(1) การลงโทษที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดไว้สำหรับพวกเจ้า โอ้ ผู้ปฏิเสธศรัทธามันใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นอย่าได้เร่งเร้ามันก่อนเวลาอันควร มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงสุดในหมู่ภาคีที่แต่งตั้งโดยผู้ตั้งภาคี
(2) อัลลอฮ์ส่งมลาอิกะฮ์ลงมาพร้อมด้วยวะฮีย์ ตามคำสั่งใช้ของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ จากบรรดาศาสนทูตของพระองค์ เพื่อให้พวกเจ้า -โอ้บรรดาเราะสูลเอ๋ย- ทำการตักเตือนมนุษย์สู่การเกรงกลัวต่อการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ เพราะไม่มีสิ่งใดที่ถูกกราบไว้โดยเที่ยงแท้นอกจากฉัน แล้วพวกเจ้าทั้งหลายจงยำเกรงต่อฉันเถิด -โอ้มนุษย์- ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้และหลีกเลี่ยงข้อห้ามต่างๆของฉัน
(3) อัลลอฮ์ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินด้วยความจริงโดยไม่มีต้นแบบมาก่อน พระองค์ไม่ได้ทรงสร้างทั้งสองนั้นโดยเปล่าประโยชน์ แต่ทรงสร้างทั้งสองนั้นเพื่อใช้เป็นเครื่องหมายที่สื่อถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากการตั้งภาคีของพวกเขาที่มีขึ้นอื่นจากพระองค์
(4) พระเจ้าสร้างมนุษย์จากหยดน้ำที่ต่ำต้อย ซึ่งจากนั้นก็พัฒนาจากรูปแบบหนึ่งไปอีกรูปแบบหนึ่ง สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็ขัดขืนโดยการโต้เถียงด้วยความเท็จเพื่อขจัดความจริงอย่างชัดเจน
(5) และปศุสัตว์ จากอูฐ วัว และแกะ พระองค์ทรงสร้างมันมาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้า -โอ้มนุษย์เอ๋ย- และจากประโยชน์ตรงนี้คือ การได้รับความอบอุ่นจากเส้นผมและขนของมัน และก็ประโยชน์อย่างอื่นอีกเช่นเดียวกัน อาทิเช่น นมของมัน หนังของมัน หลังของมัน(ใช้แบกสิ่งของ) และบริโภคเนื้อของมัน
(6) และในตัวของมันมีความสง่างามสำหรับพวกเจ้า ในขณะที่พวกเจ้าเข้าสู่ช่วงเวลาพลบค่ำ(คือตอนนำมันกลับมาจากทุ่ง) และในขณะที่พวกเจ้านำพามันออกไปยังทุ่งหญ้าในตอนเช้า
(7) และสัตว์เหล่านี้ที่เราได้สร้างขึ้นมาแก่พวกเจ้า มันได้แบกสัมภาระของพวกเจ้าที่หนักหน่วงในการเดินทางของพวกเจ้าไปยังประเทศหนึ่งๆ ที่พวกเจ้าไปไม่ถึง นอกจากจะต้องผ่านพ้นมันด้วยความยากลำบากมาก แท้จริงพระผู้อภิบาลของพวกเจ้านั้น -โอ้มนุษย์เอ๋ย- พระองค์คือผู้ที่มีความเมตตาสงสารยิ่ง ทรงกรุณาปราณีต่อพวกเจ้าโดยที่พระองค์นั้นได้ทรงทำให้สัตว์เหล่านี้ง่ายดายสำหรับพวกเจ้า
(8) และอัลลอฮ์ทรงสร้างม้า ล่อ และลาไว้สำหรับพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ขี่มัน และบรรทุกสัมภาระของพวกเจ้าไว้บนหลังของมัน และเพื่อเป็นเครื่องประดับแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจะได้เกิดความสง่าในหมู่ผู้คน และพระองค์ยังทรงสร้างสิ่งอื่นๆที่พวกเจ้าไม่รู้ ซึ่งสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ
(9) และเป็นหน้าที่เหนืออัลลอฮ์ในการชี้นำสู่แนวทางที่เที่ยงตรง ที่จะนำพาไปสู่ความพอพระทัยของพระองค์และนั่นก็คือ ศาสนาอิสลาม และจากหลายๆเส้นทาง นั้นมันก็มีเส้นทางของชัยฏอนที่เบี่ยงเบนออกจากความจริง และทุกๆเส้นทางที่ไม่ใช่เส้นทางของอิสลามนั้น แน่นอนมันคือ การเบี่ยงเบน และหากว่าพระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำให้พวกเจ้าทั้งหมดได้รับการชี้นำสู่การศรัทธา แน่นอนพระองค์ก็จะทรงทำให้พวกเจ้าได้รับการชี้นำนั้นทั้งหมด
(10) พระองค์ผู้มหาบริสุทธิ์คือ ผู้ทรงหลั่งน้ำลงมาจากก้อนเมฆให้แก่พวกเจ้า สำหรับพวกเจ้าที่จะได้รับจากน้ำนั้น คือเป็นเครื่องดื่มที่พวกเจ้าและสัตว์เลี้ยงของพวกเจ้าใช้ดื่มกิน และอีกส่วนจากนั้นไว้ให้พืชพรรณที่เจ้าไว้เลี้ยงสัตว์ของเจ้า
(11) อัลลอฮ์ทรงทำให้พืชผลที่พวกเจ้าไว้บริโภคกินนั้นงอกเงยขึ้นมาแก่พวกเจ้าด้วยกับน้ำนั่น และพระองค์ทรงให้ต้นมะกอก ต้นอินทผลัม และต้นองุ่น งอกขึ้นมาให้แก่พวกเจ้าด้วยน้ำนั้น และทรงทำให้ผลไม้ทั้งหมดออกดอกออกผลมาให้แก่พวกเจ้า แท้จริงในน้ำนั้น และสิ่งที่เติบโตมาจากมัน แน่นอนย่อมเป็นหลักฐานยืนยันถึงความเดชานุภาพของอัลลอฮ์ สำหรับกลุ่มชนที่ตรึกตรองในการสร้างของพระองค์ ดังนั้นพวกเขาก็จะเอามันมาเป็นหลักฐานยืนยันชี้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์
(12) และอัลลอฮ์ทรงสร้างเวลากลางคืนแก่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้รับความสงบและได้พักผ่อนในเวลานั้น และสร้างกลางวัน เพื่อที่พวกเจ้าจะได้แสวงหาปัจจัยยังชีพ และพระองค์ทรงสร้างดวงอาทิตย์แก่พวกเจ้าแล้วได้ทำให้มันส่องแสง และสร้างดวงจันทร์แล้วก็ได้ทำให้มันมีแสงรัศมี และสร้างหมู่ดาวเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่พวกเจ้า พระบัญชาของพระองค์ ด้วยดาวเหล่านั้นทำให้พวกเจ้าสามารถใช้มันนำทางในคืนที่เดือนมืดทั้งทางบกและทางน้ำ และเพื่อให้พวกเจ้าได้รับรู้ถึงเวลาต่างๆ เป็นต้น แท้จริงในการสร้างมันทั้งหมดขึ้นมานั้น แน่นอนย่อมเป็นหลักฐานที่ชัดแจ้งที่แสดงถึงความเดชานุภาพของอัลลอฮ์ สำหรับกลุ่มชนที่ใช้ปัญญาใคร่ครวญ ดังนั้นพวกเขาคือบรรดาผู้ที่เข้าใจถึงวิทยปัญญาแห่งการสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
(13) และสิ่งที่พระผู้มหาบริสุทธิ์ทรงสร้างให้มีขึ้นในแผ่นดินนั้นเป็นประโยชน์สำหรับพวกท่าน เช่น แร่ธาตุต่างๆ สัตว์ต่างๆ และพืชพันธุ์ต่างๆซึ่งมีสีและชนิดที่แตกต่างกันไป แท้จริงในการนั้น จากการสร้างและการให้ประโยชน์ แน่นอนย่อมเป็นหลักฐานที่บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความเดชานุภาพของอัลลอฮ์ผู้มหาบริสุทธิ์ สำหรับกลุ่มชนผู้ใคร่ครวญมัน และพวกเขาก็รับรู้ว่าอัลลอฮ์นั้นคือผู้ที่มีความสามารถและเป็นผู้ที่ให้ความโปรดปราน
(14) และพระองค์คือผู้ที่ทรงทำให้ทะเลนั้นเป็นประโยชน์สำหรับพวกเจ้า ดังนั้นพระองค์สามารถทำให้พวกเจ้าล่องลอยอยู่บนมันและนำสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมาได้ เพื่อที่พวกเจ้าจะได้กินสิ่งที่พวกเจ้านั้นจับมา อาทิ ปลาของมันที่มีเนื้อนุ่มสด และพวกเจ้าเอาเครื่องประดับออกจากมัน เป็นเครื่งประดับสำหรับเจ้าและสำหรับบรรดาสตรีของพวกเจ้า เช่น ไข่มุก และเจ้าเห็นเรือแล่นฝ่าคลื่นในท้องทะเล และพวกเจ้าได้ขับขี่เรือนั่นเพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ์ ที่เป็นกำไรในการค้าขาย และหวังว่าพวกเจ้าจะขอบคุณต่ออัลลอฮ์ต่อสิ่งที่พระองค์นั้นได้ทรงโปรดปรานสิ่งนั้นให้กับพวกเจ้า และจงทำอิบาดะฮ์ต่อพระองค์เพียงผู้เดียว
(15) และพระองค์ทรงให้มีเทือกเขามั่นคงในแผ่นดิน เพื่อมิให้มันสั่นสะเทือนและเอนเอียงแก่พวกเจ้า และทรงทำให้น้ำไหลเป็นลำธารในแผ่นดิน เพื่อที่พวกเจ้าจะใช้ดื่มกินจากมัน และพวกเจ้าให้แก่สัตว์เลี้ยงของพวกเจ้าได้ดื่ม และไว้รดสวนไร่นาของพวกเจ้า และทรงแยกเป็นทาง เพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้เป็นทางผ่าน แล้วพวกเจ้าก็จะได้บรรลุเป้าหมายของพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้านั้นจะไม่หลงทางอย่างแน่นอน
(16) และพระองค์ทรงทำเครื่องหมายต่างๆไว้บนหน้าแผ่นดิน พวกเจ้าก็จะได้ใช้มันเป็นเครื่องนำทางในการเดินทางช่วงเวลากลางวัน และทรงสร้างดวงดาวบนท้องฟ้าไว้สำหรับพวกเจ้า เพื่อหวังว่าพวกเจ้าจะใช้มันนำทางในช่วงเวลากลางคืน
(17) ดังนั้น ผู้ทรงสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้และที่นอกเหนือจากนี้ นั้นเหมือนกับผู้ที่ไม่ได้สร้างสิ่งใดๆกระนั้นหรือ?! พวกเจ้ามิได้ใคร่ครวญถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ที่ทรงสร้างทุกๆ สิ่งขึ้นมา และพวกเจ้าก็เคารพอิบาดะฮ์ต่อพระองค์เพียงผู้เดียว โดยไม่ตั้งภาคีร่วมกับพระองค์กับสิ่งที่ไม่ได้สร้างสิ่งใดๆหรอกหรือ?
