(1) ความยิ่งใหญ่และความดีมากมายของอัลลอฮฺที่ทรงประทานอัลกุรอ่านเพื่อเป็นการแยกแยะระหว่างสัจธรรมและความเท็จแก่บ่าวของพระองค์และรอสูลของพระองค์ (มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม) เพื่อเขาจะได้เป็นผู้สงสาสน์แก่มนุษย์และญินให้เกรงกลัวบทลงโทษของอัลลอฮฺ
(2) อำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นของพระองค์เพียงผู้เดียว และพระองค์ไม่มีใครเป็นบุตร และไม่มีผู้ใดเป็นหุ้นส่วนร่วมกับพระองค์ในการครองอำนาจของพระองค์ และพระองค์ทรงให้บังเกิดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วทรงกำหนดมันให้เป็นไปตามความรู้และความปรีชาของพระองค์ ซึ่งทุกอย่างนั้นถูกกำหนดอย่างเหมาะสม
(3) บรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺได้ยึดเอาสิ่งเคารพบูชาอื่นนอกจากพระองค์ โดยที่สิ่งเหล่านั้นมิได้สร้างสิ่งใดทั้งสิ่งที่เล็กและสิ่งที่ใหญ่ และพวกมันเหล่านั้นเป็นสิ่งถูกสร้างขึ้นมา โดยที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างพวกมันจากที่ไม่มี และพวกมันไม่มีอำนาจที่จะให้โทษและช่วยเหลือตัวของมันเองได้ และพวกมันไม่มีอำนาจที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตได้ตาย และให้คนตายได้กลับมีชีวิต และพวกมันไม่มีอำนาจที่จะทำให้มีการฟื้นคืนชีพสำหรับคนที่ตายจากหลุมฝังศพของพวกเขาได้
(4) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺและต่อรอสูลของพระองค์ได้กล่าวว่า "แท้จริงอัลกุรอานนี้มิใช่อื่นใด นอกจากการโกหกที่มุหัมมัดได้แต่งขึ้นเอง แล้วได้อ้างว่ามันมาจากอัลลอฮฺ และมีหมู่ชนอื่นๆ ได้ช่วยเขาในเรื่องนี้" แน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธ พวกเขานั้นได้โกหกด้วยคำพูดที่เป็นเท็จ แท้จริงแล้วอัลกรุอานนั้นคือคำพูดของอัลลอฮฺซึ่งมนุษย์และญินไม่สามารถที่นำมาให้เหมือนคำพูดของพระองค์
(5) และบรรดาผู้ที่ปฎิเสธอัลกุรอ่านเหล่านั้นพวกเขากล่าวว่า "อัลกุรอานเป็นนิยายของประชาชาติสมัยก่อนๆ ที่เขียนกันขึ้นจากเรื่องโกหกที่มุหัมมัดได้คัดลอกไว้ แล้วถูกนำมาอ่านให้ขึ้นใจทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น"
(6) โอ้ รอสูลเอ๋ย จงกล่าวแก่ผู้โกหกเหล่านั้นเถิดว่า "อัลลอฮฺผู้ทรงรอบรู้ความลับในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเป็นผู้ประทานอัลกรุอ่านลงมา มันไม่ได้เป็นคำภีร์ที่(มุหัมมัดแต่งขึ้น)อย่างที่พวกเจ้าได้อ้างไว้" แล้วพระองค์ได้ตรัสเพื่อต้องการให้พวกเขาสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวว่า "แท้จริงแล้วพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย สำหรับบ่าวของพระองค์ที่ขออภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ"
