่เขาว่า "โอ้อิบลิส แท้จริงเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ถูกประวิงเวลาที่ข้าไดบันทึกความตายให้พวกเขาเมื่อถึงวันที่มีการเป่าสังข์ครั้งแรก โดยที่สิ่งถูกสร้างทั้งหมดจะตายและเหลือผู้สร้างพวกเขาเพียงองค์เดียว"

(16) อิบลิสกล่าวว่า "ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์นั้นหลงผิด จนข้าพระองค์ละทิ้งการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ นั่นคือ การก้มกราบต่ออาดัม แน่นอนข้าพระองค์จะติดตามวงศ์วานของอาดัมบนเส้นทางอันเที่ยงตรงของพระองค์ ข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาหลงไปจากทางนั้น ดั่งที่ข้าพระองค์ได้หลงผิดต่อการก้มกราบอาดัม บิดาของพวกเขา"

(17) "แล้วข้าพระองค์จะมายังพวกเขาทุกทิศทาง โดยการหลอกล่อพวกเขาด้วยการไม่สนใจต่อปรโลก และปรารถนาแต่ทางโลก และสร้างความคลุมเคลือ และทำให้ดูดีงามในการปฏิบัติตามอารมณ์ โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ พระองค์จะไม่พบว่าส่วนมากของพวกเขานั้น เป็นผู้ขอบคุณพระองค์ ในเมื่อข้าพระองค์ได้ให้ความหวังแก่พวกเขาผ่านการปฏิเสธศรัทธา"

(18) พระองค์ตรัสว่า "โอ้อิบลิสเอ๋ย เจ้าจงออกจากสวนสวรรค์ไปในฐานะผู้ถูกติเตียน และถูกขับไล่จากความเมตตาของอัลลอฮ์ และข้าจะบรรจุให้เต็มนรกญะฮันนัมในวันกิยามะฮ์จากเจ้า และทุกคนที่ปฏิบัติตามเจ้า และเชื่อฟังเจ้า และไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าของเขา"

(19) และอัลลอฮ์ได้ตรัสแก่อาดัมว่า "โอ้อาดัมเอ๋ย! เจ้าและคู่ครองเจ้า ฮาวาอ์ จงอยู่ในสวนสวรรค์นั้นเถิด แล้วจงบริโภคสิ่งที่ดีต่างๆ ตามที่เจ้าทั้งสองประสงค์ และเจ้าทั้งสองอย่ารับประทานจากต้นไม้ต้นนี้ (ต้นไม้ที่อัลลอฮฺทรงกำหนดให้แก่เขาทั้งสอง) แล้วถ้าหากเจ้าทั้งสองรับประทานจากต้นไม้นั้นหลังจากที่อัลลอฮ์ทรงห้ามพวกเจ้าทั้งสองแล้ว เจ้าทั้งสองก็จะอยู่ในหมู่ผู้ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์"

(20) แล้วอิบลิสก็ได้บอกแก่ทั้งสองด้วยการกระซิบ เพื่อให้ทั้งสองเปิดเผยซึ่งสิ่งที่ถูกปกปิดสำหรับทั้งสองไว้ นั่นคือสิ่งอันพึงละอายของเขาทั้งสอง และอิบลิสได้กล่าวแก่เขาทั้งสองว่า "พระเจ้าของท่านทั้งสองมิได้ทรงห้ามท่านทั้งสองรับประทานจากต้นไม้ต้นนี้ นอกจากไม่อยากให้ท่านทั้งสองกลายเป็นมลาอิกะฮ์ หรือไม่ก็ไม่อยากให้ท่านทั้งสองกลายเป็นผู้อยู่ในสวนสวรรค์ตลอดกาล"

(21) และมันได้สาบานต่ออัลลอฮ์แก่ทั้งสองนั้นว่า "โอ้อาดัมและฮาวาอ์เอ๋ย แท้จริงฉันอยู่ในกลุ่มคนที่ให้การแนะนำแก่ท่านทั้งสองในสิ่งที่ได้แจ้งให้ท่านทั้งสองทราบ"

(22) แล้วพระองค์ก็ทำให้ทั้งสองนั้นตกจากสถานะที่เขาทั้งสองเคยอยู่ อันเนื่องจากการหลอกลวง ครั้นเมื่อทั้งสองได้ลิ้มรสจากต้นไม้ต้นนั้นที่ถูกห้ามไม่ให้รับประทานแล้ว สิ่งอันพึงละอายของเขาทั้งสอง ก็เผยให้ประจักษ์แก่เขาทั้งสอง และเขาทั้งสองก็เริ่มปกปิดบนส่วนที่น่าละอายของเขาทั้งสองจากใบไม้แห่งสวนสวรรค์นั้น และพระเจ้าของเขาทั้งสองก็ได้ทรงเรียกเขาทั้งสอง โดยกล่าวว่า "ข้ามิได้ห้ามเจ้าทั้งสองกินจากต้นไม้นี้ดอกหรือ และข้ามิได้กล่าวแก่เจ้าทั้งสอง เพื่อตักเตือนดอกหรือ ว่าแท้จริงชัยฏอน นั้นคือศัตรูที่ชัดแจ้งแก่เจ้าทั้งสอง"

(23) อาดัมและฮาวาอ์กล่าวว่า “โอ้ พระผู้อภิบาลของเรา! เราทำผิดต่อตนเองด้วยการทำสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม นั่นคือการกิน (ผล) ของต้นไม้ หากพระองค์ไม่ยกโทษบาปของเราและประทานความเมตตาของพระองค์แก่เรา แน่นอนเราจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุนอย่างแน่นอน เพราะเราได้สูญเสียโชคลาภของเราในโลกนี้และในโลกหน้า”

(24) อัลลอฮ์ได้ตรัสแก่อาดัม ฮาวาอ์ และอิบลิสว่า "พวกเจ้าจงลงจากสวนสวรรค์ไปยังพื้นแผ่นดิน โดยที่บางส่วนของพวกเจ้าคือศัตรูกับอีกบางส่วน และในแผ่นดินนั้นมีที่พำนัก และสิ่งอำนวยประโยชน์สำหรับพวกเจ้าจนถึงระยะเวลาที่ถูกกำหนด"

(25) อัลลอฮ์ตรัสแก่อาดัม และฮาวาอ์ และลูกหลานของเขาทั้งสองว่า "ในแผ่นดินนี้แหละพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่ตามที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดเวลาแก่พวกเจ้า และในแผ่นดินนี้แหละพวกเจ้าจะตายและจะถูกฝังไว้ และจากหลุมฝังศพของพวกเจ้า พวกเจ้าจะถูกให้ออกมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง"

(26) โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย "แท้จริงเราได้ประทานให้แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่มที่จำเป็นเพื่อปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเราได้ประทานแก่พวกเจ้าเครื่องนุ่งห่มเพื่อให้พวกเจ้าได้ประดับ และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรงนั้นคือ การปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาและห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามนั้น ดีกว่าเครื่องนุ่มห่มที่สัมผัสได้ เครื่องนุ่งห่มที่ได้กล่าวมานั่นแหละคือส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์ที่บ่งบอกถึงความสามารถของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รำลึกถึงความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อพวกเจ้าแล้วพวกเจ้าจะขอบคุณพระองค์

(27) โอ้ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย จงอย่าให้ชัยฏอนหลอกลวงพวกเจ้าโดยการล่อลวงให้ทำบาปด้วยการละทิ้งเครื่องนุ่งห่มที่ปกปิดสิ่งที่น่าละอายหรือละทิ้งเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง แท้จริงแล้วมันได้หลอกลวงบรรพบุรุษของพวกเจ้าให้รับประทานจากต้นไม้ที่พระองค์ทรงห้ามไว้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั้งสองต้องออกจากสวรรค์ และสิ่งที่น่าละอายของทั้งสองก็ได้เปิดเผยออกมา แท้จริงทั้งชัยฏอนและเผ่าพันธุ์ของมันมองเห็นและดูพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกมันหรือดูพวกมันได้ ดั้งนั้นจำเป็นสำหรับพวกเจ้าที่ต้องระวังมันและเผ่าพันธุ์ของของมัน แท้จริงเราได้ให้บรรดาชัยฏอนเป็นสหายของกับบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และส่วนบรรดาผู้ศรัทธาที่ปฏิบัติการงานที่ดีนั้น ก็จะไม่มีทางสำหรับพวกมัน ที่จะมีอำนาจเหลือพวกเขา

(28) และเมื่อบรรดาผู้ตั้งภาคีกระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ เช่นการตั้งภาคี และการเดินรอบๆ อัลกะอ์บะฮ์โดยเปลือยกายและอื่นๆ พวกเขามีเหตุผลว่า พวกเขานั้นได้พบเห็นบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาเคยกระทำกันมา และอัลลอฮ์ก็ทรงใช้พวกเขาให้กระทำมันด้วย โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย จงตอบพวกเขาเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงใช้ให้กระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจดอกแต่พระองค์จะทรงห้ามมัน แล้วพวกท่านจะแอบอ้างสิ่งนั้นได้อย่างไร? โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีเอ๋ย พวกท่านจะกล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้กระนั้นหรือ?!

(29) โอ้มุฮัมมัด จงกล่าวแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้นเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงสั่งให้มีความยุติธรรม และไม่ทรงสั่งให้กระทำสิ่งลามกและชั่วช้า และทรงสั่งให้พวกท่านบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ในทุกๆ อิบาดะฮ์ โดยทั่วไป และบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ในเวลาละหมาดเป็นการเฉพาะ และจงวิงวอนต่อพระองค์เท่านั้นโดยเป็นผู้สุจริตมั่นต่อพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงบังเกิดจากที่ไม่มีในครั้งแรก และให้พวกท่านกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง และอัลลอฮ์ผู้ที่ทรงสามารถที่ทำให้พวกท่านบังเกิดขึ้นมาได้ก็ทรงสามารถที่จะให้พวกท่านตายและพื้นคืนชีพได้

(30) และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงทำให้มนุษย์นั้นออกมาเป็นสองพวก พวกหนึ่งในหมู่พวกท่านคือพวกที่พระองค์ทรงชี้นำให้ และให้ความง่ายดายแก่เขาเพื่อเป็นสาเหตุที่จะได้รับคำแนะนำ และอุปสรรคทั้งหลายของเขาจะหมดไป และอีกพวกหนึ่งสมควรแก่พวกเขาแล้วซึ่งการหลงผิดจากทางแห่งสัจธรรม เพราะพวกเขาทำให้บรรดาชัยฏอนกลายเป็นผู้คุ้มครองอื่นจากอัลลอฮ์ และปล่อยให้พวกเขาโง่เขลา และพวกเขาคิดว่าพวกเขาคือผู้ที่ได้รับการชี้นำไปสู่ทางที่เที่ยงตรง

(31) โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย พวกเจ้าจงสวมใส่สิ่งที่จะปกปิดสิ่งพึงสงวนของพวกเจ้า และจงประดับกายของพวกเจ้าด้วยเสื้อผ้าที่สะอาดในเวลาละหมาดและตอวาฟ และพวกเจ้าจงกินและจงดื่มสิ่งที่ดีที่อัลลอฮ์ทรงอนุญาตไว้ตามที่พวกเจ้าปรารถนา และจงอย่าละเมิดขอบเขตความเป็นกลางในเรื่องนี้ และจงอย่าละเมิดสิ่งที่อนุญาตไปยังสิ่งที่ต้องห้าม แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ชอบบรรดาผู้ที่ละเมิดขอบเขตความเป็นกลางทั้งหลาย

(32) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เพื่อลบล้างคำกล่าวของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ห้ามทุกสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงบัญญัติไว้ ไม่ว่าในเรื่องของเสื้อผ้า อาหาร หรือสิ่งอื่นใด “ใครห้ามมิให้พวกเจ้าสวมเสื้อผ้าที่เป็นเครื่องประดับสำหรับพวกเจ้า? และใครเล่าที่ห้ามสิ่งที่ดีๆ จากอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งอื่น ๆ ที่อัลลอฮ์ได้จัดเตรียมไว้ให้พวกเจ้า?” กล่าว -โอ้ เราะสูลเอ๋ย- “แท้จริงอาหาร, เครื่องดื่ม, เสื้อผ้า, ฯลฯ ที่จัดอยู่ในประเภทสิ่งที่ดีนั้นสงวนไว้สำหรับผู้ศรัทธาในช่วงชีวิตของพวกเขาในโลกนี้ แม้ว่าจะมีคนอื่น ๆ มีส่วนกับพวกเขาในโลกก็ตาม แต่ในวันฟื้นคืนชีพจะถูกสงวนไว้สำหรับผู้ศรัทธาเท่านั้น ซึ่งในวันนั้นไม่มีคนนอกศาสนาใดสามารถที่จะมีส่วนกับพวกเขาได้ เพราะสวรรค์เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้ไม่ศรีทธา เราอธิบายโองการโดยละเอียดแก่ผู้ที่ต้องการคิด เพราะพวกเขาเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากมัน”

(33) จงกล่าวเถิด- โอ้เราะสูลเอ๋ย - แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีที่ห้ามสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงอนุญาตว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ทรงห้ามเฉพาะสิ่งที่น่ารังเกียจแก่ปวงบ่าวของพระองค์เท่านั้น นั่นคือบาปที่น่าเกลียดทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย เขายังห้ามการกระทำที่ผิดศีลธรรมทุกประเภท และการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเลือด ทรัพย์สิน หรือความภาคภูมิใจในตนเองโดยอธรรม เขายังห้ามไม่ให้พวกเจ้าเคารพสักการะพระเจ้าอื่นควบคู่กับอัลลอฮ์ โดยไม่มีหลักฐานที่ถูกต้อง และพระองค์ยังห้ามไม่ให้พวกเจ้าพูดในทางที่ไม่ดีเกี่ยวกับพระองค์ โดยปราศจากความรู้ ในเรื่องพระนามของพระองค์ คุณลักษณะของพระองค์ การกระทำของพระองค์ และบทบัญญัติแห่งกฎหมายของพระองค์ "

(34) แต่ละรุ่นมีระยะเวลาเฉพาะสำหรับช่วงเวลาที่กำหนดของพวกเขา ครั้นเมื่อเวลาที่ถูกกำหนดของพวกเขามาถึง ก็จะไม่ล่าช้าแม้แต่น้อยนิด และจะไม่มาก่อนกำหนด

(35) โอ้ลูกหลานอาดัมเอ๋ย ถ้ามีบรรดาเราะสูลจากข้าในหมู่พวกเจ้ามายังพวกเจ้า โดยบอกเล่าในสิ่งที่ข้าได้ประทานแก่พวกเขาถึงพระคัมภีร์ของข้า พวกเจ้าจงเชื่อฟังพวกเขาเถิด และปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาได้นำมาแก่พวกเจ้า แล้วผู้ใดที่ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์และปรับปรุงแก้ไขการงานของเขาแล้ว ก็ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ แก่พวกเขาในวันกิยามะฮ์ และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจในสิ่งที่พวกเขาพลาดจากสิ่งดีๆโลกนี้

(36) และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา ซึ่งพวกเขาได้ปฏิเสธซึ่งโองการทั้งหลายของเราและไม่ศรัทธาต่อโองการเหล่านั้น และพวกเขาหยิ่งสโยต่อการงานที่บรรดาเราะสูลของพวกเขาได้นำมา ชนเหล่านี้แหละคือ ชาวนรกโดยที่พวกเขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล

(37) ไม่มีผู้ใดที่อธรรมยิ่งกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ ด้วยการให้สิ่งอื่นเป็นภาคีกับพระองค์ หรือพระองค์บกพร่อง หรือกล่าวถึงพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ไม่ได้กล่าว หรือปฏิเสธต่อบรรดาโองการของพระองค์ที่ชัดแจ้งที่ชี้นำสู่ทางของพระองค์ที่เที่ยงตรง พวกเขาคือกลุ่มชนที่ประสบกับสิ่งที่ถูกบันทึกไว้สำหรับพวกเขาในแผ่นจารึกที่ถูกเก็บรักษาไว้ ทั้งดีและไม่ดี จนกว่าบรรดามะลาอิกะฮ์แห่งความตายและสมุนของเขาจากบรรดามะลาอิกะฮ์ทั้งหลายนั้นได้มายังพวกเขา เพื่อกระชากวิญญาณของพวกเขาโดยกล่าวแก่พวกเขาด้วยความรังเกียจว่า "ไหนเล่า สิ่งที่พวกเจ้าวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์? จงร้องขอต่อพวกเขาเพื่อเป็นประโยชน์ในแก่พวกเจ้าซิ บรรดาผู้ตั้งภาคีก็ได้กล่าวแก่มะลาอิกะฮ์ว่า "บรรดาสิ่งที่เราได้วิงวอนขอนั้น มันได้หายหน้าไปจากเราเสียแล้ว เราไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน" และพวกเขาได้ยืนยันแก่ตัวพวกเขาเองว่า พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธการศรัทธา แต่การยืนยันของเขา ณ เวลานั้นเป็นหลักฐานต่อพวกเขาว่าสิ่งที่พวกเขาได้วิงวอนนั้นไม่สามารถให้ประโยชน์แก่พวกเขาได้เลย

(38) มลาอิกะฮ์ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า “พวกเจ้า -โอ้ บรรดาผู้ตั้งภาคีเอ๋ย- จงเข้าไปในนรกพร้อมกับบรรดาประชาชาติที่มาก่อนหน้าพวกเจ้า จากญินและมนุษย์ที่ปฏิเสธศรัทธาและหลงทางเถิด ทุกครั้งที่ประชาชาติหนึ่งได้เข้าไปต่างก็จะสาปแช่งประชาชาติเท่าเข้าก่อนหน้าเขา จนกระทั่งเมื่อพวกเขาทั้งหมดรวมกันในนั้นแล้ว กลุ่มสุดท้ายของพวกเขา(คือกลุ่มผู้ตาม )ได้กล่าวแก่กลุ่มแรกของพวกเขา(กลุ่มผู้นำ)ว่า “ข้าแต่พระเจ้าของเรา พวกเขานั่นแหละที่ทำให้เราหลงจากทางที่เที่ยงตรง ดังนั้นจงลงโทษแก่พวกเขาเป็นสองเท่าเถิดเนื่องด้วยการกระทำของพวกเขาทำให้เราหลง อัลลอฮ์ตรัสว่า “สำหรับพวกเจ้าแต่ละกลุ่มจะได้รับการลงโทษเป็นสองเท่าตามสภาพของแต่ละกลุ่ม แต่พวกเจ้าไม่รู้”

(39) บรรดาผู้นำ กล่าวแก่ผู้ติดตามของพวกเขาว่า " พวกเจ้าไม่มีความข้อได้เปรียบใดๆ เหนือพวกเราที่จะได้รับการลดหย่อนบทลงโทษของพวกเจ้า ดังนั้นบทเรียนที่พวกท่านได้รับจากการงานนั้น ไม่ได้เป็นข้ออ้างแก่พวกเจ้าที่จะติดตามสิ่งที่ผิด โอ้ ผู้ติดตามเอ๋ย ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษเหมือนที่เราได้ลิ้มรสเถิด เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเจ้าแสวงหากันจากการปฏิเสธและความชั่ว"

