(1) โอ้มนุษย์เอ๋ย พวกเจ้าจงยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามในสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งใช้และละทิ้งในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม แท้จริงสิ่งที่จะมาพร้อมกับวันกิยามะฮ์ จะเป็นแผ่นดินไหวหรือ อื่นๆ ที่เป็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวต่างๆนั้น มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก จำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับวันนั้นให้ดี ด้วยการปฏิบัติในสิ่งที่อัลลอฮ์พอพระทัย
(2) วันที่พวกเจ้าเห็นมันคือวันที่บรรดาแม่ที่ให้นมลูกจะไม่สนใจลูกของตัวเอง และบรรดาหญิงที่ตั้งครรภ์ต่างก็จะแท้งที่นางได้ตั้งครรภ์ไว้ อันเนื่องจากความน่าสะพรึงกลัวอย่างรุนแรง และเจ้าจะเห็นผู้คนต่างก็อยู่ในสภาพที่มึ่นเมาขาดสติอันเนื่องจากอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากลัวอย่างมาก และพวกเขาก็ไม่ได้เมาที่มาจากการกินเหล้า แต่เนื่องจากการลงโทษของอัลลอฮ์ที่รุนแรงนั้นนั้น ได้ทำให้พวกเขาขาดสติไป
(3) และมนุษย์บางคนมีผู้โต้ที่เถียงในเรื่องความสามารถของอัลลอฮ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพของผู้ที่ตายไปแล้ว โดยปราศจากความรู้ที่สามารถอ้างอิงได้ และพวกเขานั้นปฏิบัติตามชัยฏอนทุกตัวที่ดื้อรั้นในเรื่องความเชื่อและคำพูดของเขาและปฏิบัติตามบรรดาผู้นำที่หลงผิด
(4) ได้มีการกำหนดบันทึกไว้เป็นที่เรีบยบร้อยแล้วว่าถึงบรรดาผู้ที่ดื้อรั้นที่มาจากชัยฏอนที่มีทั้งมนุษย์และญิน โดยใครก็ตามที่ตามมันและเชื่อต่อมัน มันจะทำให้ผู้นั้นหลงผิดไปจากเส้นทางที่ถูกต้อง และจะนำพาไปสู่การลงโทษแห่งไฟนรกด้วยการนำพาไปสู่การปฏิเสธศรัทธาและการฝ่าฝืน
(5) โอ้ มนุษย์เอ๋ย ! หากพวกเจ้ายังอยู่ในการสงสัยแคลงใจในความสามารถของเรา เกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพหลังความตาย ดังนั้นจงคิดใตร่ตรองเกี่ยวกับการสร้างพวกเจ้ามา แท้จริงเราได้บังเกิดบิดาของเจ้าอาดัม มาจากดิน แล้วเราได้สร้างลูกหลานของเขามาจากเชื้ออสุจิของผู้ชายที่เข้าไปในรังไข่ของผู้หญิง แล้วเปลี่ยนจากน้ำอสุจิเป็นก้อนเลือดแข็ง แล้วเปลี่ยนจากก้อนเลือดแข็งเป็นก้อนเนื้อที่คล้ายก้อนเนื้อที่สุก หลังจากนั้นก็เปลี่ยนก้อนเนื้อไปสู่การเป็นสิ่งถูกสร้างที่สมบุรณ์โดยให้อยู่ในมดลูกจนถึงวันที่คลอดออกมาเป็นเด็กทารก หรือไม่สมบูรณ์โดยการแท้ง ทั้งหมดนั้นเพื่อเราจะได้แสดงให้พวกเจ้าได้เห็นความสามารถของเราในการสร้างพวกเจ้าเป็นขั้นเป็นตอน และเราให้ทารกนั้นอยู่ในครรภ์ตามที่เราประสงค์ จนถึงเวลาที่กำหนดไว้คือเก้าเดือน แล้วเราให้พวกเจ้าคลอดออกมาจากท้องมารดาเป็นทารก แล้วเพื่อพวกเจ้าจะได้บรรลุสู่วัยฉกรรจ์ของพวกเจ้าทั้งด้านพละกำลังและสติปัญญา และในหมู่พวกเจ้ามีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และในหมู่พวกเจ้ามีผู้ที่มีชีวิตอยู่จนถึงวัยชราโดยที่มีความอ่อนแอทางด้านพละกำลังและสติปัญญา จนกระทั่งมีสภาพที่ดูแย่กว่าตอนเด็ก โดยเขาจะไม่รู้อะไรเลยหลังจากที่เคยรู้มาก่อน และเจ้าจะเห็นแผ่นดินแห้งแล้งไม่มีพืชผลใดๆเลย ครั้นเมื่อเราได้หลั่งน้ำฝนลงมาบนมัน มันก็จะเคลื่อนไหวขยายตัวและงอกออกมาเป็นต้นไม้ และแผ่นดินก็ได้ทำให้ต้นไม้งอกออกมาเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม
(6) สิ่งเหล่านั้นที่เราได้กล่าวถึงแก่พวกเจ้านั้น-เริ่มจากการสร้างพวกเจ้าในครั้งแรก ขั้นตอนต่างๆของมัน และสภาพต่างๆของเด็กที่เกิดมาในหมู่พวกเจ้านั้น ทั้งหมดก็เพื่อที่จะให้พวกเจ้าได้ศรัทธาว่าอัลลอฮ์ผู้ที่สร้างพวกเจ้านั้นคือพระเจ้าที่แท้จริงโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ซึ่งแตกต่างกับรูปปั้นที่พวกเจ้าทำการบูชากัน และเพื่อให้พวกเจ้าได้ศรัทธาว่า พระองค์คือผู้ทรงให้คนตายได้ฟื้นคืนชีพ และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์อ่อนแอได้
(7) และเพื่อให้พวกเจ้าได้ศรัทธาว่า แท้จริงวันอวสานนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัยเลยในการมาของมัน และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงทำให้มีการฟื้นคืนชีพสำหรับคนที่ตายไปแล้วออกมาจากหลุมฝังศพของพวกเขาเพื่อที่จะทำการตอบแทนแก่พวกเขาต่อสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ
(8) และในหมู่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาบางคนได้ทำการโต้เถียงในเรื่องการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ โดยปราศจากความรู้ที่จะนำไปสู่สัจธรรมที่แท้จริง และปราศจากการปฏิบัติตามผู้ที่นำทางสู่เส้นทางที่ถูกต้อง และปราศจากคัมภีร์ที่ส่องแสงที่ถูกประทานลงมาจากอัลลอฮ์เพื่อนำทางพวกเขา
(9) เขาก็จะเอียงคอของเขาด้วยความหยิ่งยโสเพื่อที่จะให้ผู้คนหันเหออกจากการศรัทธาและห่างไกลจากการเข้าสู่ศาสนาของอัลลอฮ์ สำหรับผู้ที่มีลักษณะดังกล่าวนั้น เขาจะมีความตกต่ำในโลกดุนยานี้ด้วยการลงโทษที่จะเกิดขึ้นแก่เขา และในปรโลกเราจะให้เขาลิ้มรสการลงโทษด้วยไฟที่ลุกโชน
(10) และได้มีการกล่าวแก่เขาว่า"การลงโทษที่เจ้าได้ประสบอยู่นั้น มันเกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าเอง ที่มาจากการปฏิเสธศรัทธาและบาปต่างๆที่เจ้าเคยทำ และอัลลอฮ์จะไม่ลงโทษผู้ใด นอกจากด้วยบาปที่เขาได้ก่อไว้"
