(1) อะลีฟ ลาม รอฺ ได้อธิบายมาก่อนแล้วเกี่ยวกับคำกล่าวที่มีความคล้ายคลึงกับ ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮ อัลกรุอ่านเป็นคัมภีร์ที่โองการทั้งหลายของอัลกรุอ่านนั้นถูกทำให้รัดกุมมีระเบียบและมีความหมาย ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ หรือขาดตกไป แล้วถูกชี้แจงถึงสิ่งที่หะลาล (อนุมัติ) และหะรอม (ไม่อนุมัติ) และคำบัญชาและข้อห้ามและคำสัญญา (สำหรับผู้ศรัทธา) และคำสัญญา (สำหรับผู้ปฏิเศษศรัทธา) และเล่าเรื่องราวต่างๆ และอื่นๆ อย่างชัดแจ้ง จากพระผู้ทรงปรีชาญาณในการปกครองและออกกฎหมาย ผู้ทรงรอบรู้เชี่ยวชาญต่อสถานะบ่าวของพระองค์และสิ่งที่เหมาะกับพวกเขา
(2) เนื้อหาของโองการทั้งหลายที่ลงมาแก่มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ห้ามไม่ให้บ่าวเคารพภักดีผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ โอ้ มวลมนุษย์เอ๋ย แท้จริงฉันเป็นคนทำให้พวกเจ้าหวาดกลัวถึงบทลงโทษของอัลลอฮฺหากพวกเจ้าอธรรมและไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และเป็นผู้แจ้งข่าวดีในผลตอบแทนของพระองค์หากพวกเจ้าศรัทธาต่อพระองค์และปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์
(3) โอ้มวลมนุษย์เอ๋ย และพวกท่านจงขอนิรโทษบาปของท่านจากพระเจ้าของพวกท่าน แล้วจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์ด้วยการสำนึกผิดในสิ่งที่ท่านได้ทำ พระองค์จะทรงให้ปัจจัยแก่พวกท่านในการมีชีวิตบนโลกนี้ซึ่งปัจจัยที่ดีไปจนถึงเวลาที่กำหนดไว้ และให้สำหรับทุกคนที่ทำความดีเชื่อฟังและผลตอบแทนการทำความดีที่สมบูรณ์ไม่ลดน้อยลง และหากพวกท่านผินหลังให้การศรัทธาในสิ่งที่ฉันพามาจากพระเจ้าของฉันนั้น แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านซึ่งการลงโทษในวันอันแสนสาหัสนั้นก็คือวันกิยามะฮฺ
(4) โอ้มนุษย์เอ๋ย การกลับของพวกท่านย่อมไปสู่อัลลอฮฺเพียงองค์เดียวในวันกิยามะฮฺและพระองค์ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์ ผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่จะทำให้พระองค์ล้มเหลวได้ ไม่อะไรที่จะทำให้พระองค์ล้มเหลวต่อการให้ชีวิตของท่าน และการพิพากษาพวกท่านหลังจากการตายของพวกท่านและการฟื้นคืนชีพพวกท่าน
(5) พึงรู้เถิด แท้จริงบรรดาผู้ตั้งภาคีนั้นพวกเขามีความปราถนาในทรวงอกของพวกเขาเพื่อปกปิดสิ่งที่สงสัยเกี่ยวกับอัลลอฮฺเพราะความโง่เขลาของพวกเขา พึงรู้เถิด ขณะที่พวกเขาเอาเสื้อผ้าของพวกเขาปกคลุมศีรษะของพวกเขานั้น อัลลอฮฺทรงรู้สิ่งที่พวกเขาปกปิด และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่เขาได้ปกปิดอยู่ในทรวงอก
(6) และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่เคลื่อนไหวบนหน้าผืนแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม นอกจากว่าอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงจัดเตรียมปัจจัยยังชีพไว้ให้ ด้วยความโปรดปรานจากพระองค์ และพระองค์ทรงรู้ที่พำนักของมันบนหน้าแผ่นดินนี้และรอบรู้ถึงสถานที่ที่มันจะตาย ดังนั้นสิ่งมีชีวิตทุกชนิดและริสกีของมัน ที่พำนักของพวกมันและที่ตายของพวกมัน ล้วนอยู่ในบันทึกอันชัดเจน คือ แผ่นจารึกที่ถูกรักษาไว้ (อัลเลาฮุ้ลมะฮฺฟูซ)
(7) และพระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์ยิ่ง ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินอย่างยิ่งใหญ่และทรงสร้างทุกสิ่งที่อยู่ในทั้งสองในระยะเวลา 6 วัน และบัลลังก์ของพระองค์อยู่เหนือน้ำก่อนที่จะสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้าทั้งหลาย โอ้มนุษย์เอ๋ย ว่าผู้ใดในหมู่พวกเจ้ามีการงานที่ดีเยี่ยมที่พระองค์ทรงพอพระทัย และผู้ใดในหมู่พวกเจ้ามีการงานที่ชั่วร้ายที่พระองค์ทรงโกรธกริ้ว ดังนั้นพระองค์จะทรงตอบแทนทุกคนตามที่เขาควรจะได้รับ และหากเจ้า โอ้ท่านเราะสูล กล่าวว่า โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงพวกเจ้าจะถูกให้ฟื้นคืนชีพหลังจากการตายของพวกเจ้าเพื่อการสอบสวน แน่นอนผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันแห่งการฟื้นคืนชีพจะกล่าวว่าอัลกุรอานที่เจ้าอ่านไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากเป็นเวทย์มนตร์อย่างชัดแจ้ง ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่เป็นความเท็จอย่างชัดเจน
(8) และหากเราได้ชะลอเวลาการลงโทษที่พวกตั้งภาคีที่ควรจะได้รับในโลกดุนยานี้ออกไปอีกระยะหนึ่งจากที่ได้ถูกกำหนดไว้ แน่นอนพวกเขาก็จะกล่าวอย่างกับว่า พวกเขาต้องการประสบกับการลงโทษนั้นเร็วๆด้วยความเยอะเย้ย ว่า "มีสิ่งใดเหล่าที่มายับยั้งการลงโทษพวกเรา?" พึ่งรู้เถิดว่าแท้จริงการลงโทษที่คู่ควรกับพวกเขานั้น มีเวลาตามที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดไว้ และเมื่อวันนั้นมาถึงพวกเขา พวกเขาจะไม่พบผู้ใดที่จะมาทำให้การลงโทษได้พ้นไปจากพวกเขา แต่มันจะเกิดขึ้นกับพวกเขาและการลงโทษจะห้อมล้อมพวกเขา ที่พวกเขานั้นเคยรีบเร่งอยากให้ประสบกับมันด้วยความเยาะเย้ยและเย้ยหยัน
(9) และหากเราได้ประทานความโปรดปรานอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่มนุษย์ เช่น ให้มีสุขภาพที่ดีและมีความมั่งคั่ง แล้วหลังจากนั้นเราได้เอาความโปรดปรานนั้นไปจากเขา แน่นอนเขาจะรู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่งต่อความเมตตาของอัลลอฮ์ และเนรคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์ เขาลืมความโปรดปรานเมื่อมันถูกพรากไปจากเขา
(10) และหากเราได้ให้เขาลิ้มรสความโปรดปรานด้วยปัจจัยยังชีพที่กว้างขวางและสุขภาพที่ดีได้เกิดขึ้นกับเขาหลังจากที่ได้ประสบกับความลำบากยากจนและโรคภัยไข้เจ็บแล้ว แน่นอนเขาจะกล่าวว่า ความทุกข์ยากและความเดือดร้อนได้ไปจากฉันแล้ว และเขาก็ไม่ได้สำนึกในความกรุณาของอัลลอฮ์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเลย แถมยังมีความหลงระเริงในความสุขนั้น และทำตัวเหนือผู้อื่นด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้โปรดปรานให้แก่เขา
(11) เว้นแต่บรรดาผู้ที่อดทนกับความทุกข์ยากต่างๆ อดทนต่อการเชื่อฟังอัลลอฮ์ อดทนต่อการละทิ้งความชั่วและอดทนในการประกอบคุณงามความดีทั้งหลาย ดังนั้นสำหรับพวกขาจะมีสภาพที่แตกต่างไปจากผู้อื่น กล่าวคือ พวกเขาจะไม่ประสบกับความสิ้นหวัง จะไม่เนรคุณต่อความโปรดปรานของอัลลอฮ์และไม่ทำตัวเหนือผู้อื่น กลุ่มคนที่มีคุณลักษณะเช่นนี้แหละ สำหรับพวกเขาแล้วจะได้รับการอภัยโทษในความผิดต่างๆจากอัลลอฮ์และได้รับการตอบแทนที่ใหญ่หลวงในวันอาคิเราะฮ์
(12) โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย ด้วยสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธศรัทธา ความดื้อรั้นและข้อเสนอของพวกเขาที่มีต่อโองการต่างๆ อาจทำทำให้เจ้าละทิ้งการเผยแพร่บางเรื่องที่อัลลอฮ์ทรงสั่งให้เจ้าเผยแพร่มัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากลำบากต่อพวกเขาในการที่จะปฏิบัติมัน และหัวอกของเจ้าจะอึดอัดเนื่องจากการเผยแพร่คำสั่งนั้น เพราะเกรงว่าพวกเขาจะพูดกันว่า "ทำไมเขาถึงไม่ได้รับทรัพย์ที่ทำให้เขามั่งมี? หรือทำไมไม่มีมะลาอิกะฮ์มาพร้อมกับเขาเพื่อพิสูจน์ความสัตย์จริงของเขา" ดังนั้นเจ้าจงอย่าได้ละทิ้งวะฮ์ยูที่ถูกประทานลงมายังเจ้าเนื่องจากเหตุผลดังกล่าว เจ้าไม่ใช่ผู้ใดนอกจากเป็นเพียงผู้ตักเตือนที่ต้องเผยแพร่สิ่งที่อัลลอฮฺสั่งเจ้าเท่านั้น และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องนำมาซึ่งสิ่งที่พวกเขาแนะนำเจ้าเกี่ยวกับโองการต่างๆ และอัลลอฮ์คือผู้ทรงปกปักรักษาทุกสิ่งทุกอย่าง
(13) แต่ทว่าพวกที่ตั้งภาคีจะกล่าวว่า "มุฮัมมัดได้อุปโลกน์อัลกุรอานขึ้นมา ซึ่งมันไม่ใช่วะฮ์ยูจากอัลลอฮ์" จงกล่าวเถิด (โอ้ เราะสูลเอ๋ย) เพื่อเป็นการท้าทายพวกเขาว่า "ดังนั้นพวกเจ้าจงนำมาสักสิบซูเราะฮ์ให้ได้เหมือนกับอัลกุรอานเล่มนี้ด้วยการอุปโลกน์มันขึ้นมา โดยไม่จำเป็นต้องคล้ายกับอัลกุรอานในด้านความสัตย์จริงของมัน ที่พวกเจ้าอ้างว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา และจงเรียกผู้ทีพวกเจ้าสามารถเรียกได้เพื่อจะได้ขอความช่วยเหลือจากเขาในเรื่องดังกล่าว หากพวกเจ้าเป็นผู้สัตย์จริงในการกล่าวอ้างว่าอัลกุรอานนั้นเป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา"
(14) ดังนั้นหากพวกเขาไม่สามารถนำมาซึ่งสิ่งที่พวกเจ้าขอได้ เนื่องจากไม่มีความสามารถที่จะทำได้ ดังนั้นจงรู้เถิด (โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย) ด้วยความรู้ที่มั่นคงว่า "แท้จริงอัลกุรอานนั้น อัลลอฮ์ได้ประทานลงมายังท่านเราะสูลของพระองค์ ด้วยความรอบรู้ของพระองค์ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมา และจงรู้เถิดว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกกราบไว้โดยเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮ์ แล้วพวกเจ้ายังมิยอมจำนนต่อพระองค์อีกหรือหลังจากที่เหตุผลได้ปรากฎชัดเจนเช่นนี้?
