17 - Al-Israa ()

|

(1) อัลลอฮฺทรงมหาบริสุทธิ์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ เนื่องด้วยอำนาจของพระองค์ทรงเหนืออำนาจใดๆ ดังนั้นพระองค์คือผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์นบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ทั้งกายและวิญญาณของเขาในสภาพที่รู้สึกตัว ในช่วงหนึ่งของกลางคืน จากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดบัยตุลมักดิส (มัสยิดอัลอักซอ) ซึ่งเป็นมัสยิดที่พระองค์ได้ทำให้บริเวณรอบมันได้เกิดความจำเริญ ด้วยพืชผล ผักผลไม้ต่างๆ นานา และเหล่าบ้านเรือนของบรรดานบีที่ล่วงลับไป(ขอพระองค์ทรงเมตตาทุกท่าน) เพื่อให้เขาได้เห็นถึงสัญญาณต่างๆที่แสดงถึงเดชานุภาพของอัลลอฮ์ (ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์ยิ่ง) แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงได้ยินดังนั้นไม่มีเสียงใดจะเล็ดลอดจากพระองค์ได้ ผู้ทรงเห็นดังนั้นไม่มีสิ่งใดแอบซ่อนไปจากพระองค์ได้เช่นกัน

(2) และเราได้มอบคัมภีร์เตารอฮ์แก่มูซา อะลัยฮิสสลาม และเราได้ทำให้มันเป็นแนวทางและเป็นคู่มือแก่วงศ์วานของอิสรออีล และกล่าวแก่วงศ์วานของอิสรออีลว่า "อย่าได้ยึดผู้ใดอื่นจากข้า เป็นผู้คุ้มครองที่พวกเจ้ามอบหมายกิจการต่างๆของพวกเจ้า แต่จงมอบหมายทุกอย่างแด่ข้าเพียงผู้เดียว"

(3) พวกเจ้าคือลูกหลานวงศ์วานของบรรดาผู้ที่เราได้โปรดปรานด้วยการให้รอดปลอดภัยพร้อมกับนบีนูหฺจากการจมน้ำเมื่อครั้นน้ำท่วมใหญ่ ฉะนั้นจงรำลึกและจงขอบคุณในความโปรดปรานของอัลลอฮ์ ด้วยการเคารพสักการะและเชื่อฟังพระองค์เท่านั้น และจงขอบคุณต่อพระองค์อย่างที่นบีนูหฺเป็นแบบอย่าง เพราะแท้จริงเขาเป็นบ่าวที่กตัญญูรู้คุณต่ออัลลอฮฺเป็นอย่างมาก

(4) และเราได้แจ้งแก่ชนชาติอิสรออีลและบอกกับพวกเขาในคัมภีร์เตารอฮ์ว่า พวกเขาจะก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินอย่างแน่นอน โดยการกระทำความชั่วและยโสโอหังถึงสองครั้งด้วยกัน และแน่นอนพวกเขาจะลุกขึ้นมีอำนาจเหนือผู้อื่น ด้วยความอยุติธรรมและการกดขี่ผู้คนอย่างไร้ขีดจำกัด

(5) เมื่อความวิบัติครั้งที่หนึ่งได้เกิดขึ้นจากน้ำมือของพวกเขา เราได้ส่งบรรดาบ่าวของเราผู้มีอำนาจเข้มแข็ง รูปร่างที่แข็งแกร่ง ได้เข่นฆ่าและขับไล่พวกเขา ดังนั้นบรรดาบ่าวของเราจึงได้บุกเข้าไปยังทุกส่วนในบ้านเมืองของพวกเขาพร้อมทำลายทุกอย่างที่พวกเขาได้เดินผ่าน และคำสัญญาของอัลลอฮ์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้จะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน

(6) แล้วหลังจากนั้นเราได้ให้โอกาสแก่พวกเจ้า -โอ้วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย- ได้กลับมามีบ้านเมืองและมีอำนาจเหนือพวกที่ได้ยึดอำนาจจากพวกเจ้า หลังจากที่พวกเจ้าได้เตาบะฮ์(กลับเนื้อกลับใจ)ต่ออัลลอฮ์ และเราได้ให้พวกเจ้ากลับมามีทรัพย์สินหลังจากที่ถูกยึดไป และมีบุตรหลานหลังจากที่ได้ตกเป็นเชลยศึก และเราได้ทำให้พวกเจ้ามีกองกำลังเหนือศัตรูของพวกเจ้า

(7) หากพวกเจ้า-โอ้วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย- ได้กระทำความดี และได้ทำความดีบนครรลองที่ได้บัญญัติไว้ ดังนั้นผลของความดีนั้นก็จะกลับมาหาพวกเจ้าเอง และสำหรับอัลลอฮนั้นไม่จำเป็นต้องพึ่งการงานใดๆของพวกเจ้าเลย และหากพวกเจ้ากระทำความชั่ว ดังนั้นการลงโทษสำหรับสิ่งนั้นก็จะเกิดกับพวกเจ้าเช่นกัน ดังนั้นสำหรับพระองค์แล้วไม่ได้ประโยชน์ใดๆจากความดีของพวกเจ้าและไม่ได้เกิดผลกระทบใดๆจากการละเมิดของพวกเจ้า และเมื่อได้มีการสร้างความเสียหายเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง เราจะทำให้ศัตรูของพวกเจ้ามีอำนาจเหนือพวกเจ้าเพื่อทำให้ความระทมทุกข์ได้ปรากฎบนใบหน้าของพวกเจ้า เนื่องจากพวกเขาจะทำทุกอย่างให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองถึงรสชาติแห่งความตกต่ำ และเพื่อเข้าไปในวิหารแห่งเยรูซาเล็มและทำลายมันเหมือนครั้งที่พวกเขาได้เข้าไปและทำลายมันในครั้งแรก และเพื่อทำลายสิ่งที่พวกเขาได้ยึดมาจากแผ่นดินนั้นอย่างหมดสิ้น

(8) หวังว่าพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า -โอ้วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย- จะทรงเมตตาแก่พวกเจ้า หลังจากการลงโทษที่รุ่นแรงนี้ หากพวกเจ้าได้กลับใจต่อพระองค์ และพวกเจ้าได้กระทำคุณงามความดีและหากพวกเจ้ากลับมาก่อกวนเป็นครั้งที่สามหรืออีกกี่ครั้งก็ตาม เราก็จะกลับมาลงโทษพวกเจ้าอีกเช่นกัน และเราได้ทำให้นรกญะฮันนัม เป็นที่คุมขังและเป็นที่พำนักสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และพวกเขาจะไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากมันได้

(9) แท้จริง คัมภีร์อัลกุรอานที่ถูกประทานลงมายังมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม นั้น จะชี้แนะถึงแนวทางที่ดีที่สุด มันก็คือแนวทางแห่งอิสลามนั่นเอง และ(เป็นคำภีร์ที่)ที่จะแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ที่ประกอบคุณงามความดีทั้งหลายในสิ่งที่จะทำให้พวกเขาพอใจ คือพวกเขาจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่จากอัลลอฮ์นั่นเอง

(10) และ(นอกจากนั้นคำภีร์อัลกุรอาน) ยังแจ้ง(ข่าวร้าย) แก่บรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อวันกิยามะฮ์ด้วยสิ่งที่พวกเขาไม่พอใจ คือเราได้เตรียมการลงโทษอันเจ็บปวดให้กับพวกเขาในวันกิยามะฮ์

(11) และมนุษย์ มักจะวิงวอนขอเพื่อความชั่วร้ายต่อตนเอง ต่อลูกๆและทรัพย์สินของตนเอง เมื่อพวกเขาโกรธ เพราะความไม่รู้ของพวกเขา เสมือนการวิงวอนขอต่อตัวเองเพื่อความดี ซึ่งถ้าหากว่าเราได้ตอบรับคำวิงวอนของพวกเขาเพื่อความชั่วร้ายนั้น แน่นอนพวกเขา ลูกๆและทรัพย์สินของพวกเขาก็จะพินาศ และมนุษย์นั้นมีธรรมชาติที่ชอบรีบร้อน จึงมักจะรีบร้อนที่จะทำบางสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อตัวเอง

(12) และเราได้สร้างกลางวันและกลางคืน เพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความเป็นเอกภาพและเดชานุภาพของอัลลอฮ์ เพราะในทั้งสองเวลานั้นมีความต่างกันทั้งในเรื่องเวลาที่สั้นกับยาว หรืออากาศที่ต่างกันร้อนกับหนาว ดังนั้นเราจึงกำหนดให้กลางคืนมืดมิด เพื่อให้มนุษย์ได้นอนหลับผักผ่อน และเราได้กำหนดให้กลางวันสว่างไสว เพื่อให้มนุษย์ได้มองเห็นและแสวงหาปัจจัยยังชีพ ทั้งนี้การสลับหมุนเวียนกันของกลางวันกับกลางคืนนั้น ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้รู้ถึงจำนวนปี และสิ่งจำเป็นต่าง ๆ เช่นการคำนวณเวลาของแต่ละเดือน เวลาของแต่ละวันและเวลาของแต่ละชั่วโมง และทุกสิ่งนั้นเราได้อธิบายอย่างชัดเจนถี่ถ้วนแล้ว เพื่อสามารถจำแนกสิ่งต่าง ๆ ได้และเพื่อให้สามารถแยกแยะและให้เกิดความกระจ่างระหว่างความถูกต้องจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