(11) ในหมู่มนุษย์นั้นมีผู้ที่สับสนซึ่งอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ด้วยความสงสัย ซึ่งหากเขาประสบกับความดีด้วยการมีสุขภาพที่ดีและความมั่งคั่ง เขาก็จะยังคงศรัทธาและเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ต่อไป แต่ถ้าหากเขาประสบกับบททดสอบด้วยโรคภัยหรือความยากจน เขาก็จะสิ้นหวังในศาสนาของเขาและละทิ้งศาสนาไป เขาก็จะเป็นผู้ที่ขาดทุนบนโลกนี้ ดังนั้นการปฏิเสธศรัทธาของเขาไม่ได้ทำให้เขาได้รับอะไรเพิ่มจากดุนยาของเขา จากสิ่งที่ไม่ได้บันทึกไว้ให้แก่เขา และเขาจะขาดทุนในโลกหน้าโดยการที่เขาจะต้องพบกับบทลงโทษของอัลลอฮ์ เหล่านั้นคือการขาดทุนอย่างชัดแจ้ง
(12) บรรดารูปปั้นซึ่งมันไม่ให้โทษแก่เขาเมื่อเขาฝ่าฝืนและมันก็ไม่ให้ประโยชน์อะไรเมื่อเขาเชื่อฟัง การวิงวอนต่อบรรดารูปปั้นที่ไม่สามารถให้โทษและประโยชน์ใดได้นั้น คือการหลงผิดที่ห่างไกลจากความจริงยิ่ง เขาบูชารูปปั้นเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ซึ่งมันไม่สามารถที่จะให้โทษหากเขาเนรคุณต่อมัน และไม่มีอำนาจที่จะนำประโยชน์ใด ๆ มาสู่เขาหากเขาเชื่อฟังมัน การวิงวอนต่อรูปปั้นนั้นไม่ทำให้เกิดโทษและไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใดๆ มันเป็นการหลงทางจากสัจธรรมที่แสนไกล
(13) ผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาที่วิงวอนขอต่อบรรดารูปปั้นทั้งหลาย โทษของมันซึ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอนมันไกล้กว่าประโยชน์ของมันที่ไม่มี แน่นอนสิ่งที่ถูกเคารพสักการะที่โทษของมันไกล้กว่าประโยชน์นั้น มันเป็นผู้ช่วยเหลือที่ชั่วที่สุดสำหรับผู้ที่ขอความช่วยเหลือจากมัน และมันเป็นมิตรที่ชั่วช้าสำหรับผู้ที่มีมันเป็นมิตร
(14) แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงยอมรับบรรดาผู้ศรัทธาในพระองค์และกระทำความดีเข้าไปในสรวงสวรรค์ซึ่งมีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่าง แท้จริงอัลลอฮ์ทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงประสงค์ เป็นความเมตตาแก่ผู้ที่พระองค์ทรงเมตตา และการลงโทษผู้ที่พระองค์ทรงลงโทษ ไม่มีสิ่งใดบังคับพระองค์ได้
(15) ผู้ใดคิดว่าอัลลอฮ์จะไม่ทรงช่วยเหลือนบีของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ก็จงให้เขาผู้นั้นต่อเชือกขึ้นสู่หลังคาบ้านของเขา แล้วผูกคอเขาโดยให้ตัวเองลอยจากพื้นดิน แล้วให้เขาคิดดูว่า สิ่งที่เขาพบเจอกับตัวของเขาเองนั้นจากความเคียดแค้นได้หมดสิ้นไปหรือไม่ กับการกระทำแบบนั้น อัลลอฮ์คือผู้ช่วยเหลือนบีของพระองค์ ไม่ว่าผู้นั้นจะต่อต้านหรือปฏิเสธ
(16) และดังที่เราได้อธิบายแก่พวกเจ้าซึ่งข้อพิสูจน์ต่างๆอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพ เราได้ประทานอัลกุรอานแก่มูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นโองการที่ชัดเจน และอัลลอฮ์ทรงเลือกผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ด้วยความกรุณาของพระองค์ สู่เส้นทางแห่งการชี้นำและความชอบธรรม
(17) แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์จากประชาชาตินี้ และบรรดาชาวยิว พวกศอบิอีน (กลุ่มผู้ที่ปฏิบัติตามนบีบางท่าน) พวกนะศอรอ พวกบูชาไฟ และบรรดาผู้ตั้งภาคี แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาในวันกิยามะฮ์ สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาก็จะได้เข้าสวรรค์ และคนอื่นๆนอกจากนั้นจะเข้านรก แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเห็นต่อทุกสิ่งทั้งที่เป็นคำพูดและการกระทำของพวกเขา ไม่มีอะไรที่สามารถปกปิดไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาจากการกระทำของพวกเขา
(18) เจ้าไม่รู้หรือ -โอ้ท่านเราะสูล- ว่า แท้จริงอัลลอฮ์คือผู้ที่ทุกสิ่งในชั้นฟ้าทั้งหลายและบรรดามลาอิกะฮ์ทำการสุญูดต่อพระองค์เป็นการสุญูดเชื่อฟัง และผู้ที่อยู่ในแผ่นดินจากมนุษย์และญินที่เป็นผู้ที่ศรัทธา และดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ดวงดาวในชั้นฟ้า บรรดาภูเขา ต้นไม้ และสัตว์ทั้งหลายในแผ่นดิน โดยเป็นการสุญูดด้วยการจำนน และมีจำนวนมากจากหมู่มนุษย์ที่ทำการสุญูดเชื่อฟัง และมีจำนวนมากเช่นกันที่ไม่ยอมก้มสุญูดเชื่อฟัง ดังนั้นการลงโทษของอัลลอฮ์ก็เป็นที่คู่ควรแก่พวกเขาอันเนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงทำให้เขาตกต่ำอันเนื่องด้วยการปฏิเสธของเขา ดังนั้นสำหรับเขาก็จะไม่มีผู้ให้เกียรติ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ดังนั้นไม่มีผู้ใดที่จะบังคับพระองค์ได้
(19) ทั้งสองฝ่ายที่โต้เถียงกันเกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขาว่าใครคือผู้ที่ถูกต้อง ระหว่างฝ่ายของบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธศรัทธา สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะถูกห่อหุ้มไปด้วยไฟนรกเฉกเช่นเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มพวกเขา และจะถูกน้ำที่ร้อนที่สุด เทลงไปบนหัวของพวกเขา
(20) สิ่งที่อยู่ในท้องของพวกเขาจากอวัยวะภายในนั้นจะถูกละลายด้วยกับความร้อนของมัน และตลอดจนถึงผิวหนังของพวกเขาก็ถูกละลายด้วยเช่นกัน
(21) และสำหรับพวกเขาในนรกนั้น จะมีมลาอีกะฮ์ถือค้อนเหล็กคอยตีหัวของพวกเขา
(22) ทุกครั้งที่พวกเขาต้องการจะออกไปจากไฟนรกเนื่องจากความทุกข์ยากอย่างรุนแรงที่พวกเขาประสบ พวกเขาก็ถูกให้กลับไปในนั้นอีก และมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษที่มีไฟลุกโชน
