14 - Ibrahim ()

|

(1) (الر) คำเช่นนี้ได้อธิบายไว้แล้วในเบื้องต้นของซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ นี่คืออัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่เราได้ประทานลงมาให้แก่เจ้า โอ้ท่านเราะสูล เพื่อให้เจ้านำมวลมนุษย์ออกจากการปฏิเสธศรัทธา ความเขลา และการหลงผิดสู่การศรัทธา มีวิชาความรู้ และทางนำ เพื่อไปสู่ศาสนาอิสลามที่เป็นแนวทางของอัลลอฮ์ผู้ทรงเดชานุภาพที่ไม่มีผู้ใดสามารถล้มล้างพระองค์ได้และเป็นผู้ทรงได้รับการสรรเสริญในทุก ๆ ด้าน

(2) (แนวทางของผู้ทรงเดชานุภาพและผู้ทรงได้รับการสรรเสริญนั้นคือ แนวทางของ) อัลลอฮฺผู้ซึ่งที่ทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและทุกสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว ดังนั้นแด่พระองค์ผู้เดียวที่สมควรได้รับการเคารพอิบาดะฮฺโดยไม่มีการตั้งภาคีใดๆ ต่อพระองค์ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะได้รับการลงโทษที่รุนแรงสาหัส

(3) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่พอใจเลือกเอาชีวิตโลกดุนยาและความโปรดปรานที่มีอยู่ชั่วคราวเหนือโลกหน้าและความโปรดปรานที่มีอยู่อย่างถาวร ปิดกั้นมนุษย์ให้ออกห่างจากแนวทางของอัลลอฮฺและต้องการให้แนวทางของพระองค์เสื่อมเสียเป็นที่่น่าเกลียด เบี่ยงเบนสัจธรรมและความเที่ยงธรรม เพื่อมิให้ผู้คนเดินตามแนวทางของพระองค์ พวกเขาที่มีคุณลักษณะดังกล่าวอยู่ในการหลงทางที่ห่างไกลจากสัจธรรมและความถูกต้อง

(4) และเรามิได้ส่งเราะสูลคนใด นอกจากด้วยการพูดภาษาของกลุ่มชนเขา เพื่อความง่ายดายให้กับพวกเขาในการเข้าใจสิ่งที่เราะสูลได้นำมาจากอัลลอฮฺ และเรามิได้ส่งเราะซูลเพื่อบังคับให้พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺ แต่อัลลอฮฺจะให้หลงทางผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความยุติธรรมของพระองค์ และให้ทางนำแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ พระองค์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพที่ไม่มีใครสามารถล้มล้างพระองค์ได้ และเป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการสร้างและบริหาร

(5) และแท้จริงเราได้ส่งมูซาพร้อมกับสนับสนุนเขาด้วยสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความสัจจริงของเขา และบ่งบอกถึงการเป็นเราะสูลของเขาที่ถูกส่งมาจากพระผู้อภิบาลของเขาอย่างแท้จริง และเราได้สั่งใช้ให้เขานำกลุ่มชนของเขาออกจากการปฏิเสธศรัทธาและความอวิชชาไปสู่การศรัทธาและมีวิชาความรู้ และเราได้สั่งใช้ให้เขาเตือนกลุ่มชนของเขาให้รำลึกถึงวันต่างๆ ของอัลลอฮฺที่พระองค์ได้เคยโปรดปรานพวกเขา เพราะวันต่างๆ ดังกล่าวเป็นหลักฐานชัดเจนที่บ่งบอกถึงการให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ พลังความสามารถของพระองค์อันยิ่งใหญ่ และความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งสิ่งเหล่านี้บรรดาผู้อดทนในการเชื่อฟังพระองค์พร้อมกับขอบคุณพระองค์อย่างสม่ำเสมอจะได้รับประโยชน์จากมัน

(6) และจงรำลึก โอ้ท่านเราะสูล ขณะที่มูซาได้ตอบรับคำบัญชาของพระผู้อภิบาลของเขาโดยการกล่าวแก่กลุ่มชนของเขาที่มาจากบนีอิสรออีลให้รำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขาว่า "โอ้กลุ่มชนของฉัน พวกเจ้าจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้าเถิด ขณะที่พระองค์ให้พวกเจ้ารอดพ้นจากวงศ์วานของฟินเอานฺและให้พวกเจ้าปลอดภัยจากการทารุณกรรมของพวกเขา โดยที่พวกเขาทำให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสแห่งการทุกข์ทรมานอันชั่วช้า ซึ่งพวกเขาได้ทำการเชือดบรรดาลูกชายของพวกเจ้าเพื่อมิให้มีในหมู่พวกเจ้าผู้ที่จะมายึดครองอำนาจของฟิรเอานฺ และไว้ชีวิตผู้หญิง (บรรดาลูกสาว) ของพวกเจ้าเพื่อดูหมิ่นเหยียดหยามพวกเธอ การกระทำของพวกเขาเช่นนี้เป็นการทดสอบอันใหญ่หลวงเพื่อให้พวกเจ้าอดทน แล้วอัลลอฮฺก็ตอบแทนการอดทนของพวกเจ้าด้วยการให้พวกเจ้ารอดพ้นจากการลงโทษทรมานของวงศ์วานฟิรเอานฺ"