(13) และมนุษย์ทุกคน เราจะให้การงานของพวกเขาติดกับตัวของพวกเขาเหมือนกับการติดของสร้อยคอที่แขวนไว้ที่คอ ไม่สามารถถอดมันออกไปได้จนกว่าจะถูกสอบสวน และในวันปรโลกเราจะนำบันทึกที่มีทุกๆการงานทั้งดีและชั่วของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะพบบันทึกนั้นมาเปิดกางไว้ต่อหน้าพวกเขา

(14) และเราจะกล่าวแก่พวกเขาในวันนั้นว่า "โอ้มนุษย์เอ๋ย เจ้าจงอ่านสมุดบันทึกของเจ้าเถิด และจงพิพากษาตนเองในการงานที่ตนเองได้ทำ ซึ่งในวันปรโลกนั้นเพียงพอแล้วที่เจ้าจะเป็นผู้ชำระบัญชีต่อตัวเอง"

(15) ใครก็ตามที่ได้รับแนวทางแห่งการศรัทธาที่ถูกต้องเขาจะได้รับผลดีกลับไปสู่ตัวเขาเอง และใครก็ตามที่หลงทางออกไปเขาจะถูกลงโทษอันเนื่องมาจากความผิดพลาดของเขาเองเช่นกัน และไม่มีผู้ใดที่จะมาแบกเบาภาระ(บาป)แทนผู้อื่นได้ และพระองค์มิอาจลงโทษกลุ่มชนใดกลุ่มชนหนึ่งจนกว่าพระองค์จะมีหลักฐานเหนื่อพวกเขา โดยการส่งบรรดาศาสนทูตของพระองค์ไปยังพวกเขาเสียก่อน

(16) และเมื่อเราต้องการทำให้หมู่บ้านใดถูกทำลายอันเนื่องมาจากความอธรรมของพวกเขาเอง เราได้สั่งให้บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่อย่างหรูหราและมั่งคั่งในเมืองนั้นให้เคารพภักดีต่อพระองค์ แต่พวกเขากลับไม่ปฏิบัติตาม ดื้อรั้น ฝ่าฝืน และไม่เชื่อฟัง เมื่อนั้นแล้วสมควรที่จะถูกลงโทษอย่างพังพินาศ

(17) และกี่มากน้อยแล้วที่เราได้ทำลายล้างกลุ่มชนที่ปฏิเสธศรัทธา หลังจากนบีนูห เช่นกลุ่มชนอาดและกลุ่มชนษะมูด และเพียงพอกับพระผู้อภิบาลของเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ทรงรอบรู้ถึงความผิดบาปของปวงบ่าวของพระองค์ ทรงเห็นทุกสิ่งไม่มีสิ่งใดจะปกปิดพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงสอบสวนพวกเขาเอง

(18) ผู้ใดประกอบคุณงามความดีเพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนในโลกนี้โดยปฏิเสธศรัทธาต่อวันปรโลกและเพิกเฉยต่อมัน พระองค์จะรีบเร่งให้เขาได้รับในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์มิใช่ตามที่เขาปรารถนาไว้ แล้วในวันกิยามะฮ์นั้นพระองค์จะทรงเตรียมนรกญะฮันนัมไว้สำหรับเขา เขาจะเข้าไปในนั้นเผชิญกับการทรมานแห่งความร้อนของมัน เพื่อเป็นการลงโทษเขาในฐานะที่เลือกชีวิตแห่งโลกนี้และปฏิเสธศรัทธาต่อวันปรโลก และเป็นการรขับออกจากความเมตตาของพระองค์

(19) และผู้ใดได้ประกอบคุณงามความดีเพื่อหวังการตอบแทนและได้ทุ่มเทในการประกอบความดีนั้นโดยปราศจากการโอ้อวดและหวังชื่อเสียงใดๆทั้งสิ้น โดยเขาเป็นผู้ศรัทธาในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ ดังนั้นการทุ่มเทของผู้ที่มีคุณลักษณะเช่นนี้จะเป็นที่ตอบรับ ณ อัลลอฮ์และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาเอง

(20) โอ้เราะสูลเอ๋ย พระองค์ได้ทรงเพิ่มพูนปัจจัยยังชีพแก่ทั้งสองกลุ่มคือ กลุ่มผู้ประพฤติดีและกลุ่มผู้ประพฤติชั่ว ซึ่งการประทานของพระองค์ในโลกดุนยานี้จะไม่ถูกปิดกั้นแก่ผู้ใดทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือจะเป็นคนชั่วก็ตาม

(21) โอ้เราะสูลเอ๋ย เจ้าจงใคร่ครวญเถิดว่า เราได้ให้เกียรติระหว่างพวกเขาในโลกนี้อย่างไร ทั้งในด้านปัจจัยยังชีพและตำแหน่งเกียรติยศ และในโลกหน้านั้นจะแตกต่างมากเมื่อเทียบกับระดับความสุขในโลกนี้ และเกียรติก็จะต่างกันมาก ดังนั้นมุอ์มินจงแสวงหาความยิ่งใหญ่นั้นเถิด

(22) โอ้ปวงบ่าวเอ๋ย จงอย่าเอาพระเจ้าอื่นใดเทียบเคียงกับอัลลอฮ์ในการเคารพสักการะ เพราะจะทำให้เจ้าเป็นผู้ถูกตำหนิ ณ ที่พระองค์ และ ณ ที่บรรดาผู้ประพฤติดี ไร้ซึ่งผู้สรรเสริญ ถูกเมินเฉย และไม่มีใครช่วยเหลือ

(23) พระผู้อภิบาลของเจ้า -โอ้ผู้เป็นบ่าวเอ๋ย- ได้ทรงใช้และทรงบัญชาไว้ว่า "จงอย่าเคารพภักดีต่อผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้น และทรงบัญชาให้ปฏิบัติดีต่อบิดามารดาโดยเฉพาะในยามแก่ชรา ถ้าหากคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองถึงวัยชรา แล้วอาศัยอยู่กับเจ้า ดังนั้นอย่าบ่นท่านทั้งสองด้วยคำพูดที่ทำร้ายทั้งสอง และอย่าดุด่าและพูดรุนแรงกับทั้งสอง แต่พูดกับท่านทั้งสองด้วยคำพูดที่สุภาพซึ่งเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวล"

(24) และจงมีความเมตตา อ่อนน้อมถ่อมตนต่อท่านทั้งสอง พร้อมๆกับกล่าวขอพรว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของข้า ขอพระองค์ทรงโปรดเมตตาแก่ท่านทั้งสอง เนื่องจากที่ท่านทั้งสองได้อบรมเลี้ยงดูข้าเมื่อเยาว์วัย"

(25) โอ้มนุษย์เอ๋ย พระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ทรงรู้ดียิ่งถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของพวกเจ้า เช่นความบริสุทธิใจต่อพระองค์ในการประกอบศาสนกิจ การประกอบความดีต่างๆ และการปรนนิบัติที่ดีต่อพ่อแม่ หากพวกเจ้ามีเจตนาบริสุทธิ์จริงในการงานดังกล่าวแล้ว แน่นอนพระองค์จะทรงอภัยโทษแก่บรรดาผู้ที่กลับเนื้อกลับตัวในหมู่พวกเจ้าทันที ดังนั้นคนที่สำนึกผิดในความบกพร่องของตนเองที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์หรือไม่ได้เชื่อฟังพ่อแม่แล้ว พระองค์ทรงพร้อมที่จะให้อภัยเขาเสมอ

(26) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ต่อเครือญาติของเจ้าด้วยการเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพวกเขา และต่อผู้ที่ขัดสนด้วยการมอบสิ่งปัจจัยยังชีพแก่เขา และต่อผู้ที่ติดขัดในการเดินทางด้วยกับการช่วยเหลือเขา และอย่าใช้จ่ายทรัพย์สินเงินทองของเจ้าในทางที่ผิดบาปหรือฟุ่มเฟือย

(27) แท้จริงบรรดาผู้ที่ใช้จ่ายทรัพย์สินของเขาในหนทางที่เป็นการเนรคุณสุรุ่ยสุร่ายนั้นเป็นพี่น้องกับเหล่าชัยตอน คอยเชื่อฟังทำตามคำสั่งของพวกมันในการฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายมาโดยตลอด และชัยตอนนั้นเนรคุณต่อพระผู้อภิบาลของมัน ชอบทำในสิ่งที่เป็นการเนรคุณต่อคำสั่งของพระองค์และชอบสั่งใช้ในสิ่งที่พระองค์ทรงกริ้วโกรธ

(28) และหากเจ้าไม่สามารถที่จะมอบสิ่งใดๆให้พวกเขาได้ เนื่องด้วยเจ้าเองไม่มีสิ่งที่จะให้แก่พวกเขาเหล่านั้น พร้อมกับการรอปัจจัยยังชีพที่อัลลอฮ์จะเปิดให้แก่เจ้า ก็จงบอกพวกเขา ด้วยคำพูดที่นุ่มนวล เช่นขอพรให้พวกเขาได้รับปัจจัยยังชีพอย่างมากมาย หรือไม่ก็สัญญากับพวกเขาว่าหากวันไหนได้รับปัจจัยยังชีพจาพระองค์ในเรื่องของทรัพย์สินเงินทองนั้นก็จะเตรียมมอบให้