(40) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธโองการที่ชัดแจ้งต่างๆ ของเรา และได้แสดงโอหังโดยไม่เชื่อฟังและไม่ปฏิบัติตามโองการต่างๆ และไม่มีต้องการกับทุกความดีนั้น บรรดาประตูแห่งฟากฟ้าจะไม่ถูกเปิดให้แก่การงานของพวกเขาเพราะการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา และสำหรับวิญญานของพวกเขาก็เช่นกันเมื่อพวกเขาได้ตายไป และพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์ตลอดกาล จนกว่าอูฐ(ซึ่งเป็นสัตว์ที่ใหญ่)จะลอดเข้าไปในรูเข็มได้ซึ่งเป็นสิ่งที่แคบที่สุด ซึ่งสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับมันในการเข้าสวนสวรรค์นั้นก็เป็นไปไม่ได้ และสิ่งตอบแทนเช่นนี้เหละที่อัลลอฮ์ทรงตอบแทนแก่ผู้ที่ทำบาปอันใหญ่หลวง

(41) สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธที่โอหังนั้น คือ ที่นอนจากนรกญะฮันนัม และจากเบื้องบนของพวกเขานั้นถูกปกคลุมด้วยไฟ และสิ่งตอบแทนในทำนองนี้แหละที่เราจะตอบแทนลงโทษแก่บรรดาผู้ล่วงละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์ที่ได้ปฏิเสธและไม่เชื่อฟังพระเจ้าของพวกเขา

(42) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขาและประกอบคุณงามความดีทั้งหลายที่พวกเขาสามารถกระทำได้ และอัลลอฮ์จะไม่ทรงทำให้เป็นภาระแก่ชีวิตใด ที่เกินความสามารถของพวกเขา ชนเหล่านี้แหละคือชาวสวรรค์ โดยที่พวกเขาจะเข้าพำนักอยู่ในสวรรค์นั้นชั่วนิรันดร์

(43) และจากความสุขที่สมบูรณ์ของชาวสวรรค์นั้น คือการที่อัลลอฮ์ทรงขจัดความเกลียดชังและคับแค้นใจ ออกจากหัวอกของพวกเขา และให้มีบรรดาแม่น้ำไหลอยู่ภายใต้ของพวกเขา และบรรดาผู้ที่ยอมรับต่ออัลลอฮ์ในความสะดวกสบายที่พระองค์ได้ทรงมอบให้แก่พวกเขาได้กล่าวว่า "การสรรเสริญทั้งหลายนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ผู้ทรงประทานการงานที่ดีแก่เราซึ่งเราได้รับระดับนี้ และใช่ว่าพวกเราจะได้รับการตอบรับด้วยตัวของเราเอง หากว่าอัลลอฮ์ไม่ทรงตอบรับพวกเรา แน่นอนบรรดาเราะสูลแห่งพระเจ้าของเรานั้นได้นำความจริงมาที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ และความสัตย์จริงถึงการสัญญาต่อสิ่งที่ดีและชั่ว พวกเขาได้ถูกป่าวร้องว่า "นั้นแหละ คือสวนสวรรค์ที่บรรดาเราะสูลของข้าได้บอกแก่พวกเจ้าในดุนยา อัลลอฮ์ทรงมอบสวนสวรรค์นี้แก่พวกเจ้าต่อการงานที่ดีที่พวกเจ้าที่เคยกระทำกันไว้ ที่พวกเจ้าต้องการพระพักตร์ของอัลลอฮ์"

(44) และชาวสวรรค์ได้ร้องเรียกชาวนรกหลังจากที่ทั้งสองได้เข้าไปอยู่ในที่ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับพวกเขาว่า "แท้จริงพวกเราได้พบแล้ว สิ่งที่พระเจ้าของเราได้สัญญาแก่เรา นั่นคือสวรรค์มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นจริง และพวกเราก็ได้เข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว แล้วพวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเอ๋ย- ได้พบสิ่งที่พระเจ้าของพวกเจ้าได้ทรงสัญญาว่าจะให้อยู่ในนรกนั้นเป็นความจริงไหม? บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า "แท้จริงเราได้พบสิ่งที่พระเจ้าของเราได้สัญญาแก่เราแล้ว มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นจริง แล้วมีผู้ประกาศได้ทำการประกาศ ได้ขอต่ออัลลอฮ์ให้ขับไล่ผู้อธรรมออกจากความเมตตาของพระองค์ แท้จริงประตูแห่งความเมตตาได้ถูกเปิดแก่พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาได้ผินหลังให้ต่อความเมตตานั้นตอนอยู่ในโลกดุนยา

(45) บรรดาผู้อธรรมเหล่านี้ พวกเขาคือผู้ที่ผินหลังจากแนวทางของอัลลอฮ์และสนับสนุนให้ผู้อื่นหันหลังให้กับทางนั้น และพวกเขาหวังให้ทางที่ถูกต้องกลายเป็นทางที่คดเคี้ยว เพื่อไม่ให้มนุษย์ผ่านไปได้ และพวกเขาปฏิเสธศรัทธาในปรโลก และพวกเขาไม่พร้อมสำหรับวันนั้น

(46) และระหว่างทั้งสองกลุ่ม (ชาวสวรรค์และชาวนรก) มีกำแพงกั้นสูงเรียกว่า อัล-อะอ์รอฟ และบนส่วนสูงของกำแพงนั้นมีชายกลุ่มหนึ่งที่ความดีและความชั่วของพวกเขานั้นหนักเท่ากัน ซึ่งพวกเขารู้จักบรรดาชาวสวรรค์ ด้วยเครื่องหมายต่างๆบนใบหน้าพวกเขา เช่น การมีใบหน้าที่ขาวสะอาด และบรรดาชาวนรกด้วยเครื่องหมายต่างๆ เช่น การมีใบหน้าที่มืดดำ และบรรดาผู้ชายเหล่านั้นก็เรียกร้องบรรดาชาวสวรรค์เพื่อเป็นเกียรติแก่พวกเขา โดยกล่าวว่า "ขอความสันติสุขจงมีแด่พวกท่าน" โดยที่บรรดาชาวสวรรค์ในตอนนั้นยังมิได้เข้าสวรรค์ และพวกเขาก็ปรารถนาที่จะเข้าสวรรค์ด้วยความเมตตาจากอัลลอฮ์

(47) และเมื่อสายตาของพวกที่อยู่บนกำแพงสูงถูกหันไปทางชาวนรก และได้ดูสิ่งที่เกิดขึ้นในนรกซึ่งบทลงโทษที่แสนเจ็บปวดนั้น พวกเขาจึงกล่าวขอต่ออัลลอฮ์ว่า "โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ โปรดอย่าให้พวกข้าพระองค์ร่วมอยู่กับกลุ่มผู้อธรรมที่ปฏิเสธและตั้งภาคีเหล่านั้นเลย"

(48) และบรรดาผู้ที่อยู่บนส่วนสูงของกำแพงนั้นได้ร้องเรียกชายกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นชาวนรกจากบรรดาผู้อธรรม โดยพวกเขารู้จักพวกนั้นด้วยเครื่องหมายของพวกเขา ที่มีใบหน้าที่ดำและมีตาสีฟ้า โดยกล่าวแก่พวกเขาว่า "มันไม่อำนวยประโยชน์ใดๆ เลยแก่พวกท่าน ซึ่งสิ่งที่พวกท่านสะสม ทั้งทรัพย์สินและบรรดาผู้ติดตาม และไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกท่านเลย การที่พวกท่านผินหลังให้แก่สัจธรรมด้วยความหยิ่งยโสและโอหัง

(49) อัลลอฮ์ตรัสไว้เพื่อเป็นการดูแคลนผู้ปฏิเสธว่า "ชนเหล่านี้ใช่ไหมคือผู้ที่พวกเจ้าได้สาบานไว้ว่า อัลลอฮ์จะไม่ทรงให้แก่พวกเขาซึ่งความเอ็นดูเมตตาใดๆ จากพระองค์?! อัลลอฮ์ตรัสแก่ผู้ศรัทธาว่า "โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าจงเข้าสวรรค์เถิด ไม่มีความกลัวใดๆ สำหรับพวกเจ้า ในสิ่งที่พวกเจ้ากำลังจะเผชิญ และพวกเจ้าจะไม่มีมีเสียใจในสิ่งที่พวกเจ้าเคยพลาดไปในดุนยา เมื่อพวกเจ้าได้พบกับความสุขของการอยู่ในสวรรค์"

(50) และชาวนรกได้ร้องเรียกชาวสวรรค์ด้วยความหวัง ว่า "โอ้ ชาวสวรรค์เอ๋ย จงเทน้ำแบ่งมาให้แก่พวกเราด้วยเถิด หรือไม่ก็สิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกท่าน เช่น อาหาร" ชาวสวรรค์ได้ตอบว่า "แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงให้สิ่งทั้งสองนั้นเป็นที่ต้องห้ามแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายเพราะการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา และพวกเราจะไม่ช่วยเหลือพวกท่านในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงห้ามแก่พวกท่านไว้"

(51) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่ทำให้ศาสนาของพวกเขาเป็นสิ่งไร้ค่าและไร้สาระ และความสวยงามต่างๆ แห่งโลกดุนยาได้หลอกล่อพวกเขา ดังนั้นในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์จะลืมพวกเขา และจะละทิ้งพวกเขา ให้พวกเขาทุกข์ทรมานดังที่พวกเขาได้ลืมการพบกับวันกิยามะฮ์ พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติ(การงานที่ดี)และไม่ได้เตรียมพร้อมใดๆ เลย และสำหรับการปฏิเสธข้อโต้แย้งและหลักฐานของอัลลอฮ์และการปฏิเสธนั้นทั้งๆ ที่พวกเขารู้ว่ามันเป็นความจริง

(52) และแท้จริงนั้นเราได้นำอัลกรุอานมาให้แก่พวกเขาแล้ว ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาแก่มุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม และเราได้แจกแจงคัมภีร์นั้นบนฐานแห่งความรอบรู้จากเรา และมันเป็นคัมภีร์ที่ชี้นำบรรดาผู้ศรัทธาไปสู่ทางที่ถูกต้องและไปสู่ความจริง และเป็นความเมตตาแก่พวกเขา เพราะมันมีแนวทางในการบรรลุความสุขทั้งในชีวิตในโลกนี้และในโลกหน้า

(53) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่างก็ไม่ได้รอคอยสิ่งใด นอกจากการลงโทษอันเจ็บปวดซึ่งได้มีแก่พวกเขา ซึ่งจะเป็นจุดจบของชะตากรรมของพวกเขาในปรโลก นั่นคือวันที่การลงโทษซึ่งได้ประกาศแก่พวกเขาจะมาถึง และเป็นวันที่รางวัลที่ประกาศแก่บรรดาผู้ศรัทธาจะมาถึง บรรดาผู้ที่ลืมอัลกุรอานในช่วงชีวิตของพวกเขาในโลกดุนยา และปฏิบัติตามคำสอนที่อยู่ในนั้น จะกล่าวว่า “แท้จริงบรรดาเราะสูลแห่งพระเจ้าของเราได้มายังพวกเราด้วยความจริงซึ่งไม่มีสงสัยเลยและไม่มีความเคลือบแคลงใดๆ ว่ามันคือความจริงที่มาจากอัลลอฮ์ ถ้าเรามีผู้วิงวอนที่สามารถช่วยเราได้ ณ ที่อัลลอฮ์ เพื่อเราจะได้พ้นจากการทรมานนั้น หรือถ้าเราได้กลับคืนสู่โลกอีกครั้ง เพื่อเราจะได้ทำความดีแทนความชั่วของเราที่เคยทำมา” บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ทำร้ายตัวเองด้วยการพลัดพรากตัวเองลงไปในเหวแห่งความพินาศอันเป็นผลจากการไม่ศรัทธาของพวกเขา และบรรดาพระเจ้าที่พวกเขาเคยเคารพบูชาอื่น ๆ นอกเหนือจากอัลลอฮ์ได้ห่างหายจากพวกเขาไป ดังนั้นพวกเขาจะไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอีกเลย

(54) โอ้ มวลมนุษย์เอ๋ย แท้จริงพระเจ้าของพวกเจ้านั้น คือ อัลลอฮ์ ผู้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดิน โดยไม่มีแบบมาก่อน ภายในหกวัน แล้วพระองค์ก็ทรงสถิตอยู่เหนือบัลลังก์ด้วยการสถิตที่สูงส่งที่เหมาะกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งเราไม่สามารถที่จะทราบถึงลักษณะของมันได้ พระองค์ทรงให้ความมืดของกลางคืนหายไปด้วยแสงของกลางวัน และแสงของกลางวันหายไปด้วยความมืดของกลางคืน และทั้งสองนี้ต่างก็จะไล่ตามกันอย่างรวดเร็ว โดยไม่ล่าช้า เมื่อความมืดไปความสว่างก็เข้ามา และทรงสร้างดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ และบรรดาดวงดาว พึงรู้เถิด สิ่งถูกสร้างทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงผู้เดียว หรือมีใครที่เป็นผู้สร้างอื่นจากพระองค์อีก?! และการงานทุกอย่างล้วนเป็นสิทธ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว และความดีของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่และความเอ็นดูเมตตาที่มากมาย และพระองค์ทรงมีคุณลักษณะความยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบและผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก

(55) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าจงวิงวอนต่อพระเจ้าของพวกเจ้าในสภาพนอบน้อมถ่อมตนและเป็นส่วนตัว เป็นผู้ที่มีความบริสุทธิ์ใจในการวิงวอนไม่โอ้อวดหรือตั้งภาคีอื่นจากอัลลอฮ์ในการวิงวอน แท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ละเมิดขอบเขตของพระองค์ในการวิงวอน และหนึ่งในการละเมิดขอบเขตของพระองค์ที่ใหญ่ยิ่งสุดในการวิงวอน คือ การวิงวอนจากสิ่งอื่นพร้อมพระองค์ ดังที่บรรดาผู้ตั้งภาคีได้ปฏิบัติกันมา

(56) และพวกเจ้าอย่าก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินด้วยการทำความชั่ว หลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงปรับปรุงแก้ไขมันแล้วโดยการส่งบรรดาเราะสูลแก่พวกเขา และฟื้นฟูมันด้วยการเชื่อฟังพระองค์เพียงองค์เดียว และจงวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์พระองค์เดียวด้วยความรู้สึกที่ยำเกรงต่อบทลงโทษของพระองค์และเป็นผู้ที่รอคอยผลตอบแทนของพระองค์ แท้จริงความเอ็นดูเมตตาของอัลลอฮ์นั้นใกล้แก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย พวกเจ้าจงเป็นหนึ่งในพวกเขา

(57) และพระองค์นั้นคือผู้ที่ส่งลมมาเป็นข่าวดีว่าจะเกิดฝน จนกระทั่งเมื่อลมได้แบกเมฆอันหนักที่เต็มไปด้วยน้ำ แล้วเราก็ได้นำเมฆไปสู่เมืองที่แห้งแล้ง แล้วเราก็ให้น้ำหลั่งลงที่เมืองนั้น แล้วเราได้ให้ผลไม้ทุกชนิดออกมาด้วยน้ำนั้น อุปมาการออกผลผลิตของต้นไม้เหมือนกับคนตายที่ถูกเอาออกมาจากหลุมฝังศพของพวกเขาในสภาพมีชีวิต โอ้ มวลมนุษย์เอ๋ย เราทำเช่นนั้นหวังว่าพวกเจ้าจะได้รำลึกฤทธิ์เดชของอัลลอฮ์และการสร้างที่แปลกใหม่ของพระองค์ และพระองค์ผู้ทรงสามารถฟื้นคนตายได้

(58) และพื้นดินที่ดีจะทำให้เกิดพืชพันธุ์งอกออกมาอย่างสวยงามและสมบูรณ์ ด้วยอนุมัติแห่งอัลลอฮ์ เช่นเดียวกับผู้ศรัทธาที่ฟังคำตักเตือนและรับประโยชน์จากมัน จะทำให้เกิดการงานที่ดี และแผ่นดินที่เค็มนั้นจะไม่ทำให้เกิดพืชพันธุ์ นอกจากด้วยความยากและไม่ดี เช่นเดียวกับผู้ปฏิเสธศรัทธาที่คำตักเตือนไม่ได้เกิดประโยชน์แก่เขา และไม่ก่อให้เกิดการงานที่ดีที่เป็นประโยชน์แก่เขา ความหลากหลายที่สวยงามเช่นนี้คือความหลากหลายของหลักฐานและข้อโต้แย้งเพื่อพิสูจน์ความจริงต่อผู้ที่ขอบคุณในความโปรดปรานของอัลลอฮ์ ดังนั้นจงอย่าเนรคุณ และจงเชื่อฟังพระเจ้าของพวกเขา

(59) และเป็นที่แน่นอนยิ่ง เราได้ส่งนูห์เป็นเราะสูล ไปยังหมู่ชนของเขาซึ่งเรียกร้องพวกเขาสู่การศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และละทิ้งการเคารพภักดีต่อสิ่งอื่นนอกจากพระองค์ ดังนั้นเขาได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย พวกท่านจงเคารพภักดีอัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเถิด เพราะไม่มีสำหรับพวกท่านผู้ที่สมควรได้รับการเคารพภักดีอย่างแท้จริงนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น โอ้กลุ่มชนของฉัน แท้จริงแล้วฉันกลัวสำหรับพวกท่านต่อบทลงโทษในวันที่ยิ่งใหญ่หากพวกท่านจะคงอยู่ในการปฏิเสธศรัทธา"

(60) บรรดาชนชั้นนำและผู้หลักผู้ใหญ่ของพวกเขากล่าวแก่เขาว่า "โอ้ นุห์เอ๋ย แท้จริงเราเห็นท่านห่างไกลจากความถูกต้องอันชัดแจ้ง"

(61) นูห์ กล่าวแก่บรรดาผู้นำแห่งประชาชาติของเขาว่า "ฉันไม่ได้หลงผิดอย่างที่พวกท่านได้อ้างไว้ แต่ทว่าฉันอยู่ในทางแนะนำจากพระเจ้าของฉัน และฉันคือเราะสูลที่ถูกส่งมายังพวกท่าน จากอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้าของฉันและของพวกท่านและเป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก"

(62) "ฉันจะทำการประกาศซึ่งสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานแก่ฉันสู่พวกท่าน ฉันต้องการให้พวกท่านได้รับความดีโดยการสนับสนุนให้พวกท่านปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าและรับรางวัลจากพระองค์ และโดยการเตือนพวกท่านให้ละทิ้งข้อห้ามของพระองค์และห่างไกลจากการลงโทษของพระองค์ และฉันรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากพระเจ้าที่พวกท่านไม่รู้ผ่านโองการที่พระองค์ประทานแก่ฉัน"

(63) พวกท่านแปลกใจและประหลาดใจกระนั้นหรือ การที่โองการของอัลลอฮ์และข้อตักเตือนจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านโดยผ่านชายคนหนึ่งในหมู่พวกท่านและพวกท่านรู้จักเขาดี?! เขาได้ใช้ชีวิตกับพวกท่าน และเขาไม่ได้เป็นจอมโกหกและไม่ได้เป็นคนที่หลงทาง และ(เขาเป็นมนุษย์)ไม่ได้มาจากชนิดอื่น เขามายังพวกท่านเพื่อให้พวกท่านเกรงกลัวต่อบทลงโทษของอัลลอฮ์ หากพวกท่านโกหกและไม่เชื่อฟัง และเพื่อที่พวกท่านจะได้ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์ และหวังให้พวกท่านจะได้รับการเอ็นดูเมตตาหากพวกท่านศรัทธาต่อพระองค์

(64) แล้วประชาชาติของนุห์ได้ปฏิเสธนูห์ พวกเขาไม่ศรัทธาต่อนุห์ แต่อยู่ในการปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนุห์จึงได้วิงวอนขอให้อัลลอฮ์ทำลายพวกเขา แล้วเราได้นุหฺและบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่กับนุห์บนเรือให้รอดพ้นจากการจมน้ำ และเราได้ให้ความหายนะแก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเราและปฏิเสธอย่างต่อเนื่องนั้น ให้พวกเขาจมน้ำและน้ำท่วมบ้านเพื่อเป็นบทลงโทษสำหรับพวกเขา แท้จริงแล้วหัวใจของพวกเขานั้นมืดบอดจากความจริง

(65) และเราได้ส่งเราะสูลไปยังกลุ่มชนของอ๊าดซึ่งมาจากพวกเขา เขาก็คือฮูด อะลัยฮิสะลาม เขากล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย "พวกท่านจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียวเถิด เพราะไม่มีสำหรับพวกท่านผู้ที่สมควรได้รับการเคารพสักการะที่แท้จริงนอกจากพระองค์เท่านั้น ดังนั้นพวกท่านจะไม่ยำเกรงต่อพระองค์กระนั้นหรือ ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์ เพื่อพวกท่านจะได้รอดพ้นจากบทลงโทษของพระองค์?!"