(7) และมูซาได้กล่าวแก่กลุ่มชนของเขาว่า พวกเจ้าจงรำลึกถึงขณะที่พระเจ้าของพวกเจ้าได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า หากพวกเจ้าขอบคุณอัลลอฮฺในสิ่งที่พระองค์ได้โปรดปรานพวกเจ้าดังที่ได้กล่าวไว้ แน่นอนพระองค์ก็จะเพิ่มพูนความโปรดปรานและความกรุณาของพระองค์ให้กับพวกเจ้า และหากพวกเจ้าเนรคุณ ไม่ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์ แท้จริงการลงโทษของพระองค์นั้นรุนแรงสาหัสยิ่งสำหรับผู้ที่เนรคุณไม่ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์

(8) และมูซายังได้กล่าวแก่พวกเขาอีกว่า โอ้กลุ่มชนของฉัน หากพวกเจ้าและผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมดรวมกันปฏิเสธศรัทธา โทษของมันก็จะกลับไปยังพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงมั่งคั่งด้วยพระองค์เอง (ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น) และด้วยพระองค์เองพระองค์ทรงได้รับการสรรเสริญอย่างแน่นอน การศรัทธาของบรรดามุอฺมินไม่สามารถให้ประโยชน์ใดๆ แก่พระองค์ได้ และการปฏิเสธศรัทธาของบรรดากาฟิรก็ไม่สามารถให้โทษใดๆ แก่พระองค์ได้เช่นกัน

(9) โอ้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา เรื่องราวการลงโทษกลุ่มชนที่ปฏิเสธศรัทธาก่อนหน้าพวกเจ้ามิได้มาถึงพวกเจ้าหรอกหรือ เช่น กลุ่มชนของนบีนูหฺ กลุ่มชนอ๊าดของนบีฮูด กลุ่มชนษะมูดของนบีศอลิหฺ และกลุ่มชนต่างๆ อีกจำนวนมากที่มาหลังจากพวกเขา ที่ไม่มีผู้ใดรู้ถึงจำนวนของพวกเขานอกจากอัลลอฮฺ บรรดาเราะสูลของพวกเขาได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดเจน แต่พวกเขากลับเอามือปิดปากโดยการกัดนิ้วมือของพวกเขาเองเพราะความโกรธแค้นที่มีต่อบรรดาเราะสูล และกล่าวแก่บรรดาเราะซูลของพวกเขาว่า แท้จริงเราได้ปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งที่พวกท่านถูกส่งมา และแท้จริงพวกเรายังคงสงสัยอย่างแน่นนอนต่อสิ่งที่พวกท่านเชิญชวนเรา

(10) บรรดาเราะซูลของพวกเขากล่าวตอบแก่พวกเขาว่า "ยังมีการสงสัยในความเป็นเอกะของอัลลอฮฺและการเคารพอิบาดะฮฺต่อพระองค์เพียงผู้เดียวอีกกระนั้นหรือ ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินโดยไม่มีต้นแบบมาก่อน?! พระองค์เรียกร้องพวกเจ้าสู่การศรัทธาต่อพระองค์เพื่อที่จะยกโทษความผิดบาปของพวกเจ้าที่ผ่านมาและประวิงเวลาให้พวกเจ้าจนกว่าพวกเจ้าจะใช้เวลาที่ถูกกำหนดไว้นั้น หมดไปกับการใช้ชีวิตของพวกเจ้าในโลกดุนยา" พวกเขากล่าวแก่บรรดาเราะสูลของพวกเขาว่า "พวกท่านมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนกับเราไม่มีเด่นใดๆ เหนือพวกเรา พวกท่านต้องการกีดกั้นพวกเราจากสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้เคยเคารพบูชา ดังนั้นพวกท่านจงนำหลักฐานอันชัดเจนที่บ่งบอกถึงความสัจจริงของพวกท่านที่ว่า พวกท่านเป็นบรรดาเราะสูลที่ถูกส่งมาจากอัลลอฮฺมายังพวกเรา"