(29) และจงอย่าเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวหรือเป็นคนฟุ่มเฟือยในการใช้จ่าย เพราะจะถูกตำหนิจากผู้คนในความตระหนี่ของเจ้าหากว่าไม่มีการใช้จ่ายใดๆเลย และอาจจะกลายเป็นคนที่ขัดสนไม่มีอะไรใช้จ่ายเลยเพราะสาเหตุของความฟุ่มเฟือยที่ผ่านมา

(30) แท้จริง พระผู้อภิบาลของเจ้าทรงไพศาลในการให้ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงระงับมันแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์เช่นกัน ด้วยเหตุแห่งวิทยปัญญาอันสูงส่งของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรู้ดีถึงสภาพของปวงบ่าวของพระองค์และทรงเฝ้าดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด พวกเขามิอาจซ่อนความลับใดๆจากพระองค์ได้ ดังนั้นพระองค์จึงปฏิบัติต่อพวกเขาตามที่พระองค์ทรงประสงค์นั่นเอง

(31) และพวกเจ้าอย่าฆ่าลูกๆของพวกเจ้าเพราะกลัวความยากจนในอนาคตหากพวกเจ้าได้เลี้ยงดูพวกเขา เราเป็นผู้ดูแลเรื่องปัจจัยยังชีพของพวกเขาและเราเป็นผู้ดูแลเรื่องปัจจัยยังชีพให้แก่ของพวกเจ้าเช่นกัน แท้จริงการฆ่าพวกเขานั้นเป็นความผิดบาปอย่างใหญ่หลวง เพราะพวกเขาไม่มีความผิดและไม่มีเหตุผลใดที่จะฆ่าพวกเขาเลย

(32) และพวกเจ้าจงระวังการผิดประเวณี และควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะมากระตุ้นมัน แท้จริงมันช่างน่าเกลียดที่สุดและเป็นหนทางอันชั่วช้าที่จะนำไปสู่ปัญหาของการสืบเชื้อสายและการลงโทษของพระองค์

(33) และพวกเจ้าจงอย่าฆ่าชีวิตใดที่พระองค์ทรงปกป้องไว้ด้วยกับการศรัทธาที่มีต่อพระองค์หรือได้รับความคุ้มครอง(จากรัฐอิสลาม)ยกเว้นด้วยเหตุที่อนุญาตให้ฆ่าชีวิตนั้นได้ เช่นผู้ละทิ้งศาสนา ผู้ผิดประเวณีِที่แต่งงานมาแล้ว และฆาตกรผู้อธรรม และหากผู้ใดถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรมโดยปราศจากเหตุผลที่ชอบธรรม เราได้ให้อำนาจ(ในการแก้แค้น)แก่ทายาทของผู้ตายเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งเครือญาติเหล่านี้สามารถเรียกร้องให้ทางการทำการประหารชีวิตฆาตกรผู้อธรรม หรืออาจจะให้อภัยกับเขาโดยเรียกค่าสินไหมหรือไม่เรียกก็ได้ นี่คือขอบเขตที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ต่อฆาตกรผู้อธรรม จึงมิอาจกระทำการใดๆที่ละเมิดขอบเขตดังกล่าวได้เช่น ฆ่าหั่นศพ หรือฆ่าด้วยอาวุธอื่นที่ฆาตกรไม่ได้ใช้ฆ่าผู้ตาย หรือฆ่าผู้อื่นแทนที่ฆาตกรตัวจริง แท้จริงแล้วพระองค์ทรงปกป้องดูแลสิทธิ์ของผู้ที่ถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรมเสมอ

(34) และพวกเจ้าจงอย่ากระทำการใดๆกับทรัพย์สินของผู้ที่พ่อของเขาได้เสียชีวิตไปตั้งแต่เยาว์วัย(เด็กกำพร้า) เว้นแต่ด้วยสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่เขามากที่สุดเช่น การเพิ่มพูนทรัพย์สินโดยการลงทุน(มีผลกำไรจริง)หรือเก็บออมไว้จนกว่าเขาจะบรรลุศาสนภาวะเป็นผู้ใหญ่และมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และจงปฏิบัติตามสัญญาให้ครบถ้วนระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้า และระหว่างเจ้ากับคนอื่นๆโดยไม่มีการละเมิดสัญญาแต่อย่างใด แท้จริงแล้วในวันฟื้นคืนชีพพระองค์อัลลอฮ์จะทรงสอบสวนผู้ที่ตอบรับคำสัญญาว่าเขาได้ปฏิบัติตามนั้นหรือไม่? หากได้ปฏิบัติตามแล้วพระองค์จะทรงตอบแทนเขา แต่หากยังไม่ได้ปฏิบัติตามแล้วพระองค์จะทรงลงโทษเขา

(35) และจงตวงให้ครบถ้วนตามจำนวนเมื่อเจ้าทำการตวงให้แก่ผู้อื่นและอย่าได้ทำให้มันพร่อง และจงทำการชั่งด้วยตาชั่งที่แม่นยำไม่ทำให้มันพร่องหรือลดจำนวนลง เพราะการตวงที่ครบถ้วนและการชั่งที่เที่ยงตรงนั้นมันเป็นสิ่งที่ดียิ่งแก่พวกเจ้าในโลกนี้และโลกหน้า และยังเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าการละเมิดคดโกงในการชั่งตวงอย่างแน่นอน

(36) โอ้ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย เจ้าอย่าได้ปฏิบัติในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นโดยยึดหลักการคาดเดาเพียงอย่างเดียว แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นจะถูกสอบสวนต่อการใช้ หู ตา และความคิด ในหนทางที่ดีหรือไม่ดี หากได้ใช้มันในหนทางที่ดีก็จะได้รับผลบุญตอบแทน และหากได้ใช้มันในหนทางที่ไม่ดีก็จะถูกลงโทษ

(37) และอย่าเดินในแผ่นดินนี้ด้วยความเย่อหยิ่งและจองหองเพราะแม้ว่าเจ้าจะเดินด้วยความเย่อหยิ่งก็ไม่ได้ทำให้แผ่นดินแยกออก และไม่ได้ทำให้เจ้าสูงเท่าภูเขาได้ แล้วทำไมเจ้าต้องแสดงความเย่อหยิ่ง?!

(38) มนุษย์เอ๋ย ทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่ดีนั้น ณ ที่พระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นสิ่งต้องห้าม พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยต่อผู้มีพฤติกรรมดังกล่าวแถมยังโกรธกริ้วเขาอีกด้วย

(39) นั่นคือสิ่งที่เราได้ชี้แจงให้แก่เจ้าซึ่งสิ่งที่เป็นคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามต่าง ๆ และบทบัญญ้ติต่าง ๆ ที่เราได้วะห์ยูให้แก่เจ้า และเจ้า -โอ้มนุษย์เอ๋ย- อย่าเอาสิ่งใด ๆ มาเป็นพระเจ้าร่วมกับอัลลอฮ์ เพราะจะทำให้เจ้าถูกโยนลงไปในนรกญะฮันนัมในวันกิยามะฮ์ ในสภาพที่ถูกตำหนิทั้งในสายตาของตัวเจ้าเองและในสายตาของมนุษย์คนอื่น ๆ และถูกขับให้ห่างจากความดีทั้งหลาย

(40) โอ้บรรดาผู้ที่อ้างว่าบรรดามลาอิกะฮฺ(ทูตสวรรค์หรือเทวทูต)นั้นเป็นบุตรสาวของอัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าได้มอบสิทธิพิเศษแก่พวกเจ้าด้วยการมอบบุตรชายแก่พวกเจ้า แล้วทรงเลือกบรรดามละอิกะฮ์เป็นบุตรสาวแก่พระองค์เองกระนั้นหรือ?! แท้จริงอัลลอฮ์นั้นสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเจ้าได้กล่าวไว้ แท้จริงการกล่าวอ้างของพวกเจ้านั้นเป็นคำกล่าวที่น่าเกลียดที่สุดที่ได้พาดพิงว่าอัลลอฮฺนั้นทรงมีบุตรและคิดว่าพระองค์ทรงมีบุตรสาว (การกล่าวอ้างเช่นนั้น)มันแสดงถึงการปฏิเสธศรัทธาที่เกินขอบเขต

(41) และแน่นอนในคำภีร์อัลกุรอานพระองค์ได้อธิบายถึงบทบัญญัติ ข้อตักเตือน และอุทาหรณ์ต่างๆเพื่อเป็นบทเรียนแก่ผู้คนนำไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขาและละทิ้งในสิ่่งที่ให้โทษแก่พวกเขา แต่ชีวิตจริงของบางคนนั้นสัญชาตญาณของพวกเขาเปลี่ยนไป จึงทำให้พวกเขาห่างไกลจากสัจธรรมและรังเกลียดมัน

(42) จงกล่าวเถิด(มุหัมมัด)แก่ผู้ที่ตั้งภาคีกับพระองค์ หากว่ามีพระเจ้าอื่นๆจริงถูกกราบไหว้ร่วมกับอัลลอฮ์ตามที่พวกเขาได้กล่าวอ้างอย่างโกหกนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้นแน่นอนบรรดาพระเจ้าเหล่านั้นต้องหาแนวทางเพื่อแย่งชิงบัลลังก์และอำนาจจากพระองค์อัลลอฮ์แล้วสินะ

(43) อัลลอฮ์ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงปราศจากคุณลักษณะต่างๆที่บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายได้อ้างไว้ และพระองค์ทรงสูงส่งเหนือทุกสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้