(15) ผู้ใดที่ปรารถนาจากการงานของเขาซึ่งการมีชีวิตในโลกดุนยานี้และหวังในความเพริศแพร้วของมันที่ไม่ถาวรและไม่ต้องการจากการงานนั้นเพื่อวันอาคีเราะฮ์ เราก็จะตอบแทนรางวัลจากการงานที่ได้ทำในโลกนี้นั้น ด้วยการมีสุขภาพที่ดี มีความปลอดภัย มีปัจจัยชังชีพที่กว้างขวางและพวกเขาจะไม่จะถูกริดรอนซึ่งผลตอบแทนจากการงานของพวกเขาแม้แต่น้อย
(16) ชนเหล่านั้นผู้ซึ่งที่มีคุณลักษณะด้วยการมีเจตนาที่น่าเกลียดนั้น สำหรับพวกเขาแล้วในวันกิยามะฮฺจะไม่มีผลตอบแทนใดๆนอกจากขุมนรกที่พวกเขาจะต้องเข้าไป และผลบุญจากการทำงานต่างๆของพวกเขาก็จะหายไปจากพวกเขาและการงานต่างๆของพวกเขาก็จะเป็นโมฆะ เพราะมันไม่ได้ถูกทำขึ้นด้วยความศรัทธาและเจตนาที่ถูกต้อง เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องการจากการงานที่ทำไปนั้นเพื่ออัลลอฮ์และสถานที่พำนักแห่งโลกอาคิเราะฮ์
(17) จะไม่เท่าเทียมกันระหว่างท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ผู้ซึ่งมีหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขา ตามด้วยผู้เป็นพยานจากพระองค์ นั่นก็คือ ญิบรีล และคัมภีร์อัตเตารอตที่ได้ยืนยันถึงคุณลักษณะการเป็นนบีของท่านไว้ก่อนหน้านั้น ซึ่งคัมภีร์เล่มนี้ถูกประทานมายังนบีมูซาเป็นแนวทางและความเมตตาแก่มวลมนุษย์ ซึ่งท่านนบีและผู้ที่ศรัทธาต่อท่านจะไม่เท่าเทียมกันกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่จมอยู่ในการหลงผิด ชนเหล่านั้นศรัทธาต่ออัลกุรอานและท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งมันถูกประทานมายังท่าน และผู้ใดจากพรรคต่างๆเหล่านั้นปฏิเสธศรัทธาต่อมัน ไฟนรกคือสัญญาของเขาในวันกิยามะฮฺ ดังนั้น โอ้ท่านเราะสูล เจ้าอย่าได้อยู่ในการเคลือบแคลงสงสัยในอัลกุรอานและสัญญาของพวกเขาเลย เพราะมันคือสัจธรรมที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆในนั้น แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากไม่ศรัทธาทั้งๆที่มีหลักฐานที่ชัดเจน
(18) ไม่มีผู้ใดอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่อุปโลกน์ความเท็จต่ออัลลอฮ์ในเรื่องของการตั้งภาคีและการมีบุตร ชนเหล่านั้นที่อุปโลกน์ความเท็จต่ออัลลอฮ์จะถูกนำมาเสนอต่อพระเจ้าของเขาในวันกิยามะฮ์เพื่อสอบสวนถึงการงานของพวกเขา และบรรดาพยานจากมลาอิกะฮ์และศาสนทูตจะกล่าวว่า ชนเหล่านั้นที่กล่าวเท็จต่ออัลลอฮ์ด้วยกับสิ่งที่พวกเขาพาดพิงถึงพระองค์ในเรื่องของการตั้งภาคีและการมีบุตร พึงรู้เถิดว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงขับไล่บรรดาผู้ที่อธรรมให้ออกจากความเมตตาของพระองค์ เนื่องจากตัวของพวกเขาเองได้กล่าวเท็จต่อพระองค์
(19) บรรดาผู้ที่ขัดขวางผู้คนจากหนทางที่เที่ยงตรงของอัลลอฮ์ และพวกเขาต้องการให้หนทางของพระองค์คดเคี้ยวจากความเที่ยงตรง จนกว่าจะไม่มีผู้ใดที่จะเดินตามหนทางนั้น และพวกเขาก็ไม่ศรัทธาต่อวันแห่งการฟื้นคืนชีพหลังจากความตายและต่อต้านมัน
(20) ชนเหล่านั้นผู้ซึ่งมีคุณลักณะดังกล่าว ไม่สามารถหนีจากการลงโทษของอัลลฮ์บนหน้าแผ่นดินนี้ได้ เมื่อมันลงมายังพวกเขา และสำหรับพวกเขาไม่มีพันธมิตรและผู้ช่วยเหลืออื่นจากอัลลอฮ์ ที่จะคอยปกป้องพวกเขาจากการลงโทษของอัลลอฮ์ พวกเขาจะถูกเพิ่มโทษในวันกิยามะฮ์ เนื่องจากพวกเขาได้ทำตัวเองและผู้อื่นหันเหออกจากหนทางของอัลลอฮ์ พวกเขาไม่สามารถได้ยินสัจธรรมและทางนำด้วยการได้ยินเพื่อการตอบรับ และพวกเขาไม่สามารถเห็นสัญญาณต่างๆของอัลลอฮ์ในโลกนี้ด้วยการมองที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา เนื่องจากการปฏิเสธในสัจธรรมอย่างรุนแรงของพวกเขา
(21) ชนเหล่านั้นผู้ซึ่งมีคุณลักษณะดังกล่าว คือบรรดาผู้ที่ทำให้ชีวิตของพวกเขาขาดทุน ด้วยการนำมันไปยังความหายนะโดยการนำสิ่งอื่นมาเป็นภาคีร่วมกับอัลลอฮ์ และสิ่งที่พวกเขาได้อุปโลกน์ขึ้นมาก็หายจากพวกเขาไป ไม่ว่าจะเป็นบรรดาสิ่งที่เป็นภาคีและบรรดาผู้ที่ให้การช่วยเหลือทั้งหลาย
(22) แน่นอนพวกเขาคือบรรดาผู้ที่ขาดทุนในวันกิยามะฮ์อย่างแน่นอน โดยที่พวกเขานั้นได้แลกเอาการปฏิเสธศรัทธาแทนการศรัทธา แลกโลกดุนยานี้ด้วยโลกอาคีเราะฮ์ แลกการลงโทษด้วยความเมตตา
(23) แท้จริงบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาเราะสูลของพระองค์ และปฏิบัติความดีงามทั้งหลาย และนอบน้อมถ่อมตน สำรวมตนต่ออัลลอฮ์ ชนเหล่านี้แหละคือชาวสวรรค์ซึ่งพวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
(24) อุปมากลุ่มผู้ปฏิเสธศรัทธาและผู้ศรัทธา ก็เหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นและคนหูหนวกที่ไม่ได้ยิน นี่คือคำอุปมาของผู้ไม่ศรัทธาที่ไม่ต้องการฟังด้วยการฟังเพื่อการยอมรับ และไม่ต้องการที่จะมองเห็นด้วยการมองเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเอง และอุปไมยของคนที่ได้ยินและได้เห็น เป็นคำอุปมาของผู้ศรัทธาที่ทั้งได้ยินและเห็นในเวลาเดียวกัน ทั้งสองกลุ่มนี้เท่าเทียมกันกระนั้นหรือ ทั้งทางด้านสถานภาพและคุณลักษณะ?! (แน่นอน)ทั้งสองไม่เท่าเทียมกัน แล้วพวกเจ้าไม่ได้บทเรียนอะไรเลยกระนั้นหรือจากความไม่เท่าเทียมกันของทั้งสอง?!
(25) “แท้จริงเราได้ส่งนูห์ -อะลัยฮิสลาม- เป็นเราะสูลไปยังหมู่ชนของเขา แล้วเขาก็กล่าวแก่พวกเขาว่า "โอ้ หมู่ชนของฉัน! แท้จริงฉันเป็นผู้ตักเตือนแก่พวกเจ้าถึงการลงโทษของอัลลอฮ์ และฉันมีหน้าที่อธิบายให้ คำสอนที่ฉันควรถ่ายทอดแก่พวกเจ้าทั้งหลาย
(26) และฉันเชิญชวนพวกเจ้าสู่การเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียว ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเคารพอิบาดะฮ์ต่อสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์เท่านั้น แท้จริงฉันกลัวการลงโทษสำหรับพวกเจ้าในวันอันเจ็บปวด
(27) แล้วบรรดาผู้มีอำนาจและบรรดาผู้นำที่ปฏิเสธศรัทธาในกลุ่มชนของเขากล่าวว่า "เราไม่มีทางตอบรับคำเชิญชวนของเจ้าอย่างแน่นอน เพราะว่าเจ้าไม่มีความโดดเด่นอะไรสำหรับพวกเรา และเจ้าก็เป็นสามัญชนเช่นเรา และเราก็ไม่เห็นผู้ใดที่ปฏิบัติตามเจ้านอกจากบรรดาผู้ต่ำต้อยของพวกเรา ดังที่ปรากฎเห็นจากมุมมองของเรา และพวกเจ้าก็ไม่มีเกียรติอะไร ไม่มีทรัพย์สินและไม่มีชื่อเสียงอันมากมายแต่อย่างใด ที่บ่งบอกถึงสถานะของพวกเจ้า เพื่อให้พวกเราปฏิบัติตามพวกเจ้า แต่พวกเราคิดว่าพวกเจ้าเป็นพวกที่โกหกในสิ่งที่พวกเจ้ากำลังเชิญชวน"
(28) นูฮฺได้กล่าวแก่พวกเขาว่า โอ้หมู่ชนของฉัน พวกท่านจงบอกฉันมาซิ หากฉันมีหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของฉันเพื่อเป็นพยานในความสัจจริงของฉัน และพระองค์ทรงประทานแก่ฉันซึ่งความกรุณาจากพระองค์ นั่นก็คือการเป็นนบีและการเป็นเราะสูล แล้วมันได้ถูกปกปิดไว้แก่พวกเจ้าเนื่องจากความไม่รู้จักของพวกเจ้าต่อมัน เราสามารถบังคับพวกเจ้าให้ศรัทธาต่อมัน และนำมันเข้าไปในหัวใจของพวกเจ้าโดยการฝืนใจได้กระนั้นหรือ?! เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะผู้ที่ดลใจให้พบกับการศรัทธานั้นคืออัลลอฮ์ผู้เดียว
(29) โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย ฉันไม่ได้ร้องขอทรัพย์สินใดๆ จากพวกเจ้าเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการเผยแพร่ศาสนา และฉันไม่หวังการตอบแทนนอกจากจากอัลลอฮ์เท่านั้น และฉันจะไม่ให้บรรดาผู้ศรัทธาที่ยากไร้ออกห่างจากฉัน ผู้ที่พวกเจ้าได้รองขอให้ขับพวกเขาไป เพราะแท้จริงพวกเขาจะเป็นผู้ที่ได้พบกับพระผู้อภิบาลของพวกเขาในวันกิยามะฮ์ และพระองค์จะเป็นผู้ทรงตอบแทนพวกเขาสำหรับการศรัทธาของพวกเขา แต่ฉันเห็นว่าพวกเจ้าคือหมู่ชนที่ไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของการเผยแพร่นี้ เมื่อพวกเจ้าร้องขอให้ขับไล่บรรดาผู้ศรัทธาที่อ่อนแอ
(30) โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย ใครเล่าที่จะปกป้องฉันให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ หากฉันขับไล่บรรดาผู้ศรัทธาเหล่านั้นอย่างอธรรมโดยไม่มีความผิดใดๆ? พวกท่านไม่คิดบ้างหรือ? และพวกท่านไม่คิดแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าและมีประโยชน์กว่าสำหรับพวกท่านกระนั้นหรือ?!
