(1) ฮา มีม ได้มีการกล่าวถึงเรื่องนี้แล้วในตอนต้นของซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ
(2) คัมภีร์อัลกุรอ่านนี้เป็นการประทานลงมาจากอัลลอฮฺ ผู้ทรงมีอำนาจที่ไม่มีอำนาจใดเหนือกว่า ผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงปรีชาญาณในสิ่งที่เขาสร้าง และการจัดการควบคุมดูแล และบทบัญญัติของพระองค์
(3) พระองค์ไม่ได้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองนั้นอย่างไร้ประโยชน์แต่เราได้สร้างทั้งหมดนี้ด้วยความจริงที่แอบแฝงไปด้วยวิทยปัญญาขั้นสูงไว้มากมาย ส่วนหนึ่ง เพื่อให้บ่าวผู้ศรัทธาได้รู้จักพระองค์ และเคารพอิบาดะฮ์พระองค์แต่เพียงผู้เดียว และไม่ตั้งภาคีใด ๆ และเพื่อพวกเขาจะได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะตัวแทนพระองค์บนหน้าแผ่นดินจนถึงช่วงเวลาหนึ่งที่ถูกกำหนดไว้ซึ่งอัลลอฮ์เท่านั้นที่รู้ ในขณะที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาผินหลังให้ในสิ่งที่พวกเขาถูกตักเตือนด้วยสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ พวกเขาไม่ได้สนใจในสิ่งเหล่านี้
(4) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะซูล แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีที่ผินหลังต่อสัจธรรม จงบอกฉันมาเกี่ยวกับรูปปั้นของพวกเจ้าที่พวกเจ้าเคารพศรัทธานอกจากอัลลอฮ อะไรบ้างที่มันสร้างขึ้นมาในโลกนี้? มันสร้างภูเขาขึ้นมากระนั่นหรือ? มันสร้างแม่น้ำหรือ?หรือว่าพวกมันมีส่วนร่วมกับอัลลอฮในการสร้างชั้นฟ้าทั้งหลาย? จงนำคัมภีร์ที่อัลลอฮทรงประทานลงมาก่อนหน้าอัลกุรอ่านมาให้ข้าดูซิ หรือจงแสดงร่องรอยแห่งความรู้ที่เป็นหลักฐานยืนยันในการนี้ หากพวกท่านเป็นผู้ซื่อสัตย์จริง ในการที่พวกเจ้าอ้างว่ารูปปั้นทั้งหลายควรแก่การเคารพบูชามัน
(5) และไม่มีผู้ใดแย่กว่าบรรดาผู้ที่ได้เคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮฺที่เป็นเทวรูปที่ไม่ตอบสนองการเรียกร้องของพวกเขาจนถึงวันกิยามะฮฺ รูปปั้นที่พวกเขาเคารพบูชานอกจากอัลลอฮนั้น เพิกเฉยต่อคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอนขอ อีกทั้งยังเมินเฉยต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือสิ่งที่เป็นอันตรายต่อพวกเขา
(6) และในขณะที่มัน (เจว็ด หรือ สิ่งที่ถูกเคารพบูชา) ไม่ให้ประโยชน์ใดๆ แก่พวกเขาในโลกนี้ มิหนำซ้ำเมื่อพวกเขารวมกันอยู่ในวันกิยามะฮฺพวกเขาจะเป็นศัตรูกัน ระหว่างบรรดาผู้ที่เคารพบูชา และสิ่งที่ถูกเคารพบูชา พวกเขาจะปฏิเสธพวกเขากันเอง พวกเขาต่างปฏิเสธว่าพวกเขานั้นไม่รู้เรื่องถึงการบูชาของพวกเขา
(7) และเมื่อโองการของอัลลออฮฺที่ถูกประทานลงมาแก่เราะซูลของเรา ได้ถูกอ่านให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายได้ฟัง พวกเขาจะกล่าวกันว่า นี่คือมายากลชัดๆ ไม่ไช่เป็นวะฮฺยูจากอัลลอฮฺ