(44) เหล่าชั้นฟ้าและแผ่นดินทั้งหลายและทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในนั้นที่เป็นสิ่งถูกสร้างต่างกล่าวแซ่ซ้องสดุดีต่ออัลลอฮ์ และไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้เว้นแต่จะสดุดีและสรรเสริญต่อพระองค์ แต่พวกเจ้าไม่เข้าใจถึงวิธีการสดุดีของพวกมัน และพวกเจ้าจะไม่เข้าใจเว้นแต่ผู้ที่สดุดีต่อพระองค์ด้วยภาษาของพวกเจ้า แท้จริงแล้วพระองค์เป็นผู้ทรงขันติไม่รีบเร่งในการลงโทษและผู้ทรงให้อภัยแก่บ่าวที่กลับเนื้อกลับตัวเสมอ

(45) และเมื่อเจ้า -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- อ่านอัลกุรอาน บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็จะได้ยินในสิ่งที่เป็นข้อห้ามและข้อตักเตือนต่างๆที่ระบุไว้ในอัลกุรอาน ดังนั้นเราจะทำม่านกั้นระหว่างเจ้ากับพวกเขา เป็นการกีดกันพวกเขาไม่ให้เข้าใจอัลกุรอานเพื่อเป็นการลงโทษสำหรับการปฏิเสธของพวกเขา

(46) และเราได้ปิดคลุมหัวใจของพวกเขาจนพวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจอัลกุรอาน และเราได้อุดหูของพวกเขาจนไม่สามารถที่จะฟังอัลกุรอานด้วยการฟังที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา และเมื่อเจ้าเอ่ยถึงพระผู้อภิบาลของเจ้าในอัลกุรอานเพียงองค์เดียวโดยไม่ได้เอ่ยถึงบรรดาพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาก็จะผินหลังหนีจากการยอมรับในความเป็นหนึ่งเดียวของอัลลอฮ์ที่บริสุทธิ์

(47) เรารู้ดียิ่งถึงเจตนาในการฟังอัลกุรอานของเหล่าผู้นำแห่งผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย ซึ่งพวกเขาไม่ได้มุ่งหวังเพื่อการได้รับทางนำจากอัลกุรอานแต่อย่างใด หากเพียงแต่ต้องการจากการฟังเจ้าอ่านนั้นคือการเยาะเย้ยเจ้าเท่านั้น และเราทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเขาได้กระซิบระหว่างกันเพื่อปฏิเสธต่อต้านคำสอนจากอัลกุรอาน ซึ่งพวกอธรรมเหล่านี้จะกล่าวระหว่างพวกเขากันเองว่า "พวกเจ้า -โอ้มนุษย์เอ๋ย- คนที่พวกเจ้ากำลังตามอยู่นั้นเป็นผู้ที่ถูกเวทมนตร์และสติของเขาฟั่นเฟือนไปแล้ว"

(48) จงสังเกตเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ว่าเจ้าอาจประหลาดใจกับสิ่งที่พวกเขาอ้างถึงเจ้าในรูปแบบของลักษณะที่น่าตำหนิต่างๆเพื่อให้พวกเขาเบี่ยงเบนและหลงไปจากเส้นทางแห่งสัจธรรมและไม่สามารถค้นหาเส้นทางแห่งสัจธรรมได้อีก

(49) และบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายได้กล่าวในเชิงปฎิเสธต่อวันฟื้นคืนชีพว่า "เมื่อเราได้ตายไปและได้กลายเป็นกระดูก และร่างกายของเราได้สลายไปหมดแล้ว เราจะกลับมาฟื้นใหม่อีกครั้งกระนั้นหรือ?! มันเป็นเรื่องทื่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง"

(50) จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- "โอ้บรรรดาผู้ที่ตั้งภาคีทั้งหลาย หากพวกเจ้ามีความสามารถก็จงเป็นหินที่แข็ง หรือเป็นเหล็กที่แกร่งสิ แน่นอนพวกเจ้าไม่อาจจะเป็นเช่นนั้นได้เป็นอันขาด"

(51) หรือจะกลายเป็นสิ่งที่แข็งกว่าหินแกร่งกว่าเหล็กตามที่พวกเจ้านึกคิดอยู่ในใจว่า (มันไม่อาจจะถูกทำให้เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง) แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงให้เรือนร่างของพวกเจ้ากลับสู่สภาพเดิมดังที่พวกเจ้าเริ่มกำเนิด และจะให้พวกเจ้าฟื้นคืนชีพอีกครั้งดังที่เคยสร้างมาในครั้งแรก พวกเจ้าที่ดื้อรั้นก็จะถามมาว่า "ใครเล่าจะนำเรากลับมามีชีวิตอีกหลังจากที่ตายไปแล้ว?" โอ้มุหัมมัด จงตอบแก่พวกเขาเถิด "ผู้ที่จะทำให้พวกเจ้าฟื้นขึ้นอีกครั้ง ก็คือผู้ที่ทำให้พวกเจ้ามีชีวิตขึ้นในครั้งแรกโดยไม่มีตัวอย่างใดๆมาก่อน? แล้วพวกเขาก็จะส่ายหัวดูถูกคำตอบของเจ้าแล้วเยาะเย้ยกลับมาว่า"แล้วเมื่อไหรมันจะเกิดขึ้น?!" จงตอบกลับไปอีกว่า "บางทีมันก็อาจจะเร็วๆนี้ก็ได้" เพราะทุกสิ่งที่กำลังมา มันย่อมใกล้เสมอ

(52) อัลลอฮฺได้ทำให้พวกเจ้าฟื้นคืนชีพในวันที่พวกเจ้าถูกเรียกให้รวมตัวกัน ณ ทุ่งมะหชัร พวกเจ้าก็จะสนองตอบรับคำบัญชาของพระองค์ด้วยการสรรเสริญสดุดีพระองค์ และพวกเจ้าจะรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้(โลกก่อนตาย)เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง

(53) โอ้ท่านเราะสูล(ศาสนทูตของพระองค์) จงบอกแก่ปวงบ่าวที่ศรัทธาต่อข้าเถิดว่า เมื่อพวกเจ้าทำการสนทนากับคนอื่นควรเลือกใช้แต่เฉพาะคำพูดที่ดีๆและหลีกเลี่ยงคำพูดที่ไม่ดีที่จะก่อให้เกิดการบาดหมางระหว่างกัน เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้ชัยฏอน(มารร้าย)เข้ามายุแหย่สร้างความเสียหายแก่ชีวิตของพวกเจ้าทั้งโลกนี้และโลกหน้า แท้จริงชัยฏอน(มารร้าย)นั้นคือศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ดังนั้นจงระมัดระวังมันให้มากๆ

(54) โอ้มนุษย์เอ๋ย พระผู้อภิบาลของสูเจ้าทรงรู้ดีทุกสิ่งเกี่ยวกับสูเจ้า จึงไม่มีสิ่งใดที่จะปกปิดพระองค์ได้ หากพระองค์ทรงประสงค์ที่จะเมตตาสูเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงเมตตาสูเจ้าด้วยกับการชี้ทางนำแห่งการศัทธามั่นและการปฏิบัติการงานที่ดีต่อพระองค์เสมอ แต่หากว่าพระองค์ทรงประสงค์ที่จะทรงลงโทษสูเจ้าแล้ว พระองค์จะลงโทษด้วยกับการปล่อยให้หลงจากทางแห่งการศรัทธาและทรงเอาชีวิตของเจ้าในสภาพที่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา และเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เราไม่ได้ส่งเจ้ามาเพื่อทำหน้าที่ปกครองพวกเขาโดยการบังคับพวกเขาให้ศรัทธาต่อพระองค์ หรือกีดกั้นไม่ให้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ หรือทำหน้าที่จดบันทึกทุกๆการงานของพวกเขาแต่อย่างใด แต่หน้าที่หลักของเจ้าคือการเป็นผู้ส่งสารของอัลลอฮในสิ่งที่พระองค์ได้กำชับไว้แก่มวลมนุษย์เท่านั้น

(55) และพระผู้อภิบาลของเจ้า-โอ้เราะสูลเอ๋ย- ทรงรู้ดียิ่งถึงทุกสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทรงรอบรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของพวกเจ้าและสิ่งที่สมควรที่จะได้รับ และแน่นอนเราได้ให้นบีบางคนมีความประเสริฐเหนือกว่านบีบางคนด้วยกับจำนวนผู้ติดตามที่มากกว่าหรือด้วยกับการประทานคำภีร์ลงมา และเราก็ได้ประทานคัมภีร์ซะบูรแก่ท่านนบีดาวูด

(56) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้น "พวกเจ้าจงเรียกหาบรรดาสิ่งที่พวกเจ้าได้อ้างว่ามันคือพระเจ้าของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าได้ประสบความทุกข์ยาก แท้จริงพระเจ้าเหล่านั้นไม่อาจปกป้องพวกเจ้าจากความทุกข์ยากนั้นได้และไม่อาจจะปัดความทุกข์ยากนั้นออกไปยังผู้อื่นได้ เพราะความอ่อนแอของพวกมัน ดังนั้นผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นพระเจ้าไม่ได้"

(57) แท้จริงแล้ว บรรดาผู้ที่(เหล่าบรรดาผู้ตั้งภาคี)ได้วิงวอนขอนั้น จะเป็นเหล่าบรรดามลาอิกะฮ์หรืออื่นจากมลาอิกะฮ์ ตัวของพวกเขาเองก็ยังแสวงหาแนวทางที่จะทำให้ใกล้ชิดกับพระองค์มากที่สุด ด้วยกับการปฏิบัติการงานที่ดีต่างๆ และแข่งขันกันระหว่างพวกเขาเพื่อเป็นผู้ที่ไกล้ชิดพระองค์มากที่สุดและหวังในความเมตตาของพระองค์ และเกรงกลัวบทลงโทษจากพระองค์ แท้จริงการลงโทษของพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นเป็นที่น่าสะพรึงกลัวที่จำเป็นต้องระวังอย่างที่สุด