(31) และฉันไม่ได้กล่าวแก่พวกเจ้าว่า “โอ้หมู่ชนของฉัน ฉันมีคลังสมบัติของอัลลอฮ์ ซึ่งในนั้นมีริสกีของพระองค์อยู่ ฉันจะบริจาคมันให้แก่พวกเจ้า หากพวกเจ้าศรัทธา” และฉันก็ไม่ได้กล่าวแก่พวกเจ้าว่า “แท้จริงฉันรอบรู้สิ่งเร้นลับ” และฉันก็ไม่ได้กล่าวแก่พวกเจ้าว่า “แท้จริงฉันคือมลาอิกะฮ์” แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันคือสามัญชนเหมือนพวกเจ้า และฉันก็ไม่ได้กล่าวถึงคนยากจนที่สายตาของพวกเจ้าดูถูกและเหยียดหยามพวกเขาว่า “อัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้นำและชี้ทางที่ถูกต้องแก่พวกเขาอย่างแน่นอน” พระองค์ทรงรอบรู้ดียิ่งถึงเจตนาและสภาพของพวกเขา แท้จริงหากฉันกล่าวอ้างเช่นนั้น แน่นอนฉันเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้อธรรมที่คู่ควรแก่การลงโทษของอัลลอฮ์
(32) พวกเขากล่าวอย่างหยิ่งยโสว่า "โอ้นูห์เอ๋ย แน่นอนท่านได้โต้เถียงเราและต่อต้านเรา แล้วท่านได้ทำการโต้เถียงและต่อต้านเรามากเกินไป ดังนั้น โปรดนำการลงโทษที่เจ้าสัญญากับเรามาเถิด หากท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริงในสิ่งที่ท่านได้กล่าวอ้างไว้"
(33) นูห์ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า "ฉันไม่สามารถนำการลงโทษมายังพวกท่านได้ แต่อัลลอฮ์จะเป็นผู้ทรงนำมันมายังพวกท่าน หากพระองค์ทรงประสงค์ และพวกท่านจะไม่สามารถรอดพ้นไปจากการลงโทษของอัลลอฮ์หากพระองค์ต้องการลงโทษพวกท่าน"
(34) "คำสั่งสอนและคำตักเตือนของฉันจะไม่เกิดประโยชน์แก่พวกท่าน ถ้าหากอัลลอฮ์ ทรงประสงค์จะให้พวกท่านหลงจากหนทางที่เที่ยงตรง และหากพระองค์ทรงทอดทิ้งพวกท่านไม่ให้พบกับทางนำเพราะความดื้อรั้นของพวกท่าน พระองค์คือพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ผู้ซึ่งครอบครองการงานต่างๆของพวกท่าน ดังนั้นพระองค์จะทรงทำให้พวกท่านหลงผิด ถ้าหากพระองค์ทรงประสงค์ และยังพระองค์เท่านั้นที่พวกท่านจะถูกนำกลับไปในวันกิยามะฮ์ แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนพวกท่านต่อการงานต่างๆของพวกท่าน"
(35) สาเหตุของการปฏิเสธศรัทธาของกลุ่มชนนูห์ คือพวกเขาอ้างว่านูห์ได้อุปโลกน์ศาสนาขึ้นมาเองแต่อ้างในนามของอัลลอฮ์ จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด (โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย) "ถ้าหากฉันได้อุปโลกน์มันขึ้นมา ฉันคนเดียวจะเป็นผู้รับโทษสำหรับบาปของฉัน และฉันไม่มีส่วนรับผิดชอบในความผิดจากการปฏิเสธของพวกท่าน และฉันเป็นผู้บริสุทธิ์จากมัน"
(36) และอัลลอฮ์ได้ทรงประทานโองการแก่นูห์ว่า "แท้จริงแล้วจะไม่มีผู้ใดจากหมู่ชนของเจ้าศรัทธา (โอ้นูหฺเอ๋ย) นอกจากผู้ที่ได้ศรัทธามาก่อนหน้านี้เท่านั้น ดังนั้นจงอย่าเสียใจไปเลยโอ้นูหฺ อันเนื่องมาจากสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไป ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธและการดูถูกดูแคลนในช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน"
(37) "และเจ้าจงสร้างเรือขึ้นมาภายใต้สายตาของเราและการดูแลจากเรา และด้วยคำบัญชาของเราที่สอนเจ้าถึงวิธีการสร้างมัน และอย่าเรียกหาข้าเพื่อขอการผ่อนปรนแก่บรรดาผู้ที่อธรรมต่อตัวเองด้วยการปฏิเสธศรัทธา เพราะแท้จริงพวกเขาจะจมน้ำตายอย่างแน่นอน อันเนื่องมาจากน้ำท่วม เพื่อเป็นการลงโทษพวกเขาสำหรับการยืนกรานในการปฏิเสธศรัทธา"
(38) ดังนั้นนูห์จึงปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้อภิบาลของเขา และลงมือสร้างเรือทันที และทุกครั้งที่คนชั้นนำและบรรดาผู้นำจากหมู่ชนของเขาได้ผ่านเข้ามา พวกเขาก็เยาะเย้ยเขา เพราะเขากำลังสร้างเรืออยู่ในที่ผืนดินที่ไม่มีทั้งน้ำและแม่น้ำ และเมื่อการเยาะเย้ยของพวกเขาที่มีต่อนูห์มีบ่อยขึ้น นูห์จึงกล่าวว่า "โอ้ท่านผู้นำทั้งหลาย หากพวกท่านเยาะเย้ยพวกเราในวันนี้ในตอนที่เรากำลังสร้างเรือ แท้จริงพวกเราก็จะเยาะเย้ยพวกท่านเช่นกัน ที่พวกท่านไม่รู้ถึงสิ่งที่กำลังจะมาประสบกับพวกท่านด้วยการจมน้ำ"
(39) แล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าผู้ใดที่การลงโทษอันอัปยศอดสูมาสู่เขาในโลกดุนยานี้ และการลงโทษที่ต่อเนื่องจะประสบกับเขาอย่างไม่มีวันจบ
(40) และนูห์ อลัยฮิสสลาม ได้สร้างเรือที่อัลลอฮ์ใช้ให้สร้างนั้นได้สำเร็จ จนกระทั่งคำบัญชาของเราได้มาถึง เพื่อการทำลายล้างพวกเขา น้ำก็ได้พุ่งออกมาจากเตาที่พวกเขาใช้ทำขนมปัง เพื่อเป็นการแจ้งว่าเหตุการณ์น้ำท่วมกำลังเริ่มขึ้นแล้ว เรา(อัลลอฮ์)ได้ตรัสกับนูห์ว่า "จงบรรทุกสัตว์ทุกชนิดบนแผ่นดินเป็นคู่ๆ ทั้งเพศผู้และเพศเมียไว้ในเรือ และจงบรรทุกครอบครัวของเจ้าด้วย ยกเว้นผู้ที่ถูกตัดสินไว้ก่อนหน้าแล้วว่าเขาเป็นผู้ถูกทำให้จมน้ำตายเพราะเขาไม่ศรัทธา และจงบรรทุกผู้ที่ศรัทธากับเจ้าจากหมู่ชนของเจ้าด้วย" และไม่มีผู้ที่ศรัทธากับเขาจากหมู่ชนของเขา นอกจากไม่กี่คนเท่านั้น กับตลอกระยะเวลาอันยาวนานที่เขาใช้ชีวิตเพื่อทำการเชิญชวนพวกเขาสู่การศรัทธาต่ออัลลอฮ์
(41) และนูห์ได้กล่าวแก่ครอบครัวของเขาและหมู่ชนผู้ศรัทธาของเขาว่า "จงเข้าไปในเรือ ด้วยพระนามของอัลลอฮ์เรือจึงแล่น และด้วยพระนามของอัลลอฮ์เรือจึงหยุด แท้จริงพระผู้อภิบาลของฉันเป็นผู้ทรงให้อภัยต่อบาปของบ่าวผู้ที่กลับใจ ทรงเมตตาต่อพวกเขา และรูปแบบหนึ่งจากความรักความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อบรรดาผู้ศรัทธานั้น คือการที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากความพินาศ"
(42) และเรือได้แล่นพาผู้คนและสรรพสิ่งต่างๆไปในคลื่นอันใหญ่ราวกับภูเขา และด้วยความรู้สึกเอ่นดูในฐานะความเป็นพ่อ นูห์ อลัยฮิสสลาม จึงเรียกลูกของเขาที่ปฏิเสธศรัทธา ซึ่งเขาได้ปลีกตัวออกจากพ่อและหมู่ชนของเขาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง “โอ้ลูกน้อยของฉัน จงขึ้นบนเรือกับพวกเราเถิด เพื่อเจ้าจะได้รอดพ้นจากการจมน้ำตายและจงอย่าได้อยู่กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา เพราะจะทำให้เจ้าประสบกับสิ่งที่พวกเขาประสบจากความหายนะโดยการจมน้ำตายไปด้วย”
(43) ลูกของนูห์ได้กล่าวแก่นูห์ว่า “ฉันจะหนีไปอยู่ที่ภูเขาสูง เพื่อป้องกันน้ำไม่ให้มาถึงฉัน” นูห์จึงกล่าวแก่ลูกของเขาว่า “ในวันนี้ไม่มีผู้ใดจะขัดขวางการลงโทษของอัลลอฮ์ ด้วยการจมน้ำจากเหตุการณ์น้ำท่วมนี้ได้ นอกจากอัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตาที่จะเมตตาผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้นเพราะพระองค์เท่านั้นจะปกป้องเขาจากการจมน้ำ" แล้วคลื่นก็ได้ทำให้นูห์และลูกของเขาที่ปฏิเสธศรัทธาแยกออกจากกัน และแล้วลูกของเขาจึงเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ที่จมน้ำตายจากเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้อันเนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของเขา
(44) และอัลลอฮ์ ทรงตรัสแก่แผ่นดินหลังจากที่เหตุการณ์น้ำท่วมได้คลี่คลายลงว่า “โอ้แผ่นดินเอ๋ย จงกลืนน้ำที่อยู่บนเจ้า” และตรัสกับท้องฟ้าว่า “โอ้ฟ้าเอ๋ย จงระงับและหยุดส่งฝนลงมาได้แล้ว” และน้ำได้ลดลงจนแผ่นดินแห้ง และอัลลอฮ์ทรงทำลายล้างบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และเรือได้จอดเทียบบนภูเขาญูดีย์ และมีเสียงกล่าวว่า “ความหายนะคือจุดจบสำหรับบรรดาผู้ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์ ด้วยการปฏิเสธศรัทธา”