(18) และหากพวกเจ้าได้พยายาม -โอ้มนุษย์เอ๋ย- ที่จะคำนวณนับความโปรดปรานของอัลลอฮ์อันมากมายที่พระองค์ได้ทรงประทานให้แก่พวกเจ้านั้น พวกเจ้าจะไม่สามารถคำนวณได้ เพราะด้วยจำนวนที่มากมายและชนิดที่แตกต่างกันของมัน แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยยิ่งโดยที่พระองค์นั้นไม่ได้ถือโทษพวกเจ้าต่อการเพิกเฉยต่อการขอบคุณในความโปรดปรานเหล่านั้น ผู้ทรงเมตตายิ่ง โดยที่พระองค์นั้นไม่ได้ระงับตัดมันขาดออกจากพวกเจ้าไป จะด้วยสาเหตุของการฝ่าฝืนหรือด้วยความบกพร่องในการขอบคุณต่อพระองค์
(19) และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ -โอ้ปวงบ่าวเอ๋ย- ถึงสิ่งที่พวกเจ้าปกปิดจากการงานของพวกเจ้า และพระองค์ก็ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่พวกเจ้านั้นเปิดเผยจากการงานั้น ไม่มีอะไรที่จะซุกซ่อนไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการกระทำเหล่านั้น
(20) และสิ่งที่บรรดามุชรีกีนเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ พวกมันไม่ได้สร้างสิ่งใดเลยแม้แต่น้อยนิด และผู้ใดที่เคารพบูชาต่อพวกมันอื่นจากอัลลอฮ์ โดยที่พวกเขาคือผู้ที่สร้างพวกมันขึ้นมาเอง พวกเขาเคารพบูชามันโดยปราศจากอัลลอฮฺได้อย่างไร? ต่อสิ่งที่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาด้วยน้ำมือของพวกเขาเองจากบรรดารูปปั้นเหล่านั้น
(21) และพร้อมกับการที่พวกเขาได้เคารพบูชามัน พวกเขาก็ได้สร้างพวกมันมาด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง พวกมันคือสิ่งที่ไม่มีชีวิตไร้ซึ่งจิตวิญญาณและไร้ซึ่งความรอบรู้ ดังนั้นพวกเขาไม่รู้ ว่าเมื่อไหร่พวกเขาและผู้ที่บูชาพวกเขาจะถูกให้ฟื้นขึ้นมาในวันกิยามะฮ์ เพื่อที่พวกเขาจะถูกโยนลงไปพร้อมกับพวกมันในนรกญะฮันนัม
(22) พระเจ้าของพวกเจ้าที่แท้จริงนั้นคือพระเจ้าองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆสำหรับพระองค์ และพระองค์นั้นคืออัลลอฮ์ ดังนั้นบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อการฟื้นคืนชีพเพื่อการตอบแทน หัวใจของพวกเขาจะปฏิเสธความเป็นหนึ่งเดียวของอัลลอฮ์ เพราะว่ามันไร้ซึ่งความเกรงกลัว ดังนั้นมันจะไม่ศรัทธาต่อการคิดบัญชีและการลงโทษ และพวกเขาก็หยิ่งผยองไม่ยอมรับซึ่งสัจธรรม และไม่ยอมจำนนต่อพระองค์
(23) โดยแน่นอน แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาปกปิดมันจากการงานต่างๆ และทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย ไม่มีอะไรที่จะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนแก่พวกเขาตามการงานนั้น แท้จริงพระองค์มิทรงรักบรรดาผู้หยิ่งผยองที่หันเหไปจากการเคารพอิบาดะฮ์และยอมจำนนต่อพระองค์ ไม่เพียงเท่านั้นพระองค์ก็จะทรงเกลียดชังพวกเขาอย่างที่สุด
(24) และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธต่อความเป็นหนึ่งเดียวของผู้ทรงสร้างและปฏิเสธต่อการฟื้นคืนชีพว่า "อัลลอฮ์ได้ประทานสิ่งใดลงมาแก่มูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม หรือ?" พวกเขาก็จะตอบว่า "พระองค์มิได้ประทานสิ่งใดให้แก่เขาเลย และแท้จริงสิ่งนั้นล้วนแล้วมันมาจากตัวของเขาเอง ที่เป็นนิยายของคนสมัยก่อนและเรื่องราวโกหกหลอกหลวงของพวกเขา"
(25) เพื่อจุดจบของพวกเขาด้วยการแบกรับบาปของตนไว้อย่างครบถ้วน และยังต้องแบกรับบาปบางอย่างของผู้ที่พวกเขาได้ทำให้หลงทางจากศาสนาอิสลาม จะโดยปราศจากความรู้หรือจะโดยแบบตามๆ กันมา ดังนั้นไม่มีบาปใดที่จะเลวร้ายยิ่งไปกว่าผู้ที่ต้องแบกบาปของพวกเขาและบาปของผู้ที่ตามพวกเขา
(26) แน่นอน บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่มาก่อนหน้าพวกเขาเหล่านั้น ได้วางแผนร้ายต่อบรรดาเราะสูลของพวกเขา ดังนั้นอัลลอฮ์ก็ได้ทรงทำลายอาคารบ้านเรือนของพวกเขาจากรากฐานของมัน ดังนั้นหลังคาที่อยู่เหนือพวกเขาก็ได้หล่นลงมาทับพวกเขา และการลงโทษนั้นก็ได้มายังพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่ได้คาดคิด แน่นอนยิ่งพวกเขาคาดว่าอาคารบ้านเรือนของพวกเขาจะปกป้องพวกเขา และแล้วพวกเขาก็ได้โดนทำลายด้วยกับมัน
(27) แล้วในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาอัปยศและอับอายขายหน้าด้วยการลงโทษ และพระองค์จะทรงตรัสแก่พวกเขาว่า "ไหนเล่าภาคีของข้าที่พวกเจ้าเคยตั้งเป็นภาคีร่วมกับข้าในการเคารพบูชา และที่ทำให้พวกเจ้าเป็นปรปักษ์กับบรรดานบีของข้าและบรรดาผู้ศรัทธาด้วยสาเหตุพวกมัน? บรรดาผู้รู้กล่าวว่า "แท้จริงความอัปยศและการลงโทษในวันกิยามะฮ์นั้นมันจะประสบแก่พวกปฏิเสธศรัทธา"
(28) บรรดาผู้ที่มลาอิกะฮ์แห่งความตายและเหล่าผู้ช่วยของเขาจากมลาอิกะฮ์ ได้เอาชีวิตของพวกเขา ในขณะที่พวกเขาได้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองโดยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ดังนั้นทำให้พวกเขายอมจำนนต่อสิ่งที่ประสบกับพวกเขาซึ่งความตาย และพวกเขาก็ได้ปฏิเสธถึงสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้จากสิ่งที่เป็นการปฏิเสธการศรัทธาและการฝ่าฝืนต่างๆ โดยคิดว่าการปฏิเสธนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา ดังนั้นก็ได้มีคำกล่าวแก่พวกเขาขึ้นว่า "พวกเจ้านั้นโกหก แท้จริงพวกเจ้าคือบรรดาผู้ปฏิเสธ ที่กระทำในสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืน แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่พวกเจ้านั้นได้กระทำไว้ในโลกดุนยา มันไม่มีอะไรที่สามารถซุกซ่อนไปจากพระองค์ได้ และพระองค์ก็จะตอบแทนพวกเจ้าตามการกระทำเหล่านั้น"
(29) มีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า "จงเข้าไปสู่ประตูนรกตามการกระทำของพวกเจ้า ซึ่งจะคงอยู่ในนั้นตลอดไป" เป็นที่พำนักที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้ที่หยิ่งผยอง ปฏิเสธที่จะศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเคารพภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียว
(30) และได้ถูกกล่าวแก่บรรดาผู้ยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาที่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้และห่างไกลจากข้อห้ามต่างๆของพระองค์ว่า “พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าได้ประทานอะไรลงมาแก่นบีของพวกเจ้า มูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม กระนั้นหรือ?” พวกเขาตอบว่า “อัลลอฮ์ได้ทรงประทานความดีที่ยิ่งใหญ่”สำหรับบรรดาผู้ปฏิบัติอิบาดะฮ์ที่ดีต่ออัลลอฮ์ และเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีต่อปวงบ่าวของพระองค์ในชีวิตโลกนี้ คือการตอบแทนที่ดี ซึ่งมันคือชัยชนะและความมั่งคั่งในปัจจัยยังชีพ และสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงเตรียมไว้ให้แก่พวกเขาในปรโลกนั้นย่อมดีกว่าสิ่งที่พระองค์ได้ทรงมอบให้แก่พวกเขาในโลกดุนยานี้ และที่พำนักที่ดีเลิศคือที่พำนักในปรโลกสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาด้วยการเชื่อฟังคำสั่งสอนและหลีกห่างจากข้อห้ามต่างๆของพระองค์
(31) สรวงสวรรค์ที่เป็นที่พำนักและที่มีความมั่นคง พวกเขาจะเข้าไปในนั้น ซึ่งมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน ณ เบื้องล่างที่พำนักของมันและใต้พุ่มไม้ของมัน สำหรับพวกเขาในสรวงสวรรค์นั้นจะมีสิ่งที่มันตรงต่อความปรารถนาของพวกเขาที่เป็นอาหาร เครื่องดื่มและอื่นๆ ที่นอกเหนือจากทั้งสอง เช่นเดียวกันนี้การตอบแทนดังกล่าว ที่พระองค์จะทรงตอบแทนต่อบรรดาผู้ยำเกรงในหมู่ประชาชาติของท่านนบีมูฮำหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม พระองค์จะทรงตอบแทนแก่บรรดาผู้ยำเกรงในหมู่ประชาชาติก่อนๆที่ผ่านมาเช่นกัน
(32) บรรดาผู้ที่มลาอิกะฮ์แห่งความตายและพรรคพวกของเขาจากเหล่ามลาอิกะฮ์ได้เอาชีวิตของพวกเขาในสภาพที่หัวใจของพวกเขานั้นบริสุทธิ์ปราศจากการปฏิเสธศรัทธา บรรดามลาอิกะฮ์จะกล่าวแก่พวกเขา ด้วยคำกล่าวของพวกเขาว่า "ศานติจงมีแด่พวกเจ้า พวกเจ้านั้นได้ผ่านพ้นจากภัยพิบัติแล้ว จงเข้าไปในสวรรค์ ด้วยสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ในโลกดุนยา จากความเชื่อที่ถูกต้องและการกระทำที่ดี
(33) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านี้ไม่ได้รอสิ่งใด ๆ นอกจากการมาของมลาอิกะฮ์แห่งความตายและบริวารของเขาจากเหล่ามลาอิกะฮ์ที่จะมารับวิญญาณของพวกเขาและตีใบหน้าและหลังของพวกเขา หรือรอพระบัญชาของอัลลอฮ์เพื่อกำจัดพวกเขาด้วยการลงโทษในโลกนี้ กระนั้นหรือ? ซึ่งการกระทำดังกล่าวที่บรรดามุชรีกีนในมักกะฮ์กำลังกระทำอยู่นั่น มันเหมือนกับการกระทำของบรรดามุชรีกีนที่มาก่อนหน้าพวกเขา และพระองค์ก็มิได้ทรงอธรรมต่อพวกเขาครั้นเมื่อขณะที่พระองค์ได้ลงโทษพวกเขา แต่พวกเขาเองต่างหากที่กำลังอธรรมต่อตัวของพวกเขาเองด้วยการนำพาไปสู่ความวิบัติโดยการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาต่ออัลลอฮ์
(34) ดังนั้น บทลงโทษที่เป็นผลจากการกระทำของพวกเขา ได้ประสบกับพวกเขาตามที่พวกเขาได้กระทำไว้ และพวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยการลงโทษที่พวกเขาเคยเยาะเย้ยเมื่อใดก็ตามที่พวกเขานึกถึงมัน
(35) และบรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ในการเคารพบูชานั้น กล่าวว่า "หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ที่จะให้พวกเราเคารพบูชาต่อพระองค์เพียงองค์เดียว พวกเราก็จะไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์ต่อสิ่งอื่นใดที่พวกเราได้เคารพบูชามันนอกเหนือพระองค์ ทั้งพวกเราและบรรพบุรุษของพวกเราที่มาก่อนหน้าพวกเรา และหากว่าพระองค์ทรงประสงค์ที่จะมิให้พวกเราห้ามสิ่งหนึ่งสิ่งใด พวกเราก็ไม่ห้ามมัน" ด้วยกับข้อกล่าวอ้างอันมดเท็จอันนี้แหละที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาชนรุ่นก่อนได้กล่าวอ้างมันไว้ ดังนั้น บรรดาเราะสูลมิได้มีหน้าที่อื่นใด นอกจากการประกาศอันชัดแจ้งถึงสิ่งที่พวกเขาได้รับสั่งมาให้เป่าประกาศเท่านั้น และแน่นอนพวกเขาทั้งหลายก็ได้ทำการเป่าประการมันแล้ว และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ผู้ปฏิเสธศรัทธาจะแก้ตัวด้วยการอ้างถึงกฎกำหนดสภาวการณ์ หลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงมอบให้แก่พวกเขาซึ่งความต้องการและอิสระในการตัดสิน และพระองค์ก็ได้ส่งไปยังพวกเขา ซึ่งเหล่าบรรดาเราะสูลของพระองค์