(8) บรรดาผู้ตั้งภาคีกล่าวว่าอย่างไร แท้จริงมูฮัมมัดคิดค้นปั้นแต่งอัลกุรอ่านนี้และพาดพิงถึงพระเจ้า? จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด โอ้ท่านเราะซูล หากฉันคิดค้นปั้นแต่งมาด้วยตนเอง พวกท่านก็ไม่มีอำนาจอันใดที่จะช่วยเหลือฉันได้จากบทลงโทษของอัลลอฮฺหากพระองค์ทรงประสงค์ ดังนั้นฉันจะหาทางหลีกเลี่ยงให้ตัวเองปลอดจากบทลงโทษของอัลลอฮฺด้วยการประดิษฐ์สิ่งนี้มาทำไม? พระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกท่านกำลังง่วนอยู่ในเรื่องนี้ พอเพียงแล้วที่พระองค์ทรงเป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน และพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยในบาปปวงบ่าวที่กลับใจและผู้ทรงเมตตาเสมอ
(9) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะซูล แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีที่ปฏิเสธในความเป็นศาสนฑูตของเจ้าว่า ฉันมิได้เป็นคนแรกในบรรดาเราะซูลที่อัลลอฮส่งมา เจ้าจะแปลกใจกับคำเชิญของฉันที่มีต่อพวกเจ้า ซึ่งมีเราะซูลหลายคนก่อนหน้าฉันมาแล้ว ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงทำอะไรกับฉัน และสิ่งที่เขาทำกับพวกเจ้าในโลกนี้ และหากปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮวะฮียฺให้แก่ฉัน และฉันก็ไม่ได้พูด ไม่ได้กระทำในสิ่งใดเว้นแต่เป็นสิ่งที่ถูกวะฮฺยูมาแก่ฉัน และฉันมิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นผู้ตักเตือนพวกเจ้าจากบทลงโทษของอัลลอฮอันชัดแจ้ง
(10) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะซูล แก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธ จงบอกฉันมาหากอัลกุรอานมาจากอัลลอฮ และพวกท่านปฏิเสธอัลกุรอานนั้นทั้งๆที่มีพยานคนหนึ่งจากวงศ์วานของอิสรออีลว่า แท้จริงอัลกุรอานนั้นมาจากอัลลอฮ โดยยึดถือในสิ่งที่นำมาในคัมภีร์อัตเตารอตด้วยเช่นกัน แล้วเขาก็ศรัทธาแต่พวกท่านยังดื้อรั้นหยิ่งยโสต่อการศรัทธาต่อพระองค์ พวกท่านไม่ไช่ผู้ที่อธรรมดอกหรือ? แท้จริงอัลลอฮจะไม่ทรงเห็นด้วยแก่หมู่ชนผู้ที่อธรรมต่อความสัจธรรม
(11) และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาในอัลกุรอ่านและสิ่งที่เราะซูลของพวกเขาได้นำมาแก่พวกเขาจะกล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า หากสิ่งที่มูฮัมมัดได้นำมานั้นเป็นเรื่องจริง นำไปสู่สิ่งที่ดี แน่นอนสิ่งนี้จะไม่เข้าไปถึงแก่บรรดาผู้ยากจน ทาส และบรรดาผู้อ่อนแอก่อนพวกเรา และเป็นเพราะว่าพวกเขามิได้รับการชี้แนะจากสิ่งที่นำมาแก่พวกเขาโดยเราะซูลของเขา พวกเขาเหล่านั้นจึงกล่าววว่า นี่คือเรื่องโกหกดั้งเดิมที่ถูกนำมายังพวกเรา และพวกเราก็จะไม่ทำตามในเรื่องโกหกเหล่านี้
(12) และก่อนหน้าอัลกุรอ่านนี้ มีคัมภีร์อัตเตารอดที่อัลลอฮประทานลงมายังท่านนบีมูซา อลัยฮิสสลาม เป็นแบบอย่างนำสู่สัจธรรม และความเมตตาสำหรับผู้ที่ศรัทธาและปฏิบัติตามต่อจากเขาจากกลุ่มชนอิสรออีล และนี่อัลกุรอานที่ถูกประทานลงมายังมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นคัมภีร์ที่ยืนยันของความถูกต้องของคัมภีร์ก่อนหน้านี้เป็นภาษาอาหรับ เพื่อตักเตือนบรรดาผู้ที่อธรรมต่อตัวพวกเขาเองด้วยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ และกระทำบาป และในขณะเดียวกันนั้น เป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่กระทำความดี ที่มีความสัมพันธ์อันดีงามกับผู้สร้างของพวกเขาและมีความสัมพันธ์อันดีงามกับสิ่งที่ถูกสร้างโดยผู้สร้างของพวกเขา