(45) และนูหฺ อลัยฮิสสลาม ได้ร้องเรียนต่อพระผู้อภิบาลของเขาเพื่อขอต่อพระองค์โดยกล่าวว่า “ข้าแด่พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ แท้จริงลูกชายของข้าพระองค์เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของข้าพระองค์ ที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับข้าพระองค์ว่าจะช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้น และแท้จริงสัญญาของพระองค์เป็นความจริงโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ และพระองค์คือผู้ทรงยุติธรรมยิ่งในหมู่ตัดสินทั้งหลายและทรงรอบรู้ยิ่งในหมู่ผู้ที่มีความรู้ทั้งหลาย”
(46) อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสแก่นูห์ว่า "โอ้นูห์เอ๋ย แท้จริงแล้วลูกของเจ้าที่เจ้าร้องขอให้ข้าช่วยชีวิตเขาให้รอดจากอันตรายนั้น เขาไม่ได้เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของเจ้าที่ข้าได้สัญญากับเจ้าว่าจะช่วยชีวิตพวกเขา เพราะเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา โอ้นูห์แท้จริงคำร้องขอของเจ้าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะกับเจ้าเลย และไม่เหมาะสำหรับบุคคลที่อยู่ในสถานะเช่นเจ้า ดังนั้นจงอย่าร้องขอในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในสิ่งนั้น แท้จริงข้าขอเตือนเจ้าให้ห่างไกลจากการเป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้งมงาย จนทำให้เจ้าร้องขอต่อข้าซึ่งสิ่งที่ขัดกับความรู้และวิทยปัญญาของข้า"
(47) นูห์ อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน แท้จริงฉันขอกลับมายังพระองค์และขอความคุ้มครองจากพระองค์เพื่อให้พ้นจากการที่ฉันร้องขอในสิ่งที่ฉันไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น ถ้าหากพระองค์มิทรงอภัยโทษในความผิดของฉัน และมิทรงเมตตาต่อฉันด้วยความเมตตาของพระองค์แล้ว แน่นอนฉันก็จะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน ที่ขาดทุนในสิ่งที่พวกเขาควรจะได้รับในโลกหน้า"
(48) อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสแก่นูห์ อลัยฮิสสลามว่า "โอ้นูห์เอ๋ย เจ้าจงลงจากเรือสู่ผืนดินด้วยความปลอดภัยและศานติ และด้วยความโปรดปรานที่มากมายจากอัลลอฮ์แก่เจ้าและแก่ลูกหลานของบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่กับเจ้าบนเรือที่มีชีวิตอยู่หลังจากเจ้า และสำหรับประชาชาติกลุ่มอื่นๆที่มาจากลูกหลานของพวกเขาเช่นกันที่ปฏิเสธศรัทธา ข้าจะทำให้พวกเขาหลงระเริงไปกับการมีชีวิตในโลกนี้ และประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันแสนเจ็บปวดจากข้าในโลกอาคิเราะฮ์"
(49) เรื่องราวของนูห์เป็นส่วนหนึ่งจากเรื่องราวอันเร้นลับ ที่เจ้า -โอ้เราะซูลเอ๋ย- ไม่เคยรู้มาก่อน และกลุ่มชนของเจ้าก็ไม่รู้เกี่ยวกับมันก่อนวะฮีย์นี้จะถูกประทานมายังเจ้า ดังนั้นเจ้าจงอดทนกับการกระทำของหมู่ชนของเจ้าที่ทำร้ายเจ้า ให้เสมือนการอดทนของนูห์ อลัยฮิสสลาม แท้จริงการช่วยเหลือและชัยชนะนั้น มีไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮ์และห่างไกลจากข้อห้ามต่างๆของพระองค์
(50) และเราได้ส่งมายังหมู่ชนอ๊าดซึ่งพี่น้องคนหนึ่งของพวกเขาคือฮูด อลัยฮิสสลาม เขากล่าวแก่พวกเขาว่า "โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย พวกท่านทั้งหลายจงเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเถิด และจงอย่าให้มีผู้ใดเป็นภาคีกับพระองค์เลย พวกท่านไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกกราบไว้โดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ และการกล่าวอ้างของพวกท่านว่าสำหรับพระองค์มีภาคีหุ้นส่วนนั้น มิใช่อื่นใดนอกจากการกล่าวเท็จเท่านั้น"
(51) โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย ฉันมิได้ขอรางวัลตอบแทนจากพวกท่านในการที่ฉันเผยแพร่ให้แก่พวกท่านซึ่งสิ่งที่มาจากพระผู้อภิบาลของฉัน และเชิญชวนพวกท่านสู่พระองค์ ฉันไม่ได้รับรางวัลใดๆนอกเว้นแต่จากอัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างฉันเท่านั้น พวกท่านมิได้ใช้สติปัญญาและตอบรับสิ่งที่ฉันเชิญชวนพวกท่านไปสู่พระองค์หรอกหรือ?!
(52) โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย พวกท่านทั้งหลายจงขออภัยโทษจากอัลลอฮ์เถิด แล้วจงกลับเนื้อกลับตัวสู่พระองค์จากบาปต่างๆของพวกท่าน (และบาปที่ใหญ่ที่สุดคือการตั้งภาคี) พระองค์จะทรงตอบแทนพวกท่านด้วยการหลั่งน้ำฝนลงมาอย่างหนัก และจะทรงให้พวกท่านมีเกียรติเป็นทวีคูณจากเดิมที่เคยมี โดยการทำให้พวกท่านมีลูกหลานและทรัพย์สินอันมากมาย และจงอย่าผินหลังจากสิ่งที่ฉันเรียกร้องพวกท่านไปสู่มัน จนเป็นเหตุให้พวกท่านอยู่ในบรรดาผู้กระทำผิด ด้วยการผินหลังของพวกท่านที่มีต่อการเรียกร้องเชิญชวนของฉัน และการปฏิเสธศรัทธาของพวกท่านต่ออัลลอฮ์และปฏิเสธศาสนาที่ฉันนำมา"
(53) หมู่ชนของเขากล่าวว่า "โอ้ฮูดเอ๋ย ท่านมิได้นำหลักฐานอันชัดแจ้งมาให้แก่เรา ที่มันจะทำให้เราศรัทธาต่อท่าน และพวกเราก็จะไม่ละทิ้งการกราบไว้พระเจ้าทั้งหลายของพวกเราเพราะคำกล่าวของท่านที่ปราศจากหลักฐาน และพวกเราจะไม่ศรัทธาต่อท่านในสิ่งที่ท่านกล่าวอ้างว่า ท่านคือเราะซูล"
(54) "พวกเราจะไม่กล่าวอะไร นอกจากพระเจ้าของเราบางองค์ทำให้ท่านเป็นบ้า เพราะท่านได้ห้ามพวกเราจากการกราบไว้พระเจ้าเหล่านั้น" ฮูดจึงได้กล่าวว่า "แท้จริงฉันขอให้อัลลอฮ์เป็นพยาน แล้วพวกท่านก็จงเป็นพยานด้วยว่าแท้จริงฉันปลีกตัวออกจากการกราบไว้พระเจ้าของพวกท่านที่พวกท่านกำลังกราบไว้มันนอกจากอัลลอฮ์ ดังนั้นพวกท่านและพระเจ้าของพวกท่าน ที่พวกท่านอ้างว่ามันทำให้ฉันเป็นบ้านั้น จงหลอกลวงฉันมาสิแล้วพวกท่านอย่าเชื้องช้าละ"
(55) "พวกเราจะไม่กล่าวอะไร นอกจากพระเจ้าของเราบางองค์ทำให้ท่านเป็นบ้า เพราะท่านได้ห้ามพวกเราจากการกราบไว้พระเจ้าเหล่านั้น" ฮูดจึงได้กล่าวว่า "แท้จริงฉันขอให้อัลลอฮ์เป็นพยาน แล้วพวกท่านก็จงเป็นพยานด้วยว่าแท้จริงฉันปลีกตัวออกจากการกราบไว้พระเจ้าของพวกท่านที่พวกท่านกำลังกราบไว้มันนอกจากอัลลอฮ์ ดังนั้นพวกท่านและพระเจ้าของพวกท่าน ที่พวกท่านอ้างว่ามันทำให้ฉันเป็นบ้านั้น จงหลอกลวงฉันมาสิแล้วพวกท่านอย่าเชื้องช้าละ"
(56) แท้จริงฉันมอบหมายต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว และฉันได้มอบหมายการงานของฉันต่อพระองค์ เพราะพระองค์คือพระผู้อภิบาลของฉันและของพวกท่าน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่เคลื่อนไหวบนหน้าผืนแผ่นดินนี้ นอกเสียจากว่าสิ่งนั้นยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ภายใต้อำนาจของพระองค์ และจะทรงบริหารมันตามที่พระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงพระผู้อภิบาลของฉันทรงสัตย์จริงและเที่ยงธรรม ดังนั้นพระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านมีอำนาจเหนือฉันหรอก เพราะฉันอยู่บนสัจธรรม ส่วนพวกท่านอยู่ในการหลงผิด
