48 - Al-Fath ()

|

(1) แท้จริงอัลลอฮฺได้ให้ชัยชนะแก่เจ้า โอ้ท่านเราะซูล ซึ่งเป็นชัยชนะที่ชัดเจนในการทำสัญญาฮุดัยบียะฮฺ

(2) นี่คือชัยชนะ เพื่ออัลลอฮฺจะได้ทรงอภัยโทษความผิดของเจ้าที่ได้ล่วงไปแล้ว จากบาปของเจ้าและที่จะเกิดขึ้นภายหลังและจะทรงให้ความโปรดปรานของพระองค์ครบสมบูรณ์แก่เจ้าด้วยการช่วยเหลือสนับสนุนศาสนาของเจ้า และทรงชี้แนะทางแก่เจ้าคือทางอันเที่ยงตรง ไม่คด ไม่เบี้ยว และนี้คือเส้นทางแห่งอิสลามที่เที่ยงตรง

(3) และอัลลอฮจะทรงช่วยเหลือเจ้าให้เหนือกว่าศัตรู้ของเจ้าด้วยการช่วยเหลือที่เข้มแข็งซึ่งไม่มีใครสามารถต้านได้

(4) อัลลอฮคือผู้ที่ประทานความเงียบสงบสุขลงมาในจิตใจของบรรดาผู้ศรัทธา เพื่อพวกเขาจะได้เพิ่มพูนการศรัทธาให้กับการศรัทธาของพวกเขา และสำหรับอัลลอฮองค์เดียวเท่านั้น ที่มีไพร่พลแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน พระองค์สามารถที่จะให้การสนับสนุนจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบ่าวของพระองค์ และอัลลอฮเป็นผู้ทรงรอบรู้ในความต้องการของบ่าวของพระองค์ผู้ทรงปรีชาญาณในการที่จะให้การช่วยเหลือและสนับสนุน

(5) เพื่อพระองค์จะทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาชายต่ออัลลอฮและเราะซูลและบรรดาผู้ศรัทธาหญิงได้เข้าสวนสวรรค์หลากหลาย ณ เบื้องล่างของสวนสวรรค์มีธารน้ำหลายสายไหลผ่านใต้ต้นไม้ พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ตลอดกาลในนั้น และพระองค์จะทรงลบล้างความชั่วของพวกเขาออกจากพวกเขา และนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง ณ ที่อัลลอฮฺ

(6) และเมื่อพระองค์ทรงลงโทษบรรดาผู้หลอกหลวง ไม่ซื่อสัตย์ หน้าไหว้หลังหลอก (มุนาฟิกีน) ชาย และ (มุนาฟิกอต) หญิง และบรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ชาย และบรรดาผู้ตั้งภาคีหญิงโดยพวกเขาคิดเกี่ยวกับอัลลอฮฺด้วยความคิดร้ายว่าไม่ช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ และไม่ทำให้ศาสนาของพระองค์สูงส่ง เหตุร้ายเหล่านั้นจึงประสบแก่พวกเขา และอัลลอฮฺทรงโกรธกริ้วพวกเขาเพราะพวกเขาปฏิเสธศรัทธาและคิดร้ายและพระองค์ได้ขับไล่พวกเขาออกจากความเมตตาของพระองค์ และทรงสาปแช่งพวกเขา อีกทั้งทรงเตรียมให้พวกเขาในวันอาคีเราะฮฺด้วยนรกญะฮันนัมไว้สำหรับพวกเขาอยู่ในนั้นอย่างถาวรตลอดกาลอีกด้วย และมันเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดที่จะย้อนกลับหาพวกเขา

(7) และสำหรับอัลลอฮฺคือผู้ที่มีไพร่พลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินที่พระองค์นั้นสามารถที่จะสนันสนุนใครก็ได้ ตามที่พระองค์ประสงค์แก่บ่าวของพระองค์ และอัลลอฮเป็นผู้ทรงมีอำนาจที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้และเป็นผู้ทรงปรีชาญาณในสิ่งทีพระองค์ทรงสร้างขึ้นมา พระองค์ทรงกำหนด และทรงจัดการทั้งหมดเหล่านั้นด้วยพระองค์ทั้งสิ้น