(11) บรรดาเราะสูลของพวกเขากล่าวแก่พวกเขาเพื่อเป็นการตอบโต้ ว่า (ใช่) เรามิใช่อื่นใดนอกจากเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนพวกเจ้า เราไม่ปฏิเสธความเหมือนดังกล่าว แต่มันไม่จำเป็นที่จะต้องเหมือนทุกอย่าง เพราะอัลลอฮ์จะทรงกรุณาให้ความโปรดปรานเฉพาะแก่บ่าวผู้ที่พระองค์ประสงค์ พระองค์ทรงคัดเลือกบรรดาเราะสูลในหมู่พวกเขาเพื่อไปยังมนุษย์ และเป็นไปไม่ได้ที่เราจะนำหลักฐานมาแสดงแก่พวกเจ้าดังที่พวกเจ้าต้องการ เว้นแต่ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์เท่านั้น ซึ่งการนำหลักฐานมาแสดงมันไม่ได้อยู่ในความสามารถของเรา แต่อัลลอฮ์พระองค์เดียวเท่านั้นที่มีความสามารถดังกล่าว และแด่อัลลอฮ์เท่านั้นที่บรรดาผู้ศรัทธารักที่จะมอบหมายการงานของพวกเขาทั้งหมด

(12) และจะมีข้อห้ามหรืออุปสรรคอันใดที่กีดกั้นมิให้เรามอบหมายต่อพระองค์ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ได้ทรงชี้แนวทางที่เที่ยงตรงและชัดเจนให้แก่เรา และแน่นอนเราจะอดทนต่อการทำร้ายของพวกเจ้า ทั้งการปฏิเสธและเยาะเย้ยที่มีต่อเรา และแด่อัลลอฮ์เท่านั้นที่บรรดาผู้ศรัทธาจะมอบหมายการงานของพวกเขาทั้งหมด

(13) และกลุ่มชนของบรรดาเราะสูลที่ปฏิเสธศรัทธาเมื่อพวกเขาไม่สามารถโต้ตอบบรรดาเราะสูลของพวกเขาได้ พวกเขาเลยกล่าวว่า แน่นอนเราจะขับไล่พวกท่านออกจากหมู่บ้านของเรา หรือว่าพวกท่านจะเปลี่ยนศาสนาของพวกท่านเป็นศาสนาของเรา ดังนั้นอัลลอฮฺก็ได้ประทานวะห์ยูให้แก่บรรดาเราะสูลเพื่อเป็นการยืนยันแก่พวกเขาว่า แน่นอนเราจะทำลายบรรดาผู้อธรรมที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและบรรดาเราะสูลของพระองค์

(14) และแน่นอนเราจะให้พวกท่าน (โอ้บรรดาเราะสูลและผู้ที่ติดตามพวกท่าน) อาศัยอยู่ในแผ่นดินหลังจากความพินาศของพวกเขา เรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ทั้งเรื่องการทำลายบรรดากาฟิรที่ปฏิเสธศรัทธา และการให้บรรดาเราะซูลและบรรดาผู้ศรัทธาได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินหลังจากความพินาศของพวกเขา จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่รำลึกถึงความยิ่งใหญ่และการเฝ้าสังเกตของข้าที่มีต่อเขา และเกรงกลัวต่อสัญญาการลงโทษของข้า

(15) และบรรดาเราะซูลได้ขอต่อพระองค์ให้ได้รับชัยชนะเหนือบรรดาศัตรูของพวกเขา และให้ผู้ที่หยิ่งยโสดื้อด้านทุกคนที่ไม่ยอมรับต่อสัจธรรมหลังจากที่มันได้ปรากฎชัดต่อพวกเขา ได้รับความล้มเลวเสียหาย

(16) เบื้องหน้าของเขาในวันกิยามะฮฺจะมีนรกญะฮันนัมที่คอยเฝ้าดูเขา และในนรกนั้นเขาจะได้ดื่มน้ำหนองที่ไหลออกมาจากชาวนรก ซึ่งมันไม่สามารถดับกระหายของเขาได้ และยังคงต้องได้รับการลงโทษด้วยการกระหายอีกต่อไปและรูปแบบการลงโทษอื่นๆ ที่หลากหลาย

(17) เขาต้องพยายามจิบมันทีละนิดทีละน้อย ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความขม ร้อน และกลิ่นเหม็นของมัน และไม่สามารถกลืนมันได้อีกด้วย ความตายก็เข้ามาหาเขาทุกทิศทาง เนื่องจากต้องแบกรับการลงโทษที่รุนแรง แต่เขากลับไม่ตายเพื่อที่จะได้พักผ่อนจากการลงโทษ และยังต้องมีชีวิตอยู่กับการลงโทษตลอด และเบื้องหน้าของเขาจะมีการลงโทษที่รุนแรงอื่นอีกที่กำลังรอเขา

