(1) โอ้ผู้คลุมกายด้วยเสื้อผ้าของเขาเอ๋ย(ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม)
(2) จงลุกขึ้น แล้วจงทำให้เขาเกรงกลัวต่อบทลงโทษของพระองค์อัลลอฮฺ
(3) และจงให้ความยิ่งใหญ่ต่อพระเจ้าของเจ้า
(4) และจงทำให้ตัวของเจ้าสะอาดจากบาปทั้งหลายและเสื้อผ้าของเจ้าจากสิ่งสกปรกต่างๆ
(5) และจงห่างไกลจากการเคารพบูชาเจว็ด
(6) และอย่าปรารถนาต่อพระเจ้าของเจ้าด้วยการเพิ่มการงานที่ดีของเจ้า
(7) และจงอดทนเพื่ออัลลอฮ์เถิดกับสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ที่ต้องเผชิญ
(8) เมื่อเสียงเป่าสังข์ครั้งที่สองถูกเป่าขึ้น
(9) วันนั้นเป็นวันที่ยากลำบาก
(10) แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และรอสูลของพระองค์มิใช่เป็นเรื่องง่าย
(11) โอ้รอสูลเอ๋ย จงปล่อยข้าไว้กับผู้ที่ข้าได้สร้างเขาไว้แต่ลำพังในท้องมารดาของเขาโดยไม่มีทรัพย์สินหรือบุตรเถิด(เขาคือ อัล-วาลีด บิน อัล-มูฆีเราะฮฺ)
(12) และข้าได้ทำให้เขามีทรัพย์สมบัติอย่างมากมาย
(13) และข้าได้ทำให้บรรดาลูกชายของเขาที่อยู่กับเขาและเป็นพยานในที่งานต่างๆ กับเขา โดยที่พวกเขาจะไม่ปลีกตัวออกไปจากเขาในการเดินทาง เพราะทรัพย์สมบัติที่มากมายของเขา
(14) และข้าได้ทำให้เขามีชีวิต ปัจจัยยังชีพและลูกอย่างสุขสบาย
(15) แล้วเขายังโลภด้วยการปฏิเสธของเขาต่อข้า ที่จะให้ข้าเพิ่มพูนแก่เขาอีกหลังจากที่ข้าได้มอบสิ่งนั้นทั้งหมดแก่เขาแล้ว
(16) เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดคาดการไว้เลย เพราะว่าเขาเป็นผู้ดื้อรั้นต่อสัญญาณต่างๆ ของเรา ที่ถูกส่งลงมาแก่รอสูลของเรา เขาคือผู้ที่ปฏิเสธมัน
(17) ข้าจะให้ความยากลำบากแก่เขาจากบทลงโทษที่เขาไม่สามารถที่จะแบกรับมันได้
(18) แท้จริงผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ข้าได้ให้ความสุขต่างๆ แก่เขา เขาได้ใคร่ครวญในสิ่งที่เขาได้กล่าวไว้ในอัลกรุอ่านเพื่อให้มันเป็นโมฆะ และคาดคะเนสิ่งนั้นด้วยตัวของเขาเอง
(19) ดังนั้น เขาถูกสาปแช่งและถูกทรมาน เขาจะคาดคะเนได้อย่างไร
(20) แล้วดังนั้น เขาถูกสาปแช่งและถูกทรมาน เขาจะคาดคะเนได้อย่างไร
(21) แล้วเขาก็พิจารณาและทบทวนในสิ่งที่เขาพูด
(22) แล้วเขาทำหน้าบูดบึ้ง และสำนึกผิดเมื่อเขาไม่พบสิ่งใดที่จะท้าทายในอัลกุรอาน
(23) แล้วเขาก็ผินหลังออกไปจากการศรัทธา และหยิ่งผยองที่จะปฏิบัติตามนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม
(24) และเขากล่าวว่า สิ่งที่มุฮัมหมัดได้พามานั้นไม่ใช่พระวจนะของอัลลอฮฺ แต่มันคือเล่ห์กลที่มาจากคนอื่น
(25) นี่ไม่ใช่คำพูดของพระองค์อัลลอฮฺ แต่เป็นคำพูดของมนุษย์
(26) ข้าจะเอาผู้ปฏิเสธศรัทธาคนนี้เข้าไปอยู่ในชั้นหนึ่งของนรกจากชั้นต่างๆของมัน มันคือกองไฟที่เผาไหม้อย่างร้อนระอุ
(27) โอ้มุหัมมัดเอ๋ย และอันใดเล่าทำให้เจ้ารู้ได้ว่า สิ่งที่เผาไหม้นั้นคืออะไร?