(36) แท้จริงเราได้ส่งเราะสูลไปยังทุก ๆ ประชาชาติเพื่อเชิญชวนประชาชาติของเขาให้เคารพสักการะอัลลอฮ์เพียงผู้เดียว และละทิ้งการเคารพสักการะต่อสิ่งอื่นจากพระองค์ ในรูปของรูปเคารพ บรรดาชัยฏอนและอื่น ๆ ดังนั้นในหมู่พวกเขามีผู้ที่อัลลอฮ์ทรงแนะนำสู้สัจธรรมให้ แล้วเขาก็ศรัทธาต่อพระองค์ และปฏิบัติตามสิ่งที่เราะสูลของพระองค์นำมา และพวกเขาบางคนปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ไม่เชื่อฟังเราะสูลของพระองค์ ดังนั้นอัลลอฮ์จึงไม่ทรงแนะทางแห่งสัจธรรมแก่เขา ด้วยเหตุนี้การหลงทางจึงเป็นสิ่งที่ควรสำหรับเขา ดังนั้นจงเดินบนแผ่นดินเพื่อพวกเจ้าจะเห็นด้วยตาของพวกเจ้าเองว่ามันได้เกิดอะไรขึ้นกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาหลังจากการลงโทษได้เกิดขึ้นกับพวกเขา
(37) แม้ว่าเจ้า -โอ้เราะสูล- จะพยายามทำทุกอย่างที่เจ้ามีความสามารถทำได้เพื่อเรียกร้องคนเหล่านี้ และทุ่มเทอย่างหนักที่จะให้แนวทางแก่พวกเขาและเจ้าได้ใช้เหตุผลต่างๆ เพื่อการนั้นก็ตาม แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงแนะนำแนวทางผู้ที่พระองค์ทรงให้หลง และพวกเขาจะไม่มีใครนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น ที่จะช่วยเหลือพวกเขาด้วยการปกป้องพวกเขาจากการลงโทษ
(38) และบรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านั้นได้สาบานต่ออัลลอฮ์ ด้วยการสาบานที่หนักแน่น จริงจัง และมั่นใจ ในคำสาบานของพวกเขาว่า "อัลลอฮ์จะไม่ทรงให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมาอีก" โดยที่ไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ ถึงเรื่องนี้สำหรับพวกเขาเลย ไม่ใช่อย่างนั้นเลย อัลลอฮ์จะทรงทำให้คืนชีพให้กับทุกๆ คนที่ตายไป มันเป็นสัญญาที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนสำหรับพระองค์ แต่ทว่ามนุษย์ส่วนใหญ่นั้นไม่รู้ว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงทำให้ฟื้นคืนชีพให้กับผู้ที่ตายไปแล้วอีกครั้งได้ ดั้งนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธการฟื้นคืนชีพ
(39) อัลลอฮ์จะทรงทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพทั้งหมดในวันกิยามะฮ์ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงแก่พวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกันในเรื่องนั้น ที่เกี่ยวกับการศรัทธาต่อความเป็นเอกะของพระองค์ เรื่องการฟื้นคืนชีพ และเรื่องการเป็นนบี แล้วเพื่อให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้รู้ว่าแท้จริงพวกเขานั้นเป็นผู้โกหก ต่อการกล่าวอ้างของพวกเขาว่า มีภาคีร่วมกับอัลลอฮ์ และในเรื่องของการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาต่อการฟื้นคืนชีพ
(40) แท้จริงเมื่อเราปรารถนาที่จะให้ผู้ตายมีชีวิตขึ้นมาหรือทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ แน่นอนไม่มีผู้ใดที่จะห้ามเราจากการกระทำนั้นได้ แท้จริงเราจะดำรัสแก่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อเราต้องการมัน เราก็จะดำรัสแก่มันว่า "จงเป็น" แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
(41) บรรดาผู้ที่ละทิ้งบ้านเมือง ครอบครัว และทรัพย์สินของพวกเขาเพื่ออพยพจากแผ่นดินแห่งการปฏิเสธศรัทธาไปยังแผ่นดินแห่งอิสลาม เพื่อแสวงหาความพอพระทัยของอัลลอฮ์ หลังจากที่ผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ทรมานและกดขี่ชีวิตของพวกเขา แน่นอนเราจะให้พวกเขาได้อยู่ในที่พำนักในโลกดุนยานี้อย่างมีเกียรติ และแท้จริงรางวัลแห่งปรโลกนั้นยิ่งใหญ่กว่าเพราะรางวัลที่มีในนั้นส่วนหนึ่งก็คือสวรรค์ หากผู้ที่ละทิ้งการอพยพได้รู้ถึงรางวัลของผู้อพยพ พวกเขาจะไม่ละทิ้งการอพยพอย่างแน่นอน
(42) บรรดาผู้ที่อพยพในหนทางของอัลลอฮฺ์นั้น พวกเขาคือบรรดาผู้ที่อดทนต่อภัยอันตรายจากกลุ่มชนของพวกเขา และอดทนต่อการละทิ้งเครือญาติและแผ่นดินเกิดของพวกเขา และเช่นเดียวกันพวกเขาได้อดทนกับการเชื่อฟังอัลลอฮ์ และพวกเขาก็มอบความไว้วางใจต่อพระเจ้าของพวกเขาเพียงผู้เดียว ในทุกๆ กิจการของพวกเขา ดังนั้นอัลลอฮ์ก็ได้ทรงมอบรางวัลอันล้ำค่าอันนี้แก่พวกเขา
(43) และเรามิได้ส่งผู้ใดมาก่อนหน้าเจ้า -โอ้เราะสูล- นอกจากเป็นผู้ชายที่มาจากมนุษย์ซึ่งเราได้ประทานวะฮีย์แก่พวกเขา ดังนั้นเรามิได้ส่งเราะสูลคนใดเลยที่มาจากมลาอิกะฮ์ และนี่คือกฎเกณฑ์ของเราที่ตายตัว และถ้าหากว่าพวกเจ้านั้นไม่อาจยอมรับในสิ่งนั้นได้ ดังนั้นพวกเจ้าจงถามบรรดาชาวคัมภีร์รุ่นก่อนๆ พวกเขาก็จะบอกกับพวกท่านว่าแท้จริงบรรดาเราะสูลที่ถูกส่งมานั้น พวกเขาต่างก็เป็นมนุษย์ทั่วไป พวกเขามิได้เป็นมลาอิกะฮ์หรอก หากพวกเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นมนุษย์
(44) เราได้ส่งบรรดาศาสนทูตเหล่านั้นที่มาจากหมู่มนุษย์ ด้วยหลักฐานทั้งหลายที่ชัดแจ้ง และคัมภีร์ต่าง ๆ ที่ถูกส่งลงมา และเราได้ประทานอัลกุรอานให้แก่เจ้า โอ้เราะสูล เพื่อที่เจ้าจะได้ชี้แจง (ให้กระจ่าง) แก่มนุษย์ ซึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องชี้แจง และหวังว่าพวกเขาจะได้ใช้ความคิดของพวกเขาไตร่ตรอง แล้วพวกเขาจะได้รับเป็นข้อเตือนสติด้วยเนื้อหาของมัน
(45) บรรดาผู้วางแผนชั่วร้ายทั้งหลายที่คอยขัดขวางหนทางของอัลลอฮ์ จะปลอดภัยกระนั้นหรือ จากการที่อัลลอฮ์จะทรงให้ธรณีสูบพวกเขาดังเช่นที่ได้เกิดขึ้นกับกอรูน หรือการลงโทษที่จะมาเยือนพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่ได้รอคอยการมาของมัน
(46) หรือการลงโทษจะประสบกับพวกเขาในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางและแสวงหารายได้ ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะหนีพ้นหรือป้องกันตนเองได้
(47) หรือพวกเขารู้สึกปลอดภัยจากการลงโทษของอัลลอฮ์ในขณะที่พวกเขาเกรงกลัวพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์สามารถที่จะลงโทษพวกเขาในทุกกรณี แท้จริงพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าเป็นผู้ทรงเอ็นดูและเมตตาเสมอ เพราะพระองค์ไม่ทรงเร่งการลงโทษโดยหวังว่า พวกเขาจะกลับใจสู่พระองค์
(48) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้น พวกเขามิได้ดูด้วยการพินิจพิจารณาไปยังสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์บ้างหรอกหรือว่า เงาของมันจะทอดไปทางขวาและทางซ้ายตามการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์ หรือการเคลื่อนที่ของมันในยามกลางวันและตามการเคลื่อนไหวของดวงจันทร์ในเวลากลางคืน เพื่อเป็นการนอบน้อมต่อพระเจ้าของมัน เป็นการสุญูดต่อพระองค์ซึ่งเป็นการสุญูดอย่างแท้จริง และมันยอมจำนน
(49) และสิงที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ที่เป็นสัตว์โลกทั้งหลาย และแด่พระองค์เพียงผู้เดียวที่บรรดามะลาอิกะฮ์จะสุญูด และพวกเขาจะไม่หยิ่งผยองต่อการเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ และเชื่อฟังต่อพระองค์
(50) และพวกเขา (พร้อมกับความเคร่งครัดของพวกเขาในการทำอิบาดะฮ์และเชื่อฟังอย่างสม่ำเสมอ) พวกเขาเกรงกลัวพระผู้อภิบาลของพวกเขาซึ่งอยู่เหนือพวกเขาด้วยกับตัวตนของพระองค์เอง ด้วยบารมีที่ยิ่งใหญ่และอำนาจที่สูงส่งของพระองค์ และพวกเขาก็จะปฏิบัติตามสิ่งที่พระผู้อภิบาลของพวกเขาทรงบัญชา เพื่อแสดงถึงการเชื่อฟัง
(51) และอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงตรัสแก่บรรดาบ่าวของพระองค์ทั้งหมดว่า "พวกเจ้าอย่าได้เคารพสักการะพระเจ้าสององค์ แท้จริงพระองค์คือพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักการะอย่างแท้จริงนั้น มีองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีองค์ที่สองและไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ ดังนั้น เฉพาะข้าเท่านั้น พวกเจ้าจงยำเกรง และจงอย่าได้เกรงกลัวสิ่งอื่นใดนอกจากข้า"
(52) และสำหรับพระองค์เท่านั้นเป็นเจ้าของซึ่งทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและในแผ่นดิน ทั้งการสร้าง การครอบครอง และการจัดการ และเช่นเดียวกันสำหรับพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่คู่ควรแก่การเชื่อฟัง การนอบน้อม และบริสุทธิ์จริงใจตลอดกาล ดังนั้นพวกเจ้าจะยำเกรงผู้อื่นจากอัลลอฮ์อีกกระนั้นหรือ?! เปล่าเลย แต่ทว่าพวกเขานั้นได้เกรงกลัวต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น
(53) และไม่มีความโปรดปรานใดๆ ทั้งในด้านศาสนาหรือด้านโลกดุนยาที่พวกเจ้านั้นได้รับ -โอ้มนุษย์เอ๋ย- แท้จริงมันมาจากอัลลอฮ์ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์เท่านั้น มันไม่ได้มาจากผู้อื่นใดที่นอกเหนือจากพระองค์ ดังนั้น เมื่อบททดสอบ หรือโรคร้าย หรือความทุกข์ยากใดๆ มาประสบแก่พวกเจ้า ดังนั้นแด่พระองค์เท่านั้น ที่พวกเจ้าต้องคร่ำครวญขอวิงวอน เพื่อให้พระองค์ขจัดมันออกไปจากพวกเจ้าซึ่งสิ่งที่ได้ประสบกับพวกเจ้า ดังนั้นผู้ใดที่คอยมอบความสุข และขจัดความทุกข์ให้ เขาผู้นั้นคือผู้ที่สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการเคารพสักการะเพียงผู้เดียว
(54) แล้วเมื่อการวิงวอนของพวกเจ้าได้รับการตอบรับ พระองค์ก็ได้ทรงขจัดความทุกข์ยากออกจากพวกเจ้า ทันใดนั้นกลุ่มหนึ่งจากพวกเจ้าก็จะตั้งภาคีต่อพระเจ้าของพวกเขา โดยที่พวกเขาได้เคารพสักการะต่อพระองค์พร้อมกับสิ่งอื่นด้วย นี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่ยุติธรรมอะไรเช่นนี้?!