(18) การงานต่างๆ ที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กระทำไว้ เช่น การบริจาคทาน คุณงามความดี การมีเมตตากับผู้อ่อนแอ จะกลายเป็นดั่งขี้เถ้าที่ถูกลมพัดในวันที่มีพายุแรง มันจะพัดไปยังที่ต่างๆ จนไม่เหลือร่องรอย เช่นนี้แหละคือการงานของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่การปฏิเสธศรัทธาได้ถูกพัดพามันไปหมด จนไม่สามารถให้ประโยชน์แก่เจ้าของมันได้ในวันกิยามะฮฺ การงานดังกล่าวที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานแห่งอีหม่าน (การศรัทธา) จะเป็นการหลงทางที่ห่างไกลจากสัจธรรม

(19) โอ้มวลมนุษย์ทั้งหลาย สูเจ้าไม่รู้หรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินด้วยความจริง ไม่ได้สร้างทั้งสองอย่างไร้ประโยชน์ หากพระองค์ทรงประสงค์จะให้พวกเจ้าสูญสิ้นและนำมาซึ่งกลุ่มชนอื่นที่เคารพเชื่อฟังพระองค์แทนพวกเจ้า แน่นอนพระองค์สามารถกระทำได้ มันเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับพระองค์

(20) และการทำให้พวกเจ้าสูญสิ้นและนำมาซึ่งกลุ่มชนอื่นนอกจากพวกท่านนั้นมิใช่เป็นการยากสำหรับพระองค์ พระองค์มีความสามารถเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางพระองค์ได้

(21) และในวันกิยามะฮฺ มวลมนุษย์จะออกจากสุสานของพวกเขาไปยังอัลลอฮฺ บรรดาผู้ตามที่อ่อนแอกล่าวแก่บรรดาหัวหน้าว่า "แท้จริงเราได้เคยเป็นผู้ตามพวกท่าน รับใช้คำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของพวกท่าน พวกท่านสามารถช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺได้ไหม?" พวกเขากล่าวตอบว่า "หากอัลลอฮฺให้ทางนำแก่เรา แน่นอนเราก็จะชี้แนะพวกท่านสู่ทางนำนั้นด้วย แล้วพวกเราทั้งหมดก็จะรอดพ้นจากการลงโทษของพระองค์ แต่พวกเราหลงผิด แล้วพวกเราก็ให้พวกเจ้าหลงผิดไปด้วย ไม่ว่าเราจะแบกรับการลงโทษนั้นด้วยความยากลำบากหรือเราจะอดทน มันก็มีค่าเหมือนกันสำหรับเรา ไม่มีทางสำหรับเราที่จะหนีรอดจากการลงโทษได้"

(22) เมื่อชาวสวรรค์ได้เข้าสวรรค์และชาวนรกได้เข้านรก ชัยฏอนได้กล่าวว่า "แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงสัญญากับพวกเจ้าซึ่งสัญญาแห่งความจริง แล้วพระองค์ก็ได้ตอบสนองตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับพวกเจ้า และฉันได้สัญญากับพวกเจ้าซึ่งสัญญาเท็จ แล้วฉันก็ได้บิดพริ้วสิ่งที่ฉันได้สัญญาไว้ ฉันไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะบังคับพวกเจ้าให้ปฏิเสธศรัทธาและหลงผิดในโลกดุนยา นอกจากฉันได้เรียกร้องเชิญชวนพวกเจ้าให้ปฏิเสธศรัทธาและได้ตกแต่งความผิดบาปให้ดูสวยงามเพื่อให้พวกเจ้า (ได้ปฏิบัติตาม) แล้วพวกเจ้าก็ตอบสนองตามฉัน ดังนั้นพวกเจ้าอย่าได้ประณามฉันในความหลงผิดที่พวกเจ้าได้รับ แต่จงประณามตัวของพวกเจ้าเอง ซึ่งพวกเจ้าสมควรได้รับการประณามมากกว่า ฉันไม่อาจช่วยเหลือพวกเจ้าให้รอดพ้นจากการลงโทษได้ และพวกเจ้าก็ไม่อาจช่วยเหลือฉันให้รอดพ้นจากการลงโทษได้เช่นกัน แท้จริงฉันได้ปฏิเสธการกระทำของพวกเจ้าที่ตั้งฉันเป็นภาคีกับอัลลอฮฺในการเคารพอิบาดะฮฺ" แท้จริงบรรดาผู้อธรรม (ด้วยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺและปฏิเสธพระองค์ในโลกดุนยา) พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวดที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่ในวันกิยามะฮฺ

(23) และตรงกันข้ามกับชะตากรรมของผู้อธรรมคือ บรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายจะถูกนำเข้าสรวงสวรรค์ที่มีธารน้ำหลายสายไหลผ่านใต้ที่พำนักและต้นไม้ของมัน พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลด้วยการอนุมัติและพลังอำนาจของพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาจะกล่าวทักทายซึ่งกันและกันด้วยการให้สลาม มลาอิกะฮฺจะกล่าวทักทายพวกเขา และพระองค์อัลลอฮฺก็จะกล่าวทักทายพวกเขาด้วยเช่นกัน