(13) แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮฺคือพระเจ้าของพวกเราไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ แล้วพวกเขาก็ยืนหยัดเข้มแข็ง ด้วยความเชื่อมั่นในพระเจ้าและการปฏิบัติแต่ความดี ดังนั้น จะไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ แก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาจะต้องเผชิญในวันอาคีเราะฮฺ และพวกเขาก็จะไม่เสียใจในสิ่งที่พวกเขาพลาดโชคชะตาบนโลกดุนยา หรือ สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ข้างหลัง
(14) กลุ่มชนที่ถูกกล่าวโดยคุณสมบัติเหล่านี้คือชาวสวรรค์ พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวรรค์ตลอดกาลเป็นรางวัลแก่พวกเขา สำหรับการกระทำความดีที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ในโลกดุนยา
(15) และเราได้สั่งเสียอย่างชัดเจนแก่มนุษย์ให้พวกเขาทำดีต่อบิดามารดาของเขา ให้ทำดีแก่เขาทั้งสองในช่วงที่เขาทั้งสองมีชีวิตอยู่และหลังจากที่เขาทั้งสองได้เสียไปแล้วโดยการไม่ละเมิดบทบัญญัติอิสลามโดยเฉพาะเรื่องของมารดาของเขาที่ได้อุ้มครรภ์เขาด้วยความเหนื่อยยาก และได้คลอดเขาด้วยความเจ็บปวด และการอุ้มครรภ์เขาและการหย่านมของเขาในระยะเวลาสามสิบเดือน จนกระทั่งเมื่อเขาบรรลุวัยหนุ่มฉกรรจ์ของเขา และมีอายุถึงสี่สิบปี เขาจะกล่าววิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ขอบคุณต่อความโปรดของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์และบิดามารดาของข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์ทำความดีเพื่อให้พระองค์ท่านทรงพอพระทัยแก่ข้าพระองค์ และทรงให้ความดีเกิดขึ้นในลูกหลานของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ขออภัยโทษต่อพระองค์ในความบาปของข้าพระองค์ และแท้จริงข้าพระองค์อยู่ในหมู่ผู้นอบน้อมต่อบทบัญญัติของพระองค์
(16) กลุ่มชนเหล่านี้คือ บรรดาผู้ที่เราได้ตอบรับในการงานที่ดีจากพวกเขา ซึ่งพวกเขาได้ปฏิบัติไว้ และเราจะละเลยความผิดต่างๆของพวกเขา เราจะไม่ถือสาในความผิดเหล่านั้น และพวกเขาอยู่ในหมู่ชาวสวรรค์ นี่เป็นการสัญญาที่อัลลอฮทรงสัญญาแก่พวกเขา เป็นสัญญาแห่งความจริงซึ่งพวกเขาสมควรที่จะได้รับ
(17) และผู้ใดที่กล่าวแก่บิดามารดาของเขาว่า วิบัติแก่ท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองขู่ฉันว่า ฉันจะถูกให้ออกมาฟื้นคืนชีพอีกกระนั้นหรือหลังจากที่ฉันได้ตายไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่ผ่านไปหลายศตวรรษก่อนหน้าฉัน และมนุษย์ก็ได้ตายไป ยังไม่ได้บังเกิดขึ้นมาเลย? และบิดามารดาทั้งสองร้องขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺให้ทรงชี้ทางนำแก่ลูกของเขาทั้งสอง และได้มีเสียงกล่าวแก่ลูกของเขาทั้งสองว่า ความหายนะจงประสบแก่เจ้า หากเจ้ายังไม่ศรัทธาต่อวันฟื้นคืนชีพ จงศรัทธาเถิด แท้จริงสัญญาของอัลลอฮฺนั้นเป็นความจริง แล้วเขาก็พูดปฏิเสธอีกครั้งถึงการฟื้นคืนชีพ เรื่องนี้มิใช่อะไรอื่น นอกจากเป็นนิยายเหลวไหลสมัยก่อนเท่านั้น มันไม่มีอยู่จริง ณ ที่อัลลอฮฺ