(7) และบรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ ผู้ที่ปฏิเสธต่อนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม พวกเขากล่าวว่า "อะไรกันกับคนที่เขาอ้างตนว่าเป็นรอสูลมาจากอัลลอฮฺ เขากินอาหารเหมือนคนอื่นๆ และเดินในท้องตลาดหาของกิน ทำไมอัลลอฮฺจึงไม่ส่งมะลาอิกะฮฺสักท่านหนึ่งมากับเขา เพื่อเป็นสหายของเขา ยอมรับในตัวเขาและช่วยเหลือเขา"
(8) หรือประทานลงมาให้แก่เขาซึ่งคลังสมบัติจากชั้นฟ้า หรือให้เขามีสวนแห่งหนึ่ง เพื่อเขาจะได้กินจากผลของมัน แล้วไม่ต้องเดินในตลาดและหาสิ่งเลี้ยงชีพอีก และบรรดาผู้อธรรมกล่าวขึ้นว่า "โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้ามิได้ปฏิบัติตามรอสูล แต่พวกเจ้ากำลังปฏิบัติตามชายสติไม่ดีเพราะถูกอาคมเท่านั้น"
(9) โอ้ รอสูลเอ๋ย จงดูเถิด เจ้าต้องประหลาดใจกับพวกเขา ที่พวกเขาได้กล่าวถึงตัวเจ้าในสิ่งที่ผิดๆ ว่าอย่างไรบ้าง พวกเขากล่าวว่า เจ้าเป็นนักไสยศาสตร์ เป็นคนผู้ถูกคาถาอาคม เป็นคนไร้สติ (คนบ้า) เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงหลงผิดจากความจริง แล้วพวกเขาก็ไม่สามารถเดินไปตามทางที่ถูกต้อง และพวกเขาก็ไม่สามารถพบทางที่สุจริตและซื่อสัตย์ของเจ้า
(10) ความจำเริญยิ่งแด่พระองค์ ผู้ซึ่งหากพระองค์ทรงประสงค์พระองค์ก็จะให้เจ้ามีดียิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาแนะนำให้เจ้าเสียอีก คือจะทรงให้เจ้ามีสวนหลากหลายบนโลกนี้ มีลำน้ำหลายสายไหลผ่านใต้ปราสาทและมีต้นไม้ไว้ให้เจ้ารับประทานจากผลของมัน และทรงให้เจ้ามีประสาทหลายแห่งเพื่อเป็นที่พักอาศัยอย่างสุขสบาย
(11) และคำพูดที่ออกมาจากพวกเขามันไม่ได้เป็นคำพูดที่แสดงถึงการแสวงหาสัจธรรม และค้นหาหลักฐาน แต่สรุปแล้วคือ พวกเขาปฏิเสธวันกิยามะฮฺ (วันปรโลก) และเราได้เตรียมเปลวไฟอันร้อนแรงไว้สำหรับผู้ปฏิเสธวันกิยามะฮฺ
(12) เมื่อนรกญะฮันนัมได้เห็นบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาขณะที่พวกเขากำลังถูกต้อนเข้ามาหามันจากที่ไกลๆ พวกเขาจะได้ยินเสียงเดือดพล่านของมันและเสียงที่รบกวนจากการกริ้วโกรธของมันต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา
(13) และเมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านั้นถูกโยนลงไปในนรกญะฮันนัมในสถานที่แคบ ในสภาพที่ถูกมัดมือติดกับลำคอของพวกเขาด้วยโซ่ ณ ที่นั้นพวกเขาจะวิงวอนขอความพินาศให้แก่ตัวของพวกเขาเอง เพื่อหวังให้รอดพ้นจากไฟนรกนั้น
(14) โอ้ บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าอย่าร้องหาความตายเพียงแค่ครั้งเดียวในวันนี้เลย จงร้องหาความตายหลายๆ ครั้ง แต่ไม่มีการตอบรับในสิ่งที่พวกเขาได้ร้องขอเลย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะถูกลงโทษอยู่ในนรกอันเจ็บปวดนั้นตลอดกาล
(15) โอ้ รอสูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า สิ่งที่ได้กล่าวมาที่เป็นบทลงโทษดังที่ได้บอกแก่พวกเจ้านั้นดีกว่าหรือว่าสรวงสวรรค์อันนิรันดร์ที่ความสุขสบายนั้นไม่มีวันขาดหายไปตลอกกาล และมันคือสถานที่ที่อัลลอฮฺทรงสัญญาไว้สำหรับบรรดาผู้ยำเกรงในหมู่บ่าวผู้ศรัทธาเพื่อเป็นสิ่งตอบแทนสำหรับพวกเขา และเป็นที่พำนักสำหรับพวกเขาที่พวกเขาจะกลับไปหามันในวันกิยามะฮฺ