(24) โอ้ท่านเราะสูล เจ้ามิเห็นหรอกหรือว่า อัลลอฮฺทรงยกอุทาหรณ์ไว้ว่า อุปมาคำพูดแห่งศรัทธาซึ่งมันคือ "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ" ดั่งต้นไม้ที่ดี หมายถึง ต้นอินทผลัม ลำต้นของมันฝังแน่นมั่นคงอยู่ใต้ดิน มันดูดซับน้ำด้วยรากที่ดีของมัน และกิ่งก้านของมันชูขึ้นไปยังฟากฟ้าดูดซับหยดน้ำค้างและสูดอากาศหายใจอันบริสุทธิ์

(25) ต้นไม้ที่ดีนั้นจะออกผลที่ดีทุกกาลเวลาโดยการอนุมัติของพระผู้อภิบาลของมัน และอัลลอฮฺได้ทรงยกอุทาหรณ์แก่ปวงมนุษย์ เพื่อพวกเขาจะได้รำลึก

(26) และอุปมาคำพูดแห่งการตั้งภาคีที่ไม่ดีนั้นดั่งต้นไม้ที่ไม่ดี หมายถึง พืชตระกูลลูกน้ำเต้า ถูกถอนรากออก ไม่มั่นคง และไม่มีกิ่งก้านชูขึ้นไปยังฟากฟ้า แล้วมันก็จะตายและถูกลมพัดกระจัดกระจาย ในทำนองเดียวกันคำพูดแห่งการปฏิเสธศรัทธาผลของมันคือ ความสูญสลาย และไม่มีความดีใดๆ ของเขาที่ขึ้นไปสู่อัลลอฮฺ

(27) อัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้ศรัทธายืนหยัดการศรัทธาที่สมบูรณ์ด้วยคำแห่งเอกภาพ(เตาฮีด)ที่มั่นคงในการใช้ชีวิตในโลกดุนยานี้จนกระทั่งพวกเขาได้เสียชีวิตในสภาพที่มีอีหม่าน และในโลกบัรซัคแห่งสุสานของพวกเขาตอนที่พวกเขาถูกถาม ตลอดจนในโลกหน้า และอัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้อธรรมด้วยการตั้งภาคีต่อพระองค์และปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์หลงทางจากความถูกต้อง และอัลลอฮฺทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ เช่น การให้หลงทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความยุติธรรมของพระองค์ และให้ทางนำแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความกรุณาของพระองค์ ดังนั้นไม่มีผู้ใดสามารถบังคับพระองค์ได้

(28) แท้จริงเจ้าได้เห็นแล้วถึงสภาพของชาวกุเรชที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ขณะที่พวกเขาเปลี่ยนความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขาให้พวกเขาได้รับความปลอดภัยในแผ่นดินหะร็อมและส่งมุฮํมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม มาเป็นนบีในหมู่พวกเขา พวกเขาเปลี่ยนความโปรดปรานดังกล่าวเป็นการปฏิเสธศรัทธาไม่ยอมรับความโปรดปรานของพระองค์โดยการปฏิเสธสิ่งที่มาจากพระองค์ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม ได้นำมาให้แก่พวกเขา และได้นำกลุ่มชนของพวกเขาที่ปฏิเสธศรัทธาตามพวกเขาลงสู่ที่พำนักอันหายนะ

(29) ที่พำนักแห่งความหายนะนั้นคือ นรกญะฮันนัมที่พวกเขาเข้าไปพำนักอยู่ในนั้นและทุกข์ทรมานกับความร้อนของมัน และที่พำนักอันชั่วช้าที่สุดคือ ที่พำนักของพวกเขา

(30) และบรรดามุชริกีนผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺได้สร้างภาคีต่างๆ เคียงคู่กับอัลลอฮฺเพื่อให้ผู้ที่ตามพวกเขาหลงจากแนวทางของอัลลอฮฺหลังจากที่พวกเขาเองได้หลงทางมาแล้ว จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะสูล พวกท่านจงมีความสุขกับอารมณ์ความใคร่และเผยแพร่สิ่งคลุมเครือในโลกดุนยานี้ต่อไปเถิด เพราะแท้จริงสถานที่ของพวกท่านที่ต้องกลับไปในวันกิยามะฮฺนั้นคือ ไฟนรก ไม่มีสถานที่อื่นอีกสำหรับพวกท่านที่จะกลับไปนอกจากมันเท่านั้น