(66) บรรดาหัวหน้าและชนชั้นนำจากกลุ่มชนของเขาที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิเสธเราะสูลของพระองค์กล่าวว่า "โอ้ ฮูดเอ๋ย แท้จริงเรารู้ว่าท่านอยู่ในความโฉดเขลาและไร้เดียงสาขณะที่ท่านได้เรียกร้องพวกเราให้เคารพสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว และละทิ้งการสักการะฮ์ต่อเทวรูป และแท้จริงพวกเราแน่ใจว่าท่านนั้นเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้มุสาในสิ่งที่ท่านอ้างว่าท่านนั้นเป็นเราะสูลที่ถูกส่งมา"

(67) และฮูดก็ได้ตอบกลุ่มชนของเขาว่า "โอ้กลุ่มชนของฉัน ฉันไม่ได้โฉดเขลาและไร้เดียงสา แต่ทว่าฉัน คือเราะสูลคนหนึ่ง ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก"

(68) (หน้าที่ของฉัน)คือการประกาศแก่พวกท่านซึ่งสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาให้แก่ฉันทำการประกาศให้แก่พวกท่านถึงการศรัทธาในเอกภาพและบทบัญญัติของพระองค์ และฉันเป็นผู้ให้การตักเตือนที่ได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่ประกาศแก่พวกท่านอย่างซื่อตรง โดยฉันจะไม่เสริมสิ่งใดๆ เพิ่มเติมหรือตัดให้ลดลง

(69) และพวกท่านแปลกใจและประหลาดใจกระนั้นหรือ การที่ได้มีข้อตักเตือนจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านโดยผ่านชายคนหนึ่งในหมู่พวกท่าน ที่ไม่ได้มาจากบรรดามลาอิกะฮ์หรือญินเพื่อมาตักเตือนพวกท่าน?! และจงสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าของท่านเถิดที่ทรงให้พวกท่านอยู่บนพื้นดินและทรงให้พวกท่านเป็นผู้สืบช่วงหลังจากกลุ่มชนของนูห์ที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เกิดความหายนะเพราะการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา และจงขอบคุณอัลลอฮ์ที่ได้ทรงให้ร่างกายที่ใหญ่ แข็งแรง และทรงพลังเป็นการเฉพาะแก่พวกท่าน และจงถึงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์ที่กว้างขวางที่มีต่อพวกท่านเถิด หวังว่าพวกท่านจะได้รับในสิ่งที่ต้องการ และปลอดภัยจากสิ่งที่หวาดกลัว

(70) กลุ่มชนของเขากล่าวแก่เขาว่า "โอ้ ฮูดเอ๋ย การที่ท่านมาหาพวกเรา เพื่อให้เราเคารพสักการะอัลลอฮ์แต่เพียงองค์เดียว และให้เราละทิ้งสิ่งที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเราเคยเคารพกันมากระนั้นหรือ?! (ถ้าเช่นนั้นก็)จงนำสิ่งที่ท่านได้สัญญาแก่พวกเรามาที่เป็นบทลงโทษ หากท่านอยู่ในหมู่ผู้พูดจริงในสิ่งที่ท่านได้อ้างมา"

(71) และฮูดก็ได้ตอบพวกเขาว่า "แน่นอนพวกท่านได้รับบทลงโทษจากอัลลอฮ์และความกริ้วโกรธจากพระองค์ และมันจะเกิดขึ้นกับพวกท่านที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ พวกท่านจะโต้เถียงฉันถึงเทวรูปที่พวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านได้ตั้งให้มันเป็นพระเจ้าและมันไม่ใช่ความจริง อย่างนั้นหรือ?! โดยที่อัลลอฮ์มิได้ทรงประทานหลักฐานใดๆเพื่อเป็นการยืนยันถึงสิ่งที่พวกท่านวิงวอนอยู่นั้นคือพระเจ้า ดังนั้นพวกท่านจงรอคอยบทลงโทษที่พวกท่านขอให้รีบเร่งเถิดและฉันก็จะร่วมกับพวกท่านด้วยในการเป็นผู้ที่รอคอย และมันจะเกิดขึ้นจริง"

(72) แล้วเราได้ให้ฮูด อะลัยฮิสะลาม และบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่ร่วมกับเขาให้ปลอดภัย ด้วยความเอ็นดูเมตตาจากเรา และเราได้กำจัดด้วยการทำลายล้างบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา และมิเคยปรากฏว่าพวกเขาเป็นผู้ศรัทธา แต่พวกเขาคือผู้ปฏิเสธศรัทธา และสมควรที่จะได้รับการลงโทษ

(73) และแท้จริงเราได้ส่งไปยังกลุ่มชนษะมูตซึ่งพี่น้องของพวกเขาคือศอลิห์ เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์และทำอิบาดะฮ์ต่อพระองค์ ศอลิห์ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย จงเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์ผู้เดียวเถิด ไม่มีผู้ใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะและได้รับการภัคดีนอกจากพระองค์เท่านั้น แท้จริงได้มีหลักฐานอันชัดเจนจากพระเจ้าของพวกท่านมายืนยังถึงความสัตย์จริงในสิ่งที่ฉันนำมาแก่พวกท่าน นั้นก็คืออูฐตัวเมียที่ถูกนำออกมาจากหิน ซึ่งสำหรับมันมีเวลาที่เฉพาะในการดื่มน้ำ และสำหรับพวกท่านก็มีวันที่เฉพาะในดื่มน้ำในวันที่รู้กัน ดังนั้นพวกท่านจงปล่อยมันกินในแผ่นดินของอัลลอฮ์เถิด พวกท่านไม่จำเป็นต้องให้การช่วยเหลือมันเลย และอย่าทำร้ายมัน เพระการทำร้ายมันนั้นเป็นเหตุทำให้พวกท่านได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ

(74) และจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่ได้ทรงประทานแก่พวกเจ้าครั้นที่พวกเจ้าเป็นผู้สืบทอดหลังจากชาวอ็าด และได้ทรงให้พวกเจ้าได้อยู่ในแผ่นดินของพวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจะได้เพลิดเพลินกับสิ่งที่อยู่ที่นั่นและค้นหาสิ่งที่พวกเจ้ากำลังมองหา และทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ชาวอ็าดถูกทำลายหลักจากที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธาและไม่ยอมรับ พวกเจ้าได้สร้างวังบนพื้นที่ราบ และแกะสลักภูเขาเพื่อสร้างบ้านสำหรับพวกเจ้า ดังนั้นจงระลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่ทรงประทานแก่พวกเจ้าเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ขอบคุณพระองค์ และละความชั่วไว้บนแผ่นดิน นั่นคือโดยการละทิ้งความไม่เชื่อในพระเจ้าและหลีกเลี่ยงการกระทำที่ผิดศีลธรรม

(75) บรรดาผู้นำและบุคคลสำคัญที่หยิ่งผยองซึ่งดูถูกเหยียดหยามต่อบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งได้ถามพวกเขาว่า "พวกเจ้าเชื่อ -โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย- ว่า ศอลิห์เป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์จริงหรือ?" บรรดาผู้ศรัทธาที่พวกเขาเหยียดหยามตอบว่า“เราเชื่อมั่นในตัวเขาและเราปฏิบัติตามสิ่งที่เขานำมาให้เรา”

(76) บรรดาผู้หยิ่งยโสจากกลุ่มชนของเขากล่าวว่า "แท้จริงเราเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ต่อสิ่งที่พวกเจ้าได้ศรัทธากัน ดังนั้นเราจะไม่ศรัทธาต่อมันและจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของมันอย่างแน่นอน"

(77) และพวกเขาก็ได้เชือดอูฐที่เคยถูกห้ามแก่พวกเขาไม่ให้แตะต้องทำร้าย เพราะความหยิ่งยโสต่อคำสั่งของอัลลอฮ์์ และพวกเขาได้กล่าวด้วยการเยาะเย้ยและดุแคลนต่อสิ่งที่ศอลิห์ได้ให้สัญญากับพวกเขา ว่า "โอ้ศอลิห์ จงนำสิ่งที่เจ้าได้สัญญาแก่พวกเราไว้ซึ่งบทลงโทษอันเจ็บปวดมาให้แก่พวกเราเถิด ถ้าหากท่านเป็นผู้ที่อัลลอฮ์ส่งมาจริง"

(78) ดังนั้นบทลงโทษที่บรรดาผู้ปฏิเสธได้เรียกร้องก็ได้มาถึง ซึ่งได้ทำลายพวกเขาด้วยการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนกลายเป็นศพที่ล้มคว่ำบนหน้าพื้นดิน และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเขาที่รอดจากความหายนะได้

(79) แล้วศอลิห์ อะลัยฮิสะลาม ได้ออกห่างจากประชาชาติของเขาหลังจากหมดหวังจากการตอบรับของพวกเขา และได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "โอ้ประชาชาติของฉันเอ๋ย แท้จริงฉันได้นำมาแก่พวกเจ้าแล้วซึ่งสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ใช้ให้ฉันมาประกาศแก่พวกเจ้า และฉันก็ได้ตักเตือนพวกเจ้าด้วยการส่งเสริมให้ทำดีและด้วยการให้เกรงกลัวต่อการทำชั่ว แต่พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่ไม่ชอบบรรดาผู้ที่ให้การตักเตือนที่จริงจังต่อการชี้แนะพวกเจ้าสู่แนวทางที่ดีและให้พวกเจ้าห่างไกลจากความชั่ว"

(80) และจงรำลึกถึงลูฏ ขณะที่เขาได้กล่าวประณามแก่ประชาชาติของเขาว่า "พวกท่านทั้งหลายได้กระทำสิ่งชั่วช้าน่ารังเกียจ นั้นก็คือการร่วมเพศกับผู้ชายด้วยกันกระนั้นหรือ?! การกระทำที่พวกเจ้าได้ทำมันขึ้นมานั้น ไม่มีผู้ใดกระทำมันมาก่อนพวกท่าน!ً

(81) อันที่จริงพวกเจ้ามาหาผู้ชายเพื่อสนองตัณหาของพวกเจ้าและเพิกเฉยต่อผู้หญิงที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อระบายความใคร่ให้กับพวกเจ้า แท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามสามัญสำนึก คำสอนทางศาสนา หรือธรรมชาติดังเดิมของมนุษย์ พวกเจ้าได้ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์เพราะพวกเจ้าได้ออกจากสภาวะปกติที่มีอยู่ในมนุษย์ คุณเบี่ยงเบนจากสามัญสำนึกและธรรมชาติอันสูงส่ง

(82) หมู่ชนของเขาซึ่งกระทำความผิดอันไร้ยางอายนี้ (รักร่วมเพศ) ซึ่งพวกเขาถูกห้ามไม่ให้กระทำ กลับตอบโต้ด้วยการหันหนีจากความจริงโดยกล่าวว่า “จงขับไล่ลูฏและครอบครัวของเขาออกจากเมืองของพวกเจ้าเสีย” แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นมนุษย์ที่หลีกเลี่ยงจากการกระทำของเรา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สมควรที่จะอยู่ท่ามกลางพวกเรา”

(83) แล้วเราได้ช่วยเขาและครอบครัวของเขาให้รอดพ้นโดยการสั่งให้พวกเขาออกจากหมู่บ้านที่จะเกิดการลงโทษนั้นในเวลากลางคืน เว้นแต่ภรรยาของเขาซึ่งนางจะอยู่ในหมู่ประชาชาติที่เหลือ แล้วนางก็ได้ประสบกับบทลงโทษเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้ประสบ

(84) และเราได้ทำให้ฝนตกลงบนพวกเขาอย่างหนัก โดยเราได้ขว้างพวกเขาด้วยก้อนหินจากดิน และเราได้พลิกหมู่บ้าน แล้วทำให้ข้างบนของมันเป็นข้างล่าง ดังนั้นจงสังเกตุเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ถึงจุดจบของประชาชาติลูฏที่กระทำชั่วนั้นเป็นอย่างไร? แท้จริงจุดจบของพวกเขาคือความพินาศและความอัปยศอย่างถาวร

(85) และเราได้ส่งชุอัยบ์ อะลัยฮิสสลาม แก่ชาวมัดยัน ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขา แล้วเขาได้ตรัสกับพวกเขาว่า “โอ้ หมู่ชนของฉัน! จงเคารพสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียวเถิด ไม่มีพระเจ้าอื่นใดสำหรับพวกเจ้าที่มีสิทธิจะเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น ได้มีหลักฐานอันชัดแจ้งจากอัลลอฮ์มายังพวกเจ้า และข้อยืนยันอันชัดแจ้งที่บ่งบอกว่าคำสอนที่ฉันนำมาให้แก่พวกเจ้านั้นมาจากพระเจ้าของฉันจริงๆ จงให้แก่มนุษย์ซึ่งสิทธิของพวกเขาด้วยการตวงและชั่งให้ครบสมบูรณ์ และอย่าลดทอนสิทธิของพวกเขาด้วยการดูแคลนและทำให้สินค้าของพวกเขาเสื่อมเสียหรือหลอกลวงพวกเขา และอย่าก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินด้วยการปฏิเสธศรัทธาและกระทำความชั่วหลังจากที่บรรดานบีได้เคยทำให้มันดีก่อนหน้านั้น มันจะดีและมีประโยชน์มากขึ้นสำหรับพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าศรัทธา เพราะมันหมายถึงการละทิ้งสิ่งที่ผิดศีลธรรมเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามต่างๆของอัลลอฮ์ และเป็นการเข้าใกล้อัลลอฮ์มากขึ้นโดยการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์

(86) และพวกเจ้าอย่านั่งบนทางทุกสาย เพื่อการขู่เข็ญผู้ที่เดินผ่านเพื่อปล้นทรัพย์สินของพวกเขา และอย่าสกัดกั้นผู้คนให้ออกจากทางของอัลลอฮ์ที่ต้องการรับคำชี้นำ โดยหวังให้ทางของอัลลอฮ์คตเคี้ยวจงไม่มีผู้คนเดินอยู่บนเส้นทางนั้น และจงรำลึกความกรุณาของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้าเพื่อจะได้ขอบคุณพระองค์ แท้จริงพวกเจ้าเคยมีจำนวนน้อยแล้วพระองค์ก็ทรงทำให้พวกเจ้ามีจำนวนมากขึ้น และจงสังเกตุดูว่าจุดจบของบรรดาผู้ก่อความเสียหายบนแผ่นดินก่อนหน้าพวกเจ้านั้นเป็นอย่างไร แท้จริงจุดจบของพวกเขาคือความหายนะและความพินาศ

(87) และถ้าหากว่ามีกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกท่านศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันนำมาจากพระเจ้าของฉัน และอีกกลุ่มหนึ่งมิได้ศรัทธาต่อสิ่งนั้น ดังนั้น -โอ้ บรรดาผู้ปฏิเสธเอ๋ย- จงรอสิ่งที่อัลลอฮ์จะทรงชี้ขาดระหว่างพวกเจ้าเถิด และพระองค์คือผู้ทรงชี้ขาดที่ดีเยี่ยมและผู้ทรงตัดสินที่ยุติธรรม

(88) บรรดาผู้มีอิทธิพลและเหล่าผู้นำที่หยิ่งผยองจากหมู่ชนของชุอัยบ์ได้กล่าวกับเขาว่า "แน่นอนเราจะขับไล่เจ้า-โอ้ชุอัยบ์-และบรรดาผู้ที่ศรัทธากับเจ้าออกจากหมู่บ้านของเรา เว้นแต่ว่าเจ้าจะกลับมานับถือศาสนาของเรา" นบีชุอัยบ์จึงกล่าวแก่พวกเขาด้วยความประหลาดใจว่า "จะให้เราตามศาสนาและลัทธิของพวกเจ้า ถึงแม้ว่าเราเกลียดมัน เพราะเรารู้อย่างถ่องแท้ว่าสิ่งที่พวกเจ้ายึดมั่นนั้นมันไม่ถูกต้องกระนั้นหรือ?"