(55) การตั้งภาคีของพวกเขาที่มีต่ออัลลอฮ์นั้น ทำให้พวกเขาต้องเนรคุณต่อความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่ได้ให้แก่พวกเขา เช่น การขจัดความทุกข์ยาก และด้วยเหตุนี้ได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า "จงมีความสุขกับสิ่งที่พวกเจ้าได้รับจากความโปรดปรานนั้นเถิด จนกว่าการลงโทษของอัลลอฮ์จะมายังพวกเจ้าไม่ช้าก็เร็ว
(56) และบรรดาผู้ตั้งภาคีได้กำหนดส่วนหนึ่งจากทรัพย์สมบัติของพวกเขาที่เราได้ประทานให้ โดยแบ่งให้แก่เจว็ดของพวกเขาซึ่งเป็นเจว็ดที่ไม่สามารถรับรู้อะไรเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตและมันก็ไม่ได้ให้คุณหรือให้โทษใดๆ เพื่อเป็นการแสวงหาความไกล้ชิดต่อเจว็ดเหล่านั้น ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ พวกเจ้าจะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ์อย่างแน่นอน -โอ้บรรดาพวกผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย- ถึงสิ่งที่พวกเจ้าคิดว่าบรรดาเจว็ดเหล่านี้เป็นพระเจ้า และคิดว่าส่วนหนึ่งจากทรัพย์สินของพวกเจ้ามีไว้สำหรับเจว็ดเหล่านั้น
(57) และบรรดาผู้ตั้งภาคีได้กำหนดบุตรีให้แก่อัลลอฮ์ และพวกเขาเชื่อว่าบรรดาบุตรีเหล่านั้นคือมะลาอิกฮ์ ดังนั้นพวกเขาได้กำหนดการมีบุตรให้แก่พระองค์ และพวกเขาได้เลือกให้แก่พระองค์ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเองนั้นไม่ชอบ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ และทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาได้กำหนดให้แก่พระองค์ และพวกเขาได้กำหนดแก่พวกเขาเองซึ่งสิ่งที่พวกเขาชอบ นั้นคือบุตรชาย ดังนั้นอะไรมันจะชั่วช้ายิ่งกว่านี้?!
(58) และเมื่อมีการแจ้งข่าวในหมู่ผู้ตั้งภาคีว่า ด้วยการได้ลูกสาว ใบหน้าของเขาก็จะหมองคล้ำ เนื่องด้วยความไม่พอใจต่อข่าวที่เขาได้รับมา และหัวใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความกังวลและความโศกเศร้า จากนั้นเขาก็กำหนดให้แก่อัลลอฮ์ซึ่งสิ่งที่ตัวของเขาเองนั้นไม่พึงพอใจ!
(59) เขาจะซ่อนและเก็บตัวจากกลุ่มชนของเขา เนื่องจากข่าวร้ายที่ได้รับมา จากการได้ลูกสาว เขาก็ได้พูดกับตัวเองว่า :"จะเก็บเด็กหญิงคนนี้ไว้พร้อมกับความอัปยศและความระทมทุกข์ หรือจะฝังเธอไว้ในดิน? มันชั่งเป็นสิ่งที่ชั่วช้าที่สุดซึ่งการตัดสินของบรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้น โดยพวกเขาได้ตัดสินให้แก่พระผู้อภิบาลของพวกเขาด้วยสิ่งที่ตัวของพวกเขาเองนั้นรังเกียจ
(60) สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ไม่ศรัทธาต่อวันปรโลกนั้น มีคุณลักษณะที่ชั่วช้าที่ต้องพึ่งลูกชาย มีความโง่เขลา และปฏิเสธศรัทธา และสำหรับอัลลอฮ์นั้นทรงมีคุณลักษณะที่น่าสรรเสริญอันสูงส่ง เช่น ทรงเกียรติ ทรงสมบูรณ์ ทรงมั่งคั่ง และทรงรอบรู้ เป็นต้น และพระองค์คือผู้ทรงเดชานุภาพในการปกครองที่ไม่มีผู้ใดเหนือพระองค์ได้ ผู้ทรงปรีชาญาณในการสร้าง การปกครอง และการบัญญัติศาสนา
(61) หากอัลลอฮ์ได้ทรงลงโทษมนุษย์เนื่องด้วยความอยุติธรรมของพวกเขา และการที่พวกเขาปฏิเสธพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้มนุษย์หรือสัตว์เพียงตัวเดียวที่เดินอยู่บนผิวโลก แต่ขอพระองค์ทรงบริสุทธิ์ ทรงประวิงเวลาเหล่านั้นออกไปจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดไว้ในความรู้ของพระองค์ ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้นซึ่งกำหนดไว้แล้วในความรู้ของพระองค์ พวกเขาก็จะไม่ชักช้า และไม่ล่วงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย
(62) และพวกเขากำหนดให้แก่อัลลอฮ์ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเองไม่ชอบ นั่นคือลูกสาว และลิ้นของพวกเขาก็กล่าวเท็จขึ้นว่า สำหรับพวกเขา ณ ที่อัลลอฮ์นั้นมีตำแหน่งที่สูงส่ง หากมันถูกต้องจริง พวกเขาก็จะถูกให้บังเกิดขึ้นมา ดังที่พวกเขาได้กล่าวอ้างไว้ แท้จริงสำหรับพวกเขานั้นคือไฟนรก และพวกเขาจะถูกทิ้งไว้ในนั้น ไม่สามารถออกจากที่นั่นได้ตลอดกาล
(63) ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ โดยแน่นอนเราได้ส่งบรรดาเราะสูลไปยังประชาชาติต่าง ๆ ก่อนหน้าเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- แล้วชัยตอนได้ทำให้การงานอันที่ไม่ดีของพวกเขาเป็นที่ดึงดูดสำหรับพวกเขา ที่เป็นการตั้งภาคี การปฏิเสธศรัทธา และการฝ่าฝืนต่างๆ ดังนั้น มันคือผู้ช่วยเหลือของพวกเขาที่ถูกอ้างในวันกิยามะฮ์ ดังนั้น แน่นอนพวกเขาก็จะขอความช่วยเหลือจากมัน และสำหรับพวกเขาในวันกิยามะฮ์นั้น คือการลงโทษอันเจ็บปวด
(64) และเรามิได้ประทานอัลกุรอานลงมาให้แก่เจ้าเพื่ออื่นใด -โอ้เราะสูล- เว้นแต่เพื่อให้เจ้าชี้แจงให้แจ่มแจ้งแก่มวลมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งสิ่งที่พวกเขาได้ขัดแย้งกัน ที่เกี่ยวกับการศรัทธาต่อความเป็นเอกะของอัลลอฮ์ การฟื้นคืนชีพ และเรื่องของบทบัญญัติต่างๆ และเพื่อให้อัลกุรอานนั้นเป็นทางนำและเป็นความเมตตาแก่หมู่ชนผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาเราะสูลของพระองค์และศรัทธาต่อสิ่งที่อัลกุรอานได้นำมา ดังนั้น พวกเขา คือ บรรดาผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสัจธรรมที่แท้จริง
(65) และอัลลอฮ์ทรงประทานน้ำลงมาจากฟากฟ้า แล้วด้วยน้ำนั้นพระองค์ทำให้แผ่นดินนั้นมีชีวิตขึ้นมา ด้วยการทำให้ต้นไม้ได้งอกเงยออกมาจากมันหลังจากที่มันแห้งแล้ง แท้จริงในการให้น้ำฝนลงมาจากท้องฟ้า และการทำให้ต้นไม้ได้งอกเงยขึ้นมาจากดินด้วยด้วยน้ำนั้น มันเป็นหลักฐานที่ชี้ชัด ที่บ่งบอกถึงความสามารถของอัลลอฮ์ แก่กลุ่มชนที่รับฟังคำพูดของอัลลอฮ์และใคร่ครวญมัน
(66) และแท้จริงสำหรับพวกเจ้า โอ้มนุษย์เอ๋ย ในตัวของอูฐ ของวัว และของแพะนั้นย่อมมีบทเรียนที่พวกเจ้าจะได้รับจากมัน โดยที่เราจะให้พวกเจ้าได้ดื่มจากเต้าของมัน ซึ่งน้ำนมที่มันออกมาระหว่างสิ่งที่อยู่ในช่องท้องที่มาจากมูล และสิ่งที่มันอยู่ในร่างกายที่มาจากเลือด และพร้อมกันนั้น มันเป็นน้ำนมที่บริสุทธิ์สดใหม่และอร่อยสำหรับผู้ที่ดื่มมัน
(67) และสำหรับพวกเจ้าแล้ว มีบทเรียนในเรื่องปัจจัยยังชีพซึ่งเราได้ให้แก่พวกเจ้าในรูปของอินทผลัมและองุ่น จากนั้นพวกเจ้าทำเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้มึนเมาซึ่งเป็นสิ่งทำลายสติปัญญา และมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี และพวกเจ้าได้ยึดเป็นปัจจัยยังชีพที่ดีใช้ประโยชน์จากมัน เช่น ลูกอินทผาลัม ลูกเกด น้ำส้มสายชู และน้ำอินทผาลัม แท้จริงนั่นเป็นข้อพิสูจน์ถึงการทรงอำนาจของอัลลอฮ์และความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อปวงบ่าวของพระองค์สำหรับกลุ่มชนที่มีความเข้าใจ เพราะพวกเขาเท่านั้นเป็นผู้ที่ได้รับบทเรียน
(68) และพระผู้อภิบาลของเจ้า -โอ้เราะสูล- ทรงดลใจแก่ผึ้งและทรงชี้นำแก่มันว่า "เจ้าจงทำรังของเจ้าตามภูเขาและตามต้นไม้ และตามอาคารต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาและตามหลังคาของมัน"
(69) “จากนั้นจงกินผลไม้ทั้งหมดที่เจ้าต้องการ และดำเนินไปตามทางที่พระผู้อภิบาลของเจ้าดลใจให้เจ้า ซึ่งเป็นทางที่สะดวกสำหรับเจ้า” จากท้องของผึ้งเหล่านั้น จะเกิดน้ำผึ้งที่มีสีต่างกัน เช่น สีขาว สีเหลือง และสีอื่นๆ ซึ่งประกอบด้วยยารักษาคน ที่พวกเขาสามารถใช้มันในการรักษาคนป่วยได้ แท้จริงในการดลใจแก่ผึ้งและในน้ำผึ้งที่ออกมาจากท้องของพวกมันนั้น เป็นสัญญาณแห่งอำนาจของอัลลอฮ์และการจัดการต่างๆ แก่สิ่งถูกสร้างของพระองค์ สำหรับผู้ที่ใคร่ครวญเพราะพวกเขาเท่านั้นเป็นผผู้ที่ได้รับบทเรียน
(70) และอัลลอฮฺทรงบังเกิดพวกเจ้าโดยไม่มีต้นแบบมาก่อน แล้วทรงให้พวกเจ้าตายตามการเวลาของพวกเจ้าที่ถูกกำหนดไว้ และบางคนในหมู่พวกเจ้ามีผู้ที่พระองค์ให้ชีวิตของเขายืนยาวจนกว่าเขาจะเข้าสู่ช่วงวัยที่เลวร้าย คือ วัยชรา (เข้าสู่ภาวะสมองเสื่อม) ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเขาเคยรู้อะไรมาบ้าง แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะซุกซ่อนจากพระองค์ได้จากการงานของบรรดาบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงเดชานุภาพ ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำให้พระองค์อ่อนแอลงได้
(71) และอัลลอฮ์ตะอาลา ทรงทำให้บางคนเหนือกว่าอีกบางคนในเรื่องปัจจัยยังชีพ ทรงทำให้บางคนรวยและบางคนจน บางคนเป็นนายและบางคนเป็นลูกน้อง ดังนั้น บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ให้พวกเขาเหนือกว่าผู้อื่นในเรื่องปัจจัยยังชีพจะไม่ประทานปัจจัยยังชีพที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานแก่พวกเขาแก่บรรดาทาสของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกันในการเป็นเจ้าของสิ่งนั้น แล้วพวกเขายินดีได้อย่างไรที่ให้อัลลอฮ์มีหุ้นส่วนจากปวงบ่าวของพระองค์ เมื่อพวกเขาไม่ยินดีที่ตนเองมีหุ้นส่วนจากบ่าวของพวกเขาที่ให้เท่าเทียมกับพวกเขา? นี้มันคือความอยุติธรรมอะไรกัน แล้วจะมีการปฏิเสธต่อความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้อีกไหม?!