(18) ชนเหล่านั้น คือ บรรดาผู้ที่จะต้องได้รับการลงโทษ รวมกับประชาชาติก่อนหน้าพวกเขาจากญินและมนุษย์ แท้จริงพวกเขาอยู่ในความขาดทุน ซึ่งพวกเขาจะต้องสูญเสียตัวเองและครอบครัวโดยการเข้าไปในไฟนรก
(19) และสำหรับทั้งสองฝ่ายนี้ ฝ่ายชาวสวรรค์และฝ่ายชาวนรก ลำดับชั้นของเขานั้นเรียบเรียงตามการงานของพวกเขา ส่วนลำดับชั้นของชาวสวรรค์นั้นเป็นลำดับชั้นที่สูงส่ง และลำดับชั้นของชาวนรกนั้นต่ำต้อย และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาอย่างครบถ้วนตามผลงานของพวกเขา โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกละเมิด หรือ เกิดความอยุติธรรมในวันกียามะฮฺ โดยที่ความดีจะไม่ถูกละเลยแม้แต่น้อย และความชั่วก็จะไม่ถูกเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
(20) และในวันที่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮและกล่าวเท็จต่อท่านเราะซูลมาอยู่ต่อหน้าไฟนรกเพื่อรับการลงโทษ และจะมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาด้วยน้ำเสียงที่โหดเหี้ยมว่า พวกเจ้าได้เอาสิ่งดีงามทั้งหลายของพวกเจ้าในการดำรงชีวิตของพวกเจ้าในโลกดุนยาไปแล้ว และพวกเจ้าได้มีความสำราญกับมันแล้ว ฉะนั้นวันนี้พวกเจ้าจะได้รับการตอบแทนด้วยบทลงโทษอันอัปยศ เนื่องด้วย พวกเจ้าหยิ่งยโสในแผ่นดินโดยไม่เป็นธรรมและเนื่องด้วยพวกเจ้าได้อออกจากการเคารพภักดีต่ออัลลอฮด้วยการปฏิเสธศรัทธาและทำการฝ่าฝืน
(21) และจงรำลึกเถิด โอ้ท่านเราะซูล ฮูดพี่น้องคนหนึ่งของพวกอ๊าดในเชื้อสาย ตอนที่เขาได้ให้การตักเตือนต่อประชาชาติของเขาถึงบทลงโทษของอัลลอฮฺที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขา และพวกเขาอยู่ในบ้านของพวกเขาในคาบสมุทรอาหรับตอนใต้ และแน่นอน บรรดาเราะซูลผู้ตักเตือนก่อนหน้าฮูดและภายหลังเขาได้กล่าวตักเตือนว่า พวกท่านอย่าเคารพอิบาดะฮฺผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺองค์เดียว และอย่าได้เคารพอิบาดะฮฺสิ่งอื่นไปพร้อมกัน แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่าน โอ้กลุ่มชนของฉัน ถึงการลงโทษแห่งวันอันยิ่งใหญ่คือวันกียามะฮฺ
(22) กลุ่มชนของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า ท่านมาหาพวกเราเพื่อจะทำให้เราแตกแยกจากการเคารพสักการะพระเจ้าของพวกเรากระนั้นหรือ? ไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน ดังนั้นจงนำการลงโทษตามที่ท่านได้สัญญาไว้กับเราไว้ หากท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริงในการเชิญชวนของท่าน
(23) ท่านนบีฮูดกล่าวว่า แท้จริงนั้นความรู้เรื่องการลงโทษนั้นอยู่ที่อัลลอฮ และฉันไม่รู้เรื่องนี้ แต่ฉันเป็นเราะซูลที่คอยประกาศแก่พวกท่านตามที่ฉันได้ถูกส่งมาเพื่อการนี้ และฉันเห็นว่าพวกท่านเป็นหมู่ชนผู้งมงาย อะไรที่ให้ประโยชน์แก่พวกท่านแต่พวกท่านกลับละทิ้งมัน และอะไรที่จะส่งผลเสียแก่พวกท่าน แต่พวกท่านกลับทำมันซะอย่างนั้น