(58) และไม่มีหมู่บ้านใดหรือเมืองใดที่อาศัยโดยผู้ปฏิเสธ นอกจากพระองค์จะทรงลงโทษหรือทำลายล้างอย่างรุนแรงโดยการคร่าชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ เนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา ซึ่งการลงโทษหรือการทำลายล้างดังกล่าวนั้น เป็นกฎกำหนดของพระเจ้าที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้แล้วในแผ่นบันทึกที่ถูกรักษาไว้

(59) และเราไม่ได้ยุติการส่งสัญญาณต่างๆที่เป็นรูปธรรม เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันถึงการเป็นศาสนทูตที่แท้จริงของท่านนบีมุหัมมัด ตามที่บรรดามุชรีกีนได้ร้องขอเอาไว้ เช่นการขอให้คนตายได้ฟื้นขึ้นมาใหม่และอื่นๆ เนื่องจากมันเคยถูกประทานลงมาแก่กลุ่มชนรุ่นก่อนๆแล้ว แต่พวกเขากลับปฏิเสธศรัทธาอยู่ดี ตัวอย่างเช่น สัญญาณที่ยิ่งใหญ่และชัดเจนที่สุดที่ได้ประทานลงมาแก่กลุ่มชนษะมูด(เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันถึงการเป็นศาสนทูตของนบีซอลิห์) นั้นก็คือ อูฐตัวเมียที่พวกเขาได้ปฏิเสธมัน พระองค์จึงลงโทษพวกเขาทันที แท้จริงแล้วพระองค์มิได้ส่งสัญญาณต่างๆแก่บรรดาเราะสูลเพื่ออื่นใดนอกจากเป็นการตักเตือนประชาชาติของพวกเขาเอง โดยหวังอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะจำนนเข้ารับอิสลามนั่นเอง

(60) จงรำลึกเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เมื่อตอนที่เราได้กล่าวแก่เจ้าว่า "แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้าทรงครอบคลุมมนุษย์ทั้งหลายด้วยด้วยอำนาจของพระองค์ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดอยู่ในกำมือของพระองค์ และอัลลอฮ์ค์คือผู้ปกป้องเจ้าจากพวกเขา เพราะฉะนั้นเจ้าจงทำการเผยแพร่ตามที่เจ้าได้ถูกสั่งไว้ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงให้เจ้าได้เห็นมันในค่ำคืนที่เจ้าถูกส่งขึ้นไปบนฟากฟ้านั้น ก็เพื่อเป็นการทดสอบผู้คนเหล่านั้นว่าพวกเขาจะเชื่อหรือจะปฏิเสธ? และเราไม่ได้ทำให้ต้นซักกูมที่เราได้ระบุไว้ในอัลกุรอ่าน ว่ามันได้งอกมาจากไฟนรกอัลญะหีมเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นการทดสอบพวกเขาเช่นกัน สุดท้ายแล้วหากว่าพวกเขาไม่เชื่อในหลักฐานสองอย่างนี้แล้ว พวกเขาก็มิอาจเชื่อในหลักฐานอื่นๆได้ และเราได้เตือนพวกเขาด้วยการส่งสัญญาณต่างๆลงมา แต่พวกเขาไม่ได้เกิดความเกรงกลัวจากสัญญาณเหล่าแตอย่างใด นอกจากการปฏิเสธที่หนักขึ้นและการจมปลักในการหลงทาง

(61) และจงรำลึกเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เมื่อตอนที่เราได้บัญชาแก่บรรดามะลาอิกะฮ์ว่า"จงสุญูดต่ออาดัม ซึ่งเป็นการสุญูดเพื่อเป็นการให้เกียรติต้อนรับไม่ใช่เป็นการเคารพบูชาแต่อย่างใด ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดต่างก็ทำการสุญูดนอกจากอิบลีส(มารร้าย) ที่ปฏิเสธไม่ยอมสุญูดเพราะความเย่อหยิ่ง พร้อมกับกล่าวว่า "จะให้ฉันสุญูดต่อผู้ที่พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดินทั้งๆที่พระองค์ทรงสร้างฉันมาจากไฟกระนั้นหรือ?!" ดังนั้นฉันย่อมมีเกียรติเหนือกว่าเขา

(62) อิบลีส(มารร้าย)ได้กล่าวแก่พระผู้อภิบาลของเขาอีกว่า "พระองค์ทรงพิจารณาดูหน่อยซิ นี่นะหรือที่พระองค์ทรงยกย่องให้เหนือกว่าฉันด้วยการสั่งให้ฉันทำการสุญูดต่อเขา? ถ้าหากพระองค์ทรงผ่อนปรนอายุไขของฉันไปจนถึงวันสุดท้ายของโลกใบนี้ แน่นอนฉันจะหลอกล่อลูกหลานของเขาและเบี่ยงเบน(ความสนใจของพวกเขา)ทุกคนให้ออกไปจากแนวทางที่เที่ยงตรง เว้นแต่เพียงกลุ่มน้อยนิดเท่านั้นที่พระองค์ทรงคุ้มครองพวกเขา(จากการหลอกลวงของฉัน) ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นคือบรรดาบ่าวผู้ศรัทธาต่อพระองค์อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ"

(63) พระผู้อภิบาลของเขา(อิบลีส)ทรงตรัสแก่เขาว่า"เจ้าและผู้ปฏิบัติตามเจ้าจงออกไปให้พ้น แท้จริงนรกญะฮันนัมเป็นรางวัลสำหรับเจ้าและสำหรับพวกเขาเช่นกันซึ่งเป็นรางวัลที่สมบูรณ์และเตรียมพร้อมแล้วเพื่อเป็นการตอบแทนต่อการกระทำของพวกเจ้า"

(64) อิบลีส(มารร้าย)เอ๋ย เจ้าจงหลอกล่อผู้ที่เจ้าสามารถหลอกล่อพวกเขาได้ให้หลงผิดด้วยเสียงของเจ้าที่เรียกร้องสู่การเนรคุณ และจงระดมขบวนทหารม้าและพลเดินเท้าของเจ้ามาร่วมสมทบเพื่อการหลอกล่อผู้คนให้หลงเชื่อตามพวกเจ้า และเจ้าจงเป็นหุ่นส่วนกับพวกเขา(มนุษย์)ในทรัพย์สินของพวกเขาโดยให้พวกเขาได้เห็นทุกๆกิจการทางการเงินที่ผิดต่อหลักการอิสลามเป็นสิ่งสวยงาม และเจ้าจงเป็นหุ่นส่วนกับพวกเขาในลูกหลานของพวกเขาด้วยการอ้างโกหกไปว่าลูกหลานเหล่านี้ได้มาโดยการผิดประเวณี และจงทำให้พวกเขาเป็นบ่าวต่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์ในช่วงเวลาแห่งการกล่าว"บิสมิลลาฮ์" และเจ้าจงประดับให้แก่พวกเขาซึ่งสัญญาเท็จต่างๆ และความหวังอันจอมปลอมทั้งหลายให้สวยงาม และชัยตอนจะไม่สัญญาใดๆแก่พวกเขา นอกจากเป็นสัญญาที่โกหกหลอกลวง

(65) โอ้อิบลีส(มารร้าย) เจ้าไม่มีอำนาจใดเหนือปวงบ่าวผู้ศรัทธาที่เคร่งครัดของข้าอย่างเด็ดขาด เพราะว่าพระองค์จะทรงคุ้มครองปกป้องพวกเขาจากความชั่วร้ายของเจ้า และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นผู้คุ้มครองแด่ผู้ที่มอบหมายต่อพระองค์ในการงานต่างๆของเขา

(66) โอ้มนุษย์เอ๋ย พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าคือผู้ทรงทำให้เรือของพวกเจ้าแล่นในทะเล เพื่อพวกเจ้าจะได้แสวงหาปัจจัยยังชีพที่มีผลกำไรจากการค้าขายและอื่นๆ แท้จริงพระองค์ทรงเมตตาแก่พวกเจ้าเสมอ ซึ่งได้อำนวยความสะดวกแก่พวกเจ้าด้วยกับการข่นส่งเหล่านี้

(67) และเมื่อพวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย- ได้ประสบกับทุกข์ภัยในท้องทะเลจนพวกเจ้ากลัวกับความหายนะที่จะเกิดขึ้น ทำให้พวกเจ้าลืมทุกสิ่งที่เคยเคารพบูชานอกจากอัลลอฮ์ผู้เดียว และไม่รำลึกถึงสิ่งใดนอกจากอัลลอฮ์พระองค์เดียวแล้วพวกเจ้าก็ได้ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าให้ขึ้นบกด้วยความปลอดภัยและรอดพ้นจากสิ่งที่พวกเจ้ากลัวนั้น พวกเจ้าก็ผินหลังให้พระองค์จากที่เคยบริสุทธิ์ใจในเอกภาพของพระองค์และวิงวอนต่อพระองค์สู่การเคารพบูชาต่อรูปปั้นของพวกเจ้ายังเดิม แท้จริงแล้ว มนุษย์นั้นมักเป็นผู้เนรคุณต่อความโปรดปรานของอัลลอฮฺเสมอ