(57) ดังนั้นหากพวกท่านผินหลังและไม่สนใจถึงสิ่งที่ฉันนำมา สำหรับฉันก็ไม่มีอะไรนอกจากการประกาศให้พวกท่านทราบเท่านั้น และฉันก็ได้ประกาศให้พวกท่านทราบเรียบร้อยแล้วถึงทุก ๆ สิ่งที่อัลลอฮ์ได้ส่งฉันมาและทรงสั่งฉันให้ประกาศมัน และความจริงได้ถูกเสนอแก่พวกท่านแล้ว และพระผู้อภิบาลของฉันก็จะทรงทำลายล้างพวกท่านและจะทรงนำกลุ่มชนอื่นมาแทนพวกท่าน และพวกท่านจะไม่สามารถทำอันตรายใดๆต่ออัลลอฮ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นอันตรายที่ใหญ่หรือเล็กก็ตาม ด้วยการปฏิเสธและการผินหลังให้จากพวกท่าน เพราะพระองค์ทรงสูงส่งเหนือการพึ่งใดๆจากบ่าวของพระองค์ และแท้จริงพระผู้อภิบาลของฉันเป็นผู้ทรงสอดส่องทุกสิ่ง ดังนั้นพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ช่วยให้ฉันรอดพ้นจากความชั่วร้ายที่พวกท่านทำกับฉัน
(58) และเมื่อบัญชาของเราที่ว่าด้วยการทำลายล้างพวกเขาได้มาถึง เราได้ให้ฮูดและบรรดาผู้ศรัทธาร่วมกับเขารอดพ้นด้วยความเมตตาจากเราที่เกิดขึ้นกับพวกเขา และเราได้ให้พวกเขารอดพ้นจากการลงโทษอันแสนเจ็บปวด ที่เราใช้มันลงโทษกลุ่มชนผู้ปฏิเสธศรัทธาของเขา
(59) และนั่นคือหมู่ชนอ๊าด พวกเขาปฏิเสธโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นพระผู้อภิบาลของพวกเขาและได้ฝ่าฝืนเราะซูลของพวกเขาที่ชื่อว่าฮูด โดยปฏิบัติตามคำสั่งของผู้หยิ่งผยองต่อสัจธรรมทุกคน ละเมิดฝ่าฝืนไม่ยอมรับและไม่ยอมจำนนต่อสัจธรรมนั้น
(60) และความอัปยศในการมีชีวิตบนโลกดุนยานี้และการขับไล่ให้ออกจากความเมตตาของอัลลอฮ์จะติดตามพวกเขา และในวันกิยามะฮ์พวกเขาก็จะเป็นผู้ถูกทำให้ห่างไกลจากความเมตตาของอัลลฮ์เช่นเดียวกันเพราะเนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาต่ออัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา พึงทราบเถิด อัลลอฮ์ทรงทำให้พวกเขาห่างไกลจากความดีทุกประเภทและทรงทำให้พวกเขาใกล้ชิดกับความชั่วทุกชนิด
(61) และเราได้ส่งมายังษะมูดซึ่งพี่น้องคนหนึ่งของพวกเขาคือศอลิฮ์ อลัยฮิสสลาม เขาได้กล่าวว่า โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย พวกท่านทั้งหลายจงเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น พวกท่านไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพอิบาดะฮ์นอกจากพระองค์ พระองค์คือผู้ทรงสร้างพวกท่านมาจากดินโดยผ่านการสร้างบรรพบุรุษของพวกท่านที่ชื่ออาดัมมาจากมัน และทรงทำให้พวกท่านเป็นผู้อาศัยบนหน้าแผ่นดิน ดังนั้นพวกท่านทั้งหลายจงขออภัยโทษจากพระองค์เถิด แล้วจงกลับไปยังพระองค์ด้วยการปฏิบัติสิ่งที่เป็นคำสั่งใช้และละทิ้งการฝ่าฝืนทั้งมวล แท้จริงพระเจ้าของฉันทรงใกล้ชิดกับผู้ที่บริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ในการเคารพภักดี และพระองค์คือผู้ทรงตอบรับการวิงวอนของเขา
(62) หมู่ชนของเขากล่าวกับเขาว่า “โอ้ศอลิฮ์ แน่นอนท่านเคยเป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่งในหมู่พวกเราก่อนการเรียกร้องเชิญชวนของท่าน แน่นอนพวกเราเคยหวังว่าท่านจะเป็นคนฉลาด ผู้ให้คำตักเตือนและผู้ให้คำปรึกษา โอ้ศอลิฮ์ ท่านจะห้ามพวกเรามิให้เคารพอิบาดะฮ์ต่อสิ่งที่บรรพบุรุษของเราเคารพอิบาดะฮ์อยู่กระนั้นหรือ?! แท้จริงแล้วพวกเราอยู่ในการสงสัยต่อสิ่งที่ท่านเชิญชวนเราไปยังสิ่งนั้นจากการเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว มันทำให้เรากล่าวว่าท่านโกหกต่ออัลลอฮฺ”
(63) ศอลิฮ์ได้กล่าวตอบโต้กลุ่มชนของเขาว่า “โอ้หมู่ชนของฉัน พวกท่านจงบอกฉันมาสิ หากฉันมีหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของฉัน และพระองค์ทรงประทานความเมตตาและการเป็นศาสนทูตจากพระองค์ให้แก่ฉัน ดังนั้นผู้ใดเล่าจะช่วยป้องกันฉันให้รอดพ้นจากการลงโทษของพระองค์ได้ หากฉันฝ่าฝืนพระองค์โดยการละทิ้งการเผยแพร่สิ่งที่พระองค์สั่งให้ฉันเผยแพร่ให้แก่พวกท่าน? ดังนั้นพวกท่านจะไม่เพิ่มเติมสิ่งใดแก่ฉันเลย นอกจากการให้หลงผิดและห่างไกลจากความพึงพอพระทัยของพระองค์เท่านั้น”
(64) "โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย นี่คืออูฐตัวเมียจากอัลลอฮ์เป็นสัญญาณหนึ่งเพื่อแสดงถึงความสัจจริงของฉันแก่พวกท่าน ดังนั้นท่านทั้งหลายจงปล่อยให้มันหากินตามลำพังในแผ่นดินของอัลลอฮ์และอย่าทำอันตรายใด ๆ แก่มัน มิฉะนั้นแล้ว การลงโทษอันไกล้จะประสบแก่พวกท่านหลังจากที่พวกท่านได้เชือดมัน"
(65) หลังจากนั้นพวกเขาได้เชือดมันเพื่อแสดงออกถึงการปฏิเสธ ดังนั้นศอลิฮ์จึงกล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า "พวกท่านทั้งหลายจงสุขสำราญไปกับการมีชีวิตบนแผ่นดินของพวกท่านอีกสามวัน นับจากวันที่พวกท่านได้ฆ่ามัน หลังจากนั้นการลงโทษของอัลลอฮ์จะมายังพวกท่าน ดังนั้นการมาของการลงโทษของพระองค์หลังจากนี้นั้น คือสัญญาที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยไม่ใช่เรื่องโกหกแต่มันคือสัญญาที่เป็นจริง"
(66) ดังนั้นเมื่อคำบัญชาของเราว่าด้วยการทำลายพวกเขาได้มาถึง เราได้ช่วยศอลิฮ์และบรรดาผู้ศรัทธาร่วมกับเขาให้รอดพ้นด้วยความเมตตาจากเรา และเราได้ทำให้พวกเขาปลอดภัยจากความอัปยศอดสูในวันนั้น แท้จริงพระเจ้าของเจ้า (โอ้ เราะสูลเอ๋ย) คือผู้ทรงพลัง ผู้ทรงอำนาจที่ไม่มีผู้ใดเอาชนะพระองค์ได้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทำลายบรรดาประชาชาติที่ปฏิเสธทั้งหลาย
(67) และเสียงที่รุนแรงได้ทำลายล้างพวกษะมูด ดังนั้นพวกเขาจึงล้มตายทันทีเนื่องจากความรุนแรงของมัน และพวกเขาล้มลงในสภาพคว่ำหน้าลงกับพื้นและใบหน้าของพวกเขาจมอยู่กับดิน
(68) ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยอยู่ในแผ่นดินของพวกเขาด้วยความโปรดปรานและความสำราญในชีวิตเลย พึงทราบเถิดว่า แท้จริงพวกษะมูดนั้นได้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ซึ่งเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาก็จะยังคงเป็นผู้ที่ห่างไกลจากความเมตตาของอัลลอฮ์
(69) และแน่นอนบรรดามลาอิกะฮ์ได้มายังอิบรอฮีม อลัยฮิสสลาม ในรูปของมนุษย์เพื่อแจ้งข่าวดีแก่เขาและภรรยาของเขาด้วยการได้บุตรชื่ออิสฮาก หลังจากอิสฮากคือยะอ์กูบ ดังนั้นบรรดามลาอิกะฮ์กล่าวว่า "ขอความศานติจงมีแด่ท่าน" อิบรอฮีมจึงตอบพวกเขาว่า "ขอความศานติจงมีแด่พวกท่านเช่นกัน" และเขาก็รีบนำลูกวัวย่างมาให้พวกเขารับประทาน เพราะคิดว่าพวกเขาคือมนุษย์
(70) จากนั้นเมื่ออิบราฮิมเห็นว่ามือของพวกเขาไม่ได้แตะต้องลูกวัวย่างเลยและพวกเขาก็ไม่กินเลย เขาก็รู้สึกแปลกๆ ในตัวพวกเขา และเก็บความกลัวต่อพวกเขาไว้ในใจ และเมื่อมลาอิกะฮ์เห็นความกลัวของอิบราฮิมต่อพวกเขา พวกเขากล่าวว่า "อย่ากลัวเราเลย พวกเราถูกอัลลอฮ์ส่งมายังกลุ่มชนของลูฏ เพื่อลงโทษพวกเขา"
(71) และภรรยาของอิบรอฮีม (ซาเราะฮ์) ที่กำลังยืนอยู่ เราจึงบอกกับนางถึงสิ่งที่ทำให้นางมีความสุข นั่นก็คือ นางจะคลอดบุตร ชื่ออิสฮาก และสำหรับอิสฮากก็จะมีบุตรอีกหนึ่งคน คือยะอ์กูบ นางจึงหัวเราะและมีความสุขกับสิ่งที่นางได้ฟัง
(72) เมื่อซาเราะฮ์ได้ยินข่าวดีจากมลาอิกะฮ์ นางก็รู้สึกประหลาดใจและพูดว่า “ฉันจะให้กำเนิดลูกได้อย่างไรในขณะที่ฉันอายุมากแล้วหมดเวลาที่จะมีลูกแล้ว และอีกอย่างสามีก็แก่ชราอีก?!” แท้จริงการจะคลอดบุตรในกรณีเช่นนี้มันเป็นเรื่องแปลกมากและไม่เคยเกิดขึ้น
