(1) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ และปิดกั้นผู้คนให้ห่างจากศาสนาของอัลลอฮฺนั้น พระองค์ได้ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล
(2) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและกระทำการงานที่ดี และศรัทธาต่อสิ่งที่อัลลอฮฺประทานลงมายังท่านเราะซูล ศ็อลลัลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่าอัลกุรอ่านนั้นเป็นสัจธรรมมาจากพระเจ้าของพวกเขา พระองค์จะทรงลบล้างความชั่วของพวกเขา ให้ออกไปจากพวกเขาและจะทรงปรับปรุงสภาพของพวกเขาให้ดีขึ้นทั้งโลกดุนยานี้และโลกอาคีเราะฮฺ
(3) ทั้งนี้ผลตอบแทนที่ได้กล่าวแก่ทั้งสองฝ่ายนั้นอันด้วยสาเหตุที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺได้ปฏิบัติตามความเท็จและบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและท่านเราะซูลได้ปฏิบัติตามสัจธรรมจากพระเจ้าของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะแตกต่างกันไปดังที่พระเจ้าได้อธิบายไว้ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายของผู้ศรัทธาและฝ่ายของผู้ปฏิเสธศรัทธา เช่นนี้แหละอัลลอฮฺทรงยกอุทาหรณ์ทั้งหลายของพวกเขาแก่ปวงมนุษย์
(4) และเมื่อพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ได้ทำการสู้รบกับบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา พวกเจ้าจงฟันคอฆ่าพวกเขาด้วยดาบของพวกเจ้า และจงทำการสู้รบจนกระทั่งได้มีการฆ่ามากขึ้น ก็จงจับพวกเขาเป็นเชลย ถ้าพวกเจ้าเพิ่มการฆ่าพวกเขาจะกระชับข้อจำกัดของนักโทษ และหากพวกเจ้าได้จับพวกเขาเพื่อพวกเจ้านั้นมีทางเลือกตามที่ต้องการ หลังจากนั้นจะปล่อยเป็นไทหรือจะเรียกเอาค่าไถ่ก็ได้หรือแลกเป็นเงินของพวกเขาหรืออื่นๆ ให้พวกเจ้าสู้รบกับพวกเขาและจับพวกเขามาเป็นเชลยต่อไปจนกระทั่งการทำสงครามได้สิ้นสุดลงด้วยการทำให้พวกเขาเข้ารับอิสลามหรือให้คำมั่นสัญญา นี่แหละบททดสอบของบรรดาผู้ศรัทธาต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และการได้รับชัยชนะของอีกฝ่ายหนึ่ง นั้นเป็นกฎการตัดสินของอัลลอฮ และหากอัลลอฮฺทรงประสงค์ แน่นอน พระองค์จะทรงตอบพวกเขาด้วยความแค้น (การลงโทษพวกเขา) แต่ทั้งนี้พระองค์ได้สั่งใช้ให้ทำการสู้รบเพื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมู่พวกเจ้า ทดสอบการต่อสู้ของผู้ศรัทธาและบรรดาผู้ที่ไม่ต่อสู้ และทรงทดสอบผู้ศรัทธากับผู้ที่ปฎิเสธศรัทธา หากเขาถูกฆ่าโดยผู้ปฎิเสธศรัทธาเขาก็จะได้เข้าสวรรค์ และหากเขาได้ฆ่าผู้ปฎิเสธศรัทธา เขาก็จะเข้านรก และแน่นอนบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลลอฮฺ พระองค์จะไม่ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นอันขาด
(5) พระองค์จะทรงชี้แนะพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ปฏิบัติตามสัจธรรมในชีวิตของพวกเขาในโลกดุนยาและจะปรับปรุงกิจการของพวกเขาให้ดีขึ้น
(6) และพระองค์จะทรงให้พวกเขาได้เข้าสวนสวรรค์ในวันกียามะฮฺ ซึ่งพระองค์ได้อธิบายถึงคุณลักษณะของมันให้แก่พวกเขาในโลกดุนยาและพวกเขาก็ได้รับรู้ไปแล้ว และพวกเขาก็ทรงทราบถึงสถานที่ของพวกเขาในวันอาคีเราะฮฺ