(72) อัลลอฮ์ได้ทรงสร้างมาเพื่อพวกเจ้า - โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย - คู่สมรสจากเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้า ซึ่งพวกเจ้าสามารถอยู่ร่วมกับพวกนาง พระองค์ทรงสร้างบุตรและหลานจากคู่สมรสของพวกเจ้า และได้ให้อาหารที่มีประโยชน์แก่คุณ เช่น เนื้อสัตว์ ธัญพืช และผลไม้ ดังนั้นพวกเขาจะเชื่อในเจว็ดและรูปปั้นเท็จ และปฏิเสธความโปรดปรานมากมายของอัลลอฮ์ และไม่ขอบคุณพระองค์ด้วยการศรัทธาในพระองค์เพียงผู้เดียวกระนั้นหรือ?!
(73) และบรรดามุชรีกีนเหล่านั้นจะเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ที่เป็นเจว็ด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีอำนาจในการให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาจากชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินแต่อย่างใด และพวกเขาจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะพวกมันเป็นวัตถุและไม่มีความรู้
(74) ดังนั้นพวกเจ้า -โอ้มนุษย์ทั้งหลาย- จงอย่าได้ให้บรรดาเจว็ดเหล่านั้นที่ไม่ให้ประโยชน์หรือให้โทษใดๆ มาเทียบเคียงกับอัลลอฮ์เลย เพราะไม่มีสำหรับอัลลอฮ์ซึ่งสิ่งเทียบเคียงพระองค์ จนพวกเจ้าสามารถนำมาเป็นภาคีร่วมกับพระองค์ในการเคารพบูชา แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้คุณลักษณะของพระองค์จากคุณลักษณะที่มีความสูงส่งและครบถ้วนสมบูรณ์ และพวกเจ้าไม่รู้ถึงสิ่งนั้น เลยทำให้พวกเจ้าทั้งหลายตกอยู่ในการตั้งภาคีต่อพระองค์ และอ้างว่าพระองค์มีลักษณะคล้ายกับบรรดาเจว็ดของพวกเจ้า
(75) อัลลอฮ์ตะอาลา ทรงยกอุทาหรณ์เพื่อตอบโต้ต่อบรรดามุชรีกีนว่า : บ่าวผู้เป็นทาสที่ไร้ซึ่งอำนาจ ไม่มีความเป็นอิสระในการใช้ชีวิต และไม่มีทรัพย์สินในการใช้จ่าย กับอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนอิสระ ซึ่งเราได้ให้ทรัพย์สินที่ฮาลาลแก่เขาที่มาจากเรา ซึ่งเขาสามารถใช้จ่ายมันอย่างอิสระตามที่เขาต้องการ และสามารรถบริจาคมันโดยทางลับและเปิดเผยตามที่เขาต้องการ แน่นอน ชายสองคนนี้จะไม่เหมือนกัน ดังนั้น พวกเจ้าจะเอาบรรดาเจว็ดของพวกเจ้าที่มันไร้ซึ่งความสามารถนั้นไปเทียบเท่ากับอัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจ ทรงจัดการในกิจการที่พระองค์ครอบครองตามอิสระของพระองค์ได้อย่างไร?! มวลการสรรเสริญนั้นเป็นของอัลลอฮ์ผู้ที่สมควรยิ่งแก่การสรรเสริญ แต่ทว่าบรรดามุชรีกีนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้ถึงควมเป็นเอกะของอัลลอฮ์ในด้านการเป็นพระเจ้า และคู่ควรแก่การถูกเคารพบูชาแด่พระองค์เพียงผู้เดียว
(76) และอัลลอฮ์ได้ทรงยกอีกอุทาหรณ์หนึ่ง เพื่อตอบโต้พวกเขา คือการเปรียบเทียบชายสองคน หนึ่งในนั้น เป็นคนใบ้ ไม่ได้ยิน พูดไม่ได้ และไม่เข้าใจ อันเนื่องด้วยหูที่หนวกและเป็นใบ้ เขาไม่สามารถช่วยเหลือแม้กระทั่งตัวของเขาเองและก็ผู้อื่น และต้องเป็นภาระแก่ผู้ที่อุปการะเขาและดูแลเขา ไม่ว่าจะส่งเขาไปที่แห่งใด เขาจะไม่นำความดีใด ๆ มาเลย และเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด คนที่มีสภาพเช่นนี้จะเหมือนกับคนที่ฟังและพูดได้ปกติกระนั้นหรือ เพราะประโยชน์ของเขานั้นหลากหลาย เขาเป็นผู้ที่คอยกำชับผู้คนด้วยความยุติธรรม และเขาก็เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และเขาก็อยู่บนหนทางที่ชัดเจนไร้ซึ่งความครุมเครือและความเองเอียงใดๆ?! โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย พวกเจ้าเอาอัลลอฮ์ผู้ซึ่งมีคุณลักษณะที่สูงส่งและสมบูรณ์ ไปเทียบกับบรรดาเจว็ดของพวกเจ้าที่ไม่ได้ยิน พูดไม่ได้ และมันก็ไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์และไม่สามารถขจัดทุกข์ได้กระนั้นหรือ?!
(77) และอัลลอฮ์เท่านั้นทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและในแผ่นดิน และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่ทรงรอบรู้เรื่องดังกล่าวนี้ ไม่มีผู้ใดจะรู้ได้ และเรื่องที่เกี่ยวกับการเกิดขึ้นของวันกิยามะฮ์ซึ่งเป็นเรื่องลับเฉพาะพระองค์เท่านั้น เกี่ยวกับความรวดเร็วในการเกิดขึ้นของมันนั้น หากพระองค์ทรงต้องการจริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรเลย นอกจากแค่เพียงกระพริบตาเดียวเท่านั้น และมันเร็วยิ่งกว่านั้น แท้จริงอัลลอฮ์ทรงสามารถเหนือทุกสิ่ง ซึ่งไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์อ่อนแอได้ หากพระองค์ทรงต้องการสิ่งใด พระองค์จะกล่าวถึงสิ่งนั้นว่า “จงเป็น” ดังนั้นสิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้น
(78) และอัลลอฮ์ทรงให้พวกเจ้า -โอ้มนุษย์เอ๋ย- ออกมาจากครรภ์มารดาของพวกเจ้าหลังจากหมดอายุการตั้งครรภ์แล้ว เป็นทารก ซึ่งพวกเจ้าไม่รู้อะไรเลย และพระองค์ทรงสร้างหูเพื่อให้พวกเจ้าใช้ในการรับฟัง และดวงตาเพื่อให้พวกเจ้าใช้ในการมองเห็น และหัวใจเพื่อให้พวกเจ้าใช้ในการทำความใจ เพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบคุณพระองค์ต่อสิ่งที่พระองค์ทรงโปรดปรานให้แก่พวกเจ้า
(79) บรรดาผู้ตั้งภาคีไม่ได้สังเกตดูนกที่ได้รับความสะดวกในการโบยบินในอากาศหรอกหรือ? ด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานให้มัน ด้วยการให้มีปีกและความอ่อนโยนของสายลม และได้ทรงดลใจให้มันได้ทำการโบยบิน ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถรั้งพวกมันไว้ได้นอกจากอัลลอฮ์ผู้ทรงสามารถเท่านั้น แท้จริงในการให้เกิดความง่ายดายและการปกป้องไม่ให้มันร่วงลงมานั้น ย่อมเป็นสัญญาณแก่บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เพราะพวกเขาเท่านั้นคือกลุ่มชนที่ได้รับประโยชน์จากสัญญาณต่างๆเหล่านั้น
(80) และอัลลอฮฺตะอาลา ทรงทำให้มีไว้ในบ้านของพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้สร้างมันขึ้นมานั้น เป็นห้องหอและอื่นๆ เพื่อเป็นที่พำนักและเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจไว้ให้แก่พวกเจ้า และทรงทำให้พวกเจ้ามีบรรดาเต็นท์และซุ้มในทะเลทรายที่ทำมาจากหนังของอูฐ วัว และแพะ เฉกเช่นบ้านเรือนในเมือง ซึ่งทำเกิดความสะดวกแก่พวกเจ้าในการแบกมันในยามเดินทางของพวกเจ้าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่ และง่ายต่อการติดตั้งในยามหยุดพักของพวกเจ้า และทรงทำให้มีไว้สำหรับพวกเจ้า ซึ่งจากขนแพะ ขนอูฐและเส้นผมของแกะ เพื่อเป็นเครื่องใช้ในบ้านของพวกเจ้า และเป็นถุงเป็นย่าม และเป็นเครื่องนุ่งห่มที่พวกเจ้าสามารถใช้ประโยชน์จากมันถึงช่วงเวลาหนึ่ง
(81) และอัลลอฮ์ทรงสร้างร่มเงาป้องกันความร้อนแก่คุณในรูปของอาคารและต้นไม้ต่างๆ และพระองค์ได้ทรงทำให้ภูเขานั้นเป็นตรอกซอกซอยและเป็นถ้ำ เพื่อพวกเจ้าจะได้ปกป้องตนเองจากอากาศที่เย็นและร้อนร้อนและจากศัตรู และพระองค์ทรงสร้างเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มจากฝ้ายเพื่อกันความร้อนและความเย็น และเสื้อเกราะเพื่อปกป้องพวกเจ้าจากอาวุธของศัตรูในการต่อสู้เพื่อที่อาวุธของพวกเขาจะไม่ทำร้ายร่างกายของพวกเจ้า ดังที่พระองค์เคยประทานความสุขให้กับพวกเจ้าและจะประทานความสุขให้มันสมบูรณ์แบบขึ้นสำหรับพวกเจ้า โดยหวังว่าพวกเจ้าจะยอมจำนนต่ออัลลอฮ์เพียงผู้เดียวและไม่ตั้งภาคีกับสิ่งใดๆร่วมกับพระองค์
(82) ดังนั้นหากพวกเขาผินหลังให้จากการศรัทธาและการยืนยันว่าเป็นความจริงต่อสิ่งที่เจ้าได้นำมันมา ดังนั้น มันมิใช่หน้าที่อันใดของเจ้าเลย โอ้เราะสูล นอกจากการถ่ายทอดสิ่งที่เจ้าได้ถูกใช้ให้ถ่ายทอดอย่างชัดแจ้งเท่านั้น และมันก็มิใช่หน้าที่ของเจ้าอีกเช่นกันในการแบกรับพวกเขาสู่ทางนำ
(83) พวกมุชรีกีนตระหนักดีในความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่พระองค์ทรงมอบมันให้กับพวกเขา หนึ่งในนั้นคือการส่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม มายังพวกเขา แต่แล้วพวกเขาปฏิเสธความโปรดปรานนั้น ด้วยการที่ไม่สำนึกถึงค่าของมัน และไม่ศรัทธาต่อศาสนทูตของพระองค์ และพวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อความโปรดปรานของพระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์