(89) หากเราเชื่อในสิ่งที่พวกท่านได้ปฏิเสธและตั้งภาคีกับอัลลอฮฺ หลังจากที่อัลลอฮฺได้ทรงช่วยพวกเราให้พ้นจากสิ่งนั้นมาแล้ว แน่นอนเราจะกลายเป็นผู้ที่อุปโลกน์และบิดเบือนข้อเท็จจริงที่มีต่อพระองค์ มันไม่ถูกต้องและมันไม่เป็นการควรสำหรับเราที่จะกลับไปสู่ศาสนาที่เป็นเท็จของพวกท่าน เว้นแต่ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความประสงค์จากพระผู้อภิบาลของเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ยอมจำนนต่อความประสงค์ของอัลลอฮฺทั้งสิ้น พระองค์ทรงรอบรู้ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นจากพระองค์ได้ แด่อัลลอฮฺพระองค์เดียวเท่านั้นที่เราเชื่อมั่นเพื่อให้เราได้ยืนยัดอยู่บนเส้นทางที่เที่ยงตรงนี้ และปกป้องเราจากเส้นทางแห่งไฟนรก โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดชี้ขาดด้วยความจริงระหว่างเรากับประชาชาติของเราเถิด และโปรดช่วยเหลือผู้ที่อยู่บนความถูกต้องที่ถูกกดขี่จากน้ำมือของผู้อธรรมที่ดื้อดึงเถิด แท้จริง (โอ้พระผู้อภิบาลของเรา) พระองค์คือผู้ที่ชี้ขาดที่ดีที่สุด

(90) และบรรดาผู้มีอิทะิพลและบรรดาหัวหน้าจากหมู่ชนของเขาที่ปฏิเสธการเชิญชวนสู้การให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺได้กล่าวเพื่อเป็นการข่มขู่เพื่อให้พวกเขาห่างไกลจากชุอัยบฺและศาสนาของเขาว่า "โอ้หมู่ชนของเราเอ๋ย หากพวกเจ้าเข้ารับศาสนาของชุอัยบฺ แล้วละทิ้งศาสนาของพวกเจ้าและศาสนาบรรพบุรุษของพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะได้รับความหายนะแน่นอน"

(91) แผ่นดินไหวได้ถล่มพวกเขาอย่างรุ่นแรง แล้วพวกเขากลายเป็นศพตายในสภาพนอนพังพาบอย่างราบคาบภายในบ้านของพวกเขาเอง

(92) บรรดาผู้ปฏิเสธชุอัยบฺได้ตายทั้งหมด คล้ายกับว่าพวกเขาไม่ทันได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขในหมู่บ้านของพวกเขา และบรรดาผู้ปฏิเสธชุอัยบฺนั้น พวกเขาเป็นผู้ขาดทุน ขาดทุนทั้งชีวิตและกรรมสิทธิ์ที่พวกเขาครอบครอง ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาจากหมู่ประชาชาติของเขา (ชุอัยบฺ) พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ขาดทุนตามที่ผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวอ้างกัน

(93) นบีชุอัยบฺได้หันออกจากพวกเขา หลังจากที่พวกเขาได้ตายพินาศ พร้อมกับกล่าวว่า "โอ้ประชาชาติของฉัน แท้จริงฉันได้ประกาศแก่พวกเจ้าตามที่พระผู้อภิบาลของฉันได้สั่งให้ประกาศ และฉันได้ทำการตักเตือนพวกท่านแล้ว แต่พวกท่านหาได้น้อมรับคำตักเตือนและปฏิบัติตามคำแนะนำของฉันไม่ แล้วฉันจะเสียใจต่อกลุ่มชนที่ยืนกรานปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮฺได้อย่างไร?!"

(94) และเรามิได้ส่งนบีท่านใดไปยังเมืองใดเมืองหนึ่ง แล้วพวกเขาปฏิเสธไม่ศรัทธาต่อนบีของพวกเขา นอกจากเราได้ลงโทษชาวเมืองนั้นด้วยความแร้นแค้น ความยากไร้ และโรคภัยไข้เจ็บ เผื่อว่าพวกเขาจะนอบน้อมศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และละทิ้งสิ่งที่พวกเขาเคยอยู่กันมา เช่น การปฏิเสธศรัทธา ความหยิ่งยโสโอหัง เรื่องราวนี้เพื่อเป็นการเตือนต่อชาวกุเรชและต่อทุกคนที่ปฏิเสธ ด้วยการเล่าถึงกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺที่มีต่อเหล่าประชาชาติที่ปฏิเสธศรัทธา

(95) หลังจากเราได้ลงโทษพวกเขาด้วยความแร้นแค้นและโรคภัยไข้เจ็บ เราได้มอบแก่พวกเขาซึ่งความดีต่างๆ ความมั่นคั่ง และความสงบสุข จนกระทั่งพวกเขาเริ่มมีจำนวนมากขึ้น และทรัพย์สมบัติของพวกเขาเริ่มมั่นคง พวกเขากล่าวว่า "ทุกสิ่่งทุกอย่างที่เคยประสบกับพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากหรือความดี ล้วนเป็นเรื่องปกติที่เคยประสบกับบรรพบุรุษของพวกเรา พวกเขาไม่ทันได้คิดเลยว่าบทลงโทษที่เคยประสบกับพวกเขานั้นมันเป็นบทเรียน และความสุขสำราญที่พวกเขาได้ลิ้มรสนั้นมันเป็นแค่การประวิงเวลาให้พวกเขาชะล่าใจ" ผลสุดท้ายเราได้ลงโทษพวกเขาอย่างกะทันหัน โดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัวและคาดหมายมาก่อน

(96) และถ้าหากชาวเมืองนั้นที่เราได้ส่งบรรดารอสูลไปยังพวกเขาเชื่อในแนวทางที่บรรดารอสูลได้นำมาและยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา ด้วยการละทิ้งการปฏิเสธศรัทธาและความชั่วต่างๆ และปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ แน่นอนเราจะเปิดประตูแห่งความจำเริญแก่พวกเขาจากทุกด้าน แต่ทว่าพวกเขาไม่เชื่อและไม่ยำเกรง มิหนำซ้ำพวกเขากลับมาปฏิเสธในแนวทางที่บรรดารอสูลของพวกเขาได้นำมา ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ลงโทษพวกเขาด้วยบทลงโทษอย่างกะทันหัน อันเนื่องมาจากบาปกรรมที่พวกเขาได้สะสมมา

(97) แล้วชาวเมืองที่ปฏิเสธศรัทธาจะปลอดภัยจากการลงโทษของเราที่จะมาเยือนพวกเขาในยามค่ำคืนขณะที่พวกเขากำลังหลับสบายอยู่ในที่พักอันสุขสบายและเงียบสงบของพวกเขากระนั้นหรือ?

(98) และพวกเขาจะปลอดภัยจากการลงโทษของเราที่จะมาเยือนพวกเขาในตอนกลางวันขณะที่พวกเขากำลังเพลิดเพลินกับการเล่นและหลงลืมอยู่กับโลกดุนยาของพวกเขากระนั้นหรือ?

(99) จงมองในสิ่่งที่อัลลอฮฺได้ประทานแก่พวกเขาซึ่งการผ่อนผันเวลา และจงมองในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเขาซึ่งความแข็งแกร่งและความมั่งมีที่กว้างขวาง เพื่อเป็นการประวิงเวลาให้พวกเขาชะล่าใจ เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ผู้ปฏิเสธจากชาวเมืองเหล่านี้จะปลอดภัยจากอุบายและแผนลับของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ? ไม่มีกลุ่มใดที่คิดว่าปลอดภัยจากกลอุบายของอัลลอฮฺได้นอกจากกลุ่มชนที่ขาดทุนเท่านั้น ส่วนผู้ประสบความสำเร็จ (จากผู้ศรัทธา) พวกเขาจะเกรงกลัวอุบายของพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจะไม่หลงระเริงกับความสุขต่างๆที่พระองค์ได้ประทานให้แก่พวกเขา แต่พวกเขาจะสำนึกอยู่เสมอว่า นั่นคือความโปรดปรานที่พวกเขาต้องขอบคุณ

(100) ยังไม่ได้เป็นที่กระจ่างชัดสำหรับบรรดาผูู้ทีสืบทอดแผ่นดินจากประชาชาติต่างๆ ที่ได้พินาศจากบาปกรรมของพวกเขาอีกหรือ? แล้วพวกเขาก็มิได้รับบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเลย มิหนำซ้ำพวกเขาก็ยังทำในสิ่งที่คนก่อนหน้านั้นได้กระทำกัน ยังไม่ได้เป็นที่กระจ่างชัดสำหรับพวกเขาเหล่านี้อีกหรือว่า หากอัลลอฮฺประสงค์ให้พวกเขาต้องประสบกับภัยพิบัติอันเนื่องมาจากบาปกรรมที่พวกเขาก่อ แน่นอนพวกเขาก็จะประสบกับมันตามที่พระองค์ทรงประสงค์ เพราะมันคือกฎเกณฑ์ของพระองค์? และพระองค์ทรงปิดผนึกหัวใจของพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขามิได้รับประโยชน์จากคำตักเตือนเลย

(101) บรรดาเมืองเหล่านั้น (หมายถึง เมืองนบีนุฮฺ ฮูด ศอลิห์ ลูฏ และชุอัยบ์) ที่เราได้อ่านและเล่าให้เจ้าทราบ (โอ้รอสูลเอ๋ย) ถึงเรื่องราวของพวกเขา การปฏิเสธดื้อรั้นของพวกเขา และความหายนะที่พวกเขาได้รับมา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบทเรียนแก่ผู้ที่เอามันมาเป็นบทเรียน และเป็นข้อเตือนสติแก่ผู้ที่น้อมรับการตักเตือน แท้จริงแล้วบรรดารอสูลของพวกเขาได้ชี้แจงถึงความสัจธรรมของพวกเขาด้วยการนำหลักฐานที่ชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว แต่พวกเขากลับไม่ศรัทธาขณะที่บรรดารอสูลได้มายังพวกเขา เพราะด้วยความรู้ของอัลลอฮฺในเรื่องที่จะเกิดขื้นว่าพวกเขาจะปฏิเสธต่อบรรดารอสูลของพวกเขา และจากการที่อัลลอฮฺได้ปิดผนึกหัวใจของชาวเมืองที่ปฏิเสธศรัทธาต่อบรรดารอสูลของพวกเขา พระองค์จึงปิดผนึกหัวใจของผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อมูหัมมัดเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจะไม่ได้รับทางนำไปยังการศรัทธาที่ถูกต้อง

(102) และในส่วนใหญ่ของประชาชาติต่างๆ ที่เราส่งบรรดรอสูลไปยังพวกเขา เราไม่เคยพบว่าพวกเขานั้นเคารพต่อสัญญา หรือทำตามในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงสั่งเสียไว้ และเราไม่เคยพบเช่นเดียวกันว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์ แต่ที่เราพบส่วนใหญ่จากพวกเขาจะไม่ภักดีต่ออัลลอฮฺ

(103) แล้วหลังจากที่เราได้ส่งบรรดารอสูลเหล่านั้น เราก็ได้ส่งนบีมูซาไปยังฟิรฺเอาน์และหมู่ชนของเขาพร้อมกับหลักฐานยืนยันและข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงความสัตย์จริงของเขา แต่พวกเขาได้ปฏิเสธสัญญาณต่างๆ และไม่ศรัทธาต่อมัน ดังนั้นเจ้า -โอ้ รอสูลเอ๋ย- จงคิดดูว่าบั้นปลายของฟิรเอาน์และหมู่ชนของเขานั้นจะเป็นอย่างไร แท้จริงอัลออฮฺได้ทำลายพวกเขาด้วยการให้จมน้ำตายและตามด้วยการแสบแช่งทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

(104) และมูซาได้กล่าวขณะที่อัลลอฮฺได้ส่งเขาไปยังฟิรฺเอาน์ว่า "โอ้ฟิรฺเอาน์ แท้จริงฉันถูกส่งมาจากพระองค์ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้เป็นเจ้าของ และผู้เป็นผู้บริหารทุกกิจการของสรรพสิ่งเหล่านั้น"

(105) มูซาได้กล่าวว่า "ในเมื่อฉันคือทูตที่ถูกส่งมาจากพระองค์ ก็เป็นการสมควรแล้วที่ฉันจะไม่กล่าวถึงพระองค์นอกจากที่เป็นความจริงเท่านั้น ฉันได้นำหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเจ้าแล้ว เพื่อยืนยันถึงความสัตย์จริงของฉัน และยืนยันถึงความเป็นศาสนทูตของฉันที่พระผู้อภิบาลของฉันได้ส่งมายังพวกเจ้า ดังนั้นจงปล่อยวงศ์วานอิสรออีลจากการกักขังและการกดขี่่ไปกับฉันเถิด"

(106) ฟิรฺเอาน์ได้กล่าวกับมูซาว่า "หากเจ้าได้นำมาซึ่งหลักฐานใดๆ ตามคำกล่าวอ้างของเจ้า ก็จงนำหลักฐานนั้นมา ถ้าหากว่าเจ้าเป็นผู้พูดความจริง"

(107) จากนั้นมูซาก็ได้โยนไม้เท้าของเขา แล้วไม้เท้าก็กลายเป็นงูตัวใหญ่มากที่ปรากฎชัดแก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น

(108) และเขาได้นำมือของเขาออกมาจากช่องเสื้อของเขา บริเวณหน้าอกหรือใต้รักแร้ ทันใดที่เอามือออกมานั้น ก็เป็นสีขาว-ไม่ใช่โรคเรื้อน-ได้ประกายออกมาเนื่องด้วยความขาวสว่างของมันทำให้เป็นที่มองเห็นสำหรับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์

(109) หลังจากบรรดาหัวหน้าและบุคลลชั้นนำของฟิรฺเอาน์ได้เห็นไม้เท้ามูซากลายร่างเป็นงู และแสงสีขาวประกายออกจากมือของเขาโดยมิใช่โรคเรื้อน พวกเขากล่าวว่า "มูซาไม่ใช่ใคร นอกจากต้องเป็นนักมายากลที่เชี่ยวชาญในความรู้ที่เกี่ยวกับมายากลอย่างแน่นอน"

(110) "ความต้องการของเขาที่ได้ทำอย่างนั้นก็เพื่อต้องการให้พวกเจ้าออกจากแผ่นดินของพวกเจ้า" (อียิปต์) จากนั้นฟิรฺเอาน์ได้ขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องของมูซาโดยกล่าวว่า "พวกเจ้ามีอะไรจะชี้แนะฉันในเรื่องนี้บ้าง?"

(111) พวกเขาก็แนะนำฟิรฺเอาน์ว่า "จงรั้งตัวมูซาและฮารูนผู้เป็นพี่ชายของเขาไว้ก่อน แล้วจงส่งคนไปตามเมืองต่างๆของอิยิปต์เพื่อรวบรวมบรรดานักมายากล"

(112) พวกที่ท่านได้ส่งไปยังตัวเมืองต่างๆนั้น จะได้รวบรวมเหล่านักมายากลที่เก่งกาจเชี่ยวชาญที่ในเรื่องมายากลจากเมืองต่างๆมายังท่าน

(113) ดังนั้น ฟิรฺเอาน์ก็ได้ส่งคนเพื่อทำการรวบรวมเหล่านักมายากล เมื่อเหล่านักมายากลได้มายังฟิรฺเอาน์ พวกเขาก็ได้ยื่นข้อเสนอว่า "ถ้าหากพวกเขาสามรถเอาชนะมูซาได้ด้วยมายากลของพวกเขา พวกเขาจะได้ค่าตอบแทนหรือไม่?

(114) ฟิรฺเอาน์ได้กล่าวตอบว่า "แน่นอน พวกเจ้าจะได้รับรางวัลและค่าจ้างอย่างแน่นอน และพวกเจ้าจะได้รับตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับเรา"

(115) บรรดานักมายากลมั่นใจกับชัยชนะที่จะเกิดขึ้นเหนือมูซา พวกเขาจึงกล่าวด้วยความหยิ่งยโสและทะนงตนว่า "โอ้มูซา เจ้าจงเลือกตามที่เจ้าต้องการ เจ้าจะเป็นผู้โยนก่อนหรือจะให้พวกเราเป็นผู้โยนก่อน"

(116) มูซาได้ตอบแก่พวกเขาด้วยความมั่นใจในความช่วยเหลือจากพระผู้อภิบาลของเขาโดยไม่ได้สนใจใดๆกับพวกเขา ว่า "พวกเจ้าจงโยนเชือกและไม้เท้าของพวกเจ้าก่อน" ครั้นที่พวกเขาได้โยนมันลงไป พวกเขาก็ได้ลวงตาผู้คน โดยได้หันเหสายตาของพวกเขาจากการมองเห็นที่แท้จริง และทำให้พวกเขาหวาดกลัว นักมายากลเหล่านี้ได้สร้างมายากลอันยิ่งใหญ่ในสายตาผู้ที่มาชม

(117) อัลลอฮฺได้มีโองการแก่นบีของพระองค์ผู้ที่พระองค์ได้พูดด้วยพระองค์เอง คือมูซา อะลัยฮิสสาลาม ว่า "เจ้าจงโยนไม้เท้าของเจ้าลงไป" เขาก็ได้โยนมันลงไป ทันใดนั้น ไม้เท้าของเขาได้กลายเป็นงู กลืนเชือกและไม้เท้าของพวกเขา ที่พวกเขาใช้ในการเปลี่ยนแปลงความจริง และหลอกลวงผู้คนว่ามัน(เชือกและไม้เท้า)เป็นงูที่เคลื่อนไหวได้

(118) ดังนั้น สัจธรรมจึงได้ปรากฏ ความสัตย์จริงที่มูซาได้ป่าวประกาศก็ได้ประจักษ์ และมายากลที่บรรดานักมายากลได้กระทำขึ้นนั้นมันก็ได้มลายสิ้นไป

(119) ดังนั้น พวกเขาได้รับความพ่ายแพ้ และจากเหตุการณ์นั้นทำให้มูซาได้รับชัยชนะเหนือพวกเขา สุดท้ายพวกเขาต้องกลับไปอย่างผู้แพ้ที่ตกต่ำ

(120) จากเหตุการณ์ที่บรรดานักมายากลได้เห็นกับตาถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ และบรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งที่ปรากฎ ทำให้เหล่านักมายากลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการโค้งคำนับและสุญูดต่ออัลลอฮฺตาอาลา

(121) บรรดานักมายากลได้กล่าวว่า "พวกเราได้น้อมรับศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลแห่งสิ่งถูกสร้างทั้งหลายแล้ว"

(122) พระผู้อภิบาลของมูซาและฮารูน อาลัยฮุมัสสาลาม ซึ่งเป็นพระเจ้าที่สมควรแก่การเคารพภักดีเพียงองค์เดียว โดยปราศจากพระเจ้าอื่นๆ ที่ถูกอ้างว่าเป็นพระเจ้า

(123) ฟิรฺเอาน์ได้ข่มขู่นักมายากลเหล่านั้นหลังจากที่พวกเขาได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียว โดยกล่าว่า "พวกเจ้าได้ศรัทธาต่อมูซาก่อนที่ข้าจะอนุญาตแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ? แท้จริงการศรัทธาของพวกเจ้าที่มีต่อเขา และการยอมรับของพวกเจ้าต่อสิ่งที่มูซาได้นำมานั้น แท้จริงมันเป็นกลลวงและเป็นแผนการที่พวกเจ้าได้ร่วมมือกันกับมูซาเพื่อต้องการขับไล่ชาวเมืองออกไปจากเมือง โอ้บรรดานักมายากลทั้งหลาย "แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับพวกเจ้าจากการลงโทษในไม่ช้า"

(124) แน่นอนที่สุด ข้าจะตัดมือและขาโดยสลับข้างกันของพวกเจ้าแต่ละคน โดยตัดมือขวาและขาซ้าย หรือมือซ้ายและขาขวา หลังจากนั้นข้าจะตรึงพวกเจ้าทุกคนบนต้นอินทผลัม เพื่อเป็นการลงโทษพวกเจ้าและไว้เป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่เห็นพวกเจ้าในสภาพเช่นนั้น”