(7) โอ้บรรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮและผู้ที่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์ หากพวกเจ้าสนับสนุนศาสนาของพระองค์ และให้การช่วยเหลือแก่นบีของพระองค์ และด้วยการสู้รบกับผู้ปฏิเสธศรัทธา พระองค์ก็จะทรงช่วยเหลือพวกเจ้าโดยให้พวกเจ้าามีชัยเหนือพวกเขาและจะทรงตรึงเท้าของพวกเขาให้มั่นคงในการสู้รบตอนที่พวกเจ้าเผชิญหน้ากับศัตรูของพวกเจ้า
(8) และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮและเราะซูล สำหรับพวกเขาจะอยู่ในกลุ่มผู้ที่ขาดทุนและความหายนะ และพระองค์ได้ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล
(9) การลงโทษที่เกิดขึ้นต่อพวกเขานั้นเป็นเพราะพวกเขาเกลียดชังสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานแก่ท่านเราะซูลของพระองค์ นั่นคืออัลกุรอ่าน ที่เนื้อหาสำคัญคือการศรัทธาในพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำลายการงานของพวกเขา พวกเขาก็จะเป็นผู้ที่ขาดทุนทั้งในโลกนี้และในโลกอาคีเราะฮฺ
(10) พวกบรรดาผู้ปฏิเสธไม่ได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินดอกหรือ และพิจารณาการสิ้นสุดของบรรดาผู้ปฎิเสธก่อนหน้าพวกเขา แท้จริงแล้วการสิ้นชีวิตของพวกเขานั้นเจ็บปวด อัลลอฮได้ทรงทำลายล้างพวกเขาและที่อยู่อาศัยของพวกเขา และได้ทำลายลูกและทรัพย์สินของพวกเขาและสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธาในทุกยุคทุกสมัยก็จะเป็นเช่นเดียวกับการลงโทษเหล่านั้น
(11) การตอบแทนที่ได้กล่าวมาทั้งสองฝ่ายนั้น เป็นเพราะว่าอัลลอฮทรงช่วยเหลือบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์ และสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธาพระองค์จะไม่ทรงช่วยเหลือพวกเขา
(12) แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮและเราะซูลของพระองค์และผู้กระทำความดีทั้งหลายเข้าสู่สวนสวรรค์หลากหลาย ณ เบื้องล่างสวนสวรรค์มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน มีต้นไม้และลำธาร ส่วนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮและเราะซูลนั้น พวกเขาจะหลงระเริงในโลกดุนยาโดยการเลือกปฏิบัติตามความต้องการของอารมณ์ใฝ่ต่ำ และกินเยี่ยงปศุสัตว์ ซึ่งพวกเขาไม่มีอะไรสำคัญนอกจากปากท้องและการมีเพศสัมพันธ์ และไฟนรกในวันกียามะฮฺคือที่พำนักของพวกเขา
(13) และกี่มากน้อยแล้วของเมืองชนรุ่นก่อนที่มีพลังเข้มแข็งกว่าและมีทรัพย์สินและลูกหลานที่มากมายกว่าเมืองมักกะฮฺ ที่เจ้า(มูฮัมหมัด)และสาวกของเจ้า ถูกขับไส เราได้ทำลายล้างพวกเขาครั้นเมื่อเขาปฏิเสธต่อบรรดาเราะซูลของพวกเขา และสำหรับพวกเขาไม่มีผู้ช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากบทลงโทษของอัลลอฮครั้นเมื่อบทลงโทษได้มายังพวกเขา และแน่นอนไม่มีใครสามารถมาขัดขวางเราได้ในการทำลายชาวมักกะฮฺ หากเราต้องการเช่นนั้น
(14) ผู้ที่มีหลักฐานและข้อโต้แย้งอันชัดแจ้งจากพระเจ้าของพวกเขา ซึ่งพวกเขาเคารพบูชาด้วยความเข้าใจ หรือจะเหมือนกับผู้ที่ถูกชัยฏอนทำให้ความชั่วแห่งการงานของเขากลายเป็นที่งามระยับ เพริศแพร้วแก่เขา และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของชัยฏอน ทั้งการกราบบูชารูปปั้น กระทำบาป และการกล่าวเท็จต่อบรรดาท่านเราะซูลกระนั้นหรือ?