(24) และเมื่อท่านบีฮูดได้มายังพวกเขา พวกเขาก็ได้รีบเร่งขอบทลงโทษ พวกเขาได้เห็นก้อนเมฆในทิศทางบนชั้นฟ้ามุ่งหน้าไปยังพวกเขา พวกเขากล่าวว่า นี่คือเมฆที่จะให้น้ำฝนแก่เรา ท่านนบีฮูดกล่าวแก่พวกเขาว่า นี้ไม่ไช่อย่างที่พวกเจ้าคิดว่าเป็นก้อนเมฆที่ฝนจะตกลงมาแก่พวกเจ้า แต่มันคือบทลงโทษที่พวกเจ้าขออย่างรีบร้อนไง มันเป็นลมพายุแห่งการลงโทษที่จะสรา้งความเจ็บปวดทรมาน
(25) ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้ามันซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาให้ทำลาย และพวกเขาก็ถูกทำลาย ไม่มีอะไรให้แลเห็นนอกจากบ้านพักอาศัยของพวกเขาเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นพยานหลักฐานให้เห็นว่า พวกเขาเคยมีตัวตนอยู่จริงมาก่อนหน้านี้ และการลงโทษอันเจ็บปวดเช่นนี้แหละ เราจะตอบแทนผู้ปฏิเสธอย่างไม่รู้ไม่ชี้ และฝืนที่จะไม่ยอมรับในความจริง
(26) และเราได้ให้คนของฮูดเป็นสาเหตุของการตั้งหลักแหล่งที่มั่นคงโดยที่เรานั้นไม่ได้ให้แก่พวกเจ้า และเราได้ทำให้พวกเขามีหูที่สามารถได้ยินและให้ดวงตาที่มองเห็นและให้หัวใจที่นึกคิดได้แต่ว่าหูของพวกเขา ตาของพวกเขา และหัวใจของพวกเขา มิได้อำนวยประโยชน์อันใดแก่พวกเขาเลย และไม่ได้ปกป้องพวกเขาจากบทลงโทษของอัลลอฮเมื่อบทลงโทษนั้นได้มาถึง โดยที่พวกเขานั้นได้ปฏิเสธศรัทธาต่อสัญญาณต่างๆของอัลลอฮ และการเผชิญหน้ากับสิ่งที่พวกเขาได้เคยเยาะเย้ยมา ซึ่งบทลงโทษที่ท่านนบีฮูด อลัยฮิสสลาม เคยกล่าวให้การหวาดกลัวและจงระวังไว้
(27) และโดยแน่นอน เราได้ทำลายหมู่บ้านต่างๆที่อยู่รอบๆพวกเจ้า โอ้ชาวมักกะฮฺเอ๋ย และเราก็ได้ทำลายกลุ่มชนอ๊าดและษะมูดและกลุ่มชนลูฏและชาวมัดยัน และเราได้แจกแจงซึ่งประเภทของหลักฐานและความชัดเจนต่างๆ เพื่อว่าพวกเขาจะกลับมาสำนึกผิดในการปฏิเสธศรัทธา
(28) ดังนั้นรูปปั้นที่พวกเขาเชื่อถือดังพระผู้เป็นเจ้านอกเหนือจากอัลลอฮ เคารพบูชามัน ด้วยการทำอิบาดะห์และการเชือดให้มันนั้น ไฉนเล่าจึงไม่ช่วยเหลือพวกเขา? ในยามที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง แต่พวกมันเองกลับหายสาปสูญไป นั่นเป็นเรื่องโกหกที่พวกเขานับถือมาโดยตลอด และหวังว่าจะได้ช่วยเหลือพวกเขา ณ ที่อัลลอฮฺ
(29) และจงรำลึกเถิด โอ้ท่านเราะซูล ครั้นเมื่อเราได้ส่งบรรดาญินกลุ่มหนึ่งไปรับฟังอัลกุรอ่านที่ถูกประทานลงมายังเจ้า ดังนัันเมื่อพวกเขาไปรวมตัวเพื่อรับฟังแล้ว ส่วนหนึ่งในหมู่พวกเขาจึงได้พูดออกมาว่า จงนิ่งเงียบๆ จนกว่าเราจะได้ฟังดีๆ อย่างชัดเจน และเมื่อท่านเราะซูลอ่านจบ พวกเขาก็ได้กลับไปหากลุ่มชนของพวกเขาและได้แจ้งเตือนแก่กลุ่มชนของพวกเขาถึงบทลงโทษของอัลลอฮฺหากพวกเขาไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอ่าน
(30) พวกเขากล่าวแก่กลุ่มชนของพวกเขาว่า โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย แท้จริงเราได้ยินมาว่ามีคัมภีร์หนี่งที่อัลลอฮได้ประทานลงมาหลังจากท่านนบีมูซาเป็นการยืนยันในสิ่งที่ได้มีมาก่อนแล้วในคัมภีร์ที่ถูกประทานมาจากอัลลอฮฺ ซึ่งคัมภีร์ที่เราได้ยินมานั้นชี้แนะซึ่งทางไปสู่สัจธรรมและนำทางไปสู่เส้นทางที่เที่ยงตรงนั้นก็คือเส้นทางแห่งอัลอิสลามนั่นเอง