(125) บรรดานักมายากลได้โต้ตอบคำขู่ของฟิรฺเอาน์ว่า "แท้จริงพวกเราเป็นผู้ที่กลับไปยังพระผู้อภิบาลของเราเพียงองค์เดียว โดยเราจะไม่เกรงกลัวและสนใจคำขู่ของเจ้าเลย"

(126) โอ้ฟิรฺเอาน์ ที่เจ้าไม่พอใจและจับผิดเรา (ไม่ใช่เพราะเหตุผลอะไรเลย) เป็นเพราะเราได้ศรัทธาในสัญญานต่างๆ ที่มูซาได้นำมาจากพระผู้อภิบาลของเรา หากเจ้าคิดว่า การกระทำของเรานั้นเป็นความผิดที่จะต้องถูกตำหนิ มันก็เป็นความผิดของเรา หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้วิงวอนร้องขอจากอัลลอฮ์ด้วยดุอาอ์ที่ว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ขอได้ทรงประทานแก่พวกเราซึ่งความอดทนที่ล้นหลามเพื่อที่เราจะได้ยืนหยัดบนสัจธรรม และโปรดทรงให้พวกเราตายในสภาพที่ยอมจำนนต่อพระองค์ ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์และรอสูลของพระองค์ด้วยเถิด"

(127) และบรรดาหัวหน้าจากพรรคพวกของฟิรฺเอาน์ได้กล่าวกับเขาว่า "โอ้ฟิรฺเอาน์ ท่านจะปล่อยให้มูซาและพรรคพวกของเขาก่อความเสียหายในแผ่นดิน โดยมองข้ามความสำคัญของท่านและพระเจ้าต่างๆ ของท่าน และทำการเชิญชวนผู้คนไปสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺแต่พระองค์เดียวกระนั้นหรือ?!" ฟิรฺเอาน์ตอบว่า "ข้าจะฆ่าบรรดาลูกชายวงศ์วานของอิสรออีล และจะไว้ชีวิตบรรดาหญิงของพวกเขาให้เป็นทาสรับใช้ และเราจะควบคุมพวกเขากดขี่พวกเขาและปกครองพวกเขา"

(128) มูซาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า "โอ้ประชาชาติของฉัน พวกท่านจงขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวในการขับสิ่งแล้วร้ายที่พวกเจ้าเผชิญ และนำมาซึ่งประโยชน์ที่พวกเจ้าหวัง และจงอดทนต่อบททดสอบที่พวกเจ้ากำลังเผชิญอยู่ แท้จริงแผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว มันไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของฟิรฺเอาน์ และไม่ใช่ของใครทั้งนั้น ที่จะมาอ้างสิทธิ์ในการปกครองแผ่นดินนั้นได้ และอัลลอฮฺจะทรงทำให้มีการสลับเปลี่ยนกันระหว่างมวลมนุษย์ด้วยความประสงค์ของพระองค์ แต่บั้นปลายที่ดีในแผ่นดินนี้จะตกเป็นของบรรดาผู้ศรัทธาที่ปฏิบัติตามในสิ่่งที่พระผู้อภิบาลของพวกเขาได้ทรงสั่งใช้ และหลีกเลี่ยงจากสิ่่งที่พระองค์ทรงห้าม ดังนั้นแผ่นดินผืนนี้จะตกเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน ถึงแม้พวกเขาจะต้องประสบกับบททดสอบต่างๆนาๆ ก็ตาม"

(129) หมู่ชนของมูซาจากวงศ์วานอิสรออีลได้ตอบว่า "โอ้มูซา ก่อนที่ท่านจะมายังพวกเราแม้กระทั่งตอนนี้ พวกเรายังได้รับการทารุณจากน้ำมือฟิรฺเอาน์ด้วยการเข่นฆ่าลูกหลานชายของพวกเรา และไว้ชีวิตบรรดาหญิงของพวกเรา "มูซาได้กล่าวกับพวกเขาเพื่อเป็นการตักเตือนและให้รู้สึกยินดีกับการได้เจอทางออก ว่า "หวังว่าพระผู้อภิบาลของพวกท่านจะทรงทำลายบรรดาศัตรูของพวกท่านทั้งฟิรฺเอาน์และพรรคพวกของเขา และจะทรงทำให้พวกท่านเป็นผู้ปกครองในแผ่นดินนี้หลังจากพวกเขา แล้วพระองค์จะทรงดูว่าพวกท่านจะประพฤติเช่นใด จะเป็นบ่าวที่ดีหรือบ่าวที่เนรคุณ?"

(130) แน่นอนเราได้ลงโทษวงศ์วานของฟิรฺเอาน์ด้วยความแห้งแล้งความแห้งแล้งและความอดอยาก และเราได้ทดสอบพวกเขาด้วยความขาดแคลนผลไม้และราคาที่ขึ้นสูงของมัน เพื่อพวกเขาจะได้ไตร่ตรองและตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นการลงโทษจากอัลลอฮ์เนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาและเพื่อพวกเขาจะได้กลับใจมาหาพระองค์

(131) ครั้งเมื่อวงค์วานฟิรฺเอาน์ได้พบกับความอุดมสมบูรณ์และความเจริญงอกงามในด้านพืชผักผลไม้ และราคาสินค้าได้ถูกลงถูก พวกเขาจะกล่าวว่า "สิ่งเหล่านี้ที่พวกเราได้มา เพราะมันเป็นสิ่งที่เราสมควรได้ และเป็นสิ่งที่พิเศษเฉพาะสำหรับเรา"และเมื่อพวกเขาได้ประสบกับความทุกข์ยาก ความอดอยาก ความแห้งแล้ง โรคภัยไข้เจ็บ และความวิบัติต่างๆ พวกเขาก็โยนสาเหตุของความโชคร้ายนั้นมาที่มูซาและผู้ติดตามของเขาที่มาจากวงค์วานอิสรออีล แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขานั้น มันเป็นกำหนดการจากอัลลอฮฺ ตะอาลา ต่างหาก พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆและมูซาก็เช่นกัน ยกเว้นสิ่งที่เกิดขึ้นที่มาจากการวิงวอนของมูซาที่ทำให้พวกเขาต้องประสบกับมัน แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้ ดังนั้นพวกเขาจึงพาดพิงว่า สิ่่งที่เกิดขึ้นนั้น มาจากผู้อื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮฺ

(132) หมู่ชนของฟิรฺเอาน์ได้กล่าวแก่มูซาด้วยความดื้อรั้นต่อความจริงว่า "ไม่ว่าจะเป็นสัญญานหรือหลักฐานอะไรก็ตามที่เจ่าได้ยกมาเพื่อลบล้างสิ่งที่พวกเราได้ยึดมั่น และเพื่อต้องการหันเหเราจากความเชื่อของเรา แน่นอนเราจะไม่หลงเชื่อศรัทธาต่อท่าน"

(133) ในที่สุดเราได้ส่งน้ำท่วมไปยังพวกเขา เพื่อเป็นการลงโทษพวกเขา เพราะการปฏิเสธและความดื้อรั้นของพวกเขา จนในที่สุดพืชผักผลไม้ของพวกเขาต้องจมน้ำ และเราได้ส่งฝูงตั๊กแตงมากินพืชผลของพวกเขาจนหมด เราได้ส่งสัตว์ตัวเล็กๆที่ เรียกว่าเหา ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งเพาะปลูกและได้สร้างความเดือดร้อนแก่ศรีษะคน เราได้ส่งฝูงกบเข้ามาอยู่ในภาชนะของพวกเขา ทำลายอาหารของพวกเขา และวงเวียนในบริเวณที่นอนของพวกเขา และเราได้ส่งเลือด จนน้ำบ่อและลำน้ำของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเลือด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญญานอันชัดเจนที่เราได้ส่งไปยังพวกเขาเป็นชุดๆติดต่อกัน และทั้งหมดที่พวกเขาได้ประสบมานั้น พวกเขาก็ยังโอหังดื้อดึงไม่ยอมศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และไม่ยอมเชื่อคำเรียกร้องของมูซา พวกเขาเป็นหมู่ชนที่กระทำบาป ไม่ลดละความชั่ว และไม่ยอมรับทางนำที่ถูกต้อง

(134) และเมื่อพวกเขาได้รับการลงโทษจากสิ่งเหล่านั้น พวกเขาก็เข้ามาหามูซา และกล่าวว่า "โอ้มูซา จงขอต่อพระผู้อภิบาลของท่านโดยใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษของท่านในฐานะนบีของพระองค์ และด้วยคำสัญญาที่พระองค์ได้สัญญาไว้แก่ท่านว่าจะมีการยกโทษให้ด้วยการกลับเนื้อกลับตัว ขอให้พระองค์ทรงหยุดการลงโทษที่เกิดกับเรา หากท่านสามารถทำให้เราพ้นจากการลงโทษดังกล่าวนี่ได้ แน่นอนเราจะศรัทธาต่อท่าน และจะปลดปล่อยวงค์วานอิสรออิลไปกับท่าน"

(135) หลังจากที่เราได้ยกเลิกการลงโทษนั้นไปจนถึงระยะเวลาที่กำหนด ก่อนที่ความหายนะของพวกเขาด้วยการจมน้ำจะเกิดขึ้น ทันใดนั้นพวกเขาก็ผิดสัญญาที่ว่าจะศรัทธาต่อมูซาและปลดปล่อยวงค์วานอิสรออิลให้แก่เขา ดังนั้นพวกเขาก็ยังคงยึดมั่นกับการปฏิเสธศรัทธา และไม่ยอมส่งวงค์วานอิสรออิลไปกับมูซา

(136) เมื่อระยะเวลาที่กำหนดเพื่อความหายนะของพวกเขาได้มาถึง เราได้ทำการลงโทษพวกเขาด้วยการให้พวกเขาจมในทะเล เนื่องจากการที่พวกเขาได้ปฏิเสธเหล่าสัญญานของอัลลอฮฺ และหันหลังให้กับสัจธรรมที่ไม่มีขัอสงสัยใดๆ

(137) และเราได้มอบแผ่นดินทางทิศตะวันออกและทางทิศตะวันตก คือแผ่นดินชาม(ปาเลสไตน์ จอร์แดน ซีเรีย และเลบานอน )์ แก่วงศ์วานอิสรออีลซึ่งเป็นกลุ่มชนที่ถูกกดขี่โดยฟิรเอาน์และพรรคพวกของเขา และเป็นแผ่นดินที่อัลลอฮฺได้ประทานความจำเริญ ด้วยการทำให้ผลผลิตทางการเกษตรนั้นอุดมสมบูรณ์ และถ้อยคำอันสวยงามแห่งพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น (โอ้รอสูล) ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว นั่นคือถ่อยคำที่ถูกกล่าวไว้ในคำตรัสของพระองค์ไว้ว่า "และเราปรารถนาที่จะมอบให้แก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็นผู้นำ และทำให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอด" [อัลเกาะศ็อศ: 5] ดังนั้น อัลลอฮฺทรงทำให้พวกเขาได้ครอบครองแผ่นดินนี้ ทั้งนี้เพราะความอดทนของพวกเขาต่อสิ่งที่ได้ประสบมาจากการกระทำของฟิรฺเอาน์และพรรคพวกของเขา และในที่สุดเราได้ทำลายบรรดาสวนไร่ ที่พักอาศัย และพระราชวังที่ฟิรฺเอาน์และพรรคพวกของเขาได้สร้างขึ้นมา

(138) และเราได้นำวงศ์วานอิสรออีลข้ามทะเลได้สำเร็จ หลังจากที่มูซาได้ทุบทะเลนั้นด้วยไม้เท้าของเขาดังนั้นมันก็แตกแยกออกมา แล้วพวกเขาก็ได้เดินผ่านชุมชนกลุ่มหนึ่งทีกำลังบูชารูปเจว็ดต่างๆ อื่นจากอัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเขาก็ได้กล่าวแก่มูซาว่า "โอ้มูซา ท่านจงสร้างรูปเจว็ดแก่พวกเราสักองค์หนึ่งเราจะได้บูชามัน เหมือนกับชนกลุ่มนั้นมีเจว็ดหลายองค์ไว้เคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮฺ" มูซาก็ตอบแก่พวกเขาว่า "โอ้ประชาชาติของฉัน แท้จริงพวกเจ้าเป็นหมู่ชนที่ไม่รู้ถึงสิ่งที่จำเป็นที่ควรสำหรับอัลลอฮฺ เช่น การสำนึกในความยิ่งใหญ่และการให้เอกภาพต่อพระองค์ และพวกเจ้าไม่รู้ในสิ่งที่ไม่สมควรสำหรับพระองค์ เช่น การตั้งภาคีและการบูชาสิ่งอื่นจากอัลลอฮฺ"

(139) แท้จริงพวกเขาเหล่านั้นที่เคารพสักการะรูปเจว็ดต่างๆ จะถูกทำลายตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในสภาพนั้น และการงานที่ดีของพวกเขาที่ได้กระทำมาทั้งหมดจะไร้ผลโดยสิ้นเชิง เนื่องด้วยการตั้งภาคีของพวกเขาในการทำอิบาดะฮ์ต่อสิ่งอื่นร่วมกับอัลลอฮ"

(140) มูซาได้กล่าวแก่ประชาชาติของเขาว่า "โอ้ประชาชาติของฉัน จะให้ฉันแสวงหาพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ที่พวกเจ้าอิบาดะฮ์อยู่ได้อย่างไร ทั้งที่พวกเจ้าได้เห็นสัญญานต่างๆ ที่ยิ่่งใหญ่ของพระองค์มาแล้วกับตา และพระองค์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ก็ได้ทรงเทิดทูนพวกเจ้าเหนือประชาชาติอื่นๆทั้งหลายในยุคของพวกเจ้า ได้มอบความสะดวกสบายต่างๆ ได้ทำลายศัตรูของพวกเจ้า และได้ให้พวกเจ้าเป็นผู้นำมีอำนาจในการปกครองแผ่นดิน?!"

(141) วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย จงนึกถึงในตอนที่เราได้ช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากการกดขี่ของฟิรฺเอาน์และบริวารของเขา ซึ่งพวกเขาได้ทำการทรมานพวกเจ้าด้วยการทรมานที่เลวร้ายที่สุด ด้วยการฆ่าบรรดาลูกชายของพวกเจ้า และไว้ชีวิตบรรดาผู้หญิงของพวกเจ้าใว้เป็นทาสรับใช้ และในการที่พวกเจ้าได้รอดจากฟิรฺเอาน์และบริวารของเขานั้น ถือเป็นการทดสอบอันใหญ่หลวงจากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพวกเจ้าต้องขอบคุณพระองค์

(142) และอัลลอฮฺได้กำหนดสัญญาแก่มูซาในการวิงวอนต่อพระองค์เป็นเวลาสามสิบคืน และพระองค์ได้ทรงเพิ่่มอีกสิบคืน จนกลายเป็นสี่สิบคืนเต็ม มูซาได้กล่าวแก่ฮารูนพี่ชายของเขาก่อนที่เขาจะเดินทางไป เพื่อวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของว่า "โอ้ฮารูน จงทำหน้าที่แทนฉันในหมู่ชนของฉัน และจงแก้ไขปัญหาของพวกเขา ด้วยวิธีการที่ดีและสุภาพอ่อนโยน และจงอย่าตามเส้นทางของผู้ก่อความเสียหายด้วยการกระทำสิ่งที่เป็นบาปต่างๆและจงอย่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนแก่บรรดาผู้กระทำบาปทั้งหลาย"

(143) และครั้นที่มูซาได้มาหาพระผู้อภิบาลของเขาเพื่อวิงวอนพระองค์ตามเวลาที่กำหนดไว้ คือสี่สิบคืนเต็ม และพระผู้อภิบาลของเขาได้ตรัสแก่เขาในเรื่องที่เกี่ยวกับคำสั่งใช้ คำสั่งห้ามต่างๆ และอื่นๆ มูซารู้สึกต้องการที่จะเห็นพระผู้อภิบาลของเขา ดังนั้นเขาจึงขอต่อพระองค์เพื่อให้ได้เห็นพระองค์ พระองค์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ทรงตอบว่า"เจ้าไม่สามารถที่จะเห็นข้าบนโลกนี้เป็นอันขาด เพราะเจ้าไม่มีความสามารถพอในเรื่องนี้ แต่ว่าเจ้าจงมองไปยังภูเขาลูกนั้น ถ้าหากมันมั่นอยู่ ณ ที่ของมัน เจ้าก็จะเห็นข้า แต่ถ้ามันทลายตัวลงพื้นดินอย่างราบเรียบ เจ้าจะไม่ได้เห็นข้าในโลกนี้" ครั้นเมื่อพระผู้อภิบาลของเขาได้ประจักษ์ที่ภูเขาลูกนั้น ภูเขาลูกนั้นก็ทลายตัวลงอย่างราบเรียบ ทันใดนั้นมูซาก็ล้มลงในสภาพที่หมดสติ และเมื่อเขาฟื้นขึ้นมา เขาก็กล่าวว่า "มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่ไม่คู่ควรทั้งหลาย ข้าพระองค์ขอลุแก่โทษต่อพระองค์ในสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ขอให้เห็นพระองค์ในโลกนี้ และข้าพระองค์คือผู้ศรัทธาคนแรกในหมู่ชนของข้าพระองค์"

(144) อัลลอฮ์ได้ตรัสแก่มูซาว่า "โอ้มูซา แท้จริงข้าได้เลือกเจ้าและเทิดทูนเจ้าให้เหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการให้เจ้าได้เผยแพร่สาส์นของข้าไปยังพวกเขา และข้าได้เทิดทูนเจ้าด้วยการสนทนากับเจ้าโดยตรงโดยไม่มีสื่อกลาง ดังนั้นเจ้าจงยึดสิ่งที่ข้าได้ให้แก่เจ้าที่มีเกียรตินี้ และจงอยู่ในหมู่ผู้ที่ขอบคุณสำหรับการให้อันยิ่่งใหญ่นี้"

(145) และเราได้บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างไว้แก่มูซาในแผ่นจารึกซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวงศ์วานอิสรออีล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนาหรือเรื่องการใช้ชีวิตบนโลกนี้ เพื่อเป็นข้อตักเตือนสำหรับบางคนในหมู่พวกเขาที่ต้องการ และเพื่อเป็นการแจกแจงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับบทบัญญัติต่างๆ ที่ต้องอธิบายเพิ่มเติม ดังนั้นมูซาเอ๋ย เจ้าจงยึดถือคัมภีร์อัตเตารอฮฺนี้อย่างจริงจังและแนวแน่ และจงสั่งใช้ประชาชาติของเจ้าวงศ์วานอิสรออีลให้ยึดถือสิ่งที่ดีที่สุดของมันที่ผลบุญของมันนั้นใหญ่ยิ่ง ดังเช่นการปฏิบัติสิ่งที่ถูกสั่งใช้ในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุด การอดทน และการให้อภัย เป็นต้น ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นการลงโทษสำหรับผู้ที่ละเมิดคำสั่งใช้ของข้า ไม่เชื่อฟังข้า และจะให้พวกเจ้าได้เห็นความหายนะที่เขาจะต้องเผชิญกับมัน