(73) บรรดามลาอิกะฮ์ได้กล่าวแก่ซาเราะฮ์ หลังจากที่นางรู้สึกแปลกใจจากข่าวดีนั้นว่า “เธอแปลกใจต่อการตัดสินและการกำหนดของอัลลอฮ์หรือ? ดังนั้นกรณีเช่นเธอนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ทรงสามารถทำเช่นนี้ได้ ความเมตตาของอัลลอฮ์และความจำเริญของพระองค์จงประสบแด่พวกท่าน -โอ้ครอบครัวของอิบรอฮีมเอ๋ย- แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้รับการสรรเสริญทั้งในคุณลักษณะและการกระทำของพระองค์ และเป็นผู้ทรงประเสริฐและสูงส่งยิ่ง"
(74) ครั้นเมื่อความกลัวที่เกิดจากบรรดาแขกที่ไม่รับประทานอาหารของเขาได้คลี่คลายไป หลังจากที่เขารู้ว่าแขกเหล่านั้นคือบรรดามลาอิกะฮ์ และข่าวดีได้มายังเขาด้วยการได้บุตรชื่ออิสฮาก หลังจากอิสฮากคือยะอ์กูบ และเขาก็เริ่มโต้เถียงบรรดามลาอิกะฮ์ของเราเกี่ยวกับกลุ่มชนของลูฏ โดยหวังว่าพวกเขานั้นจะประวิงเวลาการลงโทษกลุ่มชนลูฏออกไปอีกสักระยะหนึ่ง และหวังว่าพวกเขาจะช่วยให้ลูฏและครอบครัวของเขาปลอดภัย
(75) แท้จริงอิบรอฮีมเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน ชอบที่จะให้การลงโทษได้ชะลอไว้ จะน้อบน้อมต่อพระผู้อภิบาลของเขาเสมอ มักจะขอดุอาอ์และกลับเนื้อกลับตัวสู่พระองค์
(76) บรรดามลาอิกะฮ์กล่าวว่า “โอ้อิบรอฮีมเอ๋ย จงผินหลังจากการสนทนาในเรื่องกลุ่มชนของลูฏเถิด แท้จริงพระบัญชาของพระผู้อภิบาลของเจ้าว่าด้วยการลงโทษที่พระองค์ทรงกำหนดไว้เหนือพวกเขาได้มาถึงแล้ว และแท้จริงการลงโทษอันยิ่งใหญ่ได้มายังกลุ่มชนของลูฏ การโต้เถียงและการวิงวอนก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้
(77) ครั้นเมื่อบรรดามลาอิกะฮ์มายังลูฏในรูปของผู้ชาย เขาเป็นทุกข์ต่อการมาของพวกเขา และหนักอกหนักใจเพราะกลัวว่าพวกเขาจะได้รับอันตรายจากกลุ่มชนของเขา ผู้ซึ่งมีตัณหากับเพศชาย ไม่ใช่กับเพศหญิง ลูฏจึงกล่าวว่า นี่เป็นวันที่รุนแรงที่สุด เพราะเขาคิดว่ากลุ่มชนของเขาจะมีชัยเหนือเขาต่อหน้าบรรดาแขกของเขา
(78) ทันใดนั้น หมู่ชนของลูฎก็รีบมาที่บ้านของลูฎ พวกเขาต้องการปรนเปรอการสำเร็จความใคร่กับแขกของเขา และก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยชินกับความต้องการทางเพศกับผู้ชายแทนที่จะเป็นผู้หญิง ลูฎปฏิเสธความปรารถนาของหมู่ชนของเขาและปกป้องตนเองต่อหน้าแขกของเขา โดยกล่าวว่า "โอ้ หมู่ชนของฉัน! พวกเขาเหล่านี้เป็นลูกสาวของฉันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้หญิงของท่าน ดังนั้นจงแต่งงานกับพวกนางเถิด เพราะพวกนางบริสุทธิ์สำหรับพวกท่านมากกว่าการกระทำที่น่ารังเกียจ ดังนั้นจงเกรงกลัวต่ออัลลอฮ์เถิด! และอย่าทำให้ฉันขายหน้าต่อแขกของฉันเลย โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย ไม่มีคนที่มีสติสัมปชัญญะในหมู่พวกท่านห้ามพวกท่านจากการกระทำอันน่ารังเกียจนี้เลยหรือ?"
(79) กลุ่มชนของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า “โดยแน่นอนท่านรู้ดี โอ้ลูฏเอ๋ย ว่าพวกเราไม่สนใจและไม่ปรารถนาต่อลูกสาวของท่านและบรรดาสตรีในกลุ่มชนของท่าน และแท้จริงท่านรู้ดีถึงสิ่งที่พวกเราต้องการ พวกเราไม่ได้ต้องการสิ่งใดนอกจากผู้ชายเท่านั้น"
(80) ลูฏกล่าวว่า “หากว่าฉันมีกำลัง ฉันจะใช้มันในการปรามพวกท่าน หรือมีวงศาคณาญาติคอยปกป้องฉัน ฉันก็จะกั้นระหว่างพวกท่านกับบรรดาแขกของฉัน"
(81) บรรดามลาอิกะฮ์จึงกล่าวแก่ลูฏว่า “โอ้ลูฏเอ๋ย แท้จริงพวกเราคือทูตที่อัลลอฮฺมา กลุ่นชนของท่านไม่สามารถนำความชั่วร้ายมาสู่ท่านได้ ดังนั้นท่านจงออกไปพร้อมกับครอบครัวของท่านจากหมู่บ้านแห่งนี้ในเวลากลางคืนที่มืดสนิท แล้วคนใดในหมู่พวกท่านอย่าได้เหลียวหลังมองกลับมา เว้นแต่ภริยาของท่าน ซึ่งนางจะหันมองกลับมาซึ่งเป็นการละเมิด เพราะเนื่องจากว่านางจะได้รับในสิ่งที่กลุ่มชนของท่านได้รับจากการลงโทษ แท้จริงกำหนดการทำลายล้างพวกเขาคือตอนเช้าตรู่ และมันคือกำหนดการที่ใกล้เข้ามาแล้ว"
(82) ครั้นเมื่อคำบัญชาของเราว่าด้วยการทำลายกลุ่มชนของลูฏได้มาถึง เราได้ทำให้ส่วนที่อยู่ด้านบนของหมู่บ้านกลายเป็นด้านล่างของมัน ด้วยการยกมันขึ้นแล้วพลิกมันลงมาพร้อมกับพวกเขา และเราได้ให้ก้อนหินจากดินเหนียวที่แข็งทยอยตกลงมาบนพวกเขาเป็นชั้นๆ
(83) หินก้อนเหล่านี้ ถูกทำสัญลักษณ์เฉพาะไว้ ณ ที่อัลลอฮ์,และหินเหล่านี้ก็มิได้ไกลไปจากบรรดาผู้อธรรมจากเผ่ากุรอยช์และกลุ่มชนอื่นๆเลย แต่มันกลับอยู่ใกล้ เมื่อไหร่ที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดให้มันตกลงมาเหนือพวกเขา มันก็จะตกลงมา
(84) และเราได้ส่งมายังกลุ่มชนของมัดยันซึ่งพี่น้องคนหนึ่งของพวกเขาคือชุอัยบ์ เขากล่าวว่า โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย พวกท่านทั้งหลายจงเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียวเถิด ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่คู่ควรแก่การเคารพอิบาดะฮ์สำหรับพวกท่านนอกจากพระองค์เท่านั้น และพวกท่านอย่าให้การตวงและการชั่งบกพร่อง เมื่อพวกท่านได้ตวงให้กับผู้คนและได้ชั่งให้กับพวกเขา แท้จริงฉันเห็นว่าพวกท่านอยู่ในความหรูหราและความสุขสำราญที่กว้างขวาง ดังนั้นพวกท่านจงอย่าได้เปลี่ยนความสุขสำราญที่มาจากอัลลอฮ์ด้วยการฝ่าฝืนต่อพระองค์ และแท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านต่อการลงโทษในวันที่ถูกห้อมล้อมไว้จะประสบกับทุก ๆ คนในหมู่พวกท่าน พวกท่านจะไม่พบทางหนีและที่พึ่งใด ๆ ในวันนั้น
(85) และโอ้กลุ่มชนของฉัน พวกท่านจงตวงและจงชั่งให้ครบสมบูรณ์อย่างเที่ยงธรรมหากพวกท่านได้ตวงหรือชั่งให้แก่ผู้อื่น และพวกท่านจงอย่าลิดรอนสิทธิของผู้อื่นโดยการตัดลดให้น้อยลง การโกงหรือหลอกลวง และพวกท่านจงอย่าบ่อนทำลายบนหน้าแผ่นดินด้วยการเข่นฆ่าและความชั่วอื่นๆ
(86) สิ่งที่เหลืออยู่(กำไร)จากอัลลอฮ์ที่พระองค์ทรงให้เหลือไว้สำหรับพวกท่านจากสิ่งที่อนุมัติ หลังจากที่พวกท่านได้ให้สิทธิ์แก่ผู้อื่นด้วยความเที่ยงธรรม มีประโยชน์และมีความเป็นสิริมงคลมากกว่าการได้กำไรที่ได้จากการโกงและการบ่อนทำลายบนหน้าแผ่นดิน หากว่าพวกท่านเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง พวกท่านก็จงพอใจกับสิ่งที่เหลืออยู่นี้(กำไรที่ได้มา) และฉันมิใช่ผู้ที่คอยติดตามสอดส่องดูพวกท่าน คอยจดบันทึกกิจการต่างๆของพวกท่าน และคิดบัญชีกับพวกท่านต่อกิจการนั้นๆ แต่ผู้สอดส่องที่แท้จริงต่อเรื่องดังกล่าว คือผู้ทรงรู้ความลับและการกระซิบกระซาบ
(87) กลุ่มชนของชุอัยบฺกล่าวกับชุอัยบฺว่า "โอ้ชุอัยบฺเอ๋ย การละหมาดของท่านที่ท่านละหมาดเพื่ออัลลอฮ์นั้น มันสั่งสอนให้ท่านใช้ให้เราละทิ้งการเคารพบูชาเจว็ดที่บรรพบุรุษของเราเคารพบูชากระนั้นหรือ และมันสั่งสอนให้ท่านสั่งให้พวกเราละทิ้งการใช้จ่ายในทรัพย์สินของเราตามความต้องการของเราและทำให้งอกเงยด้วยวิธีที่เราต้องการกระนั้นหรือ?! แท้จริงท่านเป็นผู้อดทนขันติ เป็นผู้มีสติปัญญา ดังนั้นท่านเป็นผู้เฉลียวฉลาดมีสติปัญญา ดั่งที่พวกเราเคยรู้จักท่านก่อนการเรียกร้องเชิญชวนนี้ ดังนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับท่าน?!