(84) และจงรำลึกเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ถึงวันที่อัลลอฮ์ทรงให้ศาสนทูตของแต่ละประชาชาติที่เคยส่งให้แก่พวกเขาได้ฟื้นคืนชีพ เพื่อมาเป็นพยานต่อการศรัทธาของผู้ศรัทธา และเป็นพยานต่อการปฏิเสธของผู้ปฏิเสธศรัทธา หลังจากนั้นพระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้มีการแก้ตัวสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิเสธมา และพวกเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะกลับไปยังโลกดุนยาอีกครั้งเพื่อจะได้ปฏิบัติในสิ่งที่พระผู้อภิบาลของพวกเขาทรงพอพระทัย เพราะโลกอาคิเราะฮ์นั้นคือโลกแห่งการสอบสวนมิใช่โลกแห่งการปฏิบัติ
(85) และเมื่อบรรดาผู้อธรรมที่เป็นผู้ที่ตั้งภาคีได้เห็นถึงการลงโทษและ การลงโทษไม่ถูกลดหย่อนไปจากพวกเขา และพวกเขาก็จะไม่ถูกผ่อนปรนด้วยการเลื่อนมันออกไปจากพวกเขา แต่ทว่าพวกเขานั้นจะต้องเข้าไปหามันต่างหาก อยู่ในนั้นอย่างนิรันดร์
(86) และเมื่อบรรดาผู้ตั้งภาคีได้มองเห็นบรรดาเจว็ดที่พวกเขาเคยกราบบูชาในวันกิยามะฮ์ พวกเขากล่าวว่า "โอ้พระผู้อภิบาลของเรา เหล่านั้นคือหุ้นส่วนของเราที่เราเคยเคารพบูชาพวกเขาอื่นจากพระองค์ การที่พวกเขาได้กล่าวเช่นนั้นก็เพื่อที่จะให้เจว็ดเหล่านั้นแบกรับบาปของพวกเขา ดังนั้น อัลลอฮ์ก็ทรงทำให้บรรดาเจว็ดของพวกเขาได้พูดขึ้นมา แล้วพวกมันก็ได้พูดโต้แย้งต่อพวกเขาว่า "แท้จริงพวกเจ้า -โอ้บรรดาพวกตั้งภาคีทั้งหลาย- เป็นกลุ่มชนที่ไม่ซื่อสัตย์ในการทำอิบาดะฮ์ของพวกเจ้า เป็นการทำภาคีร่วมกับอัลลอฮ์ ดังนั้นไม่มีภาคีใดๆ ร่วมกับพระองค์ จนมันต้องกลายเป็นสิ่งที่ถูกกราบไหว้บูชา
(87) และบรรดาผู้ตั้งภาคีก็ได้ยอมจำนน และได้นอบน้อมต่ออัลลอฮ์แต่เพียงผู้เดียว และสิ่งเหล่านั้นก็ได้สูญหายไปจากพวกเขา สิ่งที่พวกเขาเคยได้อุปโลกน์ขึ้นมัน โดยอ้างว่าบรรดาเจว็ดของพวกเขานั้นสามารถช่วยเหลือพวกเขา ณ ที่อัลลอฮ์ได้
(88) บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และขัดขวางผู้อื่นให้ออกห่างจากหนทางของอัลลอฮ์ เราได้เพิ่มการลงโทษให้แก่พวกเขา -เนื่องจากความชั่วช้าและการก่อความเสียหายของพวกเขา ด้วยการทำให้ผู้อื่นหลงทาง- ซึ่งพวกเขาจะได้รับการลงโทษเหนือการลงโทษที่พวกเขาสมควรได้รับ เพราะการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา
(89) และจงรำลึกเถิด โอ้เราะสูล วันที่เราจะแต่งตั้งศาสนทูตขึ้นจากทุกประชาชาติ เพื่อเป็นพยานต่อพวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธหรือการศรัทธา นี่คือ ศาสนทูตที่มาจากเผ่าพันธุ์ของพวกเขาและพูดภาษาเดียวกับพวกเขา และเราก็นำเจ้ามา โอ้เราะสูล เพื่อเป็นพยานต่อประชาชาติทั้งมวล และเราได้ประทานอัลกุรอานให้แก่เจ้าเพื่อชี้แจงถึงทุกสิ่งที่จำเป็นต้องชี้แจง เช่น เรื่องฮาลาลและฮารอม เรื่องผลบุญและบาป และอื่นๆที่นอกจากนี้ และเราก็ได้ประทานมัน(อัลกุรอาน) ลงมา เพื่อเป็นทางนำให้แก่มนุษย์ไปสู่สัจธรรม และเป็นความเมตตาแก่ผู้ที่ศรัทธาต่อมันและปฏิบัติตามสิ่งที่อยู่ในมัน และเป็นการแจ้งข่าวดีให้แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ถึงสิ่งที่พวกเขากำลังรอคอยจากสิ่งที่มีความสุขไปตลอดกาล
(90) แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงสั่งใช้บรรดาบ่าวของพระองค์ให้ดำรงไว้ซึ่งความายุติธรรม โดยการรักษาสิทธิ์ของอัลลอฮ์และรักษาสิทธิ์ของปวงบ่าวด้วยกัน และไม่ตัดสินให้ผู้หนึ่งผู้ใดมีสิทธิ์เหนืออีกผู้หนึ่ง นอกจากด้วยความถูกต้องที่จำเป็นต้องทำแบบนั้น และทรงใช้ให้บรรดาบ่าวดำรงไว้ซึ่งความดี ด้วยการกระทำในสิ่งที่ไม่เป็นการบังคับสำหรับเขา เช่นการบริจาคด้วยความสมัครใจ ให้อภัยต่อผู้ที่อธรรม และพวกเขาถูกใช้ให้บริจาคแก่ญาติที่ไกล้ชิดซึ่งสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขา และพระองค์ทรงห้ามให้ละทิ้งทุกสิ่งที่ไม่ดี ทั้งด้านการพูด เช่น การพูดลามก หรือด้านการกระทำ เช่นการผิดประเวณี และให้ห่างไกลจากสิ่งที่ศาสนาไม่อนุญาต นั้นคือการเนรคุณทุกประเภท และทรงห้ามการอธรรมและการลำพองตนเหนือผู้อื่น พระองค์ทรงตักเตือนพวกเจ้าด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งใช้ และทรงตักเตือนด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม หวังว่าพวกเจ้าจะรับเป็นบทเรียนในสิ่งที่ได้ตักเตือนไป
(91) และพวกเจ้าจงดูแลรักษาในทุกๆ การสัญญา ไม่ว่าสัญญานั้นจะเป็นการสัญญาที่พวกเจ้าได้สัญญาไว้ต่ออัลลอฮ์หรือสัญญาที่พวกเจ้าได้สัญญามันกับมนุษย์ด้วยกัน และพวกเจ้าอย่าได้ทำลายคำสาบานหลังจากได้ยืนยันมันอย่างหนักแน่นด้วยการสาบานต่ออัลลอฮ์ และแน่นอน พวกเจ้าได้ตั้งอัลลอฮ์เป็นพยานแก่พวกเจ้า ด้วยกับการดูแลรักษาในสิ่งที่พวกเจ้าได้สาบานไว้ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่พวกเจ้ากำลังกระทำอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่จะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์ก็จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการกระทำนั้น
(92) และพวกเจ้าอย่าได้เป็นบรรดาผู้โง่เขลาเบาปัญญาที่ทำลายสัญญา เช่น หญิงที่ปัญญาทึบที่ได้เหน็ดเหนื่อยอยู่ในการกรอขนแกะหรือฝ้ายของนาง หลังจากนั้นนางก็ได้รื้อมันและคลายมันต่อ เหมือนกับตอนที่มันยังไม่ได้กรอ ดังนั้น นางจึงต้องเหน็ดเหนื่อยอีกครั้งในการกรอมันหรือรื้อคลายมัน และนางเองก็ไม่ได้บรรลุตามที่ต้องการ พวกเจ้าได้ทำให้การสาบานของพวกเจ้านั้นกลายเป็นการหลอกลวง ใช้มันเพื่อหลอกลวงพวกเจ้ากันเอง เพื่อที่จะให้ชนชาติของพวกเจ้านั้นมีมากและเข้มแข็งกว่าอีกชนชาติอื่นที่เป็นศัตรูของพวกเจ้า แท้จริง อัลลอฮ์ทรงทดสอบพวกเจ้าด้วยเรื่องความยึดมั่นต่อการสัญญา ว่าพวกเจ้าจะรักษาสัญญาหรือจะทำลายมัน? และแน่นอน พระองค์จะทรงทำให้กระจ่างแก่พวกเจ้าในวันกิยามะฮ์ ถึงสิ่งที่พวกเจ้าขัดแย้งกันในโลกของดุนยา และพระองค์จะทรงแยกผู้ที่พูดความจอริงอกจากบรรดาผู้ที่พูดเท็จ และผู้ที่พูดความจริงจากบรรดาผู้มุสา
(93) และหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงทำให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติเดียวกันเห็นพ้องกันบนความจริง แต่พระองค์ผู้มหาบริสุทธิ์จะทรงทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์นั้นหลงทาง เนื่องด้วยการบิดพลิ้วของเขาไปจากความจริงและการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของเขาที่ให้ไว้ และพระองคฮก็จะทรงชี้แนะทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ เพราะด้วยกับความประเสริฐของเขาที่มีต่อสิ่งนั้น และแน่นอน พวกเจ้าจะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ์ถึงสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ในโลกดุนยา
(94) และพวกเจ้าอย่าให้คำสาบานของพวกเจ้าเป็นเครื่องมือหลอกลวงระหว่างพวกเจ้ากันเอง ซึ่งพวกเจ้าทำตามความปรารถนาของพวกเจ้า ซึ่งพวกเจ้าจะยกเลิกเมื่อต้องการยกเลิก หรือจะปฏิบัติตามเมื่อต้องการทำให้สำเร็จ เพราะถ้าพวกเจ้าทำอย่างนั้น เท้าของพวกเจ้าถือว่าก้าวพลาดจากเส้นทางอันเที่ยงตรงอย่างแน่นอนหลังจากที่มันเคยมั่นคงบนเส้นทางนั้นมาแล้ว และพวกเจ้าจะรู้สึกถึงการลงโทษสำหรับการหลงทางจากอัลลอฮ์ และพวกเจ้าทำให้ผู้อื่นหลงจากทางของอัลลอฮ์ และการลงโทษสำหรับพวกเจ้าจะถูกทวีคูณ
(95) และพวกเจ้าอย่าแลกเปลี่ยนพันธสัญญาของอัลลอฮ์ด้วยสิ่งที่เล็กน้อยโดยการยกเลิกพันธสัญญาและไม่ปฏิบัติตามนั้น เพราะแท้จริงสิ่งที่อยู่ ณ อัลลอฮ์ในรูปของชัยชนะและทรัพย์สงครามในโลกนี้ และสิ่งที่อยู่ ณ อัลลอฮ์ในปรโลกในรูปแบบของความสุขที่นิรันดร์นั้นดีกว่าสำหรับพวกเจ้ามากกว่าสิ่งที่พวกเจ้าได้รับในรูปสิ่งแลกเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยที่เป็นการตอบแทนสำหรับการผิดข้อตกลงของพวกเจ้าหากพวกเจ้ารู้