(28) มันจะไม่เหลืออะไรเลยซึ่งผู้ที่ถูกลงโทษในนรกนั้น เว้นแต่มันจะมายังเขา และมันจะไม่ปล่อยเขา และเขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม แล้วมันก็จะมายังเขาอีก และการวนเวียนของเจ้าก็จะเป็นอย่างนี้เเหละ
(29) การเผาไหม้ที่รุนแรงและการเปลี่ยนของผิวหนัง
(30) เหนือมัน(นรก)มีมลาอิกะฮฺสิบเก้าท่าน พวกเขาคือยามเฝ้าประตูนรก
(31) และเรามิได้แต่งตั้งยามที่เฝ้านรก นอกจากมลาอิกะฮ์ ดังนั้นไม่มีความสามารถใดๆสำหรับมนุษย์เมื่อเทียบกับพวกเขา และเรามิได้กำหนดจำนวนของพวกเขาไว้ เว้นแต่เป็นการทดสอบสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา เพื่อพวกเขาจะได้พูดตามที่พวกเขาได้พูดกันมา ดังนั้นพระองค์จึงเพิ่มการลงโทษต่อพวกเขา และเพื่อให้บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์จากชาวยิวที่ได้รับคัมภีร์เตารอต และชาวคริสต์ที่ได้รับคำภีย์อินญีล จะได้มีความเชื่อมั่นหลังจากที่อัลกุรอานได้ประทานลงมาเพื่อยืนยันถึงความจริงที่มีในคัมภีร์ของพวกเขา และเพื่อบรรดาผู้ศรัทธาจะมีศรัทธาเพิ่มขึ้นเมื่อได้เห็นชาวคัมภีร์ได้เห็นด้วยกับพวกเขา และบรรดาผู้ที่ถูกประทานคัมภีร์มาให้และบรรดาผู้ศรัทธาจะไม่สงสัย และบรรดาผู้ซึ่งในใจของพวกเขาเสแสร้งและผู้ปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวว่า "อัลลอฮ์ทรงประสงค์อย่างไรกับจำนวนเหล่านี้เป็นตัวอย่าง" เช่นนั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงปล่อยให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้หลงผิด และจะทรงชี้นำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และไม่มีใครรู้จำนวนบรรดาทหารของพระเจ้าของเจ้ายกเว้นพระองค์ และการกล่าวถึงนรกนั้นมิใช่เพื่ออื่นใดนอกจากเป็นการเตือนสติมนุษย์เพื่อให้รำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์
(32) ไม่ สถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่ผู้ตังภาคีบางคนอ้าง เพราะพวกเขาอ้างว่าสหายของพวกเขาบางคนจะเหนือกว่ามลาอิกะฮ์ที่ดูแลนรก แล้วอัลลอฮ์ทรงสาบานต่อดวงจันทร์
(33) ขอสาบานด้วยกลางคืนเมื่อมันจากไป
(34) ขอสาบานด้วยยามเช้าเมื่อมันประกายแสง
(35) แท้จริงไฟนรกญะฮัมนัมนั้นเป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่ใหญ่หลวง
(36) เพื่อเป็นการเตือนและขู่ขวัญมนุษย์
(37) สำหรับผู้ที่ประสงค์ในหมู่พวกเจ้า -โอ้มนุษย์เอ๋ย- จะรุดหน้าด้วยการศรัทธาต่ออัลลอฮ์และการงานที่ดีหรือจะรั้งท้ายด้วยการปฏิเสธศรัทธาและกระทำบาป
(38) แต่ละชีวิตย่อมถูกค้ำประกันกับการงานที่มันขวนขวายไป หรือเจ้าจะเก็บการงานของมันไว้ หรือเจ้าจะทำให้มันหมดไปแล้วช่วยให้มันรอดพ้นจากความพินาศ
(39) ยกเว้นบรรดาผู้ศรัทธาโดยที่พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษจากบาปต่างๆของเขา แต่พวกเขาได้รับการอภัย เพราะความดีของพวกเขาที่ได้ทำ
(40) และพวกเขาในวันกิยามะฮ์อยู่ในสรวงสวรรค์หลากหลาย พวกเขาจะไต่ถามซึ่งกันและกัน
(41) เกี่ยวกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่สร้างความหายนะแก่ตัวของพวกเขาเองโดยการกระทำบาปต่างๆ
(42) พวกเขากล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า อะไรที่นำพวกท่านเข้านรกญะฮัมนัม?