(31) โอ้ท่านเราะซูล จงกล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาเถิด "โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านจงดำรงการละหมาดให้สมบูรณ์แบบ และบริจาคทานจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกท่าน ทั้งการบริจาคทานที่เป็นวาญิบ (ภาคบังคับ) และสุนัต (ภาคส่งเสริม) อย่างปกปิด(ไม่ให้ผู้ใดรู้) เพื่อมิให้เกิดการโอ้อวด และอย่างเปิดเผยเพื่อให้คนอื่นได้ปฏิบัติตามก่อนที่วันหนึ่งจะมาถึง ซึ่งในวันนั้นจะไม่มีการซื้อขายและไถ่ตัวให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺ และไม่มีการเป็นมิตรสหายเพื่อให้คนๆ หนึ่งสามารถช่วยเหลือเพื่อนของเขาได้

(32) อัลลอฮฺคือผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินโดยไม่มีต้นแบบมาก่อน ทรงให้น้ำฝนลงมาจากฟากฟ้า แล้วให้พืชผลต่างๆ งอกเงยออกมาจากน้ำดังกล่าว เพื่อเป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า ทรงให้เรือเดินสมุทรอำนวยความสะดวกแก่พวกเจ้าโดยการแล่นในท้องทะเลตามกำหนดการของพระองค์ และทรงให้ธารน้ำทั้งหลายเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าในการใช้ดื่ม ให้น้ำสัตว์ และรดน้ำพืชผลต่างๆ

(33) และพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์แก่เจ้าโดยการโคจรอย่างต่อเนื่อง และทรงให้กลางคืนและกลางวันได้สลับเปลี่ยนกันเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า โดยให้พวกเจ้าได้นอนพักผ่อนในเวลากลางคืนและแสวงหาปัจจัยยังชีพในเวลากลางวัน

(34) และพระองค์ได้ทรงประทานแก่พวกเจ้าทุกสิ่งที่พวกเจ้าขอต่อพระองค์และบางส่วนที่พวกเจ้าไม่ได้ขอต่อพระองค์ และหากพวกเจ้าจะนับความโปรดปรานของอัลลอฮฺแล้ว พวกเจ้าไม่อาจจะนับคำนวณมันได้เพราะมันมีมากและหลากหลาย ดังนั้นสิ่งที่พระองค์ได้บอกแก่พวกเจ้านั้นมันเป็นแค่ตัวอย่างบางส่วนจากความโปรดปรานของพระองค์ แท้จริงมนุษย์นั้นเป็นผู้อธรรมต่อตัวของเขาเอง เนรคุณต่อความโปรดปรานของอัลลอฮฺ

(35) โอ้ท่านเราะซูล จงรำลึกตอนที่อิบรอฮีมได้กล่าวหลังจากที่ท่านได้ให้ลูกของท่านที่ชื่ออิสมาอีลและมารดาของเขาที่ชื่อฮาญัรอาศัยอยู่ที่ราบลุ่มมักกะฮฺว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ ได้โปรดให้เมืองนี้ที่ข้าพระองค์ได้ให้ครอบครัวของข้าพระองค์อาศัยอยู่ (หมายถึง มักกะฮฺ) เป็นเมืองที่ปลอดภัย ไม่มีการนองเลือด และไม่มีการอธรรมซึ่งกันและกัน และได้โปรดให้ข้าพระองค์และลูกหลานของข้าพระองค์ห่างไกลจากการเคารพบูชารูปเจว็ดต่างๆ

(36) โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงเจว็ดต่าง ๆ ได้ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่หลงทางโดยที่พวกเขาคิดว่าเจว็ดนั้นสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ แล้วพวกเขาก็ถูกหลอกลวงด้วยเจว็ดเหล่านั้นและเคารพบูชามันนอกจากอัลลอฮ์ ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิบัติตามฉันในการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์และเชื่อฟังพระองค์ แน่นอนเขาย่อมเป็นพรรคพวกและสาวกของฉัน และผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฉันในการให้เอกภาพต่อพระองค์และเชื่อฟังพระองค์ แน่นอนพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษความผิดบาปของผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เป็นผู้ทรงเมตตาพวกเขา

(37) โอ้พระผู้อภิบาลของเรา แท้จริงข้าพระองค์ได้ให้ลูกหลานบางคนของข้าพระองค์ พวกเขาคือ อิสมาอีลลูกชายของข้าพระองค์และลูกหลานของเขาอาศัยอยู่ที่ราบลุ่ม (มักกะฮฺ) โดยไม่มีพืชผลและน้ำใดๆ ซึ่งอยู่ใกล้บ้านอันเป็นเขตหวงห้ามของพระองค์ โอ้พระเจ้าของเรา ข้าได้ให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั้นเพื่อให้พวกเขาดำรงการละหมาด ณ ที่นั้น ดังนั้นขอพระองค์ทรงทำให้จิตใจของมนุษย์มุ่งไปยังพวกเขาและเมืองนี้ และขอพระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพที่เป็นพืชผลแก่พวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะขอบคุณพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้แก่พวกเขา