(146) ข้าจะทำให้บรรดาผู้ที่ประพฤติตัวหยิ่งยโสโอหังเหนือบ่าวของอัลลอฮ์และไม่ยอมรับสัจธรรมอย่างไม่ชอบธรรมออกห่างจากการได้รับบทเรียนจากสัญญาณต่างๆ ของข้า เช่นสัญญาณต่างๆในจักรวาลอันไกลโพ้นและในตัวของพวกเขาเอง และข้าจะทำให้พวกเขายากที่จะเข้าใจบรรดาโองการที่อยู่ในคัมภีร์ของข้า และหากพวกเขาได้เห็นสัญญานของข้าทั้งหมดทั้งมวล พวกเขาก็ไม่ศรัทธาต่อสัญญานเหล่านั้น เนื่องด้วยการคัดค้านของพวกเขาและการหันหลังไม่ศรัทธาต่อสัญญานเหล่านั้น และพวกเขาจงใจต่อต้านอัลลอฮ์และรอสูลของพระองค์ และหากพวกเขาได้เห็นแนวทางที่ถูกต้องที่จะนำพาพวกเขาไปสู่ความพอพระทัยของอัลลอฮฺ พวกเขาจะไม่พึงพอใจและไม่ปฏิบัติตาม แต่ทว่า เมื่อไรที่พวกเขาได้เห็นหนทางที่หลงผิดที่จะนำไปสู่ความโกรธกริ้วอัลลอฮฺ พวกเขาจะปฏิบัติตามเส้นทางนั้น สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในสถานะดังกล่าวนั้น เกิดจากการปฏิเสธของพวกเขาที่มีต่อสัญญานต่างๆ อันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ซึ่งเป็นสัญญานที่บ่งบอกถึงสัจธรรมของสิ่งที่รอสูลได้นำมา และอีกสาเหตุหนึ่งคือ พวกเขาละเลยที่จะทบทวนพิจารณาสัญญาเหล่านั้น

(147) และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา และปฏิเสธการพบอัลลอฮฺในวันปรโลกนั้น บรรดาการงานของพวกเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์ย่อมไร้ผล พวกเขาจะไม่ได้ผลบูญใดๆ จากการงานดังกล่าว เพราะพวกเขาขาดเงื่อนไขหนึ่ง คือ การศรักธา และในวันปรโลกพวกเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนนอกจากสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ในโลกดุนยาเท่านั้น เช่น การปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและการตั้งภาคีร่วมกับพระองค์ และแน่นอนที่สุดการตอบแทนนั้น คือ การที่พวกเขาต้องตกอยู่ในไฟนรกตลอดกาล

(148) หลังจากที่มูซาออกไปเข้าเฝ้าพระผู้อภิบาลของเขา พวกพ้องของเขาได้นำเครื่องประดับของพวกเขาปั้นเป็นลูกวัวที่ไร้วิญญาณและมีเสียง พวกเขาไม่รู้หรือว่า ลูกวัวรูปนั้นไม่สามารถพูกกับพวกเขาได้ และไม่สามารถชี้ทางให้พวกเขาไปสู่เส้นทางแห่งความดีได้ทั้งทางโลกและทางธรรม แถมลูกวัวรูปนั้นยังไม่สามารถให้ประโยชน์แก่พวกเขาได้และไม่สามารถปกป้องพวกเขาจากอันตรายได้ พวกเขาได้เอาลูกวัวตัวนั้นเป็นที่เคารพบูชา และด้วยเหตุดังกล่าวนั้นพวกเขากลายเป็นผู้ที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง

(149) และเมื่อพวกเขารู้สึกเสียใจและกังวลต่อสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ และรู้ว่าพวกเขาได้หันเหจากเส้นทางที่ถูกต้องด้วยการสักการะบูชาลูกวัวร่วมกับอัลลอฮฺ พวกเขาจึงวิงวอนต่ออัลลอฮฺโดยกล่าวว่า "หากพระผู้อภิบาลของเรามิทรงเมตตาแก่เราด้วยการชี้นำให้เราภักดีต่อพระองค์และมิทรงให้อภัยแก่เราจากการสักการะบูชาลูกวัวนั้น แน่นอนพวกเราจะอยู่ในหมู่ชนที่ขาดทุนทั้งโลกนี้และปรโลก"

(150) หลังจากมูซาได้กลับมาจากการเข้าเฝ้าพระผู้อภิบาลของเขา มุ่งหน้าไปยังพวกพ้องของเขาด้วยความโกรธและเสียใจ ต่อสิ่งที่พวกเขาได้กระทำจากการสักการะบูชาลูกวัว เขาได้กล่าวว่า "โอ้พวกพ้องของฉัน การกระทำของพวกเจ้าช่วงที่ฉันไม่อยู่นั้นมันช่างชั่วช้าเหลือเกิน เพราะการกระทำดังกล่าวจะนำมาซึ่งความหายนะและความทุกข์ยากแก่พวกเจ้า พวกเจ้ารู้สึกเบื่อหน่ายที่จะรอฉันกลับมากระนั้นหรือ เลยทำให้พวกเจ้าต้องสักการะบูชาลูกวัวตัวนั้น?!" แล้วเขาก็ได้โยนแผ่นจารึกลง อันเนื่องจากความโกรธและเสียใจอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้น และเขาได้จับหัวและเคราของฮารูนพี่ชายเขาและดึงเขาเข้าใกล้ เพราะพี่ชายของเขาอยู่พร้อมกับพวกเขาและไม่สั่งห้ามพวกเขาในการสักการะบูชาลูกวัว แล้วฮารูนได้กล่าวขอโทษและได้ขอร้องต่อมูซา "โอ้ลูกของแม่ของฉันเอ๋ย คนพวกนี้มองฉันเป็นคนที่อ่อนแอ ดังนั้นพวกเขาไม่ให้ค่าใดๆแก่ฉันเลย และพวกเขาเกือบที่จะฆ่าฉันด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าจงอย่าลงโทษฉันด้วยการลงโทษที่จะทำให้ศัตรูของฉันดีใจ และเจ้าจงอย่ารวมฉันอยู่ในกลุ่มผู้อธรรมที่สักการะต่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์ อันเนื่องด้วยความโกรธของเจ้าที่มีต่อฉัน"

(151) ดังนั้นมูซาจึงได้วิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของเขาว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของข้า โปรดอภัยโทษแก่ข้าและแก่พี่ชายของข้า (ฮารูน) ด้วย และโปรดให้เราได้เข้าอยู่ในความเมตตาของพระองค์ และโปรดทำให้ความเมตตาของพระองค์ครอบคลุมเราจากทุกด้านด้วยเถิด โอ้พระผู้อภิบาลของเรา พระองค์นั้นผู้ทรงเมตตาต่อเราเหนือบรรดาผู้เมตตาทั้งหลาย"

(152) แท้จริงบรรดาผู้ที่เอาลูกวัวมาเป็นพระเจ้าสักการะบูชานั้น พวกเขาจะต้องเผชิญกับความกริ้วโกรธอันรุนแรงจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา และชีวิตของพวกเขาต้องประสบกับความตกต่ำ เพราะการกระทำของพวกเขาได้สร้างความโกรธแก่พระองค์ แถมยังเป็นการดูถูกเหยียดหยามพระองค์อีกด้วย และการลงโทษเช่นนี้เราจะตอบแทนแก่ผู้ที่ชอบอุปโลกน์ต่ออัลลอฮฺทั้งหลายเช่นกัน

(153) และบรรดาผู้ที่กระทำความชั่วด้วยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺและกระทำบาปต่างๆ แล้วหลังจากนั้น พวกเขาได้กลับเนื้อกลับตัวสู่อัลลอฮฺด้วยการศรัทธาต่อพระองค์ พร้อมกับละทิ้งความชั่วทั้งหลายที่พวกเขาเคยกระทำมา หลังจากที่พวกเขาได้กลับเนื้อกลับตัวจากการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺไปสู่การศรัทธาต่อพระองค์ และจากการกระทำบาปทั้งหลายไปสู่การภักดีต่อพระองค์ แท้จริงแล้วพระผู้อภิบาลของเจ้า (โอรอสูลุลลอฮฺ) ทรงเป็นผู้อภัยโทษแก่พวกเขาด้วยการปกปิดและละเว้นบาปของพวกเขา และเป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ

(154) และเมื่อความโกรธของมูซา (อะลัยฮิสสาลาม) ได้คลายลงเขาก็หยิบแผ่นจารึกที่เขาขว้างทิ้งมันด้วยความกริ้วโกรธ และแผ่นจารึกเหล่านี้ประกอบด้วยการชี้ทางจากความหลงผิดเข้าสู่แสงสว่าง ชี้แจงถึงสัจธรรม และประกอบไปด้วยความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อบรรดาผู้ที่ยำเกรงต่อพระองค์และเกรงกลัวต่อบทลงโทษของพระองค์

(155) และมูซาได้เลือกกลุ่มคนที่ดีที่สุดในหมู่พวกพ้องของเขาเจ็ดสิบคนเพื่อไปขออภัยโทษจากพระผู้อภิบาลของพวกเขาจากการกระทำของบรรดาผู้โฉดเขลาของพวกเขาที่ทำการเคารพบูชารูปปั้นวัว และพระองค์ได้กำหนดเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะมารวมตัวกัน เมื่อพวกเขาได้รวมตัวกันพวกเขาช่างกล้าหาญกับอัลลอฮฺมากที่ได้ขอจากมูซาเพื่อให้พระเจ้าของเขาแสดงตัวให้พวกเขาเห็นกับตา ด้วยเหตุนี้พระองค์ได้ลงโทษพวกเขาด้วยการให้เกิดแผ่นดินไหวที่ทำให้พวกเขาต้องล้มลงตาย จงทำให้มูซาต้องอ้อนวอนต่อพระผู้อภิบาลของเขาด้วยการกล่าวว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของข้า หากพระองค์ทรงต้องการที่จะทำลายพวกเขารวมทั้งข้าด้วยแล้วก่อนหน้านี้ แน่นอนพระองค์จะทรงทำลายพวกเขาทั้งหมดแล้ว พระองค์จะทรงทำลายพวกเราเพราะการกระทำของพวกโฉดเขลาบางคนในหมู่พวกเรากระนั้นหรือ? การที่พวกพ้องของข้า ได้กระทำมานั้น มันมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นการทดสอบของพระองค์ ซึ่งโดยการนี้พระองค์จะทรงทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงทาง และจะทรงให้ทางนำแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ พระองค์เท่านั้นที่ทรงเป็นผู้คุ้มครองกิจการของเรา ดังนั้นโปรดทรงให้อภัยแก่เราซึ่งบรรดาบาปต่างๆของเรา และโปรดเมตตาเราด้วยความเมตตาของพระองค์อันกว้างขวาง เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ให้อภัยที่ดีที่สุดในบรรดาผู้ให้อภัยทั้งหลา"

(156) "และ(ขอพระองค์)ทำให้พวกเราเป็นส่วนหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงให้เกียรติพวกเขาในโลกนี้ด้วยความโปรดปรานต่างๆ มีสุขภาพที่ดี และเป็นคนที่พระองค์ทำให้พวกเขารักในการทำความดี และโปรดทำให้พวกเราเป็นส่วนหนึ่งในหมู่คนดีจากบรรดาบ่าวของพระองค์ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้แก่พวกเขาในวันปรโลกซึ่งสรวงสวรรค์ แท้จริง เราได้กลับไปยังพระองค์แล้วพร้อมกับการยอมรับในข้อบกพร่องของพวกเรา" อัลลอฮฺได้ตรัสว่า "สำหรับการลงโทษของข้า ข้าจะให้มันประสบแก่ผู้ที่ข้าประสงค์จากบรรดาผู้ที่กระทำการที่นำไปสู่ความทุกข์ยาก และความเมตตาของข้าครอบคลุมทุกสรรพสิ่งอย่างในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่ถูกสร้างมานอกจากจะได้รับความเมตตา ความโปรดปราน และความดีจากอัลลอฮฺ และข้าจะกำหนดความเมตตาของข้าในปรโลกสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติตามข้อสั่งใช้และห่างไกลข้อสั่งห้ามของพระองค์ และความเมตตาของข้าจะถูกประทานให้แก่บรรดาผู้ที่จ่ายซะกาตทรัพย์สินของเขาให้แก่ผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะได้รับ และความเมตตาของข้าจะถูกประทานเช่นกันแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเหล่าโองการของเราทั้งหลาย"

(157) บรรดาผู้ปฏิบัติตามมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นบีผู้อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แต่อัลลอฮ์ทรงประทานโองการ (วะห์ยุ) ให้แก่เขา ซึ่งเขาคือผู้ที่พวกเขาได้พบชื่อของเขา คุณลักษณะของเขาและสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เขาในคัมภีร์อัตเตารอฮ์ที่ถูกประทานลงมายังมูซา อะลัยฮิสสาลาม และคัมภีร์อัลอินญีลที่ถูกประทานลงมายังอีซา อะลัยฮิสสาลาม เขาจะสั่งใช้คนเหล่านั้นให้ปฏิบัติตามคุณธรรมความดีและห้ามปรามพวกเขาจากสิ่งที่สติปัญญาและสัญชาตญาณอันเที่ยงธรรมรู้กันว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี และเขาจะอนุมัติสิ่งที่ดีทั้งหลายที่ไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขา เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และการแต่งงาน และจะห้ามพวกเขาในสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ จากสิ่งเหล่านั้น และเขาได้ขจัดภาระอันหนักอึ้งที่พวกเขาเคยแบกรับกันในอดีต อาทิเช่น การบังคับใช้การประหารชีวิตฆาตกรที่ฆ่าคนตายไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ดังนั้นบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเขาจากวงศ์วานอิสราอีลหรือกลุ่มชนอื่น ๆ ด้วยการให้เกียรติแก่เขา ช่วยเหลือเขาในการต่อต้านศัตรูที่มาจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย และปฏิบัติตามอัลกุรอานที่เปรียบเสมือนแสงสว่างชี้นำทางที่ถูกประทานลงมาแก่เขา พวกเขาเหล่านั้นเป็นกลุ่มชนที่ประสบความสำเร็จที่จะได้รับในสิ่งที่พวกเขาร้องขอและจะได้รับการปกป้องให้ห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาหวาดเกรง

(158) จงกล่าวเถิด -โอ้รอสูลเอ๋ย- "โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงฉันเป็นรอสูลของอัลลอฮฺที่ถูกประทานมายังพวกเจ้าทั้งมวล ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นกลุ่มอาหรับหรือไม่ก็ตาม อัลลอฮฺองค์เดียวที่เป็นเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะที่แท้จริงนอกจากพระองค์ (ความบริสุทธิ์จงมีแด่พระองค์) พระองค์ผู้ทรงให้ชีวิตแก่ผู้ที่ตายและทรงให้ตายแก่ผู้ที่มีชีวิต ดังนั้น -โอ้มนุษย์เอ๋ย- พวกท่านจงศรัทธาต่ออัลลอฮฺและมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมเถิด ผู้ซึ่งเป็นรอสูลของอัลลอฮฺที่เขียนไม่ได้อ่านไม่ออก แต่เขาได้นำวะห์ยุจากพระผู้อภิบาลของเขา เขาเป็นผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เขาและแก่บรรดานบีก่อนหน้าเขาโดยไม่แบ่งแยก และพวกเจ้าจงปฏิบัติตามเขาในสิ่งที่เขาได้นำมาเผยแพร่จากพระผู้อภิบาลของเขา หวังว่าพวกเจ้าจะได้รับทางนำในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าทั้งในโลกดุนยาและวันปรโลก

(159) จากพวกพ้องของมูซาที่มาจากวงศ์วานอิสราเอล มีกลุ่มหนึ่งได้ยืนหยัดบนเส้นทางแห่งศาสนาที่เที่ยงตรง พวกเขาจะแนะนำผู้คนให้รู้จักเส้นทางนั้น และพวกเขาจะตัดสินด้วยความยุติธรรมโดยพวกเขาจะไม่มีการละเมิดใดๆ

(160) และเราได้แบ่งวงศ์วานอิสราอีลออกเป็นสิบสองชนเผ่า และเราได้ประทานโองการแก่มูซาครั้นที่พวกพ้องของเขาได้ขอให้เขาขอพรจากอัลลอฮฺเพื่อประทานน้ำแก่พวกเขา "โอ้มูซา เจ้าจงตีก้อนหินด้วยไม้เท้าของเจ้าเถิด มูซาก็ได้ตีก้อนหินนั้น แล้วตาน้ำสิบสองตาก็พุ่งออกมาตามจำนวนชนเผ่าทั้งสิบสองของพวกเขาพอดี แต่ละชนเผ่าได้รู้แหล่งน้ำเฉพาะของพวกเขาโดยไม่ปะปนกับชนเผ่าอื่น และเราได้ทำให้ก้อนเมฆปกคลุมบังแดดให้แก่พวกเขา ซึ่งเมื่อพวกเขาเดินมันก็จะเดิน เมื่อพวกเขาหยุดมันก็จะหยุด และเราได้ประทานแก่พวกเขาซึ่งเครื่องดื่มที่ดีอย่างกับน้ำผึ้งและยังได้ประทานแก่พวกเขานกตัวเล็กๆ ที่มีเนื้อดีเสมือนนกกระทา และเราได้กล่าวแก่พวกเขาว่า"พวกเจ้าจงกินจากสิ่งที่ดีๆ ที่เราได้ประทานให้แก่พวกเจ้า" และพวกเขาไม่ได้ทำให้เราต้องเสื่อมเสียอะไร ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นจากพวกเขา เช่น การกดขี่ และการไม่สำนึกในความโปรดปราน และไม่เห็นคุณค่าในความโปรดปรานของเรา แต่ทว่าพวกเขาได้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง ด้วยการสูญเสียความโปรดปรานเหล่านั้น เนื่องจากพวกเขาได้นำตัวของพวกเขาเองสู่ความหายนะ ด้วยการกระทำของพวกเขาที่ละเมิดพระบัญชาของอัลลอฮฺและไม่ยอมรับในความโปรดปรานของพระองค์

(161) และจงรำลึกเถิด -โอ้ท่านรอสูล- ขณะที่อัลลอฮฺได้ตรัสกับวงศ์วานอิสราอีลว่า "พวกเจ้าจงเข้าบัยตุลมักดิส จงกินผลไม้ต่างๆ ในเมืองนี้ทุกที่และทุกเวลาที่พวกเจ้าต้องการ และพวกเจ้าจงกล่าว "โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดยกโทษให้พวกเราเถิด และพวกเจ้าจงเข้าประตูบัยตุลมักดิสในสภาพผู้โน้มศรีษะลงด้วยความนอบน้อมต่อพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าทำอย่างนั้นเราจะให้อภัยต่อบาปของพวกเจ้า และเราจะเพิ่มพูนความดีงามแก่ผู้ประกอบการดีทั้งในโลกนี้และวันปรโลก"