(23) และส่วนบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติความดีทั้งหลาย อัลลอฮ์ทรงให้พวกเขาได้เข้าสรวงสวรรค์ ที่เบื้องล่างของมันและต้นไม้ของมันนั้นมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน อัลลอฮ์ทรงตกแต่งพวกเขาด้วยการสวมใส่กำไลมือที่ทำจากทองคำและเครื่องประดับที่ทำจากไข่มุก และเสื้อผ้าของพวกเขาที่สวมใส่ในนั้นก็เป็นผ้าไหม
(24) และพวกเขาได้รับคำแนะนำจากอัลลอฮ์ในชีวิตทางโลกนี้ไปสู่คำพูดที่ดีเช่น การกล่าวคำปฏิญาณ (ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์), ตักบีร์ (อัลลอฮูอักบัร) และตะห์มีด (อัลฮัมดูลิลละห์) และพระองค์ทรงชี้นำพวกเขาสู่แนวทางที่น่ายกย่องของศาสนาอิสลาม
(25) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และขัดขวางผู้อื่น ไม่ให้เข้าสู่ศาสนาอิสลาม และขัดขวางผู้คนไม่ให้เข้ามัสยิดฮะรอม ดังเช่นการกระทำของชาวมุชรีกีนในปีที่ทำสัญญาฮุดัยบียะฮ์ เราจะทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษอันเจ็บปวด มัสยิดที่เราได้จัดทำขึ้นเพื่อให้เป็นกิบละฮ์สำหรับผู้คนในการละหมาดของพวกเขาและเป็นที่สำหรับพวกเขาทำพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับฮัจญ์และอุมเราะฮ์ นั้นเปิดให้ชาวมักกะฮ์และทุกคนที่มาจากนอกนครมักกะฮ์อย่างเท่าเทียมกัน และผู้ใดจงใจ ตั้งใจที่จะเบี่ยงเบนไปจากความจริงด้วยการประพฤติผิดในนั้น เราจะให้เขาลิ้มรสการลงโทษอันเจ็บปวด
(26) และจงรำลึกเถิด โอ้ท่านเราะสูล เมื่อเราได้ชี้แจงถึงสถานที่ตั้งสำหรับอัลบัยต์แก่อิบรอฮีมและของเขตของมันหลังจากที่มันไม่เป็นที่รู้จัก และเราสั่งให้เขาอย่าได้ตั้งภาคีใดๆในการเคารพภักดีต่อฉัน แต่จงเคารพภักดีต่อฉันเพียงผู้เดียว และจงทำความสะอาดบ้านของฉันจากสิ่งสกปรก(นายิส)ทั้งในรูปแบบของนามธรรมและรูปธรรมแก่ผู้ที่เวียนรอบมันและผู้ที่ละหมาดอยู่ในนั้น
(27) และจงประกาศเรียกผู้คนต่างๆเพื่อเรียกพวกเขาทั้งหลายสู่การแสวงบุญในการทำฮัจย์ ณ บ้านแห่งนี้ ที่พระองค์ทรงบัญชาให้เจ้าสร้างมันขึ้นมา พวกเขาจะมาหาเจ้าโดยการเดินทางเท้าหรือขี่อูฐ ที่ทุกตัวมีสภาพผอมเป็นซึ่งสิ่งที่ช่วยในการเดินทาง อูฐของพวกเขาจะพาพวกเขามาจากทุกทางที่ไกล
(28) เพื่อให้พวกเขาได้เห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กลับมาแก่พวกเขาในรูปของการให้อภัยในความผิดบาป และการได้รับผลบุญ และความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชาติและอื่นๆ และเพื่อกล่าวรำลึกถึงพระนามของอัลลอฮ์ในขณะที่ทำการเชือดสัตว์(ฮัดย์)ในวันที่กำหนดชัดเจน นั้นคือ วันที่สิบของเดือนซุลฮิจญะฮ์และสามวันหลังจากนั้น เพื่อเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮ์ในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพมาจาก อูฐ วัวและแพะ ดังนั้นพวกเจ้าจงกินจากเนื้อสัตว์เหล่านี้และมอบให้แก่คนยากจนได้กิน
(29) แล้วพวกเขาก็จะปฏิบัติในสิ่งที่เหลืออยู่จากการประกอบพิธีฮัจญ์ และทำการตะหัลลุลด้วยการโกนศีรษะ ตัดเล็บและขจัดสิ่งสกปรกต่างๆออกจากร่างกายที่เกิดขึ้นในระหว่างครองอิห์รอม และให้พวกเขาปฏิบัติในสิ่งที่จำเป็น (วาญิบ) สำหรับพวกเขาไม่ว่าในเรื่องของฮัจญ์หรืออุมเราะฮ์หรือการเชือดสัตว์พลี และทำการตอวาฟอีฟาเดาะฮ์ที่บ้านของอัลลอฮ์ซึ่งเป็นบ้านที่อัลลอฮ์ได้กู้มันออกมาจากการครอบงำของผู้มีอำนาจที่อธรรม
(30) เช่นนั้นแหละสิ่งที่เราได้สั่งพวกเจ้า คือการ(ทำการตะหัลลุล)เปลื้องอิห์รอมด้วยการโกนหัว ตัดเล็บและขจัดสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย และปฏิบัติในสิ่งที่ได้บนบานไว้และจงทำการฏอวาฟ มันคือสิ่งที่อัลลอฮ์ได้บัญญัติเป็นสิ่งวาญิบเหนือพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงให้เกียรติในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้บัญญัตินั้น และสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงในสิ่งที่อัลลอฮ์สั่งให้เขาหลีกเลี่ยงในขณะที่ครองอิห์รอมนั้น เพื่อเป็นการแสดงถึงการให้เกียรติในความยิ่งใหญ่ของขอบเขตข้อจำกัดของอัลลอฮ ด้วยการไม่กระทำสิ่งถูกห้ามเหล่านั้น และการให้เกียรติต่อสิ่งที่เป็นบัญญัติต่างๆของพระองค์นั้น มันเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับเขาทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์ในสายตาของพระผู้อภิบาลของเขา และได้อนุญาตแก่พวกเจ้า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย จากปศุสัตว์ต่างๆ เช่นอูฐ วัวและแพะ และเขาไม่ได้ห้ามพวกเจ้าประเภทต่างๆของอูฐ เช่น ฮาม(อูฐตัวผู้ที่ทำให้ตัวเมียได้กำเนิดลูก 10 ครั้ง) บะฮิเราะฮ์(อูฐตัวเมียที่คลอดลูกห้าครั้ง และลูกตัวที่ห้าเป็นตัวผู้) วะศีละฮ์ (แกะตัวผู้ที่มีตัวเมียเป็นแฝด) และเราไม่ได้ห้ามพวกเจ้าจากสิ่งเหล่านั้นเว้นแต่สิ่งที่พวกเจ้าได้พบมันในคัมภีร์อัลกุรอานจากข้อห้ามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่ตายเอง เลือดและอื่นๆ ดังนั้นพวกเจ้าจงออกห่างจากสิ่งสกปรก ซึ่งนั้นก็คือรูปปั้นเจว็ด และจงออกห่างจากคำกล่าวเท็จทั้งหลายที่เป็นการได้โกหกต่ออัลลอฮ์หรือโกหกต่อสิ่งถูกสร้างของพระองค์