(38) โอ้พระผู้อภิบาลของเรา แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้ทุกสิ่งที่เราปกปิดและเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นไปจากอัลลอฮฺได้ ทั้งที่อยู่ในแผ่นดินและชั้นฟ้า พระองค์ทรงรอบรู้ทุกอย่าง ดังนั้นความต้องการต่างๆ ของเราก็ไม่เป็นที่ซ่อนเร้นเช่นกัน

(39) การขอบคุณและการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺที่ได้ตอบรับคำวิงวอนของข้าพระองค์โดยการประทานลูกหลานอันทรงคุณธรรมให้แก่ข้าพระองค์ พระองค์ได้ประทานอิสมาอีลจากภรรยาที่ชื่อฮาญัรและอิสหากจากภรรยาที่ชื่อซาเราะฮฺให้แก่ข้าพระองค์ในขณะที่ข้าพระองค์อยู่ในวัยชรา แท้จริงพระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ทรงได้ยินการวิงวอนของผู้วิงวอนขออย่างแน่นอน

(40) โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ได้โปรดให้ข้าพระองค์และจากลูกหลานของข้าพระองค์เป็นผู้ดำรงการละหมาดอย่างเต็มรูปแบบ โอ้พระเจ้าของเรา ได้โปรดตอบรับการวิงวอนของข้าพระองค์ด้วยเทอญ

(41) โอ้พระเจ้าของเรา ได้โปรดอภัยโทษให้แก่ข้าพระองค์ บิดามารดาของข้าพระองค์ (อิบรอฮีมได้กล่าวดุอาอฺนี้ก่อนที่เขาจะรู้ว่าบิดาของเขาเป็นศัตรูของอัลลอฮฺ เมื่อเป็นที่ประจักษ์แก่เขาว่าบิดาของเขาเป็นศัตรูของอัลลอฮฺเขาก็ไม่ขอดุอาอฺนี้อีก) และบรรดาผู้ศรัทธาในวันที่มวลมนุษย์ฟื้นคืนชีพเพื่อการสอบสวนต่อหน้าพระผู้อภิบาลของพวกเขา

(42) โอ้ท่านเราะซูล เจ้าอย่าคิดว่าเมื่ออัลลอฮฺทรงประวิงเวลาการลงโทษผู้อธรรมนั้นพระองค์ทรงละเลยต่อสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติ เช่น การปฏิเสธศรัทธา การขัดขวางสู่แนวทางของอัลลอฮฺ และอื่นๆ แต่พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งดังกล่าวทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงประวิงเวลาการลงโทษพวกเขาจนถึงวันกิยามะฮฺ ซึ่งเป็นวันที่สายตาเงยจ้องไม่กะพริบเพราะความน่ากลัวที่เขามองเห็น

(43) เมื่อมนุษย์ฟื้นขึ้นจากสุสานของพวกเขาโดยรีบเร่งไปยังผู้เรียกร้องพร้อมกับเงยศีรษะของพวกเขามองไปยังชั้นฟ้าในสภาพที่กังวลกลัว สายตาของพวกเขาจ้องมองไม่กะพริบเพราะความน่ากลัวที่พวกเขามองเห็น จิตใจของพวกเขาว่างเปล่าไม่มีสติใดๆ และไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

(44) โอ้ท่านเราะซูล จงเตือนประชาชาติของท่านถึงการลงโทษของอัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺ บรรดาผู้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองด้วยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและตั้งภาคีต่อพระองค์จะกล่าวว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของเรา ได้โปรดประวิงเวลาและการลงโทษให้แก่เรา และให้เราได้กลับไปสู่โลกดุนยาอีกครั้งในช่วงเวลาที่น้อยนิดเพื่อที่เราจะได้ศรัทธาต่อพระองค์และปฏิบัติตามบรรดาเราะซูลที่พระองค์ส่งพวกเขามายังเรา" พวกเขาถูกตอบกลับด้วยการสำทับว่า "พวกเจ้ามิได้สาบานมาก่อนในโลกดุนยาหรอกหรือว่า พวกเจ้าไม่มีวันที่จะย้ายจากโลกดุนยาไปสู่โลกอาคิเราะฮฺ โดยที่พวกเจ้าปฏิเสธการฟื้นคืนชีพหลังความตาย?!"