(162) หลังจากนั้น บรรดาผู้อธรรมในหมู่พวกเขาได้เปลี่ยนคำพูดที่พวกเขาถูกสั่งมา พวกเขากล่าวว่า "หับบะฮ์ ฟี เชียะอ์เราะฮ์" (เมล็ดในข้าวบาเล่ย์) แทนคำ ที่ถูกใช้ให้กล่าว ที่เป็นการใช้ให้ขออภัยโทษ และพวกเขายังเปลี่ยนการกระทำที่พวกเขาถูกสั่งมาอีกด้วย พวกเขาคลานด้วยก้นของพวกเขาขณะเข้าประตูบัยตุลมักดิสแทนที่จะโน้มศรีษะเพื่อแสดงการนอบน้อมต่ออัลลอฮ์ ด้วยเหตุนี้ เราจึงส่งการลงโทษมายังพวกเขาจากชั้นฟ้า เพราะความอธรรมที่พวกเขากระทำ

(163) โอ้รอสูลุลลอฮฺ เจ้าจงถามชาวยิว เพื่อให้พวกเขานึกถึงสิ่งที่อัลลอฮฺเคยลงโทษบรรพบุรุษของพวกเขา ซึ่งมันเกี่ยวกับเรื่องราวของเมืองที่ตั้งอยู่บนฝั่งทะเล ครั้งที่ชาวเมืองนั้นได้ละเมิดคำสั่งของอัลลอฮฺ โดยการจับปลาในวันเสาร์ที่พระองค์ทรงห้าม วันที่อัลลอฮฺทรงทดสอบพวกเขาโดยการที่ฝูงปลาได้ลอยปรากฎบนผืนน้ำต่อหน้าพวกเขา แต่ในวันอื่นที่ไม่ใช่วันเสาร์ ฝูงปลากลับไม่มาปรากฎให้พวกเขาเห็น อัลลอฮฺทรงทดสอบพวกเขาด้วยวิธีนี้ อันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนและบาปที่พวกเขากระทำ ดังนั้นพวกเขาได้วางอุบายดักปลาโดยการตั้งอวนและขุดหลุมไว้ ทำให้ปลาติดอวนของพวกเขาในวันเสาร์ พอถึงวันอาทิตย์พวกเขาจะเก็บมันมากิน

(164) และจงรำลึกเถิด -โอ้รอสูลเอ๋ย-ครั้นที่มีกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาที่ได้ห้ามปรามและตักเตือนพวกเขาไม่ให้กระทำความชั่ว แล้วมีกลุ่มหนึ่งได้ถามพวกเขาว่า "ทำไมพวกท่านได้ตักเตือนผู้คนที่อัลลอฮฺจะทรงทำลายพวกเขาในโลกนี้อันเนื่องจากความชั่วทั้งหลายที่พวกเขาก่อขึ้น หรือพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาในวันปรโลกด้วยการลงโทษอันรุนแรง" กลุ่มผู้ตักเตือนตอบว่า "การที่เราตักเตือนพวกเขานั้น เพื่อเป็นเหตุผลสำหรับเราในการแก้ต้วต่อหน้าอัลลอฮฺ โดยการที่เรานั้นได้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ถูกมอบหมายแล้ว ได้เชิญชวนให้ผู้คนกระทำความดีและห้ามปรามพวกเขาไม่ให้กระทำความชั่ว เพื่อไม่ให้พระองค์ลงโทษพวกเราเพราะการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ และอีกอย่าง พวกเราหวังว่า พวกเขาจะได้รับประโยชน์จากการตักเตือนนี้ แล้วละทิ้งสิ่งชั่วช้าที่พวกเขากระทำอยู่"

(165) เมื่อพวกเขาไม่ยอมรับคำตักเตือนจากบรรดาผู้ตักเตือน และยังไม่คิดที่จะทิ้งความชั่วทั้งหลายแล้ว เราจึงได้ช่วยบรรดาผู้ห้ามปรามความชั่วให้ปลอดภัยจากการลงโทษของเรา และเราได้ลงโทษบรรดาผู้อธรรมทั้งหลาย เพราะการละเมิดของพวกเขาด้วยการจับปลาในวันเสาร์ ด้วยการลงโทษอันรุนแรง อันเนื่องมาจากการที่พวกเขาไม่ภักดีต่ออัลลอฮฺและยืนกรานที่จะทำความชั่ว

(166) ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้กระทำเกินขอบเขตด้วยการเนรคุณต่ออัลลอฮฺเพราะความหยิ่งยโสและความดื้อรั้นของพวกเขา และไม่คิดที่จะสำนึกจากคำตักเตือนเหล่านั้น เราจึงได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "โอ้ผู้ที่เนรคุณทั้งหลาย พวกเจ้าจงกลายเป็นลิงที่อัปลักษณ์" ในที่สุดพวกเขาได้กลายเป็นลิงตามที่เราประสงค์ แท้จริงถ้าเราได้ปรารถนาต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อเราต้องมันแล้ว เราจะกล่าวแก่มันว่า "จงเป็น" แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมา

(167) และจงรำลึกเถิด -โอ้รอสูลเอ๋ย- ครั้นที่อัลลอฮฺได้ทรงประกาศอย่างชัดเจนโดยไม่คลุมเครือแต่อย่างใดว่า แน่นอนอัลลอฮ์จะทำให้พวกยิวนั้นตกต่ำ ด้วยการส่งผู้ที่จะทำให้ชีวิตของพวกเขาต้องอัปยศและตกต่ำในชีวิตนี้จนถึงวันแห่งการพิพากษา แท้จริงแล้ว -โอ้รอสูลเอ๋ย- พระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นผู้ทรงรวดเร็วในการลงโทษต่อผู้ที่เนรคุณ แม้กระทั่งในโลกดุนยานี้ บางครั้งพระองค์จะทรงลงโทษเขาอย่างฉับพลัน และแท้จริงแล้ว พระองค์ทรงเป็นผู้ให้อภัยแก่ผู้ที่กลับเนื้อกลับตัว (เตาบะฮ์) จากบรรดาบ่าวของพระองค์ ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ

(168) และเราได้ทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปในแผ่นดินและเราได้แบ่งพวกเขาออกเป็นกลุ่มๆ หลังจากที่พวกเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในหมู่พวกเขามีคนที่เคร่งครัดในศาสนาที่ยืยหยัดในการรักษาสิทธิของอัลลอฮ์และสิทธิของบรรดาบ่าวของพระองค์ ในหมู่พวกเขาเป็นคนที่อยู่ในความพอดี และในหมู่พวกเขามีผู้ที่ละเมิดต่อตนเองโดยการทำผิดศีลธรรม และเราได้ทอสอบพวกเขาในรูปแบบของความสุขสบายและความทุกข์ยาก เพื่อที่พวกเขาจะได้ตระหนักถึงข้อผิดพลาดของพวกเขา

(169) หลังจากนั้น ก็มีผู้ที่มาหลังจากพวกเขาซึ่งเป็นกลุ่มชนที่ชั่ว พวกเขาได้สืบทอดคัมภีร์เตารอฮ์จากบรรพบุรุษของพวกเขา พวกเขาอ่านมัน แต่ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่มีอยู่ในนั้น พวกเขาได้เอาความสุขบนโลกที่น่ารังเกียจ เพื่อเป็นสินบนในการบิดเบือนคัมภีร์ของอัลลอฮฺ และได้ตัดสินด้วยสิ่งที่ไม่ได้ถูกประทานลงมาในคำภีร์ และพวกเขาสร้างความหวังให้แก่ตัวเองว่า "อัลลอฮฺจะทรงให้อภัยแก่พวกเขาจากความชั่วที่พวกเขากระทำ" และถ้าความสุขเล็กๆ น้อยๆ มายังพวกเขาอีกพวกเขาก็จะคว้ามันไว้อีก อัลลอฮฺมิได้กำหนดพันธสัญญาไว้แก่พวกเขาหรือ ว่า พวกเขาจะไม่กล่าวสิ่งใดถึงอัลลอฮฺนอกจากความจริงโดยไม่มีการบิดเบือนหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ?! การที่พวกเขาได้ละทิ้งการปฏิบัติต่อสิ่งที่มีในคัมภีร์นั้น หาได้เป็นเพราะความโง่เขลาของพวกเขาไม่ อันที่จริงแล้ว พวกเขารู้และได้อ่านสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์นั้นเป็นอย่างดี ดังนั้น บาปของพวกเขาย่อมหนักกว่า และความสุขอันนิรันดร์ในปรโลกย่อมดีกว่าความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในโลกนี้สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺที่พวกเขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งใช้และหลีกเลี่ยงคำสั่งห้ามของพระองค์ พวกที่ชอบเอาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในโลกนี้ ไม่คิดหรือว่า สิ่งที่อัลลอฮฺทรงเตรียมไว้สำหรับบรรดผู้ยำเกรงนั้นมันประเสริฐมากว่าและจะคงอยู่กับพวกเขาอย่างนิรันดร์?!

(170) สำหรับบรรดาผู้ยึดมั่นในคัมภีร์ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่มีอยู่ในนั้น และดำรงไว้ซึ่งการละหมาดด้วยการรักษาเวลาของมัน เงื่อนไขของมัน สิ่งที่เป็นวาญิบและสุนนะฮ์ของมัน แน่นอนอัลลอฮฺจะทรงตอบแทนรางวัลแก่พวกเขาตามการงานต่างๆ ของพวกเขาที่ได้ปฏิบัติมา เพราะอัลลอฮฺจะไม่ปล่อยให้รางวัลของผู้ที่กระทำความดีนั้นต้องสูญหายไป

(171) และจงรำลึกเถิด -โอ้มุหัมมัด- เมื่อตอนที่เราได้ถอนภูเขาลูกนั้นและได้ยกมันขึ้นเหนือวงศ์วานอิสราอีล หลังจากที่พวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่มีในคัมภีร์อัตเตารอฮ์ ภูเขาลูกนั้นเป็นเสมือนเมฆที่ปกคลุมเหนือศรีษะพวกเขา และพวกเขาคิดอย่างมั่นใจว่ามันจะตกลงมาบนพวกเขา และอัลลอฮ์กล่าวแก่พวกเขาว่า "พวกเจ้าจงยึดมั่นในสิ่งที่เราได้ประทานให้แก่พวกเจ้าด้วยความจริงจัง ทุ่มเท และมีความมุ่งมั่น และจงรำลึกถึงบทบัญญัติต่างๆ ที่อัลลอฮ์ทรงประทานไว้ให้แก่พวกเจ้าและอย่าลืมมันเป็นอันขาด หวังว่าพวกเจ้าจะยำเกรงต่ออัลลอฮ์เมื่อพวกเจ้าได้ปฏิบัติตามที่กล่าวมา"

(172) และจงรำลึกเถิด -โอ้มุหัมมัด- เมื่อตอนที่พระผู้อภิบาลของเจ้าได้นำออกมาจากกระดูกสันหลังของลูกหลานอาดัมซึ่งลูกหลานของพวกเขา และทรงกำชับให้พวกเขายืนยันถึงความเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์ ตามที่พระองค์ได้ทรงวางไว้ในสัญชาตญาณของพวกเขาด้วยการยอมรับว่า พระองค์ คือ ผู้สร้างและผู้อภิบาลพวกเขา โดยพระองค์ได้ตรัสถามพวกเขาว่า "ข้าไม่ใช่พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าหรอกหรือ? พวกเขาทั้งหลายตอบว่า "ใช่ พระองค์คือพระผู้อภิบาลของพวกเรา" อัลลอฮ์ตรัสว่า "แท้จริงที่เราได้ทดสอบและทำพันธสัญญาไว้กับพวกเจ้า ก็เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ไม่ปฏิเสธถึงหลักฐานของอัลลอฮฺในวันพิพากษา โดยอ้างว่า "พวกเราไม่รู้ในเรื่องนี้เลย"

(173) หรือไม่ก็ พวกเจ้าจะอ้างว่า เพราะบรรพบุรุษของพวกเจ้านั่นแหละที่เป็นคนได้ผิดพันธสัญญานั้นแล้วตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ และพวกเจ้าได้เลียนแบบทำตามบรรพบุรุษของพวกเจ้าในการตั้งภาคีที่พวกเขากระทำอยู่ หลังจากนั้นพวกเจ้าก็จะกล่าวว่า "โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ พระองค์จะทรงลงโทษพวกเราเพราะการกระทำของบรรพบุรุษของพวกเราที่พวกเขาได้ทำลายการงานของพวกเขาด้วยการตั้งภาคีกับพระองค์กระนั้นหรือ? ฉะนั้น พวกเราไม่ผิด เพราะพวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกเราแค่ทำตามบรรพบุรุษของพวกเราเองเท่านั้นเอง"

(174) ดังที่เราได้ชี้แจงโองการต่างๆ เกี่ยวกับชะตากรรมของประชาชาติที่ปฏิเสธศรัทธามาก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกันเราก็ได้ชี้แจงโองการต่างๆ แก่พวกเขา ทั้งนี้เพื่อที่พวกเขาจะได้ละทิ้งการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ แล้วกลับมาสู่การให้เอกภาพและเคารพสักการะอัลลอฮ์แต่เพียงองค์เดียว ดังที่พวกเขาได้ให้พันธสัญญากับตัวพวกเขาเองว่าจะเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์แต่เพียงองค์เดียว

(175) และจงเล่าให้วงศ์วานอิสราอีลได้รับรู้เถิด -โอ้รอสูล- ถึงเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่เราได้ประทานแก่เขาซึ่งบรรดาโองการของเรา จากนั้นเขาก็ได้รู้มันและเข้าใจถึงความจริงที่ปรากฎในโองการเหล่านั้น แต่เขาไม่ปฏิบัติตามมัน แถมยังละทิ้งมันและปลีกตัวออกจากมัน ดังนั้น ชัยฏอนจึงได้ติดตามเขา จนกระทั่งเขาได้กลายเป็นมิตรกับเขา และสุดท้ายเขาก็ตกอยู่ในกลุ่มผู้หลงทางที่หายนะ หลังจากที่เขาเคยเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้รับทางนำ

(176) หากเราประสงค์ให้เขาได้รับประโยชน์จากโองการต่างๆ แน่นอนเราจะยกสถานะของเขาด้วยบรรดาโองการเหล่านั้น โดยการให้พวกเขาได้รับทางนำสู่การปฏิบัติต่อบรรดาโองการเหล่านั้น แล้วสถานะของเขาก็จะสูงขึ้นทั้งในโลกนี้และในปรโลก แต่เขาเลือกสิ่งที่นำตัวเองสู่ความตกต่ำ เมื่อเขาได้โน้มตัวเองตามความปรารถนาทางโลก โดยการให้ค่าแก่มันเหนืออาคิเราะฮ์ เขาเลือกที่จะทำตามความพอใจของตัณหาอันไร้สาระของเขา ดังนั้นความโลภของเขาที่มีต่อโลกก็เหมือนกับสุนัขที่แลบลิ้นออกมาตลอดเวลา สุนัขที่อยู่ในท่าหมอบนั่งมันจะแลบลิ้นออกมาและเมื่อมันถูกไล่มันก็จะแลบลิ้นออกมา นั่นคืออุปมาของผู้ที่หลงผิดที่ปฏิเสธบรรดาโองการของเรา ดังนั้นจงบอกพวกเขาเถิด -โอ้รอสูลเอ๋ย - ถึงเรื่องราวเหล่านี้เพื่อพวกเขาจะได้คิด เพื่อจะได้ละทิ้งการปฏิเสธและการหลงทาง

(177) คงไม่มีอะไรที่ชั่วช้ายิ่งกว่ากลุ่มชนที่ปฏิเสธและไม่เชื่อบรรดาหลักฐานของเรา ด้วยเหตุนี้พวกเขาได้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองด้วยการนำตัวเองสู่ความหายนะ

(178) ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงให้ทางนำแก่เขาไปยังหนทางของพระองค์ที่เที่ยงตรง ผู้นั้นก็เป็นผู้ที่ได้รับทางนำอย่างแท้จริง และผู้ใดที่พระองค์ทรงทำให้เขาต้องห่างไกลจากหนทางที่เที่ยงตรง พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่ไม่มีวาสนาอย่างแท้จริง ที่ทำให้ตัวของพวกเขาเองและครอบครัวของพวกเขาต้องขาดทุนในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ พึงรู้เถิดว่านั่นคือการขาดทุนที่แท้จริง

(179) และแท้จริงแล้ว เราได้สร้างญินและมนุษย์เป็นจำนวนมากสำหรับนรกญะฮันนัม เพราะด้วยความรู้ของเรา รู้ว่าพวกเขาจะปฏิบ้ติการงานของชาวนรก พวกเขามีหัวใจ แต่มิได้ใช้มันในการรับรู้ถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นอันตรายต่อพวกเขา พวกเขามีดวงตา แต่มิได้ใช้มันในการมองเห็นถึงสัญญานต่างๆของอัลลอฮ์ ทั้งที่มีปรากฎในร่างกายของมนุษย์และขอบฟ้า เพื่อให้พวกเขาได้รับบทเรียนจากสิ่งที่มองเห็น พวกเขามีหูแต่มิได้ใช้มันในการรับฟังโองการต่างๆ ของอัลลอฮ์และพิจารณาใคร่ครวญสิ่งที่อยู่ในโองการเหล่านั้น พวกที่มีคุณลักษณะดังกล่าวเหมือนกับปศุสัตว์ที่ไม่มีสติปัญญา แต่พวกเขาหลงยิ่งกว่าปศุสัตว์เหล่านั้น ทั้งนี้เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่เพิกเฉยในการศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก

(180) และสำหรับอัลลอฮฺนั้น (ความบริสุทธิ์จงมีแด่พระองค์) ทรงมีพระนามอันสวยงามที่บ่งบอกถึงความสูงส่งและความสมบูรณ์แบบของพระองค์ พวกเจ้าจงใช้มันในการร้องขอจากอัลลอฮฺซึ่งสิ่งที่พวกเจ้าปราถนา จงใช้มันในการสรรเสริญพระองค์ และจงปล่อยบรรดาผู้ที่หันห่างจากสัจธรรมในการตั้งพระนามของพระองค์ให้กับสิ่งอื่น หรือปฏิเสธมัน หรือบิดเบือนความหมายของมัน หรือทำให้สิ่งอื่นคล้ายกับมัน ในไม่ช้า เราจะตอบแทนผู้ที่หันห่างจากสัจธรรมทั้งหลายนั้นด้วยการลงโทษอันเจ็บปวดตามสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้

(181) และในบรรดาผู้ที่เราสร้างขึ้นมานั้นจะมีกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งที่พวกเขานำทางแก่ตัวเองด้วยสัจธรรม และเชิญชวนผู้อื่นให้ยึดมั่นกับมันจนกระทั่งพวกเขาได้รับการชี้นำ และพวกเขาจะตัดสินกันด้วยความยุติธรรมและพวกเขาจะไม่ละเมิด

(182) และบรรดาผู้ปฏิเสธต่อบรรดาโองการของเราและไม่ศรัทธาต่อมัน แถมยังดื้อไม่ยอมรับมันอีก เราจะเปิดบรรดาประตูแห่งปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา ไม่ใช่เป็นการให้เกียรติแก่พวกเขา แต่เป็นการหลอกพวกเขาให้คงอยู่กับความหลงผิด หลังจากนั้นพวกเขาจะได้ลิ้มรสการลงโทษของเราช่วงที่พวกเขาเผลอ

(183) และข้าจะยังไม่ลงโทษพวกเขา จนพวกเขาคิดว่า พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษ สุดท้ายพวกเขาจะยังคงยืนหยัดอยู่กับการไม่เชื่อและปฏิเสธศรัทธาจนกระทั่งการลงโทษที่พวกเขาจะได้รับนั้นจะทวีมากขึ้น แท้จริงแผนการของข้านั้นมันแข็งแกร่ง ซึ่งพวกเขาจะเห็นว่าเราทำดีกับพวกเขา แต่ความจริงเราต้องการให้พวกเขาตกต่ำ

(184) พวกที่ปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮ์และรอสูลของพระองค์ จะไม่ใคร่ครวญบ้างหรือ ด้วยการใช้สติปัญญาที่พวกเขามีว่า เพื่อให้เกิดความกระจ่างว่า มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้น มิได้เป็นบ้า แท้จริงเขาเป็นรอสูลคนหนึ่งที่อัลลอฮฺได้ส่งมา เพื่อเป็นผู้ตักเตือนอย่างชัดแจ้ง ให้ระวังการลงโทษของอัลลอฮ์

(185) พวกเขาไม่ได้พิจารณาถึงอำนาจของอัลลอฮ์แห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ไม่พิจารณาถึงสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย เช่นสัตว์ต่างๆ พืช และอื่นๆและไม่พิจารณาถึงวาระสุดท้ายของชีวิตของพวกเขาบ้างหรือ ซึ่งบางทีมันอาจใกล้เข้ามา เพื่อจะได้กลับเนื้อกลับใจก่อนที่มันจะสายเกินไป ดังนั้นหากพวกเขาไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอานและสิ่งที่มีในนั้นจะเป็นสัญญาดีและสัญญาร้าย แล้วจะมีคำภีร์ใด อื่นจากอัลกุรฺอาน ที่พวกเขาจะศรัทธา?!