(15) อุปมาของสวนสวรรค์ที่อัลลอฮทรงสัญญาแก่บรรดาผู้ยำเกรงโดยปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทรงห้าม ด้วยการเข้าในสวนสวรรค์ ในสวนสวรรค์นั้นมีแม่น้ำลำธารของน้ำหลายสายที่ไม่ผันแปรทั้งรสและกลิ่นในช่วงเวลาที่พำนักในนั้น และธารน้ำนมหลายสายที่รสชาติของมันไม่เปลี่ยนแปลง และธารน้ำจัณฑ์(เหล้า)หลายสายเป็นโอชะอร่อยแก่ผู้ดื่ม และธารน้ำผึ้งที่สะอาดบริสุทธิ์หลายสาย และสำหรับพวกเขาในสวนสวรรค์นั้นมีผลไม้หลายชนิด เหนือพวกเขาทั้งหมดนั้นคือการอภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเขา จะเหมือนกับผู้ที่ได้รับการตอบแทนด้วยการพำนักอยู่ในไฟนรกที่อยู่ในนั้นอย่างถาวร และถูกให้ดื่มน้ำร้อนจัดแล้วมันตัดลำไส้ของพวกเขาด้วยความร้อนของมันกระนั้นหรือ?
(16) และจากบรรดาผู้ที่หน้าไหว้หลังหลอกที่รับฟังเจ้า โอ้ท่านเราะซูล รับฟังและได้ยินมาอย่างดีแต่ไม่ยอมรับมัน แถมยังผินหลังให้ จนกระทั่งเมื่อพวกเขาออกไปจากเจ้า พวกเขาก็จะกล่าวแก่ผู้ที่พระเจ้าได้ให้ความรู้แก่พวกเขาว่า เขาพูดอะไรออกมาเมื่อกี้นี้? พวกเขาไม่สนใจและผินหลังให้ ชนเหล่านี้แหละคือบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงประทับตราบนหัวใจของพวกเขา โดยที่ความดีจะไม่เข้าถึงพวกเขา และพวกเขาปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาและถูกปิดกั้นจากความจริง
(17) ส่วนบรรดาผู้ที่ได้รับแนวทางที่ถูกต้อง และได้ปฏิบัติตามในสิ่งที่ท่านเราะซูล ศ็อลลัลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นำมา พระองค์ทรงเพิ่มแนวทางที่ถูกต้องและการเปิดใจในสิ่งที่ดีและกระตุ้นให้พวกเขาปฏิบัติการงานเพื่อปกป้องพวกเขาจากไฟนรก
(18) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายมิได้รอคอยสิ่งใดนอกจากวันอวสานที่จะได้มายังพวกเขาอย่างกระทันหันโดยที่พวกเขาไม่ได้รู้มาก่อนในสิ่งนั้น ทั้งๆที่สัญญาณต่างๆของมันได้มีมาแล้ว และส่วนหนึ่งของสัญญาณเหล่านั้นคือการบังเกิดขึ้นของท่านเราะซูล ศ็อลลัลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และการแบ่งแยกดวงจันทร์ออกเป็นสองสีก ดังนั้นเมื่อวันอวสานได้มาถึงแก่พวกเขาแล้ว การตักเตือนและการสำนึกก็จะไม่เกิดประโยชน์แก่พวกเขาใดๆทั้งสิ้น