(8) โอ้ ท่านเราะซูลเอ๋ย แท้จริงฉันได้ส่งเจ้ามาเพื่อให้เป็นพยานแก่ประชาชาติของเจ้าในวันกียามะฮฺและเป็นผู้แจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเตรียมใว้ให้ในโลกดุนยาทั้งความช่วยเหลือและที่พักอาศัย และในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเตรียมแก่พวกเขาในวันอาคีเราะฮฺด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆและได้ให้การตักเตือนแก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงได้เตรียมใว้ให้แก่พวกเขาในโลกนี้คือความอับอายและความพ่ายแพ้และสิ่งที่พระองค์ได้ทรงเตรียมไว้ในชีวิตหลังความตายสำหรับพวกเขาคือบทลงโทษอันเจ็บปวดที่กำลังรอพวกเขาอยู่

(9) โปรดศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ศรัทธาต่อเราะซูลของพระองค์เถิด และจงให้การยกย่องและให้เกียรติท่านเราะซูลเถิด และจงสรรเสริญอัลลอฮฺทั้งในยามเช้าและยามเย็นเถิด

(10) แท้จริงบรรดาผู้ที่ให้สัตยาบันกับเจ้า โอ้ท่านเราะสูล ในการทำสัญญาที่จะสู้รบกับผู้ที่ตั้งภาคีชาวมักกะฮ์แท้จริงแล้วพวกเขาได้ให้สัตยาบันกับอัลลอฮ์ เพราะว่าพระองค์คือผู้ที่สั่งใช้ให้ทำการสู้รบและพระองค์ก็จะเป็นผู้ทรงตอบแทนพวกเขา พระหัตถ์ของอัลลอฮ์ทรงอยู่เหนือมือของพวกเขา พระองค์มองเห็นพวกเขาและไม่มีสิ่งใดที่จะปกปิดต่อพระองค์ได้ ฉะนั้นผู้ใดทำลายสัตยาบัน เสมือนกับว่าเขาทำลายตัวของเขาเอง ส่วนผู้ใดปฏิบัติตามสัญญาที่เขาได้มีไว้กับอัลลอฮ์โดยครบถ้วน พระองค์ก็จะทรงตอบแทนรางวัลอันใหญ่หลวงแก่เขานั้นก็คือสรวงสวรรค์

(11) โอ้ท่านเราะซูลเอ๋ย ชาวอาหรับชนบทที่อืดอาดอยู่ในเมืองจะกล่าวแก่เจ้าว่าทรัพย์สินของเราและครอบครัวของเราทำให้เรามีธุระยุ่งอยู่ พวกเราไม่อาจเดินทางไปยังมักกะฮฺกับเจ้าได้ ดังนั้นได้โปรดขออภัยให้แก่เราด้วย พวกเขากล่าวด้วยลิ้นของพวกเขาโดยที่หัวใจของพวกเขาว่างเปล่า จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ใครเล่าจะมีอำนาจอันใดที่จะป้องกันพวกเจ้าจากอัลลอฮฺหากพระองค์ทรงประสงค์ให้ความทุกข์แก่พวกเจ้า หรือพระองค์ทรงประสงค์จะให้ประโยชน์แก่พวกเจ้า แต่ว่าอัลลอฮฺทรงตระหนักยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ไม่มีความลับใด ๆ ทั้งสิ้นสำหรับพระองค์

(12) ไม่ไช่ความจริงแต่อย่างใด ที่พวกเขากล่าวขอโทษพวกเจ้าว่ามีธุระที่ต้องดูแลทรัพย์สิน เงินทอง และลูก ๆ ที่บ้าน และไม่อาจเดินทางไปยังมักกะฮ์กับพวกเจ้าได้ หากแต่พวกเขาคิดว่าท่านเราะสูลและบรรดาเศาะหาบะฮ์จะถูกฆ่าตายทั้งหมดและจะไม่กลับมายังมาดีนะฮ์อีก และในเรื่องนี้ชัยฏอนได้ทำให้เกิดความเพริศแพร้วในจิตใจของพวกเขา และพวกเขาก็ได้คิดร้ายต่อพระเจ้าของพวกเขาว่า แท้จริงแล้ว ไม่มีทางที่อัลลอฮ์จะช่วยเหลือท่านนบีและบรรดาสหายของเขา และพวกเขาเป็นหมู่ชนที่วิบัติอันด้วยการคิดไม่ดีต่ออัลลอฮ์และการไม่ทำตามเราะซูลของพระองค์

(13) และผู้ใดไม่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ แน่นอนเขาคือผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา และแท้จริงเราได้เตรียมไฟที่ลุกโชติช่วงไว้ลงโทษผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ในวันกียามะฮฺ

(14) และสำหรับอัลลอฮเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่มีอำนาจเด็ดขาดทั้งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์จะทรงอภัยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบ่าวของพระองค์ และจะทรงให้ได้เข้าสวรรค์ด้วยความพอพระทัยของพระองค์และจะทรงลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความยุติธรรมที่สุด และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยบาปของบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงเมตตาเสมอ

(15) บรรดาผู้ที่พระเจ้าเอกองค์อัลลอฮ์ทิ้งไว้ข้างหลัง คือผู้ที่อืดอาดอยู่ในเมืองจะกล่าวว่า โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย เมื่อพวกท่านออกเดินทางไปยังกองทรัพย์เชลยที่ค็อยบัร ซึ่งอัลลอฮได้สัญญาไว้กับพวกเจ้า หลังจากที่พวกเจ้าได้ทำสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์แล้วนั้น เพื่อไปยึดเอาทรัพย์เชลย ก็จงปล่อยให้พวกเราออกติดตามพวกท่านไปด้วยเถอะ พวกเขาประสงค์ที่จะเปลี่ยนคำกล่าวสัญญาของอัลลอฮฺที่ได้สัญญาไว้กับผู้ที่ศรัทธาหลังจากที่ได้ทำสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮ์แล้ว เพื่อมอบทรัพย์เชลยให้ จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะซูล พวกท่านจะติดตามพวกเราไปไม่ได้เป็นอันขาด เพราะอัลลอฮฺได้ตรัสไว้ก่อนแล้ว แต่เพราะความอิจฉาของพวกเจ้าที่มีต่อเรา และมันก็ไม่ใช่ของเรื่องบรรดาผู้ที่พระเจ้าเอกองค์อัลลอฮ์ทิ้งไว้ข้างหลัง หรือผู้ที่อืดอาดอยู่ในเมืองแต่อย่างใดซึ่งพวกเขาไม่เข้าใจในคำสั่งของอัลลอฮเว้นแต่เพียงนิดเดียว พวกเขาจึงตกอยู่ในหมู่ผู้เนรคุณต่อพระเจ้า

(16) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะซูล แก่บรรดาชาวอาหรับชนบทผู้อืดอาดอยู่ในเมือง ที่ไม่ยอมเดินทางไปมักกะฮฺพร้อมกับเจ้าเพื่อเป็นการทดสอบพวกเขา ว่าพวกเจ้าจะถูกเรียกให้ไปต่อสู้กับกลุ่มชนที่มีอำนาจเข้มแข็ง เพื่อพวกเจ้าจะได้ทำการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ หรือพวกเจ้าจะทำให้พวกเขาเข้ารับอิสลามโดยปราศจากการสู้รบ ดังนั้น เมื่อพวกเจ้าเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค์ได้เชิญชวน อัลลอฮฺก็จะทรงประทานรางวัลอันดีงามแก่พวกเจ้า นั้นก็คือสวนสวรรค์ และถ้าหากพวกเจ้าผินหลังออกจากการเคารพภักดีต่อพระองค์ เช่นการผินหลังให้กับการเดินทางไปยังมักกะฮฺ พระองค์จะทรงลงโทษพวกเจ้าด้วยการลงโทษอันเจ็บปวด

(17) ไม่มีข้อตำหนิ (ความผิด) ใดๆสำหรับคนตาบอด พิการหรือป่วย หากพวกเขาไม่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ และผู้ใดที่เชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เขาเข้าสู่สวนสวรรค์หลากหลาย ณ เบื้องล่างมีธารน้ำหลายสายไหลผ่านภายใต้พระราชวังและต้นไม้ของมัน ส่วนผู้ใดผินหลังออกจากการปฏิบัติตามของอัลลอฮและเราะซูล พระองค์จะทรงลงโทษเขาด้วยการลงโทษอันเจ็บปวด

(18) แน่นอน อัลลอฮฺทรงโปรดปรานต่อบรรดาผู้ศรัทธาขณะที่พวกเขาให้สัตยาบันแก่เจ้าใต้ต้นไม้ (ที่ฮุดัยบิยะฮฺ) เพราะพระองค์ทรงรอบรู้ดีถึงสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเขาในการเชื่อศรัทธาและบริสุทธิใจและความสัจจริง พระองค์จึงได้ทรงประทานความสงบใจลงมาบนพวกเขา และได้ทรงตอบแทนให้แก่พวกเขาซึ่งชัยชนะอันใกล้นี้นั้นคือชัยชนะในการพิชิตค็อยบัร เพื่อชดเชยให้กับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เข้าเมืองมักกะฮฺ