(31) จงหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านั้นด้วยการละทิ้งทุกศาสนา นอกจากศาสนาทท่พระองค์ทรงพอพระทัยเท่านั้น โดยไม่เป็นผู้ที่ตั้งภาคีต่อสิ่งใดๆ ร่วมกับพระองค์ในการทำอิบาดะฮ์ และคนที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์เสมือนว่าเขาได้ตกลงมาจากชฟากฟ้า แล้วมีนกบินมาฉกเนื้อและกระดูกของเขาไป หรือลมพัดไปในที่ที่ห่างไกล
(32) นั่นคือสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาในรูปของ การศรัทธาต่อเอกภาพของพระองค์และบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ และห่างไกลจากการบูชารูปเคารพและการโกหก และผู้ใดเชิดชูสัญญาณของศาสนานี้ -ด้วยการเชือดสัตว์พลีและประกอบพิธีหัจญ์- เพราะแท้จริงการเชิดชูพระบัญญัติของอัลลอฮ์นั้นมันเป็นสัญลักษณ์ของหัวใจที่ยำเกรงต่อพระองค์
(33) ในบรรดาสัตว์พลีที่เจ้าได้เชือดในแผ่นดินหะรอมนั้น มีประโยชน์มากมายสำหรับพวกเจ้า - เช่นใช้เป็นพาหนะ ใช้หนัง ให้น้ำนม และมันให้กำเนิดลูก - จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดของการเชือดมัน ในสถานที่ที่ไกล้กับบัยตุลลอฮ์ ที่พระองค์ได้ทรงปลดปล่อยมันขึ้นมาจากผู้ปกครองที่กดขี่
(34) และสำหรับทุก ๆ ประชาชาติที่ผ่านมาเราได้กำหนดพิธีกรรมเพื่อเชือดสัตว์พลีเพื่อสร้างความใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์ จะได้กล่าวถึงพระนามของอัลลอฮฺเมื่อจะทำการเชือดสัตว์กุรบ่านนั้น เพื่อแสดงถึงการสำนึกในความกรุณาของอัลลอฮ์ที่พระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพมา จากอูฐ วัวและแพะ ดังนั้นโอ้มนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าของพวกเจ้าโดยแท้จริง นั้นคือ พระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว โดยไม่มีภาคีใดๆ ร่วมกับพระองค์ ดังนั้นสำหรับพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะต้องนอบน้อมและเชื่อฟัง และจงแจ้ง -โอ้ท่านเราะสูล- แก่บรรดาผู้ที่นอบน้อมที่บริสุทธิ์ใจ ด้วยสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุข
(35) พวกเขาคือบรรดาผู้ที่รู้สึกกลัวต่อการลงโทษของอัลลอฮ์ เมื่อมีการกล่าวถึงอัลลอฮ์แก่พวกเขา พวกเขาจึงหลีกเลี่ยงจากการฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ และได้ดำรงการละหมาดอย่างครบถ้วน และอดทนต่อความทุกข์ยากที่ประสบต่อพวกเขา และพวกเขาจะบริจาคในหนทางที่ดีจากสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานปัจจัยยังชีพแก่เขา
(36) อูฐและวัวที่ถูกนำมายังบัยตุลลอฮ์ เราได้ทำเป็นสัญญาณและสัญลักษณ์ของศาสนา เกี่ยวกับเรื่องนั้นสำหรับพวกเจ้าแล้วมีคุณประโยชน์มากมายทั้งทางศาสนาและทางโลก ดังนั้นจงกล่าว "บิสมิลลาฮ์" ขณะที่พวกเจ้าจะทำการเชือดมัน นั่นคือหลังจากที่ขาของมันทั้งสองถูกทำให้ชิดในท่ายืน และมือข้างหนึ่งของมันถูกมัดไว้เพื่อไม่ให้ดิ้นและหนีไป และเมื่ออูฐได้ล้มลงหลังจากที่ได้เชือดมันแล้ว พวกเจ้าก็จงกินบางส่วนของมันเถิด -โอ้ผู้ทำการบริจาคสัตว์พลีเหล่านั้นเอ๋ย- และจงให้บางส่วนแก่คนยากจนที่ปลีกตัวจากการขอทาน และคนจนที่มาเพื่อให้ได้รับบริจาค ดังที่เราได้ทำให้สัตว์เหล่านั้นเพื่อทำการขนส่งสินค้าและเป็นยานพาหนะสำหรับพวกเจ้า เราได้ทำให้พวกมันเป็นสัตว์ที่ง่ายต่อการเชือดในเวลาที่พวกเจ้าทำการเชือดพวกมัน เพื่อเป็นการใกล้ชิดอัลลอฮ์ เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ขอบคุณอัลลอฮ์ ที่ได้ทรงประทานความสะดวกสบายต่างๆ แก่พวกเจ้า
(37) เนื้อของมันที่พวกเจ้าแจกจ่ายเป็นของขวัญไปนั้นและเลือดของมันจะไม่ถึงอัลลอฮ์แต่อย่างใดและมันจะไม่ถูกยกขึ้นให้แก่พระองค์ แต่ทว่าความยำเกรงของพวกเจ้าที่มีต่ออัลลอฮ์ที่อยู่ในนั้นต่างหากที่จะถูกยกไป ด้วยการที่พวกเจ้าบริสุทธิ์ใจในการปฏิบัติสิ่งนั้นเพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์ และเช่นนั้นแหละ อัลลอฮ์ได้ทำให้สิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้ประกาศความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของอัลลอฮ์เพื่อเป็นการขอบคุณต่อพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานการชี้นำแห่งสัจธรรม และจงแจ้งข่าวดี -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- แก่บรรดาผู้ทำความดีในการเคารพภักดีต่อพระองค์ และทำดีต่อผู้อื่น ด้วยสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุข
(38) แท้จริงอัลลอฮ์ทรงปกป้องบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์ให้พ้นจากความชั่วร้ายของบรรดาศัตรู แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงชอบคนที่มักทำลายอะมานะฮ์ของพระองค์ และบรรดาผู้ที่ไม่สำนึกในความโปรดปรานของพระองค์ ดังนั้น อัลลอฮ์จะไม่ทรงทำให้มีการเพิ่มสิ่งใดๆในความโปรดปรานเหล่านั้นแก่เขา แต่ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์จะเกลียดเขา
(39) อัลลอฮ์ทรงอนุญาตให้บรรดาผู้ศรัทธาที่ถูกรุกรานจากบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีด้วยการต่อสู้กับพวกเขา อันเนื่องจากพวกเขาเป็นฝ่ายถูกอธรรมจากศัตรูของพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์สามารถช่วยเหลือบรรดาผู้ศรัทธาให้ชนะเหนือศัตรูของพวกเขาได้ โดยปราศจากการต่อสู้ใดๆ แต่ด้วยความปรีชาญาณของพระองค์ ต้องการทดสอบบรรดาผู้ศรัทธาผ่านการต่อสู้กับผู้ปฏิเสธศรัทธา