(96) ทุกสิ่งที่พวกเจ้ามี -โอ้มนุษย์เอ๋ย- ในรูปแบบของความมั่งคั่ง ความสุข และความเพลิดเพลินต่างๆนั้น มันจะสูญสลายไปอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีมากสักเพียงใด ในขณะที่สิ่งที่อยู่ ณ อัลลอฮ์ในรูปของผลบุญหรือการตอบแทนนั้น มันเป็นนิรันดร์ ดังนั้นพวกเจ้าจะสนใจกับบางสิ่งที่มันสูญสลายเหนือสิ่งที่เป็นนิรันดร์ได้อย่างไร? และเราจะให้รางวัลตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่อดทนรักษาพันธสัญญาของพวกเขาโดยไม่ทำลายมัน ด้วยการตอบแทนที่ดีกว่าสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไปที่เป็นการกระทำแห่งการเชื่อฟัง เพราะเราจะตอบแทนพวกเขาต่อความดีหนึ่งด้วยการตอบแทนถึงสิบเท่าของมัน มากถึงเจ็ดร้อยเท่าหรือหลายๆ เท่า
(97) ผู้ใดที่ปฏิบัติซึ่งคุณงามความดีที่ตรงตามหลักศาสนา ไม่ว่าชายหรือหญิง โดยเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์ แท้จริงเราจะให้ชีวิตที่ดีแก่เขาในโลกนี้ โดย (ทำให้เขา) พอใจกับการตัดสินของอัลลอฮ์ และทำให้เขารู้สึกเพียงพอ และได้รับการชี้นำสู่การเชื่อฟัง แน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาในปรโลกด้วยรางวัลที่ดีกว่าการเชื่อฟังที่พวกเขาทำในโลกนี้ที่การกระทำที่ดีทั้งหลาย
(98) แล้วเมื่อเจ้าต้องการอ่านอัลกุรอาน โอ้ผู้ศรัทธา ก็จงขอต่ออัลลอฮ์ให้พระองค์คุ้มครองเจ้าให้พ้นจากการกระซิบกระซาบของชัยฏอนที่ถูกขับไล่จากความเมตตาของอัลลอฮ์
(99) แท้จริงชัยฏอนนั้นไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ที่หมอบหมายทุกกิจการของพวกเขาต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาเพียงองค์เดียวเท่านั้น
(100) แท้จริง การครอบงำของมันด้วยการกระซิบกระซาบนั้น จะมีเฉพาะบรรดาผู้ที่ยึดมันเป็นมิตรเท่านั้น และเชื่อฟังต่อมันในการล่อลวงของมัน และบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีร่วมกับอัลลอฮ์อันเนื่องด้วยการล่อลวงของมัน ซึ่งพวกเขาเคารพสักการะต่อสิ่งอื่นร่วมกับอัลลอฮ์
(101) หากเรายกเลิกหุกมของโองการใดโองการหนึ่งจากอัลกุรอาน แทนด้วยโองการหนึ่งออกจากอัลกุรอานด้วยอีกโองการหนึ่ง และอัลลอฮ์ทรงทราบดีที่สุดว่าอะไรที่พระองค์ทรงยกเลิกจากอัลกุรอานเพราะพระปรีชาญาณของพระองค์ พระองค์ก็ทรงทราบดีที่สุดว่าสิ่งใดไม่ถูกลบออกจากมัน แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า โอ้ มูฮัมหมัดเป็นคนโกหกที่โกหกในนามของอัลลอฮ์ พวกเขาพูดอย่างนั้นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่านาซัค (การยกเลิก) เกิดขึ้นเพราะปัญญาอันล้ำลึกของพระเจ้า
(102) จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด -โอ้ เราะสูลเอ๋ย- ผู้ที่นำอัลกุรอานนี้ลงมือจากอัลลอฮ์นั้นคือ ญิบรีล -อะลัยฮิสสลาม- ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการแก้ไข เพื่อให้บบรรดาผู้ศรัทธาได้มั่นคงเหนืออีหม่านขอพวกเขา ในทุกครั้งที่อัลกุรอานถูกประทานลงมา และมีการยกเลิกในบางส่วน เพื่อเป็นทางนำแก่พวกเขาสู้สัจธรรม และเป็นข่าวดีสำหรับบรรดามุสลิมทั้งหลาย ด้วยสิ่งที่พวกเขาจะได้รับจากผลการตอบแทนที่ทรงเกียรติ
(103) และเรารู้ว่าบรรดาผู้ตั้งภาคีกล่าวว่า “แท้จริงมูฮัมหมัด -ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮฺวะสัลลัม- ได้รับการสอนอัลกุรอานโดยมนุษย์คนหนึ่ง" ทั้งที่พวกเขานั้นโกหกในข้อกล่าวอ้างนั้น เพราะภาษาของคนที่พวกเขาอ้างว่าสอนมูฮัมหมัดนั้น ไม่ใช่ภาษาอาหรับ ในขณะที่ อัลกุรอานนี้ลงมาในภาษาอาหรับที่ชัดเจนที่ประกอบด้วยโวหารระดับสูง ดังนั้นพวกเขาอ้างได้อย่างไรว่ามูฮัมหมัดได้รับอัลกุรอานจากผู้ที่ไม่ใช่อาหรับ?!
(104) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อโองการของอัลลอฮ์ที่ว่าโองการเหล่านั้นลงมาจากพระองค์ อัลลอฮ์จะไม่ทรงแนะนำพวกเขาตราบใดที่พวกเขายังคงยืนกรานอยู่บนความเชื่อนั้น สำหรับพวกเขาคือการลงโทษอันเจ็บปวดเพราะพวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิเสธโองการของพระองค์
(105) มูฮัมหมัด -ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม- ไม่ได้โกหกเกี่ยวกับสิ่งที่เขานำมาจากพระผู้อภิบาลของเขา แท้จริงการโกหกถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยผู้ที่ไม่ยอมรับพระดำรัสของอัลลอฮ์เท่านั้น เพราะพวกเขาไม่กลัวการลงโทษใด ๆ และไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ และบรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะแห่งการปฏิเสธนั้น พวกเขาคือผู้โกหก เพราะการโกหกเป็นนิสัยที่พวกเขาคุ้นเคย
(106) ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้ศรัทธาแล้ว เว้นแต่ผู้ที่เขานั้นถูกบังคับให้ปฏิเสธ แล้วเขาก็ได้กล่าวถ้อยคำที่เป็นการปฏิเสธด้วยลิ้นของเขาทั้ง ๆ ที่หัวใจของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยศรัทธา มั่นคงอยู่กับความเป็นจริงของอีหม่านนั้น แต่ผู้ใดที่เปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธาและเลือกการปฏิเสธหนือการศรัทธา และได้กล่าวถ้อยคำที่แสดงถึงการปฏิเสธอย่างเชื่อฟัง ดังนั้น เขาคือผู้ที่ออกจากศาสนาอิสลามแล้ว พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์ และสำหรับพวกเขาคือการลงโทษอย่างมหันต์
(107) การละทิ้งศาสนาอิสลามของพวกเขาเพราะพวกเขาลุ่มหลงกับผลประโยชน์ทางโลกนี้ที่พวกเขาได้รับเพื่อแลกกับการไม่เชื่อในรางวัลปรโลก และอัลลอฮ์มิได้ทรงชี้นำกลุ่มชนที่ปฏิเสธศรัทธาให้ศรัทธา แต่กลับทำให้อับอายขายหน้า
(108) บรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะแห่งการละทิ้งศาสนาอิสลามหลังจากพวกเขาศรัทธา พวกเขาคือบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ปิดกั้นหัวใจของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจในคำตักเตือน อัลลอฮ์ได้ปิดกั้นการได้ยินของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะไม่ได้ยินสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา อัลลอฮ์ได้ปิดตาของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะไม่ได้เห็นสัญญาณต่างๆที่นำสู่การศรัทธา และพวกเขาคือผู้ไม่รู้สาเหตุของความสุขและความเศร้าโศก และการลงโทษที่อัลลอฮ์ได้เตรียมไว้สำหรับพวกเขา
(109) ไม่ต้องสงสัยใด ๆ เลยว่า แท้จริงในวันกิยามะฮ์ พวกเขาจะเป็นผู้ที่ขาดทุน พวกเขาคือบรรดาผู้ที่สูญเสียตัวเองเนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา หลังจากที่พวกเขาได้ศรัทธา ซึ่งหากพวกเขายึดมั่นในศรัทธาของพวกเขา แน่นอน พวกเขาก็จะได้เข้าสวรรค์
(110) แล้วพระผู้อภิบาลของเจ้า-โอ้เราะสูลเอ๋ย-เป็นผู้ทรงอภัยและทรงเมตตาแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่ถูกกดขี่ ซึ่งพวกเขาได้อพยพจากมักกะฮ์ไปยังมะดีนะฮ์ หลังจากที่บรรดาผู้ตั้งภาคีได้ทรมานพวกเขา จนถึงขนาดที่พวกเขากล่าวคำปฏิเสธในขณะที่จิตใจของพวกเขามั่นคงด้วยศรัทธา แล้วพวกเขาก็ต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ เพื่อให้ถ้อยคำของอัลลอฮ์นั้นสูงส่ง และถ้อยคำของผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นตกต่ำ พวกเขาอดทนต่อความทุกข์ทรมานที่พวกเขาประสบ แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้าหลังจากกดขี่ และการทรมานที่ประสบแก่พวกเขา จนพวกเขาต้องกล่าวถ้อยคำแห่งการปฏิเสธศรัทธานั้น แน่นอนพระองค์คือผู้ทรงอภัยแก่พวกเขา และทรงเมตตาแก่พวกเขา เพราะพวกเขาจะไม่กล่าวถ้อยคำแห่งการปฏิเสธเว้นแต่พวกเขาจะถูกบังคับเท่านั้น
(111) จงรำลึกเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- วันที่ทุกคนจะมาโต้เถียงกันเพื่อปกป้องตัวเอง เขาจะไม่โต้เถียงเพื่อใครอื่นเนื่องจากสถานการณ์ที่เลวร้ายในวันนั้น ทุกชีวิตจะได้รับการตอบแทนอย่างครบถ้วนสำหรับสิ่งที่ได้กระทำไปแล้ว ไม่ว่าดีหรือชั่ว และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรมด้วยการลบความดีของพวกเขาให้น้อยลงหรือเพิ่มความชั่วของพวกเขาให้มากขึ้น