(19) และพระองค์ได้ให้ทรัพย์เชลยมากมาย คือสิ่งที่พวกเขาได้รับมาจากชาวค็อยบัร และอัลลอฮเป็นผู้ทรงอำนาจที่ไม่มีใครเอาชนะได้ ผู้ทรงรอบรู้ในการกำหนด และจัดการในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาเอง

(20) อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาแก่พวกเจ้า โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย ซึ่งทรัพย์เชลยอันมากมายที่พวกเจ้าจะได้รับมันจากชัยชนะของอิสลามในอนาคต โดยพระองค์ทรงเร่งทรัพย์เชลยที่ค็อยบัรอันนี้แก่พวกเจ้า และพระองค์ทรงยับยั้งมือของผู้คนพวกยะฮูดจากการทำร้ายสาวกของพวกเจ้า และการเร่งด่วนรางวัลเหล่านี้ให้กับพวกเจ้านั้น เป็นสัญญานที่ดีแก่พวกเจ้า บ่งบอกถึงความช่วยเหลือของอัลลอฮฺและการสนับสนุนของพระองค์ต่อพวกเจ้า และเพื่อพระองค์จะได้ทรงชี้แนะซึ่งทางที่เที่ยงตรงแก่พวกเจ้า

(21) อัลลอฮทรงสัญญากับทรัพย์เชลยอื่นๆอีกที่พวกเจ้าไม่มีกำลังที่จะเอาชนะมันได้ แต่อัลลอฮเพียงองค์เดียวที่มีอนุภาพเหนือทุกสิ่งทั้งในความรู้และการจัดการของพระองค์ และอัลลอฮเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่จะมาขัดขวางพระองค์ได้

(22) และถ้าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮและเราะซูลของพระองค์ได้ต่อสู้กับพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเขาก็จะผินหลังกลับอย่างแน่นอน จากนั้นพวกเขาจะไม่พบผู้ปกครองที่จะดูแลพวกเขา และพวกเขาจะไม่พบความช่วยเหลือที่จะช่วยเหลือพวกเขาในการสู้รบกับพวกเจ้าได้

(23) และชัยชนะของบรรดาผู้ศรัทธาและความพ่ายแพ้ของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ยืนยงไปตลอดกาลเวลา คือแนวทางของอัลลอฮแก่บรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก่อนบรรดาผู้ที่กล่าวเท็จ (ต่อเจ้า) และเจ้าจะไม่พบเจอ โอ้ท่านเราะซูล การเปลี่ยนแปลงใดๆในแนวทางของอัลลอฮฺ

(24) และพระองค์คือผู้ทรงยับยั้งมือของพวกที่ตั้งภาคีจากพวกเจ้า โดยมีจำนวนแปดสิบคนที่ต้องการทำร้ายพวกเจ้า และเราได้ระงับมือของพวกเจ้าจากพวกเขา มิให้มีการสู้รบกันและทำอันตรายต่อกัน ที่หุบเขาฮุดัยบียะฮฺ หลังจากที่พระองค์ได้ทรงให้พวกเจ้ามีชัยชนะเหนือพวกเขา และอัลลอฮฺทรงรู้เห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ไม่มีสิ่งใดที่จะปิดบังการกระทำของพวกเจ้าได้

(25) พวกเขาคือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและปิดกั้นพวกเจ้าให้หันห่างจากมัสยิดอัลฮะรอมและการเชือดสัตว์พลีที่ถูกกักกันไว้มิให้บรรลุสู่ที่เชือดของมัน และหากมิใช่เพราะมีบรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธาหญิง ซึ่งพวกเจ้าไม่รู้จักพวกเขา พวกเจ้าก็จะฆ่าพวกเขาแล้วก็จะก่อให้เกิดโทษแก่พวกเจ้าเพราะพวกเขาโดยไม่รู้ตัวทั้งนี้เพื่ออัลลอฮฺจะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เข้าอยู่ในความเมตตาของพระองค์ อย่างเช่น บรรดาผู้ศรัทธาในมักกะฮฺ หากพวกเขาแยกออกจากกัน ระหว่างผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่ผู้ศรัทธาในมักกะฮฺ เพื่อลงโทษบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮและเราะซูลของพระองค์ด้วยบทลงโทษอันเจ็บปวด