(68) พวกเจ้าจะปลอดภัยหรือ -โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายเอ๋ย- หลังจากที่พวกเจ้าได้ขึ้นบก แล้วอัลลอฮ์ทำให้มันถล่มลงไปทำให้พวกเจ้าจมหายไปใต้แผ่นดิน?! หรือว่าพวกเจ้าจะรอดหากพระองค์ได้ทรงทำให้ฝนตกเป็นก้อนหินหล่นใส่พวกเจ้า ดังเช่นการลงโทษของพระองค์ต่อกลุ่มชนนบีลูฏกระนั้นหรือ? เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าจะไม่มีผู้ใดที่คอยคุ้มครองดูแล หรือแม้แต่ผู้ที่จะช่วยเหลือพวกเจ้าให้รอดพ้นจากความหายนะที่เกิดขึ้น

(69) หรือพวกเจ้ารู้สึกปลอดภัย หากอัลลอฮ์ได้ส่งพวกเจ้ากลับสู่ทะเลอีกครั้งแล้วส่งลมแรงกระหน่ำใส่พวกเจ้าทำให้พวกเจ้าต้องจมน้ำตาย เนื่องจากการเนรคุณของพวกเจ้าที่มีต่อความโปรดปรานของอัลลอฮ์หลังจากที่พระองค์ทรงช่วยพวกเจ้าในครั้งแรก และพวกเจ้าจะไม่พบผู้ใดที่จะมาร้องเรียนต่อพระองค์ถึงสิ่งที่พระองค์ได้ลงโทษพวกเจ้าเพื่อเข้าข้างหรือช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างแน่นอน

(70) และแน่นอนเราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอาดัมด้วยการประทานสติปัญญาและการให้บรรดามลาอิกะฮ์ได้สุญูด(กราบ)ต่อบิดาของพวกเขา(นบีอาดัม)และอื่นๆอีกมากมาย และเราได้สร้างความสะดวกแก่พวกเขา ด้วยสิ่งที่ใช้ในการขนส่งทางบกที่เป็นสัตว์พาหนะ หรือสิ่งที่ใช้ขนส่งทางทะเลเช่น เรือเป็นต้น และพระองค์ได้ประทานปัจจัยยังชีพที่ดีแก่พวกเขา ทั้งที่เป็นอาหาร เครื่องดื่ม และคู่ชีวิตที่ดี ฯลฯ และเราได้ให้ความประเสริฐอย่างมากมายแก่พวกเขาเหนือกว่าสิ่งที่ถูกสร้างอื่นๆ ของพระองค์ เพราะฉะนั้นแล้วจำเป็นสำหรับพวกเขาต้องสำนึกในความกรุณาของพระองค์ที่มีต่อพวกเขา

(71) จงรำลึกเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- วันที่พระองค์จะทรงเรียกทุกหมู่ชนพร้อมด้วยบรรดาผู้นำของหมู่ชนเหล่านั้นที่เคยติดตามพวกเขาบนโลกดุนยานี้ ดังนั้นผู้ใดที่ได้รับบันทึกการงานของเขาด้วยมือขวา พวกเขาก็จะอ่านบันทึกนั้นด้วยความปิติยินดียิ่ง ซึ่งในนั้นจะบันทึกผลบุญความดีให้ทั้งหมดโดยไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ แม้แต่น้อยนิดแม้จะเท่าเส้นด้ายกลางเมล็ดอินทผาลัมก็ตาม

(72) และผู้ใดที่ใช้ชีวิตในโลกนี้ด้วยหัวใจที่บอดต่อการเห็นถึงสัจธรรมที่จะน้อมรับในสัจธรรม ดังนั้นในโลกหน้าเขาก็จะบอดยิ่งกว่า เพราะเขาจะไม่เห็นทางสู่สรวงสววรค์ และหลงจากทางแห่งความถูกต้อง เพราะรางวัลแห่งการตอบแทนนั้นจะเป็นชนิดเดียวกันกับการงานที่ได้กระทำลงไป

(73) และบรรดาผู้ตังภาคีอาจทำให้เจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- อาจทำให้เจ้าหลงไปจากสิ่งที่เราได้วะห์ยูให้แก่เจ้าจากอัลกุรอาน เพื่อให้เจ้าได้อุปโลกน์สิ่งอื่นขึ้นมาในนามของเราให้สอดคล้องกับความต้องการของพวกเขาแทนที่อัลกุรอาน และหากเจ้าทำตามในสิ่งที่พวกเขาต้องการแล้ว แน่นอนพวกเขาก็จะเลือกเจ้าเป็นเพื่อนรักคนหนึ่ง

(74) และหากเราไม่ทำให้เจ้าได้ยืนหยัดตั้งมั่นอยู่ในสัจธรรมแล้ว แน่นอนเจ้าอาจจะโน้มเอียงไปทางพวกเขาบ้างเล็กน้อย แล้วเจ้าก็จะเห็นด้วยกับสิ่งที่พวกเขานำเสนอแก่เจ้า เนื่องด้วยการหลอกลวงและเล่ห์เหลี่ยมที่ร้ายกาจของพวกเขา ผนวกกับความจริงจังของเจ้าที่มีต่อการเรียกร้องพวกเขาสู่การศรัทธา แต่พระองค์ได้ปกป้องรักษาเจ้าจากการหันเหไปทางพวกเขา

(75) และหากเจ้าได้โน้มเอียงไปทางพวกเขาโดยเชื่อในสิ่งที่พวกเขานำเสนอแก่เจ้า แน่นอนพระองค์จะให้เจ้าได้ลิ้มรสแห่งการลงโทษเป็นสองเท่าทั้งในโลกนี้และโลกหน้าด้วยเช่นกัน แล้วเจ้าจะไม่พบผู้ใดที่จะมาช่วยเหลือปกป้องเจ้าจากการลงโทษของเรา

(76) และแน่นอนเหล่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเกือบจะประสบความสำเร็จในการบีบคั้นเจ้าเพราะความเป็นศัตรูของพวกเขาที่มีต่อเจ้า เพื่อขับไล่เจ้าให้ออกจากแผ่นดินมักกะฮ์ แต่อัลลอฮ์ทรงปกป้องเจ้าจากการขับไล่ของพวกเขาจนถึงวันที่เจ้าได้ทำการอพยพด้วยคำสั่งของพระผู้อภิบาลของเจ้า และหากพวกเขาสามารถขับไล่เจ้าออกไปจริงๆ พวกเขาก็จะไม่ได้อยู่ที่นั่นเช่นกันนอกจากในเวลาที่สั้นเท่านั้น

(77) กฎการตัดสินของอัลลอฮ์หลังจากการออกของเจ้าจากแผ่นดินนั้น คือจะไม่ให้พวกเขาพำนักอยู่ในนั้นนอกจากเวลาสั้นๆนั้น มันเป็นกฎการตัดสินของอัลลอฮ์ที่มีต่อทุกเราะสูลก่อนหน้าเจ้า กล่าวคือ เราะสูลท่านใดที่ถูกประชาชาติของเขาขับไล่ออกจากเมืองของพวกเขา อัลลอฮฺจะทรงลงโทษพวกเขาโดยทันที และเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- จะไม่พบถึงการเปลี่ยนแปลงของกฎของพระองค์อย่างแน่นอน เพราะเจ้าจะเห็นมันมั่นคงถาวร

(78) จงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดด้วยการประกอบในลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุดในเวลาของมัน เริ่มจากดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตกหลังเที่ยงวัน ซึ่งจะเป็นเวลาของการละหมาดซุฮ์รีย์และอัสรี่ย์ตามลำดับ ไปจนถึงความมืดในเวลากลางคืนซึ่งจะเป็นเวลาของการละหมาดมัฆริบและอิชาตามลำดับ และจงดำรงการละหมาดซุบฮีย์(ช่วงเวลารุ่งอรุณ)พร้อมๆกับเลือกอ่านสูเราะฮฺที่ยาวๆ เพราะว่าในการละหมาดซุบฮีย์นี้ จะมีบรรดามลาอิกะฮ์ทั้งกลางวันและกลางคืนมารวมตัวกันเป็นพยานแก่ผู้ดำรงละหมาด

(79) นอกจากนั้น -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เจ้าจงตื่นละหมาดในบางเวลาในยามกลางคืน ซึ่งการละหมาดตรงนี้จะเพิ่มพูนผลบุญและเป็นการยกสถานะของเจ้าให้สูงขึ้น เพื่อเป็นการขอให้พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ให้เจ้าฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์ในสถานะของผู้ช่วยเหลือผู้อื่นจากความหวาดกลัวต่างๆที่พวกเขาต้องประสบในวันนั้น และเพื่อให้เจ้าได้อยู่ในสถานะแห่งการ ช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ ที่เหล่าบรรดาคนยุคแรกๆและยุคหลังๆได้ทำการสรรเสริญ

(80) และจงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- "โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน โปรดทำให้เส้นทางเข้าออก(ของทุกๆสิ่ง)ในชีวิตของฉันเต็มไปด้วยสัจธรรมที่ทำให้ภักดีต่อพระองค์ และเป็นที่พึงพอใจของพระองค์เถิด และโปรดทรงช่วยเหลือฉันโดยการให้ฉันมีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนเหนือศัตรูของฉัน"

(81) และจงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้น ว่า :"สัจธรรมแห่งอิสลามได้มาถึงแล้ว และสัญญาแห่งการช่วยเหลือของอัลลอฮฺก็เป็นจริงขึ้นมา ทำให้การตั้งภาคีและการปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ได้มลายหายไป แท้จริงแล้วความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัจธรรม"

(82) และเราได้ประทานอัลกุรอานลงมาเพื่อเป็นการบำบัดรักษาหัวใจจากความโง่เขลา การปฏิเสธศรัทธา และการสงสัยทั้งหลาย และเพื่อเป็นการบำบัดรักษาร่างกายด้วยการปัดเป่ารักษา และเป็นความเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่หมั่นปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด และอัลกุรานก็มิอาจจะเพิ่มสิ่งใดๆแก่พวกอธรรมนอกจากความพินาศและขาดทุนเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่า ทุกครั้งที่พวกเขาได้ยินมันก็จะรู้สึกไม่พอใจ และจะทำให้เกิดการปฏิเสธเพิ่มขึ้น และผินหลังจากมันไป

(83) และเมื่อเราได้ประทานความโปรดปรานแก่มนุษย์เช่นการให้มีสุขภาพที่ดีและความร่ำรวย พวกเขาก็จะผินหลังให้ไม่สำนึกในความกรุณาของอัลลอฮ์และจะไม่ภัคดีต่อพระองค์ และยังปลีกตัวเย่อหยิ่งอีกด้วย และเมื่อพวกเขาประสบความเจ็บป่วยและความยากจน พวกเขาก็จะทุกข์ใจ และสิ้นหวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ

(84) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- มนุษย์ทุกคนจะกระทำตามเส้นทางที่ตนเองต้องการ ที่มีลักษณะคล้ายกับพฤติกรรมของเขาทั้งในทางแห่งสัจธรรมหรือในทางที่หลงผิด เพราะฉะนั้น พระผู้อภิบาลของเจ้าทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่ควรได้รับแนวทางแห่งสัจธรรมที่แท้จริง

(85) และบรรดาชาวยิวจะถามเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เกี่ยวกับลักษณะของวิญญาณ จงบอกพวกเขาเถิดว่า "ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องวิญญาณจริงเว้นแต่อัลลอฮ์เท่านั้น และความรู้ที่พวกเจ้าและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้รับนั้นรวมกันแล้ว มันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากนำมาเทียบกับความรู้ของอัลลอฮ์ผู้ทรงบริสุทธิ์

(86) ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ว่า หากเราประสงค์ที่จะลบวะห์ยู(คำสั่งและบทบัญญัติต่างๆ ที่ได้ประทานให้แก่เจ้า) ออกไปจากความทรงจำของเจ้า และจากคัมภีร์แน่นอนมันก็จะหายไป จากนั้นเจ้าจะไม่พบใครที่จะช่วยเจ้าในการนำมันกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่งได้

(87) แต่เราไม่ได้ลบล้างวะห์ยูออกไปจากเจ้า เพราะความเมตตาจากพระผู้อภิบาลของเจ้า และได้รักษามันไว้อย่างดี แท้จริงความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อเจ้านั้นใหญ่หลวงนัก ซึ่งพระองค์ได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นศาสนทูตของพระองค์ และยังเป็นศาสนทูตท่านสุดท้ายพร้อมๆกับได้รับคัมภีร์อัลกุรอานอีกด้วย

(88) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- หากมนุษย์และญินรวมตัวกันทั้งหมดเพื่อจะแต่งหนังสือเฉกเช่นอัลกุรอานที่ถูกประทานให้แก่เจ้า เทียบเคียงกันทั้งในความลึกซึ้งของความหมาย และความสละสลวยของการเรียบเรียงเนี้อหา แน่นอนพวกเขาไม่อาจจะกระทำเช่นนั้นได้เป็นอันขาด ถึงแม้ว่าต่างคนก็ต่างช่วยเหลือกันและกันอย่างสุดความสามารถก็ตาม

(89) และแท้จริงเราได้อธิบายแก่มวลมนุษย์ในอัลกุรอานเล่มนี้ และได้ใช้วิธีที่หลากหลายในการอธิบาย จะเป็นการตักเตือน บอกเล่าบทเรียน การสั่งใช้และการสั่งห้าม และประวัติของชนชาติก่อนๆ ทั้งหมดนั้นก็เพื่อให้พวกเขาได้ศรัทธา แต่มนุษย์ส่วนใหญ่จะดื้อและปฏิเสธต่อคำภีร์อัลกุรอานนี้

(90) และบรรดามุชรีกีน(ผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์) กล่าวว่า "เราจะไม่ศรัทธาต่อเจ้า จนกว่าเจ้าจะทำให้น้ำพุพุ่งออกมาจากแผ่นดินมักกะฮฺแห่งนี้โดยไหลรินเป็นลำธารอย่างไม่ขาดสาย"

(91) "หรือ (จนกว่า) เจ้าจะมีสวนอินทผลัมและสวนองุ่นมากมาย และทำให้ลำน้ำหลายสายไหลเข้าไปในสวนนั้นอย่างล้นหลาม"

(92) "หรือ(จนกว่าเจ้าจะทำให้ท้องฟ้าร่วงลงมาบนพวกเราเป็นเสี่ยงๆ ตามที่เจ้าได้ขู่เราว่าจะลงโทษ พวกเรา หรือเจ้านำอัลลอฮ์และบรรดามลาอิกะฮ์มาปรากฎต่อหน้าเรา เพื่อเป็นพยานแก่เจ้าในสิ่งที่เจ้าได้นำมาเผยแพร่"

(93) "หรือ(จนกว่า)เจ้าจะมีบ้านที่ประดับประดาด้วยทองคำและด้วยอื่นๆไว้หนึ่งหลัง หรือเจ้าขึ้นสู่ฟากฟ้าและเราจะยังไม่ศรัทธาว่าเจ้าเป็นเราะสูล แม้ว่าเจ้าสามารถขึ้นไปยังฟากฟ้าได้ นอกจากว่าเจ้าได้นำคำภีร์จากอัลลอฮ์เล่มหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ให้เราได้อ่านว่าเจ้านั้นเป็นศาสนทูตของพระองค์จริง" จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- "มหาบริสุทธิ์แด่พระผู้อภิบาลของฉัน แท้จริงฉันไม่ได้เป็นอะไร นอกจากเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีหน้าที่เป็นเราะสูล เหมือนกับบรรดาเราะสูลท่านอื่นๆ ฉันไม่สามารถที่จะนำสิ่งใดๆได้ ดังนั้นจะให้ฉันทำตามที่พวกเจ้าเรียกร้องเอาไว้ได้อย่างไรกัน?!"

(94) และไม่มีสิ่งใดที่จะกีดกันผู้ปฏิเสธศรัทธาในการที่จะศรัทธาต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์และปฏิบัติตามที่ท่านเราะสูลได้นำมา นอกจากพวกเขาไม่ยอมรับการเป็นเราะสูลที่มาจากมนุษย์ ดังที่พวกเขาได้ถามในเชิงปฏิเสธว่า "อัลลอฮ์ได้ทรงแต่งตั้งศาสนทูตของพระองค์มาจากมนุษย์กระนั้นหรือ?!"

(95) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เพื่อเป็นการตอบกลับไปยังพวกเขาว่า"ถ้าหากบรรดามลาอิกะฮ์อาศัยอยู่บนโลกนี้และไปไหนมาไหนได้โดยสงบดังเช่นพวกเจ้าแล้ว แน่นอนเราก็จะส่งมลาอิกะฮ์มาเป็นเราะสูลแก่พวกเขา เพราะเขาสามารถที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจในบทบัญญัติที่พระองค์ได้ประทานลงมายังพวกเขา จึงไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องหากพระองค์ส่งศาสนทูตที่เป็นมนุษย์มายังพวกเขา เชกเช่นกรณีของพวกเจ้าก็เหมือนกัน"

(96) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- "พอเพียงแล้วที่อัลลอฮ์ทรงเป็นพยานระหว่างฉันกับพวกเจ้า ที่ยืนยันว่าฉันนั้นเป็นศาสนทูตของพระองค์ที่ถูกส่งมายังพวกเจ้า และเป็นพยานว่าฉันได้ทำหน้าที่เผยแพร่ในสิ่งได้รับมอบหมายแล้วอย่างสมบูรณ์ แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับปวงบ่าวของพระองค์โดยมิอาจปิดบังพระองค์ได้ และทรงเห็นทุกสิ่งที่เป็นเรื่องลับในตัวของพวกเขา"

(97) และผู้ใดที่ได้รับการชี้นำจากอัลลอฮ์ให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ดังนั้นเขาคือผู้ที่ได้รับทางนำอย่างแท้จริง และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงให้เขาหลงผิดจากทางนำแล้ว เจ้า(โอ้มุหัมมัด)จะไม่พบผู้ช่วยเหลือพวกเขาที่จะนำทางแห่งสัจธรรมแก่เขา หรือสามารถคุ้มครองพวกเขาจากความชั่ว และแสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับพวกเขาอีกต่อไป และในวันปรโลกนั้นพวกเขาจะถูกลากด้วยใบหน้าของพวกเขา ในสภาพตาบอด เป็นใบ้ และหูหนวก ที่พำนักของพวกเขาคือนรกญะฮันนัม เมื่อใดก็ตามที่ไฟได้มอด เราก็จะให้มันลุกโชนขึ้นอีกสำหรับพวกเขา

(98) การลงโทษที่พวกเขาได้รับนั้นก็เป็นการตอบแทนสำหรับพวกเขา เพราะพวกเขาปฏิเสธศรัทธาสัญญาณของพระองค์อัลลอฮฺ และปฏิเสธศรัทธาต่อวันฟื้นคืนชีพโดยกล่าวว่า "เมื่อเราตายเป็นชิ้นส่วนกระจัดจาย และกระดูกผุกร่อนแล้ว เราจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพมาใหม่อีกกระนั้นหรือ?"