(112) อัลลอฮ์ทรงยกตัวอย่างเมืองหนึ่ง ซึ่งก็คือนครมักกะฮ์ ซึ่งปลอดภัยและมั่นคงโดยที่ผู้คนในเมืองนั้นไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ในขณะที่ผู้คนที่อยู่รอบๆ อยู่ด้วยความกลัว การยังชีพของมันมาถึงอย่างล้นเหลือและง่ายดายจากทุกทิศทุกทาง แต่แล้วชาวเมืองนั้นไม่ซาบซึ้งต่อความกรุณาของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขา และพวกเขาไม่ขอบคุณพระองค์ ดังนั้นอัลลอฮ์จึงทรงตอบแทนพวกเขาด้วยความหิวโหยและความกลัวอันรุนแรงซึ่งปรากฏบนร่างกายของพวกเขา จนความหิวโหยและความหวาดกลัวนั้นกลายเป็นเหมือนเสื้อผ้าสำหรับพวกเขา เนื่องจากการไม่ศรัทธาและการปฏิเสธศรัทธาที่พวกเขาได้กระทำกัน
(113) และแท้จริงได้มีเราะสูลคนหนึ่งได้มายังชาวมักกะฮ์ ซึ่งมาจากหมู่พวกเขาเอง ซึ่งพวกเขารู้ถึงความสัตย์ซื่อและสัตย์จริง เขาคือมูฮัมหมัด -ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม- แต่พวกเขาปฏิเสธเขา พร้อมกับสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาแก่เขา ดังนั้น การลงโทษของอัลลอฮ์ความหิวโหยและความหวาดกลัวได้เกิดขึ้นกับพวกเขาในขณะที่พวกเขาได้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองด้วยการจมดิ่งลงไปในเหวแห่งความพินาศ โดยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์และปฏิเสธเราะสูลของพระองค์
(114) พวกเจ้าจงบริโภคเถิด -โอ้บ่าวทั้งหลาย- จากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานแก่พวกเจ้า ที่เป็นสิ่งที่อนุมัติในจำพวกสิ่งที่สามารถกินมันได้ และพวกเจ้าจงขอบคุณต่อความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่ได้ทรงประทานมันให้แก่พวกเจ้า โดยการยอมรับในความโปรดปรานเหล่านี้สำหรับอัลลอฮ์ และใช้จ่ายมันไปในทางที่พระองค์พึงพระทัย หากพวกเจ้าทั้งหลายนั้นเคารพภักดีต่อพระองค์แค่ผู้เดียวและไม่ตั้งภาคีใด ๆ ต่อพระองค์
(115) อัลลอฮ์ได้ทรงห้ามพวกเจ้าบริโภคสิ่งที่ตายโดยไม่เชือดที่เป็นสัตว์ในประเภทที่ต้องเชือด เลือดที่ไหล ทุกส่วนของสุกร และสัตว์ที่ถูกเชือดเพื่อเป็นเครื่องบูชาต่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์ ข้อห้ามนี้ใช้ในเวลาที่ปกติ แต่หากผู้ใดอยู่ในสภาพที่คับขันที่จำเป็นต้องบริโภคสิ่งเหล่านั้น และได้ทำเช่นนั้นโดยไม่ได้เกิดขึ้นจากความปรารถนาในสิ่งต้องห้ามนั้น และไม่ได้เกินขอบเขตที่จำเป็น ดังนั้นพวกเขาก็ไม่ผิดอะไร อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษ จะทรงอภัยต่อสิ่งที่พวกเขาบริโภค พระองค์ทรงเมตตาต่อเขา ที่ทรงอนุญาตให้กินเมื่อจำเป็น
(116) และพวกเจ้า -โอ้ บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย- อย่าได้กล่าวตามที่ลิ้นของพวกเจ้าได้กล่าวที่เป็นการกล่าวเท็จในนามของอัลลอฮ์ ดังที่ว่า "สิ่งนี่เป็นที่อนุมัติและสิ่งนี่เป็นที่ต้องห้าม" ด้วยเจตนาที่จะสร้างการโกหกในนามของพระเจ้า โดยห้ามสิ่งที่พระองค์ไม่ได้ห้าม หรืออนุญาตในสิ่งที่พระองค์ไม่อนุญาต แท้จริงบรรดาผู้กล่าวเท็จในนามของอัลลอฮ์จะไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาปรารถนา และพวกเขาก็ไม่ปลอดภัยจากสิ่งที่พวกเขากลัว
(117) สำหรับพวกเขาคือผลประโยชน์อันน้อยนิดอันต่ำต้อย เพราะพวกเขาได้ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาในดุนยา และสำหรับพวกเขาในวันกิยามะฮ์คือการลงโทษอันเจ็บปวด
(118) และแก่บรรดาชาวยิวเป็นการเฉพาะ เราได้ห้ามสิ่งที่เราได้เคยบอกเล่าแก่เจ้ามาแต่ก่อนแล้ว(ดังเช่นในอายะฮฺที่ : 146 จากซูเราะฮ์ อัล-อันอาม) และเรามิได้อยุติธรรมต่อพวกเขาด้วยการที่ห้ามสิ่งนั้น และแต่พวกเขาต่างหากที่ได้อยุติธรรมต่อตัวพวกเขาเองขณะที่พวกเขานั้นได้ฝ่าฝืนซึ่งเป็นสาเหตุที่นำมาสู่การลงโทษ แล้วเราก็ได้ตอบแทนพวกเขาอันเนื่องจากความก้าวร้าวของพวกเขา ดังนั้นที่เราได้ห้ามสิ่งนั้นเหนือพวกเขา เพื่อเป็นการลงโทษสำหรับพวกเขา
(119) หลังจากนั้น แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้านั้น -โอ้เราะสูล- สำหรับบรรดาผู้กระทำการชั่วโดยไม่รุ้ถึงผลพวงที่จะตามมา ถึงแม้พวกเขาจะเจตนาทำก็ตาม แล้วพวกเขาสำนึกผิดต่ออัลลอฮ์หลังจากที่พวกเขาได้กระทำความชั่ว และพวกเขาก็ได้ปรับปรุงแก้ไขการงานของพวกเขาที่ไม่ดีนั้น แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้า หลังจากการสำนึกผิด(เตาบะฮฺ)นั้น แน่นอนพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยยิ่งต่อความผิดของพวกเขา เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ
(120) แท้จริง อิบรอฮีม -อะลัยฮิส สลาม- เป็นคนที่รวมคุณลักษณะของความดี เชื่อฟังต่อพระผู้อภิบาลของเขาเสมอ โน้มเอียงจากศาสนาเท็จทั้งหมดมาสู่อิสลาม เขาไม่เคยอยู่ในหมู่ผู้ต้งภาคีเลย
(121) และเขาเป็นผู้กตัญญูกตเวทีต่อความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เขา พระองค์ทรงเลือกเขาเป็นนบี และทรงชี้แนะทางแก่เขาสู่ศาสนาอิสลามที่เที่ยงแท้
(122) และเราได้มอบให้เขาในโลกนี้ซึ่งการเป็นนบี และการสรรเสริญที่ดี และลูกที่ดี และแท้จริงในปรโลกนั้น เขาจะอยู่ในหมู่คนดี ๆ ที่อัลลอฮ์นั้นได้เตรียมไว้สำหรับพวกเขา ซึ่งมันคือตำแหน่งอันสูงส่งในสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน
(123) แล้วเราได้วะฮีย์แก่เจ้า -โอ้เราะสูล- จงปฏิบัติตามศาสนาของอิบรอฮีมในเรื่องการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ และการออกห่างจากบรรดาผู้ตั้งภาคี และการเชื่อชวนสู่อัลลอฮ์ และการปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ โดยโน้มเอียงจากศาสนาเท็จทั้งหมดมาสู่อิสลาม และเขามิได้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคีเลย ดังเช่นที่พวกบรรดาผู้ตั้งภาคีได้กล่าวอ้าง แต่เขาคือผู้ที่ศรัทธาในความเป็นเอกภาพของอัลลอฮ์ต่างหาก
(124) แท้จริงการถวายเกียรติแด่วันเสาร์ถูกกำหนดให้เป็นภาระผูกพันเหนือชาวยิว เมื่อพวกเขาได้ขัดแย้งกันเกี่ยวกับวันเสาร์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ละทิ้งการงานของพวกเขาไปกับการทำอิบาดะฮ์ หลังจากที่พวกเขาหลงทางจากวันศุกร์ที่พวกเขาได้รับคำสั่งให้อุทิศเพื่ออิบาดะฮ์ในวันนั้น แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้า –โอ้เราะสูลเอ๋ย- จะตัดสินระหว่างผู้ที่ขัดแย้งกันในวันกิยามะฮ์เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน แล้วตอบแทนแต่ละคนตามการกระทำของเขา
(125) จงเชิญชวน -โอ้เราะสูลเอ๋ย- สู่ศาสนาอิสลามของเจ้าและผู้ศรัทธาที่ติดตามเจ้าในลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพความเข้าใจและความคิดของบุคคลที่เจ้าเชิญ และด้วยการตักเตือนที่มีกำลังใจและคำเตือนให้ระวัง โต้เถียงกับพวกเขาในลักษณะที่ดีที่สุดในแง่ของคำพูด ความคิด และความสุภาพ เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าในการให้ฮิดายะฮ์แก่ผู้คน แต่เจ้าทำหน้าที่เชิญชวนพวกเขาเท่านั้น พระผู้อภิบาลของคุณทรงรอบรู้ดีที่สุดว่าใครหลงจากศาสนาของอิสลาม และพระองค์ทรงรอบรู้ดีที่สุดบรรดาผู้ถูกชี้นำที่ถูกต้อง ดังนั้นเจ้าอย่าได้นำพาตัวของเจ้าไปจมปลักอยู่กับพวกเขาด้วยความเศร้าโศก
(126) และหากพวกเจ้ามีความต้องการที่จะลงโทษฝ่ายที่เป็นปรปักษ์ต่อพวกเจ้า ก็จงลงโทษเยี่ยงที่เขานั้นได้กระทำไว้ต่อพวกเจ้าโดยที่ไม่เกินจากนั้น และหากพวกเจ้าอดทนต่อการลงโทษของเขาได้ แน่นอน มันเป็นการดียิ่งสำหรับบรรดาผู้อดทนที่มาจากพวกเจ้า ที่จะทำการเอาโทษกลับต่อพวกเขา
(127) และจงอดทนเถิด -โอ้เราะสูล- ต่อสิ่งที่ได้ประสบกับเจ้าจากการทำร้ายของพวกเขา และการอดทนของเจ้าจะมีขึ้นไม่ได้ เว้นแต่ด้วยการชี้นำของอัลลอฮ์ และเจ้าอย่าได้เสียใจต่อการที่พวกปฏิเสธศรัทธาหันหลังให้กับเจ้า และอย่าได้คับใจในสิ่งที่พวกเขาวางกลอุบาย
(128) แท้จริง อัลลอฮ์ทรงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ยำเกรงต่อพระองค์ ด้วยการที่พวกเขาละทิ้งบาป และทรงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้กระทำความดี ด้วยการที่พวกเขานั้นเคารพเชื่อฟัง และปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขาถูกสั่งใช้ ดังนั้นพระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วยกับการช่วยเหลือและให้การสนับสนุน