(43) แล้วบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาก็ตอบพวกเขาว่า เรามิได้อยู่ในหมู่ผู้ทำละหมาดที่เป็นวาญิบ(จำเป็นต้องปฏิบัติ)ในช่วงมีชีวิตบนดุนยา
(44) เรามิได้ให้อาหารแก่บรรดาผู้ขัดสนในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่เรา
(45) เราอยู่กับคนมุสาทุกที่ที่พวกเขาไป เราพูดคุยกับคนที่บิดเบือนและหลงทาง
(46) และเราปฏิเสธวันแห่งการตอบแทน
(47) และเรายังคงปฏิเสธศรัทธาต่อวันกิยามะฮ์ จนความตายได้มาเยือนเรา ดังนั้นมันจึงกั้นระหว่างเรากับการสำนึกผิด
(48) ดังนั้นในวันกิยามะฮ์ การขอความช่วยเหลือจากมลาอิกะฮ์ บรรดาศาสนทูต และหมู่ชนผู้เคร่งศาสนาจะไม่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา เพราะเงื่อนไขในการตอบรับการขอความช่วยเหลือนั้นคือความพอใจของอัลลอฮ์ที่มีต่อบรรดาผู้วิงวอนขอความช่วยเหลือ
(49) อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้บรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้นผินหลังให้กับอัลกุรอาน?!
(50) ประหนึ่งว่าร่างกายของพวกเขาและการนิ่งของพวกเขาเป็นเช่นลา ซึ่งเป็นสัตว์ที่นิ่งมากไม่ขยับ
(51) หนีจากเสือ ด้วยความกลัวต่อมัน
(52) ในความเป็นจริง ผู้ตั้งภาคีแต่ละคนต้องการหนังสืออยู่บนหัวของเขาเปิดประกาศว่ามูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ ไม่ใช่เพราะขาดหลักฐานและเป็นเพราะหลักฐานอ่อน แต่เป็นเพราะความดื้อรั้นและความเย่อหยิ่งของพวกเขา
(53) เรื่องมิได้เป็นเช่นนั้นหรอก แต่สาเหตุที่พวกเขายังคงหลงทางไปเรื่อยๆเพราะพวกเขามิได้ศรัทธาต่อบทลงโทษในวันอาคิเราะฮ์ต่างหาก แล้วพวกเขาก็อยู่ในการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาต่อไป
(54) มิใช่เช่นนั้น แท้จริงอัลกุรอานเป็นข้อตักเตือนและข้อเน้นย้า
(55) ดังนั้นผู้ใดประสงค์ที่จะอ่านอัลกุรอานและรับคำเตือนจากมันก็จงอ่านมันและจงนำมันมาเป็นข้อตักเตือน
(56) และพวกเขาจะไม่รับเป็นบทเรียนเว้นแต่ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ที่จะทำให้พวกเขารับเป็นบทเรียน อัลลอฮ์ - สุบฮานาฮู- เป็นผู้ที่สมควรได้รับความยำเกรงโดยปฏิบัติตามคำสั่งต่าง ๆ ของพระองค์และหลีกเลี่ยงข้อห้ามทั้งหมดของพระองค์ และพระองค์คือผู้มีสิทธิที่จะยกโทษบาปของผู้รับใช้ของพระองค์หากพวกเขาสำนึกผิดต่อพระองค์