(40) บรรดาผู้ที่ถูกเหล่าผู้ปฏิเสธศรัทธาไล่ออกจากบ้านของพวกเขาโดยอธรรม ไม่ใช่เพราะความชั่วร้ายที่พวกเขากระทำ แต่เพียงเพราะพวกเขากล่าวว่า:"อัลลอฮ์คือพระเจ้าของเรา เราไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์" และหากอัลลอฮ์ไม่ทรงบัญญัติไว้สำหรับบรรดานบีและบรรดาผู้ศรัทธาเพื่อต่อสู้กับศัตรูของพวกเขาแล้ว บรรดาศัตรูก็จะทำลายสถานที่อิบาดะฮ์ต่างๆ พวกเขาจะทำลายบรรดาหอสวดของบาทหลวง บรรดาโบสถ์ของพวกคริสต์ สถานที่สวดของพวกยิวและมัสยิดทั้งหลายที่บรรดามุสลิมทำการละหมาด ซึ่งเป็นสถานที่ที่มุสลิมทำการรำลึกถึงอัลลอฮ์อย่างมากมาย และแน่นอนอัลลอฮ์ จะทรงช่วยเหลือผู้ที่คอยช่วยเหลือศาสนาและนบีของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอำนาจในการช่วยเหลือผู้ที่ช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ ผู้ทรงเกรียงไกรที่ไม่มีใครสามารถชนะพระองค์ได้
(41) พวกเขาที่ได้รับสัญญาแห่งชัยชนะ คือบรรดาผู้ที่หากเราให้พวกเขามีอำนาจในแผ่นดินด้วยการชนะต่อศัตรูของพวกเขา พวกเขาจะดำรงละหมาดอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และจะทำการบริจาคซะกาตจากทรัพย์สินของพวกเขา และพวกเขาจะใช้กันให้ทำในสิ่งที่ศาสนาได้บัญญัติให้ทำ และห้ามปรามในสิ่งที่ศาสนาได้ห้าม และแด่อัลลอฮ์เพียงผู้เดียวที่ทุกสิ่งต้องกลับไปหา เพื่อรับการตอบแทนและบทลงโทษ
(42) และหากพวกเขามุชริกีนมักกะฮ์ปฏิเสธไม่ยอมเชื่อฟังเจ้า โอ้ท่านเราะสูล เจ้าจงอดทน เพราะเจ้าไม่ใช่คนแรกที่ถูกกลุ่มชนของตนเองปฏิเสธในหมู่บรรดาเราะซูล แท้จริง ได้มีชนชาติที่ปฏิเสธก่อนหน้าชนชาติของเจ้าอีก นั้นคือ ชนชาติของนูหที่ปฏิเสธต่อนบีนูห ชนชาติของอ๊าดที่ปฏิเสธต่อนบีฮูดและชนชาติของษะมูดที่ปฏิเสธต่อนบีศอลิฮ
(43) และชนชาติของอิบรอฮิมที่ปฏิเสธต่อนบีอิบรอฮีมและชนชาติของลูฏปฏิเสธต่อลูฏ
(44) และชาวมัดยันก็ได้ปฏิเสธต่อนบีชุอัยบ์ และฟิรเอาน์พร้อมด้วยชนชาติของเขาก็ได้ปฏิเสธไม่เชื่อฟังนบีมูซาเช่นกัน แต่เราได้ประวิงเวลาให้แก่พวกเขาในการลงโทษเพื่อเป็นการล่อลวงพวกเขา แล้วเราก็ได้ลงโทษพวกเขา ดังนั้นจงคิดใคร่ครวญดูเถิดว่า ผู้ที่ปฏิเสธเราจะเป็นอย่างไร แน่นอนเราจะทำลายล้างพวกเขาเนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา
(45) กี่มากน้อยมาแล้วหมู่บ้านที่ถูกเราทำลาย โดยที่พวกเขานั้นอธรรมด้วยการปฏิเสธศรัทธา ด้วยการลงโทษอย่างรุนแรง บ้านเรือนของมันพังทลายและปราศจากผู้ที่อยู่อาศัย และบ่อน้ำกี่มากน้อยที่ถูกทำให้ว่างเปล่าเนื่องจากพวกเขาถูกทำลาย และกี่ปราสาทที่สูงตระหง่านที่พังทลายไม่สามารถเป็นที่ป้องกันแก่ผู้ที่อยู่อาศัยให้พ้นจากการลงโทษได้
(46) บรรดาผู้ที่ปฏิเสธนั้นไม่ได้ออกเดินทางไปดูสิ่งที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮฺวะซัลลัม ได้นำมาบอกเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ดอกหรือ เพื่อดูร่องรอยของหมู่บ้านที่ถูกทำลาย เพื่อพวกเขาจะได้คิดไตร่ตรองด้วยสติปัญญาของพวกเขา ไว้เป็นบทเรียน และฟังเรื่องราวของชาวเมืองนั้นที่ถูกทำลายนั้น ด้วยการฟังที่ตั้งใจเพื่อเป็นข้อเตือนใจ เพราะการมืดบอดที่แท้จริงนั้น มิใช่การมืดบอดของนัยตา แต่การมืดบอดที่เป็นอันตรายที่ส่งผลร้ายนั้น คือ การมืดบอดจากไม่ยอมรับความจริง เพราะเป็นการมืดบอดที่ทำให้เจ้าตัวนั้นไม่สามารถที่จะรับเป็นบทเรียนและไม่สามารถรับเป็นข้อเตือนใจได้
(47) และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาจากกลุ่มชนของเจ้านั้นจะเร่งเร้าเจ้า โอ้เราะสูล ให้มีการลงโทษพวกเขาโดยเร็วทั้งในโลกดุนยานี้และบทลงโทษในวันปรโลก เพราะพวกเขาถูกเตือนด้วยการลงจากทั้งสองนี้ และอัลลอฮ์ไม่มีวันผิดสัญญาตามที่ได้สัญญากับพวกเขาอย่างแน่นอน ส่วนการลงโทษในดุนยาที่พวกเขาได้เร่งเร้านั้นก็ได้เกิดขึ้นแล้วในสงครามบัดร และแท้จริงหนึ่งวันแห่งการลงโทษในปรโลกนั้นเสมือนหนึ่งพันปีของการนับปีของโลกดุนยา ด้วยสาเหตุเพราะความทุกข์ทรมานจากบทลงโทษ
(48) และกี่มากน้อยมาแล้วเมืองที่เราได้ประวิงเวลาการลงโทษ โดยที่พวกเขานั้นอธรรมด้วยการปฏิเสธศรัทธาของคนในหมู่บ้านนั้น และเราไม่ได้รีบเร่งในการลงโทษ เพื่อการหลอกล่อพวกเขา หลังจากนั้นเราก็ได้ลงโทษทำลายพวกเขาอย่างรุนแรง และยังเราเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่พวกเขาต้องกลับไปในวันกียามะฮ์ และฉันจะตอบแทนพวกเขาถึงการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาด้วยการลงโทษตลอดกาล
(49) จงกล่าวเถิด โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงฉันคือผู้ตักเตือน ผู้คอยบอกให้พวกเจ้าทราบในสิ่งที่ฉันได้ถูกส่งมา ฉันชัดเจนในการตักเตือนของฉัน
(50) ดังนั้นบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และกระทำความดีทั้งหลาย สำหรับพวกเขานั้นจะได้รับจากพระเจ้าของพวกเขาถึงการอภัยโทษจากบาปของพวกเขา และสำหรับพวกเขาจะได้รับปัจจัยยังชีพอันมีเกียรติในสวรรค์โดยที่ไม่ขาดสายตลอดไป
(51) และบรรดาผู้ที่เพียรพยายามในการกล่าวเท็จต่อบรรดาโองการของเรา พวกเขาคาดว่าพวกเขาจะสามารถล้มอัลลอฮ์ได้ และพวกเขาจะไม่ถูกลงโทษ พวกเขาเหล่านั้นคือชาวนรก ซึ่งพวกเขาจะอยู่คู่กับมันเสมือนเป็นสหายที่จะอยู่คู่กับสหายของมัน