(19) และจงมั่นใจเถิด โอ้ท่านเราะซูล แท้จริงแล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮฺและจงขออภัยโทษต่อความผิดเพื่อตัวเจ้าและจงขออภัยโทษเพื่อบรรดาผู้ศรัทธาชายและหญิง และอัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งถึงพฤติการณ์ของพวกเจ้าในยามกลางวันและที่พำนักของพวกเจ้าในยามค่ำคืนโดยที่ไม่อาจปกปิดอะไรได้
(20) และบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺกล่าวว่า เราหวังว่าพระองค์อัลลอฮฺจะทรงประทานซูเราะห์ที่มีคำสอนเกี่ยวกับการทำสงครามลงมา ครั้นเมื่ออัลลอฮฺประทานซูเราะฮฺที่มีคำสอนเกี่ยวกับการทำสงครามลงมาอย่างรัดกุมชัดเจนแล้ว เห็นไหม โอ้ท่านเราะซูล ในหัวใจของพวกเขานั้นเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก พวกเขามองแก่เจ้าด้วยสายตาของผู้ที่ถูกครอบงำโดยความหวาดกลัว อัลลอฮฺทรงสัญญากับพวกเขาว่าจะมีการลงโทษพวกเขา ทั้งนี้เนื่องมาจากพวกเขาละทิ้งการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ และกลัวการทำสงคราม
(21) การปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺ และการกล่าวถ้อยคำที่ดีไพเราะนั้นเป็นการดียิ่งสำหรับพวกเขา และเมื่อการสู้รบได้ถูกกำหนดไว้ หากพวกเขาจริงใจต่อการศรัทธาในอัลลอฮฺ และเชื่อฟังพระองค์อย่างแท้จริง แน่นอนก็จะเป็นสิ่งที่ดีแก่พวกเขากว่าการเสแสร้งและไม่เชื่อฟังคำสั่งของอัลลอฮฺอย่างแท้จริง
(22) และเหนือไปจากสิ่งที่พวกเจ้าเป็นนั้น พวกเจ้าผินหลังให้กับการศรัทธาต่ออัลลอฮฺและการปฏิบัติในคำสั่งของพระองค์ พวกเจ้าก็จะก่อความเสียหายในแผ่นดินนี้ด้วยการปฏิเสธศรัทธาและการทำบาปและตัดความสัมพันธ์ทางเครือญาติเหมือนการเป็นอยู่ของพวกเจ้าในยุคยาฮีลียะฮฺ
(23) บรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะเป็นผู้ก่อความเสียหายบนแผ่นดินและตัดความสัมพันธ์ทางเครือญาติ พวกเขาเป็นผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ห่างไกลจากความเมตตาของพระองค์และพระองค์ทรงทำให้พวกเขาหูหนวกไม่ได้ยินในสิ่งที่ถูกต้องและทรงทำให้พวกเขาตาบอดมองไม่เห็นในสิ่งที่เป็นข้อคิด
(24) บรรดาพวกที่ผินหลังต่ออัลกุรอ่านไม่ได้พิจารณาใคร่ครวญสิ่งที่อยู่ในมันดอกหรือ? หากพวกเขาใคร่ครวญพวกเขาก็จะถูกชี้ทางไปในทางที่ดี และทรงทำให้ห่างไกลจากสิ่งที่ชั่วร้าย แต่ว่าหัวใจของพวกเขานั้นมีกุญแจที่ถูกคุมปิดเอาไว้ ทำให้คำตักเตือนนั้นเข้าไปไม่ถึงพวกเขาและไม่ได้รับประโยชน์จากการตักเตือน?