(26) ขณะที่พวกปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ได้ทำให้ความหยิ่งยโสมีขึ้นในจิตใจของพวกเขาซึ่งเป็นความหยิ่งยโส ในสมัยแห่งความงมงาย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการตระหนักในสัจธรรม แต่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ใฝ่ต่ำของตัวเอง พวกเขาไม่อนุญาตให้เราะซูลของอัลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม) เข้าเมืองมักกะฮ์ในปีแห่งการทำสนธิสัญญาฮุดัยบียะฮฺ เพราะเกรงว่าจะทำให้พวกเขาแพ้ อัลลอฮฺจึงประทานความเงียบสงบของพระองค์ให้แก่เราะซูลของพระองค์ และแก่บรรดาผู้ศรัทธา และทรงให้พวกเขาตั้งมั่นอยู่บนคำกล่าวแห่งความยำเกรงว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮฺ และพวกเขาควรจะทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยที่พวกเขามีสิทธิยิ่งต่อคำกล่าวนี้ และเหมาะสมคู่ควรยิ่ง และพวกเขาก็มีสิทธิที่จะได้รับมันอย่างยิ่ง เพราะพระเจ้ารู้ดีว่าในหัวใจของพวกเขานั้นมีแต่ความดีและอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่จะปิดบังต่อพระองค์ได้

(27) โดยแน่นอนอัลลอฮได้ทรงทำให้ความฝันนั้นสมจริงแก่ท่านเราะซูลของพระองค์พระองค์ได้ทำให้เราะซูลของพระองค์มองเห็นในฝัน แล้วเราะซูลก็ได้บอกกล่าวแก่ศอฮาบะฮฺว่าแท้จริงแล้วฉันและบรรดาศอฮาบะฮฺของฉันจะได้เข้าเมืองมักกะฮ์ โดยบางคนโกนผม และอีกบางคนตัดผม เป็นสัญญาณถึงการสิ้นสุดของการทำอิบาดะห์ (ฮัจญ์ หรือ อุมเราะห์) เพราะพระองค์ทรงรู้ดีถึงความต้องการของพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย โดยที่พวกเจ้านั้นไม่รู้ และพระองค์ได้ทรงทำให้ความฝันของนบีนั้นเป็นจริงด้วยการเข้านครมักกะฮฺเยี่ยงผู้ชนะ นี่คือสิ่งที่อัลลอฮฺได้ตอบแทนจากการทำสนธิสัญญาฮุดัยบียะห์ และการได้เปิดเมืองค็อยบัรด้วยน้ำมือของบรรดาผู้ศรัทธาที่ร่วมทำสนธิสัญญาฮูดัยบียะห์

(28) พระองค์อัลลอฮคือผู้ที่ส่งท่านเราะซูลของพระองค์ มูฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ด้วยคำอธิบายที่ชัดเจนและศาสนาแห่งความจริง คือศาสนาอิสลามเพื่อเป็ศาสน์ที่สูงส่งเหนือกว่าศาสน์ใดๆทั้งสิ้น และพระเจ้าทรงเป็นพยานในสิ่งนี้ และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพยาน

(29) มุฮัมมัดเป็นเราะซูลของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขาเป็นผู้เข้มแข็งกล้าหาญต่อพวกปฏิเสธศรัทธาที่ต่อสู้กับอิสลาม เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง เจ้าจะเห็นพวกเขา โอ้ผู้ที่มองอยู่ เป็นผู้รูกั๊วะ ผู้สุญูดต่ออัลลอฮฺ โดยแสวงหาการอภัยโทษและผลบุญจากอัลลอฮฺ และพระองค์เป็นผู้พอใจพวกเขา เครื่องหมายของพวกเขาอยู่บนใบหน้าของพวกเขา เนื่องจากร่องรอยแห่งการสุญูด นั่นคืออุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัตเตารอต ที่ประทานลงมายังมูซา อลัยฮิสสลาม และอุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัลอินญีลนั้น ที่ประทานลงมายัง อีซา อลัยฮิสสลามประหนึ่งเมล็ดพืชที่งอกหน่อหรือกิ่งก้านของมันออกมา แล้วทำให้มันงอกงาม แล้วมันก็เติบโตแข็งแรง และทรงตัวอยู่ได้บนลำต้นของมัน นำความปลื้มปิติมาให้แก่ผู้หว่าน เพื่อที่พระองค์จะก่อความโกรธแค้นแก่พวกปฏิเสธศรัทธาเพราะพวกเขา และอัลลอฮฺทรงสัญญาบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายในหมู่พวกเขาว่า จะได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวงจากพระองค์นั้นก็คือสวนสวรรค์