(52) และเราไม่ได้ส่งเราะสูลคนใดและนบีคนใดก่อนหน้าเจ้า โอ้เราะสูล เว้นแต่ว่า เมื่อเขาอ่านคัมภีร์ของอัลลอฮ์แล้ว ชัยฏอนก็จะเข้ามายุแหย่ในการอ่านของเขา ด้วยการใส่สิ่งสงสัยต่างๆเข้าไปในขณะที่อ่านเพื่อให้คิดว่ามันคือวะฮฺยู แต่อัลลอฮ์ก็ทรงทำลายล้างสิ่งที่ชัยฏอนได้ยุแหย่นั้นไป แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงทำให้โองการทั้งหลายของพระองค์มั่นคง และอัลลอฮฺทรงรอบรู้ทุกสิ่ง ไม่มีอะไรปกปิดต่อพระองค์ได้ และทรงปรีชาญาณต่อสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ในการกำหนดและการบริหารการจัดการบริหารของพระองค์
(53) ชัยตฏอนนั้นยุแหย่ในการอ่านอัลกุรอ่านของท่านนบี อัลลอ์ทรงปล่อยให้การยุแหย่นั้นเป็นการทดสอบสำหรับบรรดาผู้ที่หน้าไหว้หลังหลอก และผู้ที่มีจิตใจที่แข็งกระด้างจากบรรดาผู้ที่ตั้งภาคี และแท้จริงบรรดาผู้อธรรมที่มาจากบรรดาผู้ที่หน้าไหว้หลังหลอกและบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีนั้น พวกเขาอยู่ในการเป็นศัตรูต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ โดยห่างไกลจากสิ่งที่ถูกต้องและทางนำ
(54) และเพื่อให้บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ทรงให้ความรู้แก่เขานั้นได้เกิดความมั่นใจว่า แท้จริงอัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาแก่นบีมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั้น คือสัจธรรมที่อัลลอฮ์ได้วะฮฺยูมันให้แก่เจ้า โอ้ท่านเราะสูล เพื่อให้พวกเขานั้นได้มีอีหม่านที่เพิ่มพูน แล้วจิตใจของพวกเขาจะได้นอบน้อมต่อมัน และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงเเป็นผู้ชี้แนะบรรดาผู้ศรัทธาไปสู่เส้นทางที่เที่ยงตรงที่ไม่บิดเบี้ยว เพื่อเป็นการตอบแทนแก่พวกเขาสำหรับความอ่อนน้อมต่อพระองค์
(55) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์นั้นยังคงอยู่ในสภาพแห่งการสงสัยในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมาให้แก่เจ้าจากอัลกุรอาน ยังคงอยู่สภาพนั้นต่อไปจนกระทั่งวันสิ้นโลกได้มาถึงพวกเขาอย่างฉับพลันโดยที่พวกเขายังอยู่ในสภาพดังกล่าวนั้น หรือบทลงโทษได้มาถึงพวกเขาในวันที่ไม่มีคำว่าเมตตาในวันนั้นหรือไม่มีความดีใด ๆ มันคือวันกียามะฮ์สำหรับพวกเขา
(56) อำนาจในวันกียามะฮ์ -ซึ่งเป็นวันที่การลงโทษของอัลลอฮ์ได้มาถึงเหล่าบรรดาผู้ที่เคยได้รับสัญญาไว้ในอดีต- อำนาจนั้นเป็นของอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว ไม่มีผู้ใดจะมาขัดแย้งกับพระองค์ได้ในส่วนนี้ พระองค์จะทรงตัดสินระหว่างบรรดาผู้ศรัทธาและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และจะตัดสินทุกคนในหมู่ของพวกเขาตามสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ สำหรับผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และกระทำความดีทั้งหลาย พวกเขาจะได้ผลบุญอันใหญ่หลวงคือสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความสุขที่ไม่มีวันตัดขาดจากพวกเขาไป
(57) และส่วนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและไม่เชื่อฟังต่อโองการของเราที่ประทานลงมายังเราะสูลของเรานั้น สำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษที่อัปยศ โดยที่อัลลอฮ์จะทรงทำให้พวกเขาอัปยศอยู่ในนรก
(58) และบรรดาผู้ที่ละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนและประเทศชาติของพวกเขาเพื่อแสวงหาความพึงพอใจของอัลลอฮ์ และเพื่อรักษาเกียรติของศาสนาของพระองค์ หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกฆ่าในการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์หรือเสียชีวิตลง อัลล์ฮฺก็จะทรงประทานสวรรค์แก่พวกเขาเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดที่ไม่มีวันขาดหาย และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นผู้ดีเลิศในบรรดาผู้ประทานปัจจัยยังชีพทั้งหลาย
(59) แน่นอนอัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาได้เข้าไปในสถานที่ที่พวกเขาพอใจ นั้นคือสวรรค์ และแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้เกี่ยวกับการกระทำและเจตนารมณ์ของพวกเขา ผู้ทรงขันติไม่ทรงลงโทษพวกเขาโดยทันทีในสิ่งที่พวกเขาได้ละเลยกัน
(60) สิ่งที่กล่าวมานั้น ด้วยการให้บรรดาผู้ที่อพยพไปในหนทางของอัลลอฮ์ได้เข้าสวรรค์นั้น และจากการที่อนุญาตให้เผชิญหน้าตอบโต้กับผู้ที่รุกรานเช่นเดียวกับสิ่งที่เขารุกรานมานั้น ถือว่าไม่เป็นบาปสำหรับเขาในการนั้น และถ้าหากผู้รุกรานยังรุกรานเขาอีกนั้น อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือเขาจากผู้ที่รุกรานนั้น แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยต่อบาปของบรรดาผู้ศรัทธา ผู้ทรงอภัยให้ทั้งหมดแก่พวกเขา
(61) ความช่วยเหลอนั้นแก่ผู้ที่ถูกรุกราน เพราะว่าอัลลอฮ์ทรงสามารถทำทุกอย่างที่พระองค์ทรงประสงค์ และจากความสามารถของพระองค์นั้นคือการให้กลางคืนเข้าไปในในกลางวัน และกลางวันเข้าไปในกลางคืน โดยให้เวลาหนึ่งได้เพิ่มขึ้นและให้อีกเวลาหนึ่งได้ลดลง แท้จริงอัลลอฮ์ทรงได้ยินจากคำพูดของบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงรอบรู้ในการกระทำของพวกเขา โดยที่ไม่มีอะไรปกปิดจากพระองค์ได้และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาถึงการงานของพวกเขา
(62) สิ่งที่กล่าวมานั้น ด้วยการที่อัลลอฮทรงให้กลางคืนเข้าไปในกลางวันและกลางวันเข้าไปในกลางคืน เพราะว่าอัลลอฮฺคือความจริง ศาสนาของพระองค์คือความจริง สัญญาของพระองค์นั้นความจริง และการช่วยเหลือต่อผู้ศรัทธานั้นก็คือความจริง และสิ่งที่บรรดาผู้ตั้งภาคีได้เคารพภักดีนั้นที่นอกเหนือจากอัลลอฮ์แล้ว มันคือความเท็จ ที่ไม่มีที่มาที่ไปแต่อย่างใด แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสูงส่งเหนือปวงบ่าวของพระองค์ ทั้งตัวตน ความสามารถและอำนาจ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ซึ่งความยิ่งใหญ่เป็นของพระองค์ เกียรติและความสูงส่งเป็นของพระองค์
(63) เจ้าไม่เห็นหรอกหรือ โอ้ท่านเราะซูล ว่าแท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงให้น้ำฝนหลั่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วแผ่นดินก็กลายเป็นเขียวสดชื่นจากการเจริญงอกงามของพืชพันธุ์หลังจากที่ฝนได้ตกลงมา แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเมตตาต่อบ่าวของพระองค์โดยการให้ฝนตกลงมา และแผ่นดินที่งอกเงยขึ้นด้วยพืชพันธุ์ เป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่งในสถานะภาพของพวกเขา ไม่มีอะไรที่จะปกปิดจากพระองค์ไปได้
(64) แด่พระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่มีอำนาจครอบครองในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงมั่งมี ที่ไม่ต้องการพึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ ผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญในทุกสภาพการณ์
(65) เจ้ามิได้พิจารณาหรอกหรือ โอ้ท่านเราะสูล ว่าแท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้แก่เจ้าและมนุษย์ทั้งมวล ถึงสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน ที่เป็นสิ่งมีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต ทั้งหมดนั้นเพื่อเป็นประโยชน์และความต้องการของพวกเจ้า และทรงทำให้เรือได้แล่นอยู่ในทะเลด้วยบัญชาของพระองค์ และทรงทำให้มันแล่นจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง และทรงยึดท้องฟ้าเพื่อไม่ให้ตกบนพื้นแผ่นดินเว้นแต่ด้วยการอนุมัติของพระองค์ และถ้าอัลลอฮ์ได้อนุมัติให้มันตกลงมา มันก็จะตกลงมา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอ่อนโยน ผู้ทรงเมตตาเสมอต่อมนุษย์ โดยที่พระองค์ทรงทำให้สิ่งต่างๆเหล่านั้นเกิดความง่ายดาย ทั้งที่มีในพวกเขากลุ่มชนผู้อธรรม
(66) และอัลลอฮ์คือผู้ทรงให้พวกเจ้ามีชีวิตขึ้น โดยให้พวกเจ้ามีขึ้นมาหลังจากที่พวกเจ้าไม่มีมาก่อน แล้วทรงให้พวกเจ้าตายเมื่ออายุไขของพวกเจ้าได้จบลง หลังจากนั้นก็ให้พวกเจ้ามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่พวกเจ้าได้ตายไปแล้ว เพื่อคิดบัญชีในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ และจะตอบแทนในสิ่งนั้น แท้จริงมนุษย์ส่วนมากนั้นเนรคุณต่อความโปรดปรานของอัลลอฮ์ -ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด- ด้วยกับการเคารพภักดีของพวกเขาต่ออัลลอฮ์พร้อมกับสิ่งอื่นควบคู่ไปด้วย
(67) สำหรับทุก ๆ ประชาชาตินั้นเราได้บัญญัติศาสนพิธีให้แก่ประชาชาตินั้น ๆ พวกเขาปฏิบัติตามศาสนพิธีของพวกเขา ดังนั้น -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- จงอย่าให้บรรดาผู้ที่ตั้งภาคีและผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ได้โต้แย้งเจ้าศาสนพิธีของเจ้า เพราะเจ้านั้นอยู่บนสัจธรรมเหนือกว่าพวกเขา เพราะพวกเขานั้นเป็นพวกที่อยู่บนความเท็จ ดังนั้นจงเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ให้มีการบริสุทธิ์ใจในการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ แท้จริงเจ้านั้นอยู่บนแนวทางที่เที่ยงธรรม ที่ไม่คดเคี้ยว
(68) และหากพวกเขาดื้อและยังโต้แย้งเจ้าอีก หลังจากที่หลักฐานได้ปรากฏชัดแล้ว ดังนั้นจงมอบเรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์ โดยกล่าวแก่พวกเขาด้วยสำนวนที่ขู่ว่า "อัลลอฮ์ทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ไม่มีสิ่งใดจากการกระทำของพวกเจ้าที่จะปกปิดไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนแก่พวกเจ้าตามการกระทำของพวกเจ้า
(69) อัลลอฮ์จะทรงตัดสินระหว่างบ่าวของพระองค์ที่เป็นผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธศรัทธา ในวันกิยามะฮฺ ในสิ่งที่พวกเขานั้นได้ขัดแย้งกันในโลกดุนยาในเรื่องของศาสนา
(70) เจ้าไม่รู้หรอกหรือ -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน ไม่มีสิ่งใดที่ปกปิดพระองค์ได้จากทุกสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน แท้จริงการรอบรู้ทั้งหมดนั้นได้ถูกบันทึกไว้ในแผ่นจารึกที่ถูกรักษาไว้ (อัลเลาหุลมะฮฺฟูซ) แท้จริงความรู้ในการนั้นทั้งหมดเป็นการง่ายดายสำหรับอัลลอฮ์
(71) และบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีได้ทำการเคารพสักการะต่อสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นรูปปั้น โดยที่พระองค์ไม่ได้ประทานหลักฐานใดๆ ลงมาในบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ เพื่อให้ทำการเคารพบูชาสิ่งเหล่านั้น และไม่มีสำหรับพวกเขาซึ่งความรู้เพื่อเป็นหลักฐานในเรื่องนี้ แท้จริงแล้ว ที่มาของการกระทำนั้นคือจากการทำตามบรรพบุรุษของพวกเขาอย่างคนตาบอดเท่านั้น และสำหรับผู้ที่อธรรมนั้นไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ๆ เพื่อปกป้องพวกเขาให้พ้นจากสิ่งที่พวกเขาควรได้รับจากการลงโทษของอัลลอฮ์