(45) และพวกเจ้าได้พำนักอยู่ในสถานที่ของกลุ่มชนก่อนหน้าพวกเจ้าที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองด้วยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ เช่น กลุ่มชนนบีฮูดและกลุ่มชนนบีศอลิหฺ และเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่พวกเจ้าแล้วถึงการการลงโทษที่เราได้กระทำไว้กับพวกเขา และเราได้ยกอุทาหรณ์แก่พวกเจ้าแล้วในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ เพื่อพวกเจ้าจะได้รับบทเรียน แต่พวกเจ้าไม่ได้รับบทเรียนจากมันเลย

(46) และแท้จริงบรรดาผู้ที่พำนักอยู่ในสถานที่ของกลุ่มชนผู้อธรรมได้วางแผนต่างๆ เพื่อที่จะฆ่าท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม และขจัดการเผยแพร่ศาสนาของท่านให้สิ้น และอัลลอฮฺทรงรอบรู้การวางแผนของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นไปจากพระองค์ และการวางแผนของพวกเขาอ่อนแอ มันไม่สามารถขจัดภูเขาและสิ่งอื่นได้ เนื่องจากความอ่อนแอของมัน ซึ่งต่างกับการวางแผนของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขา

(47) และแท้จริงเจ้า โอ้ท่านเราะสูล อย่าคิดเลยว่า อัลลอฮฺที่ได้ทรงสัญญาไว้กับบรรดาเราะสูลของพระองค์ว่าจะช่วยเหลือและให้ศาสนาอิสลามประจักษ์ เป็นผู้ทรงผิดสัญญาในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับบรรดาเราะสูลของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถมีชัยเหนือพระองค์ได้ และพรรคพวกของพระองค์ก็จะสูงส่งมีเกียรติเช่นกัน และพระองค์เป็นผู้ทรงลงโทษศัตรูของพระองค์และศัตรูของบรรดาเราะสูลของพระองค์อย่างรุนแรง

(48) การลงโทษบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นจะมีขึ้นในวันกิยามะฮฺ ซึ่งเป็นวันที่แผ่นดินนี้จะถูกเปลี่ยนให้เป็นแผ่นดินอื่นสีขาวบริสุทธิ์ และชั้นฟ้าทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนเป็นชั้นฟ้าอื่น มวลมนุษย์จะออกจากสุสานพร้อมด้วยเรือนร่างและการงานของพวกเขา เพื่อยืนต่อหน้าอัลลอฮฺผู้ทรงหนึ่งเดียวในพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่ ผู้ทรงควบคุมที่ไม่มีใครสามารถควบคุมพระองค์ได้ และมีชัยชนะที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะเหนือพระองค์ได้

(49) และในวันที่แผ่นดินจะถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นดินอื่น ชั้นฟ้าทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนเป็นชั้นฟ้าอื่น เจ้า โอ้ท่านเราะซูล จะเห็นบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและบรรดาผู้ตั้งภาคีต่อพระองค์ถูกล่ามโซ่ไว้ซึ่งกันและกัน มือและเท้าของพวกเขาถูกล่ามโซ่ตรึงไว้กับต้นคอ เครื่องนุ่งห่มของพวกเขาทำมาจากยางมะตอย และไฟจะลุกคลุมใบหน้าของพวกเขา

(50) และในวันที่แผ่นดินจะถูกเปลี่ยนเป็นแผ่นดินอื่น ชั้นฟ้าทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนเป็นชั้นฟ้าอื่น เจ้า โอ้ท่านเราะซูล จะเห็นบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและบรรดาผู้ตั้งภาคีต่อพระองค์ถูกล่ามโซ่ไว้ซึ่งกันและกัน มือและเท้าของพวกเขาถูกล่ามโซ่ตรึงไว้กับต้นคอ เครื่องนุ่งห่มของพวกเขาทำมาจากยางมะตอย และไฟจะลุกคลุมใบหน้าของพวกเขา

(51) เพื่ออัลลอฮฺจะได้ตอบแทนทุกชีวิตตามความดีและความชั่วที่มันได้กระทำไว้ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงฉับพลันในการสอบสวนการงาน

(52) อัลกุรอ่านที่ถูกประทานให้กับมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอลัยฮิวะซัลลัม นี้ คือการประกาศจากอัลลอฮฺแก่มวลมนุษย์ เพื่อพวกเขาจะได้หวาดกลัวต่อคำเตือนขู่ เกี่ยวกับบทลงโทษของอัลลอฮฺที่ได้มีระบุในอัลกุรอ่าน และเพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่าสิ่งที่ควรได้รับการเคารพอิบาดะฮฺที่แท้จริงนั้นคืออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น โดยไม่มีภาคีใดๆ และเพื่อผู้มีสติปัญญาที่ดีจะได้รับการตักเตือนและบทเรียน เพราะพวกเขาเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์จากการตักเตือนและบทเรียน