(25) แท้จริงบรรดาผู้ผินหลังออกจากการศรัทธาและกลับเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาและเป็นนิฟาก (เป็นผู้ศรัทธาหลอกๆ) หลังจากที่ได้มีหลักฐานที่ถูกต้องยืนยันแก่พวกเขาแล้ว และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้อธิบายเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาแล้ว ชัยฏอนมารร้ายเป็นผู้ล่อลวงพวกเขาให้มีการปฏิเสธศรัทธาและทำให้มันง่ายดายต่อการเป็นนิฟาก (เป็นผู้ศรัทธาหลอกๆ) และได้ให้ความหวังแก่พวกเขาว่าจะมีชีวิตที่ยืนนาน
(26) นี่เป็นความอัปยศที่จะประสบแก่พวกเขา เพราะพวกเขาได้แอบคบกับกลุ่มผู้ตั้งภาคีที่เกลียดชังสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เราะสูลของพระองค์และได้กล่าวแก่พวกเขาอย่างลับๆว่า เราจะเชื่อฟัง ปฏิบัติตามในกิจการบางอย่าง เช่น ยับยั้งในการสู้รบ แต่อัลลอฮ์ทรงทราบดีถึงความลับและสิ่งที่พวกเขาปกปิดอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่จะปกปิดต่อพระองค์ได้ และอัลลอฮ์ก็ได้แสดงสิ่งนั้นให้เห็นตามความประสงค์ของพระองค์แก่ท่านเราะสูลของพระองค์
(27) เจ้าจงคิดดูว่าสภาพความทุกข์ทรมานและสถานการณ์เลวร้ายของพวกเขาจะเป็นเช่นไรในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่โดยที่วิญญาณของพวกเขาถูกจับไว้โดยบรรดามลาอิกะฮฺที่ได้รับมอบหมายให้กระชากดวงวิญญาณของพวกเขาตีใบหน้าของพวกเขาและตีหลังของพวกเขาด้วยท่อนเหล็ก
(28) การลงโทษดังกล่าวเกิดขึ้นสำหรับพวกเขาเนื่องด้วยพวกเขานั้นได้ปฏิบัติในสิ่งที่อัลลอฮทรงโกรธกริ้วทั้งการปฏิเสธศรัทธาและการเป็นนิฟากและการฝ่าฝืนอัลลอฮและเราะซูลของพระองค์ และรังเกียจในสิ่งที่จะทำให้พวกเขานั้นเข้าใกล้พระองค์และความโปรดปรานของพระองค์ ด้วยการศรัทธาต่ออัลลอฮและปฏิบัติตามท่านเราะซูล ดังนั้นพระองค์ทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล
(29) บรรดาผู้ที่หัวใจของพวกเขานั้นไม่แน่ใจในข้อเท็จจริง หรือ เป็นนิฟาก คิดหรือว่าอัลลอฮจะไม่ทรงเปิดเผยถึงธาตุแท้ของพวกเขา? แน่นอนมันถูกเปิดเผยออกมา เพื่อทดสอบ และแยกแยะระหว่างผู้สัตย์จริงและผู้หลอกลวง ดังนั้นผู้สัตย์จริงก็จะปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน และผู้หลอกลวง นิฟากก็จะปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนเช่นกัน
(30) และหากเราประสงค์ที่จะให้เจ้ารู้จัก บรรดาผู้เป็นนิฟากทั้งหลาย โอ้ท่านเราะซูล แน่นอนเราจะให้เจ้ารู้จักพวกเขา เจ้าจะได้รู้จักพวกเขาด้วยคุณลักษณะของพวกเขา และสำเนียงการพูดของพวกเขา และอัลลอฮฺทรงรู้ดีถึงการงานของพวกเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะปิดบังต่อหน้าพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าด้วยสิ่งที่ดีอันเนื่องจากการกระทำของพวกเขาต่อพวกเจ้า
(31) และแน่นอนเราจะทดสอบพวกเจ้า โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย ด้วยการต่อสู้ การสู้รบกับเหล่าศัตรูและจะมีการเข็นฆ่ากันจนกระทั่งเราได้รู้ถึงบรรดาผู้ที่ดิ้นรนในหนทางของอัลลอฮฺในกลุ่มพวกเจ้า และบรรดาผู้ที่หนักแน่นอดทนในการสู้รบกับศัตรูของพวกเขา และเราจะทดสอบพวกเจ้าให้ทราบถึงความจริงของพวกเจ้าว่าผู้ใดสัตย์จริงและผู้ใดหลอกลวง