(88) ชุอัยบ์ได้กล่าวกับกลุ่มชนของเขาว่า "โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย พวกท่านจงบอกฉันถึงสภาพของพวกท่าน หากฉันอยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งและประจักษ์แจ้งจากพระผู้อภิบาลของฉัน และพระองค์ได้ประทานริซกีแก่ฉัน ซึ่งเป็นริซกีที่ดีและฮะลาล และประทานการเป็นนบีใให้แก่ฉัน และฉันไม่ได้ต้องการที่จะห้ามปรามพวกท่านจากสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วขัดแย้งกับพวกท่านในการที่จะปฏิบัติสิ่งนั้น ฉันมิได้ปรารถนาต่อสิ่งใดเลย นอกจากการปรับปรุงแก้ไขพวกท่านโดยการเชิญชวญพวกท่านไปสู่การศรัทธาในความเป็นเอกะของพระผู้อภิบาลของพวกท่านและการภักดีต่อพระองค์ตามความสามารถของฉัน และความสำเร็จของฉันจะไม่บรรลุเป้าหมาย เว้นแต่ด้วยการช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แด่พระองค์เท่านั้นที่ฉันมอบหมายกิจการต่างๆทั้งหมดของฉัน และยังพระองค์เท่านั้นที่ฉันกลับไปหา
(89) โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย อย่าให้ความเป็นศัตรูของฉันนำพาพวกท่านไปสู่การปฏิเสธต่อสิ่งที่ฉันนำมา กลัวว่าการลงโทษจะประสบแก่พวกท่าน เช่นที่ได้ประสบแก่กลุ่มชนของนูห์หรือกลุ่มชนของฮูดหรือกลุ่มชนของศอลิฮ และกลุ่มชนของลูฏมิได้อยู่ห่างไกลจากพวกท่าน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาและสถานที่ และแน่นอนพวกท่านได้รู้ถึงสิ่งที่ประสบกับพวกเขา ดังนั้นพวกท่านจงพิจารณาเถิด
(90) และพวกท่านทั้งหลายจงขออภัยโทษต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่าน แล้วจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์จากความผิดต่างๆของพวกท่าน แท้จริงพระเจ้าของฉันนั้นเป็นผู้ทรงเมตตาต่อบรรดาผู้กลับเนื้อกลับตัว และทรงรักยิ่งต่อผู้ที่กลับเนื้อกลับตัวจากหมู่พวกเขา
(91) กลุ่มชนของชุอัยบ์กล่าวแก่ชุอัยบ์ว่า โอ้ชุอัยบ์เอ๋ย พวกเราไม่เข้าใจส่วนมากที่ท่านนำมา และแท้จริงเราเห็นว่าท่านเป็นผู้อ่อนแอเนื่องจากสิ่งที่ประสบกับดวงตาของท่านทั้งสองข้างจากความอ่อนแอและมืดบอด ถ้ามิใช่เพราะครอบครัวของท่านอยู่บนศาสนาของพวกเรา แน่นอนพวกเราจะฆ่าท่านโดยการขว้างด้วยก้อนหิน และท่านก็มิได้เป็นผู้ที่มีเกียรติเหนือพวกเราจนทำให้พวกเราไว้ชีวิตท่าน แต่ที่พวกเราไม่ฆ่าท่าน ก็เพราะว่าพวกเราเคารพครอบครัวของท่านต่างหาก
(92) ชุอัยบ์ได้กล่าวแก่กลุ่มชนของเขาว่า โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย ครอบครัวของฉันมีเกียรติ ณ พวกท่านมากกว่าอัลลอฮ์ซึ่งเป็นพระผู้อภิบาลของพวกท่านกระนั้นหรือ? และพวกท่านก็ได้ทิ้งอัลลอฮ์ไว้ด้านหลังของพวกท่าน ขณะที่พวกท่านนั้นไม่ศรัทธาต่อศาสนทูตของพระองค์ ที่พระองค์ทรงส่งเขามายังพวกท่าน แท้จริงพระเจ้าของฉันทรงรอบรู้สิ่งที่พวกท่านกระทำ ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นเหนือพระองค์จากการงานต่างๆของพวกท่านได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกท่านต่อการกระทำนั้นโดยการทำลายในโลกดุนยานี้และโดยการลงโทษในโลกอาคีเราะฮ์
(93) โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย พวกท่านจงกระทำในสิ่งที่พวกท่านสามารถที่จะทำตามแนวทางของพวกท่านที่พวกท่านพึงพอใจ ฉันก็จะกระทำตามแนวทางของฉันที่ฉันพึงพอใจเท่าที่ฉันจะทำได้ แล้วพวกท่านก็จะได้รู้ว่าผู้ใดในหมู่พวกเราที่การลงโทษจะประสบแก่เขา ซึ่งมันจะทำให้เขาอัปยศอดสู จึงเป็นการลงโทษสำหรับเขา และผู้ใดในหมู่พวกเราที่เขาโกหกในสิ่งที่เขาแอบอ้าง ดังนั้นพวกท่านทั้งหลายจงเฝ้าดูเถิดถึงสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดไว้ แท้จริงฉันก็ร่วมกับพวกท่านคอยเฝ้าดูอยู่ด้วย
(94) ครั้นเมื่อคำบัญชาของเราว่าด้วยการทำลายกลุ่มชนของชุอัยบ์ได้มาถึง เราได้ช่วยชุอัยบ์และบรรดาผู้ที่ศรัทธาร่วมกับเขาให้รอดพ้น ด้วยความเมตตาจากเรา และบรรดาผู้อธรรมทั้งหลายจากกลุ่มชนของเขาก็ประสบกับเสียงกัมปนาทอันรุนแรงที่คร่าชีวิตพวกเขาได้ แล้วพวกเขาก็ตายและกลายเป็นผู้ที่ล้มตายในสภาพที่ใบหน้าของพวกเขาคว่ำลงกับพื้น และใบหน้าของพวกเขาจมปลักกับพื้นดิน
(95) ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่เคยอยู่ในนั้นมาก่อน พึงทราบเถิดว่า พวกมัดยันถูกขับให้ห่างไกลจากความเมตตาของอัลลอฮ์ โดยการสาปแช่งของพระองค์เหนือพวกเขา เช่นเดียวกับที่พวกษะมูดถูกทำให้ห่างไกลจากมันมาแล้วโดยการได้รับความโกรธกริ้วเหนือพวกเขา
(96) และโดยแน่นอนเราได้ส่งมูซามา พร้อมกับสัญญาณต่างๆของเราที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกะอัลลอฮ์และข้อยืนยันต่างๆ อันชัดแจ้งของเรา ที่แสดงให้เห็นถึงความสัจจริงของสิ่งที่เขานำมา
(97) เราได้ส่งเขามายังฟิรเอาน์และบุคคลชั้นนำจากกลุ่มชนของเขา ดังนั้นบุคคลชั้นนำเหล่านี้ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของฟิรเอาน์ ด้วยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และคำสั่งของฟิรเอาน์ก็มิใช่คำสั่งที่ถูกต้องตรงตามสัจธรรม จนต้องปฏิบัติตาม
(98) ในวันกิยามะฮ์ ฟิรเอาน์จะนำหน้ากลุ่มชนของเขาไปในนรกพร้อมกับเขา และที่ที่น่าสมเพชที่สุดคือที่ที่พวกเขาถูกนำเข้าไป
(99) ในโลกนี้อัลลอฮ์ลงโทษพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการสาปแช่ง ขับไล่ และทำให้พวกเขาห่างจากความเมตตาของพระองค์ เช่นเดียวกับการทำลายล้างพวกเขาด้วยการจมลงในน้ำทะเล และอัลลอฮ์ทรงเพิ่มการลงโทษของพวกเขาด้วยการสาปแช่ง ขับไล่ และทำให้พวกเขาห่างไกลจากความเมตตาของพระองค์ในวันกิยามะฮ์ ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่พวกเขาต้องประสบคือการสาปแช่งและการลงโทษถึงสองครั้งทั้งในโลกนี้และในวันอาคิเราะฮ์
(100) เรื่องราวดังกล่าวที่ถูกกล่าวถึงในซูเราะฮ์นี้ที่เกี่ยวกับเมืองต่างๆ ที่เราได้บอกเล่าให้แก่เจ้านั้น โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย บางส่วนจากเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ยังคงมีสภาพร่องรอยเหลืออยู่และบางส่วนนั้นถูกลบเลือนไปแล้วจนไม่เหลือร่องรอย
(101) และเราไม่ได้อธรรมต่อพวกเขาด้วยกับสิ่งที่เราได้ให้ประสบกับพวกเขาจากความหายนะ แต่ว่าพวกเขาได้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง ด้วยการนำพามันไปสู่เส้นทางแห่งความหายนะ โดยการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาต่ออัลลอฮ์ และบรรดาพระเจ้าทั้งหลายของพวกเขาที่พวกเขาเคารพบูชา ก็ไม่สามารถปกป้องคุ้มครองพวกเขาจากการลงโทษที่ลงมายังพวกเขาได้ เมื่อคำบัญชาของพระเจ้าของเจ้าว่าด้วยเรื่องการทำลายล้างพวกเขามาถึง โอ้ เราะสูลเอ๋ย และพระเจ้าต่างๆเหล่านี้ของพวกเขาก็ไม่ได้เพิ่มอันใดให้แก่พวกเขาเลย นอกจากการขาดทุนและความหายนะเท่านั้น
(102) และเช่นนี้แหละคือการลงโทษและการกำจัดแบบถอนรากถอนโคนที่อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงใช้มันลงโทษหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ปฏิเสธศรัทธาในทุก ๆ เวลาและทุก ๆ สถานที่ และแท้จริงการลงโทษของพระองค์ต่อบรรดาหมู่บ้านที่อธรรมนั้น เป็นการลงโทษที่เจ็บแสบและรุนแรง
(103) แท้จริงในการลงโทษอันรุนแรงของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ต่อบรรดาหมู่ชนที่อธรรมนั้น เป็นข้อเตือนสติสำหรับผู้ที่กลัวการลงโทษในวันกิยามะฮ์ นั่นคือวันที่อัลลอฮ์รวบรวมมวลมนุษย์เพื่อพิจารณาการกระทำของพวกเขา และนั่นคือวันที่ทุกคนที่อยู่ ณ ทุ่งมะห์ชัร เห็นเป็นพยาน
(104) และเราจะไม่หน่วงวันแห่งการเป็นพยานนั้น เว้นแต่เมื่อถึงกำหนดเท่านั้น
(105) เมื่อวันนั้นมาถึง จะไม่มีผู้ใดที่สามารถพูดได้ จะด้วยเหตุผลใดหรือจะขอความช่วยเหลือใดๆ เว้นแต่หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากพระองค์เท่านั้น และในวันนั้น มนุษย์จะมีสองประเภทคือ ผู้ที่มีความทุกข์ต้องเข้านรก และผู้ที่มีความสุขจะได้เข้าสวรรค์
(106) ส่วนบรรดาผู้ที่เป็นทุกข์เนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาและการปฏิบัติการงานที่ชั่วช้าต่าง ๆ ของพวกเขา จึงทำให้พวกเขาต้องเข้าไปในไฟนรก เสียงของพวกเขาและลมหายใจของพวกเขาดังขึ้นเนื่องจากความเจ็บปวดที่พวกเขากำลังประสบจากเปลวไฟอันร้อนแรง
(107) พวกเขาจะพำนักอยู่ในนรกตลอดกาล พวกเขาจะไม่ได้ออกมาจากมันตราบเท่าที่บรรดาชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินยังคงอยู่ เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้เขาออกมาจากที่นั้น จากบรรดาผู้ฝ่าฝืนที่ศรัทธาต่อเอกภาพของอัลลอฮ์ แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น โอ้ท่านเราะสูล เป็นผู้ที่กระทำโดยเด็ดขาดในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ดังนั้นไม่มีผู้ที่สามารถบังคับพระองค์ได้