(186) ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงปล่อยให้หักเหจากเส้นทางแห่งสัจธรรมและทรงปล่อยให้หลงจากเส้นทางอันเที่ยงธรรมแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดนำทางให้แก่เขา อัลลอฮฺจะทรงปล่อยพวกเขาให้อยู่ในความหลงผิดและการปฏิเสธของพวกเขา พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพที่สับสนไม่รู้ว่าทางไหนคือทางนำ

(187) บรรดาผู้ปฏิเสธที่ดื้อรั้นจะถามเจ้าถึงเวลาแห่งการฟื้นคืนชีพว่า "เมื่อไรวันแห่งการฟื้นคืนชีพจะเกิดขึ้น และความรู้ที่เกี่ยวกับมันจะเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน? จงกล่าวเถิด -โอ้มุหัมมัด- "ความรู้ในเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ฉันและไม่ได้อยู่ที่คนอื่นใด แต่มันอยู่ที่อัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว ไม่มีผู้ใดสามารถบอกถึงเวลาที่กำหนดของมันได้ นอกจากอัลลอฮฺ มันจะถูกซ่อนเร้นจากผู้ที่อยู่บนฟักฟ้าและบนแผ่นดิน และมันจะไม่มาเยือนพวกเจ้านอกจากจะมาอย่างกระทันหัน" พวกเขาถามเจ้าถึงวันกิยามะฮ์เหมือนกับว่าเจ้ากระตือรือร้นที่จะรู้เรื่องนี้ และพวกเขาไม่รู้ว่าเจ้าจะไม่ถามถึงเรื่องนี้ เพราะความรู้อันสมุบูรณ์แบบของเจ้าที่มีต่อพระผู้อภิบาลของเจ้า จงกล่าวเถิด -โอ้มุหัมมัด- "แท้จริงความรู้ในเรื่องเวลาฟื้นคืนชีพนั้นอยู่ที่อัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว แต่ว่ามนุษย์ส่วนมากจะไม่รู้ในเรื่องดังกล่าว"

(188) จงบอกพวกเขาเถิด -โอ้มุหัมมัด- ฉันไม่มีอำนาจใดๆที่จะให้คุณหรือให้โทษแก่ตัวฉันเอง เว้นแต่ที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น แท้จริงเรื่องดังกล่าวนั้นขึ้นอยู่กับอัลลอฮ์พระองค์เดียว ฉันไม่สามารถรับรู้เว้นแต่ในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบอกฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่รู้ในสิ่งที่เร้นลับ หากฉันรู้ แน่นอนฉันก็จะทำสิ่งที่เป็นสาเหตุของการได้มาซึ่งความดีต่างๆ และยับยั้งตัวเองจากความชั่วร้ายต่างๆ เพราะฉันรู้ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่มันจะเกิดขึ้นและรู้ถึงผลลัพธ์ของมัน ฉันไม่ใช่ใคร นอกจากเป็นรอสูลคนหนึ่งที่ถูกส่งมาจากอัลลอฮ์เพื่อแจ้งข่าวร้ายที่เกี่ยวกับการลงโทษที่เจ็บปวดที่สุดและแจ้งข่าวดีที่เกี่ยวกับการตอบแทนที่ประเสริฐที่สุดให้แก่กลุ่มที่ศรัทธาว่าฉันคือรอสูลที่มาจากพระองค์และศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันได้นำมา

(189) พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเจ้า -โอ้บรรดาบุรุษและบรรดาสตรีทั้งหลาย- จากชีวิตหนึ่ง คือ อาดัม อะลัยฮิสสาลาม และจากอาดัม อะลัยฮิสสาลามพระองค์ก็ทรงสร้างคู่ครองเขาขึ้นมา คือ เหาวาอ์ ทรงสร้างนางขึ้นมาจากซี่โครงของเขา เพื่อที่เขาจะได้มีชีวิตที่สงบและอบอุ่นใจกับนาง เมื่อสามีได้ร่วมหลับนอนกับภรรยาของเขาแล้ว นางก็ได้ตั้งครรภ์อ่อนๆ แบบไม่รู้สึกตัว เพราะนั่นเป็นระยะแรกของการตั้งครรภ์ และนางก็ยังคงอยู่กับการตั้งครรภ์นี้ไปเรื่อยๆ โดยที่นางไม่ได้รู้สึกลำบากเหน็ดเหนื่อยใดๆ ในการทำธุระของนาง เมื่อท้องของนางเริ่มโตขึ้นมาและรู้สึกหนักที่ต้องอุ้มมัน ทั้งสองสามีภรรยานี้ก็ได้วิงวอนร้องขอว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของเรา หากพระองค์ทรงประทานแก่เรา ซึ่งลูกที่ดีสมบูรณ์แบบ แน่นอนเราจะเป็นบ่าวที่อยู่ในกลุ่มผู้ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์"

(190) หลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงตอบรับสิ่งที่เขาทั้งสองขอและทรงประทานแก่เขาทั้งสองซึ่งลูกที่ดีสมบูรณ์แบบตามที่ขอ เขาทั้งสองได้เริ่มตั้งภาคีควบคู่กับอัลลอฮ์มาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้แก่พวกเขา คือ พวกเขาได้เชื่อมความเป็นบ่าวของลูกเขาทั้งสองกับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮ์ และตั้งชื่อลูกชายว่า อับดุลหาริษ แล้วอัลลอฮฺนั้นทรงสูงส่งและทรงบริสุทธิ์จากบรรดาภาคีทั้งมวล พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดี่ยวในด้านการเป็นผู้ทรงอภิบาลและการเป็นพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะ

(191) พวกเขาจะให้บรรดาเจว็ดทั้งหลายและสิ่งอื่นๆ เป็นหุ้นส่วนภาคีกับอัลลอฮ์ในการเคารพสักการะกระนั้นหรือ? ทั้งๆ ที่พวกเขารู้ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้สร้างสิ่งใดเลยที่จะบ่งบอกได้ว่า สมควรแก่การเคารพสักการะ มินำซ้ำมันยังถูกสร้างขึ้นมาอีก แล้วพวกเขาจะให้สิ่งเหล่านี้เป็นหุ้นส่วนภาคีกับอัลลอฮ์ได้อย่างไร?!

(192) และบรรดาเจว็ดเหล่านั้น ไม่สามารถที่จะช่วยบรรดาผู้ที่มาสักการะบูชาพวกมันได้ แม้กระทั่งตัวของพวกมันเองก็ยังไม่สามารถที่จะช่วยได้ แล้วพวกเขายังต้องสักการะบูชาพวกมันอีกได้อย่างไร?!

(193) โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย หากพวกเจ้าได้วิงวอนขอจากบรรดาเจว็ดที่พวกเจ้าได้บูชามันเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์สู่ทางนำที่ถูกต้อง พวกมันก็จะไม่ตอบรับและปฏิบัติตามคำวิงวอนของพวกเจ้าหรอก ดังนั้น ไม่ว่าพวกเจ้าจะขอพรจากพวกมันหรือนิ่งเฉยก็ตาม มันก็มีผลเท่ากัน เพราะพวกมันเป็นแค่วัตถุที่ไม่มีชีวิต ไม่มีปัญญาไว้คิด ไม่ได้ยินและไม่พูด

(194) โอ้บรรดผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย แท้จริงบรรดาผู้ที่พวกเจ้าได้สักการะบูชาอื่นจากอัลลอฮ์นั้นพวกมันเป็นสิ่งถูกสร้างและเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์เยี่ยงพวกเจ้าเช่นกัน มินำซ้ำสถานะของพวกเจ้าดีกว่าพวกมันอีก เพราะพวกเจ้ามีชีวิตสามารถพูดได้ เดินได้ สามารถได้ยินและมองเห็นได้ แต่บรรดาเจว็ดของพวกเจ้าไม่ใช่แบบนั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงวิงวอนขอจากพวกมันเถิด แล้วให้พวกมันตอบรับสิ่งที่พวกเจ้าขอด้วย หากพวกเจ้าเป็นผู้สัตย์จริงในสิ่งที่พวกเจ้าอ้างให้กับพวกมัน

(195) บรรดาเจว็ดที่พวกเจ้าได้บูชามันเป็นพระเจ้านั้น พวกมันมีเท้าไว้เดินไปหาสิ่งที่พวกเจ้าต้องการไหม? พวกมันมีมือไว้ปกป้องพวกเจ้าไหม? พวกมันมีตาที่สามารถมองเห็นสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นแล้วมาแจ้งให้พวกเจ้ารับทราบไหม? พวกมันมีหูที่สามารถรับฟังสิ่งที่พวกเจ้าไม่สามารถได้ยินมันได้แล้วมาแจ้งให้พวกเจ้ารับฟังไหม? ดังนั้น หากพวกมันไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด แล้วพวกเจ้ายังต้องสักการะบูชาพวกมันโดยหวังว่าพวกมันจะนำประโยชน์และกำจัดสิ่งที่เป็นอันตรายออกจากพวกเจ้าได้อย่างไรอีก? จงกล่าวเถิด -โอ้รอสูลเอ๋ย- แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านี้ "พวกเจ้าจงวิงวอนขอต่อภาคีที่พวกเจ้าได้ตั้งขึ้นมาเทียบเท่ากับอัลลอฮฺ แล้วจงวางแผนทำลายฉัน และไม่ต้องมาผ่อนปรนให้แก่ฉัน"

(196) แท้จริงผู้ช่วยเหลือของฉัน คือ อัลลอฮ์ผู้ทรงคุ้มครองฉัน ดังนั้น ฉันจะไม่อ้อนวอนจากใครอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ และจะไม่กลัวสิ่งอื่นใดจากบรรดาเจว็ดของพวกท่าน พระองค์ทรงประทานคัมภีร์อัลกุรฺอานให้แก่ฉัน เพื่อเป็นทางนำแก่มวลมนุษย์ และทรงคุ้มครองบรรดาบ่าวของพระองค์ที่มีคุณธรรมความดี ดังนั้น พระองค์จะทรงคุ้มครองและช่วยเหลือพวกเขา

(197) โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย บรรดาผู้ที่พวกเจ้าวิงวอนจากบรรดาเจว็ดทั้งหลาย แท้จริงพวกมันไม่สามารถจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้ และไม่สามารถที่จะช่วยเหลือแม้กระทั่งตัวของพวกมันเองด้วย พวกมันไร้ความสามารถ แล้วเหตุไฉนเล่าพวกเจ้าจึงวิงวอนขอจากพวกมันนอกเหนือจากอัลลอฮ์?!

(198) โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย หากพวกเจ้าได้วิงวอนต่อบรรดาเจว็ดที่พวกเจ้าสักการะบูชาอื่นจากอัลลอฮฺสู่เส้นทางที่ถูกต้อง พวกมันจะไม่ได้ยินคำวิงวอนของพวกเจ้า และเจ้าจะเห็นพวกมันกำลังมองเจ้าด้วยตาที่จำลอง ที่จริงแล้ว มันก็เป็นแค่วัตถุที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ จะเห็นได้ว่า พวกเขาได้สร้างบรรดาเจว็ดของพวกเขาในรูปภาพลูกหลานอาดัมหรือสัตว์ต่างๆ ที่มีมือ เท้าและตา แต่มันก็เป็นวัตถุอยู่ดี ไม่มีชีวิต และไม่สามารถเคลื่องไหวได้

(199) เจ้าจงตอบรับ -โอ้รอสูลเอ๋ย- ซึ่งผู้คนด้วยสิ่งที่พวกเขายอมรับได้ และในสิ่งที่มันง่ายดายแก่พวกเขาในเรื่องการงานและมารยาทต่างๆ และจงอย่าบังคับให้ทำในสิ่งที่นิสัยของพวกเขารับไม่ได้ เพราะนั่นเป็นการกระทำให้พวกเขาหนี จงกำชับพวกเขาด้วยคำพูดที่สวยงามและด้วยมารยาทที่ดี จงหลีกเลี่ยงการถกเถียงที่ไร้ประโยชน์กับผู้โฉดเขลาทั้งหลายเถิด อย่าไปเผชิญกับพวกเขาด้วยความโฉดเขลาของพวกเขา ดังนั้นผู้ที่เคยทำร้ายเจ้า ก็อย่าไปทำร้ายเขา และผู้ที่เคยลิดรอนสิทธิของเจ้า ก็อย่าไปลิดรอนสิทธิของเขา

(200) โอ้รอสูลเอ๋ย เมื่อเจ้ารู้สึกว่า ชัยฏอน (มารร้าย) กำลังจะทำให้เจ้ารู้สึกไขว้เขวหรือท้อแท้ในการทำความดี เจ้าจงพึ่งพาและปักหลักกับอัลลอฮ์ เพราะพระองค์ทรงได้ยินในสิ่งที่เจ้าพูด ทรงรับรู้เหตุผลที่เจ้าต้องพึ่งพาพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงปกป้องเจ้าจากชัยฏอน

(201) แท้จริงแล้ว บรรดาผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ด้วยการปฏิบัติคำสั่งใช้และหลีกเลี่ยงคำสั่งห้ามของพระองค์นั้น หากพวกเขาประสบกับการไขว้เขวจากแผนการของชัยฎอนแล้วลงมือทำบาป พวกเขาจะนึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ นึกถึงการลงโทษของพระองค์แก่บรรดาผู้กระทำความชั่วร้าย และนึกถึงการตอบแทนทีดีที่พระองค์จะทรงมอบแก่บรรดาผู้จงรักภักดีทันที แล้วจะทำให้พวกเขากลับเนื้อกลับใจจากบาปที่พวกเขากระทำและกลับไปยังพระผู้อภิบาลของพวกเขา แล้วท้ายสุด พวกเขาจะยืนยัดอยู่บนเส้นทางแห่งสัจธรรม จะรู้สึกผิดจากสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำ และจะไม่มีวันหันกลับไปหามันอีก

(202) และบรรดาพี่น้องของชัยฏอนจากบรรดาผู้กระทำความชั่วและผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายจะถูกบรรดาชัยฏอนดึงพวกเขาไปสู่ความหลงผิดด้วยการกระทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่าไม่หยุดยั้ง บรรดาชัยฏอนเองก็ไม่หยุดที่จะทำให้ผู้คนอยู่ในความหลงผิด และบรรดาผู้กระทำความชั่วก็เช่นกันไม่หยุดจากการถูกจูงให้กระทำความชั่ว

(203) โอ้รอสูลเอ๋ย เมื่อเจ้าได้แสดงสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) ให้พวกเขาได้เห็น พวกเขาจะปฏิเสธเจ้าและไม่สนใจมัน และเมื่อเจ้าไม่แสดงสัญญาณให้พวกเขาเห็น พวกเขาก็กล่าวว่า "ทำไมเจ้าจึงไม่คิดค้นสัญญาณและอุปโลกน์มันขึ้นมา โอ้รอสูลเอ๋ย เจ้าจงตอบพวกเขาเถิดว่า "ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงสัญญาณด้วยตัวของฉันเองได้ และฉันจะไม่ปฏิบัติตามอะไรทั้งสิ้นเว้นแต่ในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่ฉันเท่านั้น และนี่คืออัลกรฺอานที่ฉันกำลังอ่านให้พวกเจ้าฟังอยู่ มันคือข้อพิสูจน์และหลักฐานจากอัลลอฮ์พระองค์ผู้ที่สร้างพวกเจ้าและทรงเป็นผู้บริหารจัดการกิจการต่างๆพวกเจ้า และอัลกุรฺอานนี้มันยังเป็นคำแนะนำและความเมตตาต่อบรรดาผู้ศรัทธาจากบรรดาบ่าวของพระองค์ ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา พวกเขาเป็นผู้หลงผิดมีความทุกข์"

(204) และเมื่ออัลกุรอานได้ถูกอ่าน พวกเจ้าจงฟังมันเถิด อย่าได้พูดคุย และอย่ามัวยุ่งกับสิ่งอื่นใด หวังว่าอัลลอฮ์จะทรงเมตตาพวกท่าน

(205) จงรำลึกเถิด -โอ้รอสูลเอ๋ย- ถึงอัลลอฮ์ผู้ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเจ้าด้วยความนอบน้อมและยำเกรง และจงทำให้การขอพรของเจ้าอยู่ระดับปานกลาง ไม่ส่งเสียงดังเกินไปและไม่เบาเกินไป ทั้งในยามเช้าตรู่และยามเย็น เพราะความประเสริฐของทั้งสองช่วงเวลานี้ และเจ้าจงอย่าเป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้เฉยเมยต่อการรำลึกถึงอัลลอฮ์ (ผู้ทรงสูงส่ง)

(206) โอ้รอสูลเอ๋ย แท้จริงบรรดามลาอิกะฮ์ที่อยู่ ณ พระผู้อภิบาลของเจ้า พวกเขามิได้โอหังต่อการเคารพสักการะพระองค์ (ความบริสุทธิ์จงมีแด่พระองค์) แต่พวกเขายอมจำนนต่อการเคารพสักการะพระองค์ด้วยความนอบน้อมไม่เหน็ดเหนื่อย พวกเขากล่าวสดุดีให้ความบริสุทธิ์แก่พระองค์จากสิ่งที่ไม่เหมาะสมทั้งหลาย ทั้งในยามค่ำคืนและกลางวัน และแด่พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่พวกเขาก้มกราบ