(32) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์และปิดกั้นตัวเขาเองให้ห่างจากศาสนาของอัลลอฮ์ และปิดกั้นคนอื่นเช่นกัน และต่อต้านเราะสูลของพระองค์หลังจากที่ความจริงได้ประจักษ์แก่พวกเขาแล้วว่าท่านเป็นนบี พวกเขาจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แก่อัลลอฮ์ แต่เป็นการก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวของพวกเขาเอง และพระองค์จะทรงทำให้การงานของพวกเขาไร้ผล
(33) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้บัญญัติไว้ จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และปฏิบัติตามเราะสูลคนนี้เถิด ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งของทั้งสองและห่างไกลจากสิ่งที่ทั้งสองทรงห้าม และอย่าทำให้การงานของพวกเจ้าไร้ประโยชน์ด้วยการปฏิเสธศรัทธา การโอ้อวดและอื่น ๆ
(34) แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และปิดกั้นตัวของพวกเขาเอง และปิดกั้นผู้คนให้ห่างไกลจากศาสนาของอัลลอฮฺ แล้วพวกเขาได้เสียชีวิตลงทั้งๆที่พวกเขานั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาก่อนที่จะกลับเนื้อกลับตัว อัลลอฮจะไม่ทรงให้อภัยต่อบาปของพวกเขา แต่อัลลอฮจะนำพวกเขาเข้าไปในไฟนรกและจะอยู่ในนั้นไปตลอดกาล
(35) อย่าได้อ่อนแอ โอ้ผู้ศรัทธา ในการเผชิญหน้ากับศัตรูของพวกเจ้า และพวกเจ้าจงเชิญชวนพวกเขาให้สงบก่อนที่พวกเขาจะเชิญชวน พวกเจ้าเป็นคนที่มีอำนาจมากกว่าพวกเขา และอัลลอฮฺทรงอยู่ร่วมกับพวกเจ้าด้วยความช่วยเหลือและการสนับสนุน และอัลลอฮฺจะไม่ทรงลิดรอนผลตอบแทนในการงานของพวกเจ้า หากแต่พระองค์จะทรงเพิ่มพูนความสงบสุขและความประเสริฐ
(36) แท้จริงการมีชีวิตบนโลกดุนยานั้นเป็นแค่การละเล่นและการสนุกสนานร่าเริงเท่านั้น ผู้ที่มีสติจะไม่กระทำการงานนอกจากเพื่อวันอาคีเราะฮฺ และหากพวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮและเราะซูลและยำเกรงต่ออัลลอฮโดยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์และออกห่างจากสิ่งที่ห้าม พระองค์จะทรงตอบแทนผลบุญในการงานของพวกเขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์โดยที่ไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอน และพระองค์ไม่ได้ขอทรัพย์สินของพวกเจ้าทั้งหมดแต่ขอจากพวกเจ้าเพียงแค่สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องออกซะกาตเท่านั้น
(37) หากพระองค์จะทรงขอจากพวกเจ้าทรัพย์สินทั้งหมดและยืนยันที่จะขอต่อพวกเจ้าและทรงรบเร้าพวกเจ้าให้บริจาค พวกเจ้าก็จะตระหนี่ และพระองค์จะทรงนำเอาความอึดอัดใจของพวกเจ้าออกมาให้ประจักษ์จากการที่พวกเจ้านั้นเกลียดในการใช้จ่ายในหนทางของอัลลอฮ และได้ละทิ้งในคำขอนั้นจากพวกเขา
(38) พึงรู้เถิดว่า พวกเจ้านี้แหละคือหมู่ชนที่ถูกเรียกร้องให้บริจาคทรัพย์สินไปในหนทางของอัลลอฮฺ พระองค์ไม่ได้ขอให้บริจาคทั้งหมดของทรัพย์สินของพวกเจ้า แต่มีบางคนในหมู่พวกเจ้าห้ามไม่ให้บริจาคเป็นผู้ตระหนี่ ดังนั้นผู้ใดตระหนี่ที่จะบริจาคส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของเขาไปในหนทางของอัลลอฮฺ เขาก็ตระหนี่แก่ตัวของเขาเอง เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงมั่งมีไม่ได้ต้องการจากการบริจาคของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าเป็นผู้ขัดสน และถ้าพวกเจ้าผินหลังออกจากอิสลามไปสู่การปฏิเสธศรัทธา พระองค์ก็จะทำลายล้างพวกเจ้า โดยการทรงเปลี่ยนหมู่ชนอื่นแทนพวกเจ้า แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะไม่เป็นเช่นพวกเจ้า แต่จะเป็นกลุ่มชนที่เชื่อฟังปฏิบัติตามต่อพระองค์