(108) ส่วนบรรดาผู้ที่เป็นสุขที่เคยได้รับความสุขจากอัลลอฮ์เนื่องจากการศรัทธาของพวกเขาและการงานที่ดีต่างๆ ของพวกเขา ซึ่งพวกเขานั้นจะอยู่ในสวรรค์และจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลตราบเท่าที่บรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินยังอยู่ เว้นแต่ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์จะให้เขาเข้านรกก่อนเข้าสวรรค์จากบรรดามุมินที่ฝ่าฝืน แท้จริงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อชาวสวรรค์นั้นจะไม่ขาดตอนจากพวกเขา
(109) ดังนั้น โอ้เราะสูลเอ๋ย จงอย่าอยู่ในการเคลือบแคลงใจและสงสัยใดๆ ในความไม่ถูกต้องของสิ่งที่พวกตั้งภาคีเหล่านั้นเคารพบูชา ซึ่งพวกเขาไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งทางสติปัญญาและทางศาสนาที่บ่งบอกว่ามันอยู่บนความถูกต้อง แต่สิ่งที่นำพวกเขาไปสู่การเคารพอิบาดะฮ์ต่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์คือการตามบรรพบุรุษของพวกเขา และแน่นอนเราจะทำให้สมบูรณ์ซึ่งส่วนที่พวกเขาจะได้รับจากการลงโทษโดยจะไม่มีการลดหย่อน
(110) และแน่นอนเราได้ประทานคัมภีร์อัตเตารอตแก่มูซา แล้วมนุษย์ก็เกิดการขัดแย้งกันขึ้นเกี่ยวกับมัน บางคนได้ศรัทธาต่อมันและบางคนก็ปฏิเสธ และหากมิใช่เพราะกำหนดจากอัลลอฮ์ที่มีมาก่อนหน้านี้ว่า พระองค์จะไม่รีบเร่งในการลงโทษ แต่จะชะลอมันออกไปจนถึงวันกิยามะฮ์ เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ(ของพระองค์แล้ว) แน่นอนการลงโทษจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาในโลกนี้ทันทีตามที่พวกเขาควรได้รับ แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่ชาวยิวและผู้ตั้งภาคีต่างก็สงสัยในอัลกุรอาน ตกอยู่ในความเคลือบแคลง
(111) และแท้จริงผู้ที่ถูกกล่าวถึงทั้งหมด จากบรรดาผู้ขัดแย้งทั้งหลายนั้น พระผู้อภิบาลของเจ้าจะตอบแทนให้แก่พวกเขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ตามการงานต่าง ๆ ของพวกเขาที่ได้กระทำไว้ ดังนั้นสิ่งใดที่เป็นความดี ผลตอบแทนของมันก็จะดี และสิ่งใดไม่ดี ผลตอบแทนของมันก็จะไม่ดี และแท้จริง อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงรอบรู้โดยละเอียดถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ ไม่มีสิ่งใดจากการงานต่าง ๆ ของพวกเขาซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้
(112) โอ้เราะสูลเอ๋ย จงยืนหยัดบนหนทางที่เที่ยงตรง ดั่งที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาเจ้า ดังนั้นจงปฏิบัติตามข้อใช้ต่างๆของพระองค์ และจงห่างไกลจากข้อห้ามต่างๆของพระองค์ และจงให้ผู้ที่ขอลุแก่โทษที่อยู่พร้อมกับเจ้าในหมู่บรรดาผู้ศรัทธานั้นได้ยืนหยัดในความเที่ยงธรรม และอย่าละเมิดขอบเขตโดยการกระทำในสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืน แท้จริงพระองค์ทรงเห็นสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ และไม่มีสิ่งใดจากการงานต่าง ๆ ของพวกเจ้าซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าต่อการงานนั้นๆ
(113) และพวกเจ้าทั้งหลายจงอย่าโน้มเอียงไปหาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่อธรรมด้วยการประจบประแจงหรือให้ความรักใคร่ต่อพวกเขา มิฉะนั้นแล้วไฟนรกก็จะประสบกับพวกเจ้าอันเนื่องมาจากการโน้มเอียงนั้น และสำหรับพวกเจ้าไม่มีผู้คุ้มครองใด ๆ ที่จะช่วยดึงพวกเจ้าออกมาจากขุมนรกนั้นนอกจากอัลลอฮ์ หลังจากนั้นพวกเจ้าจะไม่พบผู้ใดที่จะช่วยเหลือพวกเจ้า
(114) และเจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดในรูปแบบที่ดีที่สุด โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย ในช่วงปลายทั้งสองของกลางวัน นั่นก็คือช่วงแรกของวันและช่วงท้ายของมัน และจงดำรงมันไว้ในเวลากลางคืน แท้จริงการงานที่ดีทั้งหลายย่อมลบล้างความผิดที่เล็ก ๆ ได้ สิ่งที่ถูกกล่าวนั้นคือข้อเตือนสติสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญและเป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ที่พินิจพิจารณา
(115) และเจ้าจงอดทนต่อการปฏิบัติในสิ่งที่เจ้าถูกบัญชาใช้ จากการยืนหยัดและอื่นๆ และจงอดทนต่อการละทิ้งสิ่งที่เจ้าถูกห้ามเอาไว้ จากการละเมิดฝ่าฝืนและโน้มเอียงไปสู่การอธรรม แท้จริงอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มิทรงทำให้ผลบุญของผู้กระทำดีทั้งหลายเป็นโมฆะ แต่พระองค์จะทรงตอบรับจากพวกเขาซึ่งสิ่งที่ดีที่พวกเขาได้กระทำไว้ และตอบแทนพวกเขาต่อสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้ซึ่งผลบุญที่ดีที่สุด
(116) หากมีในประชาชาติที่ถูกลงโทษก่อนหน้าพวกเจ้า ซึ่งคนดีและมีคุณธรรมหลงเหลืออยู่ ช่วยกันห้ามปรามพวกเขาจากการปฏิเสธศรัทธาและห้ามพวกเขาไม่ให้สร้างความเสียหายในแผ่นดินด้วยการประพฤติผิดศีลธรรม ไม่มีคนดีในหมู่พวกเขาเหลืออยู่เลย นอกจากไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งพวกเขาช่วยกันห้ามปรามไม่ให้สร้างความเสียหายในแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้เราจึงช่วยให้พวกเขาได้รอดปลอดภัย ในตอนที่เราได้ทำลายล้างกลุ่มชนของพวกเขาที่อธรรม ในขณะที่กลุ่มชนที่อธรรมในหมู่ชนของพวกเขาสนใจแต่ความสุขที่พวกเขากำลังเพลิดเพลินอยู่ และพวกเขาเป็นผู้อธรรมอันเนื่องจากการปฏิบัติตามความสุขสำราญนั้น
(117) และพระผู้อภิบาลของเจ้า โอ้ท่านเราะสูล จะไม่ทรงทำลายเมืองใดๆหากว่าชาวเมืองนั้นเป็นผู้ที่ปรับปรุงแก้ไขกันบนหน้าแผ่นดิน แต่พระองค์จะทรงทำลายเมื่อพวกเขาเป็นผู้บ่อนทำลายด้วยการปฏิเสธศรัทธา การอธรรม และการประพฤติผิดศีลธรรม
(118) และหากพระผู้อภิบาลของเจ้า -โอ้ เราะสูลเอ๋ย- มีความประสงค์ที่จะให้มนุษย์ทั้งหลายเป็นประชาชาติเดียวกัน อยู่บนสัจธรรมแล้ว แน่นอนพระองค์ทำได้ แต่พระองค์ไม่ประสงค์เช่นนั้น พวกเขาจึงยังคงแตกแยกกันในสัจธรรมนั้น อันเนื่องมาจากการทำตามอารมณ์และการฝ่าฝืน
(119) เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงเมตตาด้วยการให้พวกเขาได้พบกับการชี้นำสู่ทางนำที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ขัดแย้งกันต่อการศรัทธาในเอกภาพของอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และอันเนื้องจากการทดสอบด้วยการขัดแย้งกันนี้ พระองค์จึงบังเกิดพวกเขา ดังนั้นในหมู่พวกเขาจึงมีทั้งผู้เป็นทุกข์และผู้เป็นสุข และลิขิตของพระผู้อภิบาลของเจ้าที่พระองค์ทรงกำหนดไว้นั้น -โอ้ เราะสูลเอ๋ย- มันสมบูรณ์ตั้งแต่ก่อนแล้วว่า จะให้นรกญะฮันนัมนั้นเต็มไปด้วยเหล่าผู้ที่ติดตามชัยฏอน จากญินและมนุษย์
(120) และทุกเรื่องราวที่เราได้บอกเล่าให้แก่เจ้า -โอ้ เราะสูลเอ๋ย- จากเรื่องราวต่างๆของบรรดาเราะสูลก่อนหน้าเจ้า เราได้บอกเล่ามันเพื่อทำให้จิตใจของเจ้าหนักแน่น และเข้มแข็งอยู่บนสัจธรรม และสัจธรรมที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ในซูเราะฮ์นี้ได้มายังเจ้าแล้ว และในซูเราะฮ์นี้ได้นำมายังเจ้าซึ่งข้อเตือนใจสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และคำตักเตือนสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาซึ่งพวกเขาได้รับประโยชน์จากคำตักเตือนนั้น
(121) และจงกล่าวเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย แก่บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และไม่ให้ความเป็นเอกภาพต่อพระองค์ว่า "พวกท่านทั้งหลายจงปฏิบัติตามแนวทางของพวกท่านในการต่อต้านสัจธรรมและปิดกั้นให้ห่างจากมันเถิด แท้จริงพวกเราก็จะปฏิบัติตามแนวทางของพวกเราโดยการยืนหยัดอยู่บนแนวทางนี้ เรียกร้องเชิญชวนไปสู่แนวทางนี้ และอดทนอยู่บนแนวทางนี้"
(122) พวกท่านจงคอยดูเถิด สิ่งที่จะลงมายังพวกเรา แท้จริงพวกเราก็จะคอยดูสิ่งที่จะลงมายังพวกท่านเช่นกัน
(123) และเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ทรงรอบรู้ซึ่งสิ่งที่พ้นญาณวิสัยในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ไม่มีสิ่งใดปกปิดซ่อนเร้นต่อพระองค์ได้ และยังพระองค์เท่านั้นที่การงานทั้งหมดจะถูกนำกลับไปในวันกิยามะฮ์ ดังนั้นเจ้าจงเคารพอิบาดะฮ์ต่อพระองค์เพียงพระองค์เดียวเถิด -โอ้ เราะซูลเอ๋ย- และจงมอบหมายต่อพระองค์ในทุกๆ การงานของเจ้า และพระผู้อภิบาลของเจ้ามิใช่ผู้ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ แต่พระองค์ทรงรอบรู้ถึงมันดี และจะทรงตอบแทนทุกคนด้วยกับสิ่งที่เขาได้กระทำไว้