(72) และเมื่อบรรดาโองการของเราในอัลกุรอานที่ชัดแจ้งนั้นได้ถูกอ่านให้แก่พวกเขา เจ้าจะเห็นใบหน้าของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นสัญญาณแห่งความไม่พอใจ ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงเมื่อได้ยินโองการเหล่านั้น ด้วยความโกรธนั้นพวกเขาเกือบจะทำร้ายผู้ที่อ่านโองการเหล่านั้นให้พวกเขาฟัง จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- ฉันจะบอกพวกเจ้าถึงสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่พวกเจ้าไม่พอใจและสิ่งที่ทำให้พวกเจ้าหน้าบึ้งนี้อีก? มันคือไฟนรก ที่อัลลอฮ์ทรงสัญญามันไว้แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่จะให้พวกเขาเข้าไปในนั้นและมันเป็นทางกลับที่ชั่วร้ายยิ่งในสิ่งที่พวกเขาจะกลับไป
(73) โอ้มนุษย์เอ๋ย ได้มีการยกอุทาหรณ์ขึ้นมา ดังนั้นจงตั้งใจฟัง และจงเรียนรู้จากมัน แท้จริงสิ่งที่พวกเจ้าบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ในรูปของรูปเคารพหรือสิ่งอื่นใดนั้น มันไม่สามารถสร้างแมลงวันได้แม้ตัวเล็กๆของมันเนื่องจากความอ่อนแอของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะรวมตัวกันเพื่อสร้างมันขึ้นมา พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ และหากแมลงวัน ฉวยเอาของบางอย่างมาในรูปของน้ำหอมหรือของอื่น ๆ แน่นอน พวกเขาจะไม่สามารถเอาคืนได้ และด้วยความอ่อนแอของพวกมันไม่สามารถสร้างแมลงวันหรือจับสิ่งที่พวกมันจับได้กลับคืนมานั้น ทำให้รู้ว่า พวกมันไม่สามารถที่จะสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่กว่าแมลงวันได้ แล้วทำไมพวกเจ้ายังบูชาพวกเขาในฐานะพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ ในเมื่อพวกมันไม่มีอำนาจที่จะสร้างอะไรเลย?! แท้จริงแล้วผู้ที่ต้องการยึดคืนจากสิ่งที่แมลงได้หยิบไปนั้นอ่อนแอเพียงใด ซึ่งเป็นรูปปั้นที่ไม่มีอำนาจที่จะไขว่คว้าสิ่งที่แมลงวันได้ยึดมาได้ และผู้ที่เอาบางสิ่งจากรูปปั้นนั้นอ่อนแอเพียงใด ซึ่งเป็นแค่เพียงแมลงวัน
(74) พวกเขาไม่ได้ให้ความยิ่งใหญ่ต่ออัลลอฮ์ตามที่ควรจะให้ต่อพระองค์ เมื่อพวกเขาได้เคารพสักการะร่วมกับพระองค์ซึ่งบางสิ่งที่เป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺคือผู้ทรงอำนาจ และจากอำนาจและความสามารถของพระองค์นั้นคือการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในระหว่างทั้งสองนั้น และผู้ทรงเดชานุภาพ ที่ไม่มีผู้ใดจะชนะพระองค์ได้ โดยตรงกันข้ามกับรูปปั้นที่บรรดาผู้ที่ตั้งภาคีเคารพภักดีนั้น มีสภาพที่อ่อนแอ ต่ำต้อย ไม่สามารถสร้างอะไรได้แม้แต่อย่างเดียวเลย
(75) อัลลอฮ์ทรงคัดเลือกเราะสูลของพระองค์จากบรรดามลาอีกะฮ์และจากมนุษย์เช่นกัน แล้วพระองค์ได้ส่งมลาอิกะฮ์บางท่านแก่บรรดานบีเช่น ญิบรีลได้ถูกส่งมายังบรรดาเราะสูลที่เป็นมนุษย์ และส่งบรรดาเราะสูลที่มาจากมนุษย์นั้นแก่มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงอัลลอฮ์ผู้ทรงได้ยินในสิ่งที่บรรดาผู้ที่ตั้งภาคีได้กล่าวแก่บรรดาเราะสูลของพระองค์ และผู้ทรงเ็นถึงผู้ที่เหมาะในการเลือกสำหรับการเป็นเราะสูลของพระองค์
(76) อัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่เกี่ยวกับบรรดาเราะสูลของพระองค์ทั้งที่เป็นเราะสูลจากบรรดามลาอิกะฮ์และมนุษย์ ก่อนที่จะสร้างพวกเขาขึ้นมาและหลังจากการตายของพวกเขา และกิจการทั้งหลายจะถูกนำกลับไปยังอัลลอฮ์เพียงองค์เดียวในวันกียามะฮ์ โดยการให้บรรดาบ่าวฟื้นคืนชีพ และจะทรงตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำกันมา
(77) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติแก่เขา พวกเจ้าจงรูกั๊วะและจงสุญูดในการละหมาดของพวกเจ้าเพื่ออัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น และจงทำความดี ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคทานและการเชื่อมสัมพันธ์เป็นต้น โดยหวังว่าพวกท่านจะได้รับความสำเร็จตามที่หวัง และรอดพ้นจากสิ่งที่น่ากลัว
(78) และจงต่อสู้ในหนทางอัลลอฮ์ ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่บริสุทธิ์ใจเพื่อพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์ทรงคัดเลือกพวกเจ้า และพระองค์มิได้ทรงทำให้เป็นการลำบากแก่พวกเจ้าในเรื่องของศาสนา ศาสนา (ที่ไม่ลำบาก) คือศาสนาของอิบรอฮีม อลัยฮิสสลาม บรรพบุรุษของพวกเจ้า และพระองค์ทรงเรียกพวกเจ้าว่ามุสลิมีน ทั้งในคัมภีร์ก่อน ๆ และในอัลกุรอาน เพื่อเราะสูลจะได้เป็นพยานเหนือพวกเจ้า ว่าได้ทำการประกาศให้แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งสิ่งที่ถูกสั่งใช้ให้เผยแผ่ และพวกเจ้าจะได้เป็นพยานต่อประชาชาติก่อนๆว่า บรรดาเราะสูลนั้นได้ทำการประกาศเผยแผ่แล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจงขอบคุณต่ออัลลอฮ์ด้วยการดำรงการละหมาดที่สมบูรณ์ และบริจาคซะกาตจากทรัพย์สินของพวกเจ้า และจงยึดมั่นต่ออัลลอฮ์ และมอบหมายต่อพระองค์ในทุกกิจการของพวกเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้พิทักษ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ศรัทธาที่ขอความคุ้มครองจากพระองค์ และเป็นผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีที่สุดสำหรับบรรดาผู้ที่ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ดังนั้นจงขอความคุ้มครองจากพระองค์ พระองค์จะคุ้มครองพวกเจ้า และจงขอความช่วยเหลือจากพระองค์ พระองค์จะทรงช่วยเหลือพวกเจ้า