(99) พวกบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อวันฟื้นคืนชีพไม่คิดหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน โดยที่ทั้งสองนั้นยิ่งใหญ่ พระองค์ก็ทรงทีความสามารถที่จะสร้างสิ่งที่เหมือนกับพวกเขาได้? และผู้ใดที่สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว ก็สามารถที่จะสร้างสิ่งที่เล็กได้เช่นกัน และอัลลอฮ์ทรงจำกัดระยะเวลาการมีชีวิตของพวกเขาอยู่บนโลกนี้ และทรงกำหนดวันแห่งการฟื้นคืนชีพของพวกเขาอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขากลับดื้อดึงปฏิเสธศรัทธาต่อวันฟื้นคืนชีพ ทั้งๆที่ หลักฐานและสัญญาณต่างๆ ชัดเจนเด่นชัดต่อหน้าพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

(100) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย "หากพวกเจ้าครอบครองคลังแห่งความเมตตาของพระผู้อภิบาลของฉันแล้ว ซึ่งมันไม่มีวันลดหรือหมดไปอย่างแน่นอน พวกเจ้าก็จะไม่ยอมที่จะใช้จ่ายมัน เพราะกลัวว่ามันจะหมดไป และเพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่กลายเป็นคนจน และด้วยนิสัยดั้งเดิมของมนุษย์แล้ว จะเป็นผู้ที่ตระหนี่เว้นแต่ผู้ศรัทธาต่อพระองค์เท่านั้น ซึ่งพวกเขาจะจ่าย เพื่อหวังการตอบแทนจากอัลลอฮ์"

(101) และพระองค์ได้ประทานสัญญาณต่างๆที่ชัดเจนเก้าประการแก่นบีมูซาเพื่อเป็นข้อยืนยันแก่เขา(ยืนยันในความเป็นศาสนทูตของพระองค์) คือ ไม้เท้า มือที่ขาวสะอาด ความแห้งแล้ง ขาดแคลนผลไม้ต่างๆ น้ำท่วม ตั๊กแตน เหา กบและเลือด ดังนั้น โอ้ท่านเราะสูล เจ้าจงถามชาวยิวเมื่อครั้นนบีมูซาได้นำสัญญาณเหล่านี้มายังบรรพบุรุษของพวกเขา ฟิรเอาน์ได้กล่าวแก่นบีมูซาว่า "มูซาเอ๋ย ฉันคิดว่าเจ้าถูกอาคมอย่างแน่นอน เพราะเจ้าได้นำอะไรแปลกๆเช่นนี้มาปรากฎต่อหน้าพวกเรา"

(102) มูซาได้ตอบว่า "แท้จริงแล้วเจ้า -โอ้ฟิรเอาน์- รู้ดียิ่งว่าไม่มีผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์พระเจ้าแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเท่านั้น ที่ส่งสัญญาณเหล่านั้นลงมาเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ในความสามารถของพระองค์ และการเป็นศาสนทูตที่แท้จริงของเราะสูลของพระองค์ แต่เจ้ากลับปฏิเสธไม่เชื่อ แท้จริงฉันรู้ดียิ่งว่าเจ้าต่างหากที่เป็นคนจะได้รับความหายนะและขาดทุนอย่างแน่นอน"

(103) ดังนั้นฟิรเอาน์ต้องการที่จะลงโทษนบีมูซา อะลัสฮิสลาม และวงศ์วานของเขาโดยการขจัดออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ ดังนั้นเราจึงทำให้ฟิรเอาน์และพวกพ้องของเขาที่เป็นทหารทั้งหมดจมน้ำตาย

(104) และพระองค์ได้กล่าวแก่วงศ์วานของอิสรออีลหลังจากที่ได้ทำลายฟิรเอาน์และกองทัพของเขาว่า " พวกเจ้าจงพำนักอยู่ในดินแดนเมืองชามแห่งนี้ และเมื่อเวลาแห่งการฟื้นคืนชีพที่ถูกกำหนดไว้มาถึง เราจะนำพวกเจ้าทั้งหมดมารวมไว้ด้วยกันเพื่อคิดบัญชี "

(105) และด้วยสัจธรรมเราจึงได้ประทานอัลกุรอานลงมาแก่ท่านนบีมูหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และด้วยสัจธรรมเช่นกันที่มันลงมาแก่ท่านนบีโดยไม่มีการดัดแปลงหรือบิดเบือนแต่อย่างใด และเราไม่ได้ส่งเจ้ามา -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นผู้แจ้งข่าวดีให้แก่เหล่าบรรดาผู้ยำเกรงด้วยสรวงสวรรค์ และเป็นผู้ตักเตือนให้บรรดาผู้ปฏิเสธและเนรคุณต่ออัลลอฮ์ให้กลัวต่อไฟนรก

(106) และเราได้ประทานอัลกุรอานลงมาพร้อมได้อธิบายไว้อย่างชัดเจน เพื่อที่เจ้า(โอ้ท่านนบี)จะได้อ่านให้กับผู้คนอย่างช้าๆ เป็นวรรคเป็นตอน ซึ่งมันจะง่ายต่อการทำความเข้าใจไตร่ตรองกับเนื้อหา และพระองค์ได้ประทานมันลงมาเป็นตอนๆ ตามเหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น

(107) จงกล่าวเถิด -โอ้มุหัมมัด-"พวกเจ้าจะศรัทธาต่ออัลกุรอานหรือไม่ศรัทธาก็ตาม(มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร) เพราะการศรัทธาของพวกเจ้านั้น มันไม่ได้ทำให้อัลกุรอานได้เพิ่มความสมบูรณ์จากเดิมได้ และการปฏิเสธของพวกเจ้ามันก็ไม่ได้ทำให้อัลกุรอานตกต่ำอะไร แท้จริงบรรดาผู้ที่ได้อ่านคัมภีร์ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ และมีความรู้เกี่ยวกับวะห์ยู(บทบัญญัติที่ถูกประทานลงมา)และที่เกี่ยวกับศาสนทูตของพระองค์แล้ว เมื่ออัลกุรอานได้ถูกอ่านให้แก่พวกเขา พวกเขาก็จะก้มหน้าลงกราบสุญูดเพื่อเป็นการขอบคุณอัลลอฮ์"

(108) และพวกเขาจะกล่าวในขณะที่กำลังกราบอัลลอฮ์ "พระผู้อภิบาลของเราไม่เคยผิดคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ ดังที่พระองค์ได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะส่งนบีมุหัมมัดเป็นศาสทูตท่านสุดท้ายก็ปรากฎเป็นจริงขึ้นมา เพราะฉะนั้นคำมั่นสัญญาอื่นๆ ที่พระองค์ได้ให้ไว้นั้น ก็จะปรากฎเป็นจริงเช่นกันโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้"

(109) และพวกเขาจะก้มหน้าลงจรดพื้นพลางร้องไห้ด้วยความเกรงกลัวต่อพระองค์ และเมื่อพวกเขาได้ยินอัลกุรอานด้วยการไตร่ตรองเข้าใจมันแล้ว ก็จะทำให้พวกเขายิ่งจำนนและเกรงกลัวต่อพระองค์มากยิ่งขึ้น

(110) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- แก่ผู้ที่ปฏิเสธต่อเจ้าในการวิงวอนด้วยการกล่าวว่า (โอ้อัลลอฮ์) (โอ้เราะห์มาน) ว่า "ทั้งสองนี้เป็นพระนามของพระองค์ผู้มหาบริสุทธิ์ยิ่ง เพราะฉะนั้นเจ้าจงวิงวอนขอพรจากอัลลอฮ์ด้วยพระนามใดก็ตามจากพระนามทั้งสองนี้ หรือนอกเหนือจากทั้งสองพระนามนี้ในบรรดาพระนามอันประเสริฐยิ่งของพระองค์ และจงอย่าอ่านเสียงดังในการละหมาดของเจ้าจนทำให้บรรดามุชริกีน(ผู้ตั้งภาคีต่อพระองค์)ได้ยิน และจงอย่าอ่านแผ่วเบาในการละหมาดจนทำให้ผู้ศรัทธา(ที่กำลังละหมาดตามนั้น)ไม่ได้ยิน แต่จงปฏิบัติตามแนวทางสายกลางระหว่างทั้งสองนี้"

(111) และจงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- การสรรเสริญทั้งมวลเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์เท่านั้น ผู้ทรงบริสุทธิ์จากการมีบุตรและบริสุทธิ์จากการมีหุ้นส่วนใดๆในอำนาจของพระองค์ พระองค์ไม่ประสบกับความต่ำต้อย ไร้เกียรติ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้อมีผู้ใดมาช่วยเหลือหรือการสนับสนุนจากใครทั้งสิ้น ดังนั้นจงแสดงความเกรียงไกรต่อพระองค์อย่างมากมาย และไม่พาดพิงว่าพระองค์ทรงมีบุตร หรือมีหุ้นส่วนในการครอบครองของพระองค์ หรือมีผู้ช่วยเหลือคอยสนับสนุนพระองค์อย่างเด็ดขาด"