(31) โอ้หมู่ชนของเราเอ๋ย จงตอบรับในสิ่งที่มูฮัมมัดเรียกร้องพวกเจ้าไปสู่ความถูกต้องเถิด และจงศรัทธาเถิดว่าแท้จริงเขาคือเราะซูลที่มาจากพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงอภัยโทษในความผิดของพวกเจ้า และพระองค์จะทรงช่วยพวกเจ้าให้รอดพ้นจากการลงโทษอันเจ็บปวดที่กำลังรอพวกเจ้าอยู่หากพวกเจ้าไม่ตอบรับในสิ่งที่ถูกเรียกร้อง ซึ่งสัจธรรมที่แท้จริง และไม่ศรัทธาว่าแท้จริงเขานั้นเป็นท่านเราะซูลของพระองค์
(32) และผู้ใดที่ไม่ตอบรับการเรียกร้องของท่านนบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม คือการเรียกร้องสู่สัจธรรมที่แท้จริง เขามิอาจหลบหนีให้หลุดพ้นจากอัลลอฮฺได้บนโลกนี้ และสำหรับเขาแล้วจะไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากอัลลอฮฺผู้ที่จะทรงช่วยเขาให้พ้นจากการลงโทษ ชนเหล่านั้นคือผู้ที่หลงผิดอย่างชัดแจ้ง
(33) พวกเจ้าไม่เห็นดอกหรือว่าบรรดาผู้ตั้งภาคีที่ปฏิเสธต่อวันฟื้นคืนชีพ แท้จริงอัลลอฮฺ ซึ่งทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้ และมิทรงอ่อนเพลียต่อการสร้างสิ่งเหล่านั้นด้วยความใหญ่และกว้างขวาง และเป็นผู้อานุภาพที่จะให้คนตายมีชีวิตขึ้นมาอีก เพื่อคิดบัญชีและให้การตอบแทน แน่นอนแท้จริงพระองค์สามารถที่จะให้ชีวิตแก่พวกเขา แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุก ๆ สิ่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางพระองค์ได้จากการทำให้คนตายมีชีวิตขึ้นมาใหม่
(34) วันที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์จะถูกไฟเผาเพื่อลงโทษในวันนั้น โดยมีเสียงกล่าวเชิงตำหนิว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าเห็นจากการลงโทษจริงๆดอกหรือ? หรือเป็นเท็จดังที่คุณอ้างไว้ในโลกดุนยา? พวกเขาตอบว่า แน่นอนพวกข้าพระองค์ขอสาบานด้วยพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ แท้จริงมันเป็นเรื่องจริง และจะมีเสียงกล่าวแก่เขาว่า พวกเจ้าจงลิ้มรสของบทลงโทษเถิดเพราะพวกเจ้านั้นปฏิเสธศรัทธาในอัลลอฮฺ
(35) ดังนั้นเจ้าจงอดทน โอ้ท่านเราะซูล ต่อการปฏิเสธของกลุ่มชนของเจ้าดังบรรดาผู้ตั้งจิตมั่นแห่งเราะซูลทั้งหลาย นูฮ อิบรอฮีม มูซา และอีซา อลัยฮิมุสสลามและอย่ารีบเร่งให้มีการลงโทษแก่พวกเขา ในวันที่กลุ่มชนของเจ้าได้เห็นสิ่งที่ถูกสัญญาไว้ปรากฏต่อหน้าพวกเขาแล้วพวกเขาจะรู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้เว้นแต่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ นิดเดียวเท่านั้น ไม่ถึงหนึ่งวันโดยซ้ำไปทั้งนี้ เพราะช่วงเวลาที่พวกเขาทุกข์ทรมานในโลกหน้านั้นจะยาวมาก นี้คือคัมภีร์อัลกุรอ่านที่ถูกประทานลงมายังมูฮัมมัด ศ็อลลัลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และเพียงพอสำหรับมนุษย์และญิน แท้จริงความหายนะจะไม่ประสบด้วยการลงโทษเว้นแต่ผู้ที่ปลีกตัวออกจากการเคารพภักดีต่ออัลลอฮด้วยการปฏิเสธศรัทธาและกระทำในสิ่งที่เป็นบาป