(16) สำหรับพวกเขาในสรวงสวรรค์นั้น จะได้รับทุกสิ่งที่พวกเขาพึงประสงค์ มันคือสัญญาที่อัลลอฮฺได้สัญญาไว้ มันเป็นสิ่งที่บรรดาบ่าวที่ยำเกรงของพระองค์ได้ร้องขอ และสัญญาของอัลลอฮฺเป็นความจริงแน่นอน เพราะพระองค์นั้นจะไม่ผิดสัญญา
(17) และวันที่อัลลอฮฺทรงรวบรวมบรรดาผู้ตั้งภาคีที่ปฏิเสธ และรวบรวมสิ่งที่พวกเขาเคารพสักการะอื่นไปจากอัลลอฮฺ แล้วพระองค์จะทรงถามสิ่งที่ถูกเคารพสักการะเพื่อตำหนิผู้ที่เคารพสักการะมันว่า พวกเจ้าทำให้บรรดาบ่าวของข้าเหล่านั้นหลงทางด้วยการสั่งให้พวกเขาเคารพสักการะพวกเจ้ากระนั้นหรือ หรือว่าพวกเขาหลงทางด้วยตัวของพวกเขากันเอง
(18) บรรดาสิ่งที่ถูกเคารพบูชากล่าวว่า "มหาบริสุทธิ์พระองค์ผู้ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเรา ไม่บังควรอย่างยิ่งที่พระองค์จะมีสิ่งที่เป็นภาคี และไม่บังควรสำหรับพวกเราที่จะยึดเอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอื่นจากพระองค์ ดังนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ที่เราจะเชิญชวนบรรดาบ่าวของพระองค์หันมาบูชาเราหรือบูชาสิ่งอื่นจากพระองค์?! แต่พระองค์ได้ทรงประทานปัจจัยความสุขแห่งโลกดุนยาให้แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้น และแก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาก่อนหน้าพวกเขาเพื่อเป็นการล่อพวกเขา จนกระทั่งพวกเขาได้ลืมต่อการรำลึกต่อพระองค์ พวกเขาจึงเคารพบูชาสิ่งอื่นพร้อมกับพระองค์ และพวกเขานั้นได้เป็นหมู่ชนที่วิบัติเพราะความความชั่วของพวกเขา"
(19) โอ้ บรรดาผู้ตั้งภาคีเอ๋ย แน่นอน พวกเขา (สิ่งที่ถูกเคารพบูชา) ได้ปฏิเสธพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าได้เคารพบูชาพวกเขาอื่นจากอัลลอฮตามที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง พวกเจ้าจึงไม่สามารถป้องกันตัวของพวกเจ้ามิให้ถูกลงโทษและพวกเจ้าไม่สามารถช่วยเหลือตัวของพวกเจ้าเอง เพราะความอ่อนแอของพวกเจ้า และผู้ใดในหมู่พวกเจ้า(โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย) ได้อธรรมด้วยการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ เราจะให้เขาลิ้มรสแห่งการลงโทษอันอันมหันต์ ดังที่เราได้ทำกับกลุ่มดังกล่าวนั้นได้ลิ้มลอง
(20) โอ้ รอสูลเอ๋ย เรามิได้ส่งคนใดจากบรรดารอสูลก่อนหน้าเจ้า นอกจากเป็นสามัญชนธรรมดา พวกเขารับประทานอาหารและเดินในท้องตลาด และเจ้าก็ไม่ได้เป็นรอสูลที่ต่างไปจากรอสูลอื่นๆในเรื่องนั้น เราได้ทำให้บางคนในหมู่พวกเจ้า (โอ้มนุษย์ทั้งหลาย) เป็นการทดสอบแก่อีกบางคนในเรื่องของความร่ำรวย ความยากจน การมีสุขภาพที่ดี และการเจ็บป่วย ด้วยสาเหตุของความแตกต่างนี้ พวกเจ้าจะอดทนในสิ่งที่พวกเจ้าได้รับไหม?! แล้วอัลลอฮฺจะทรงตอบแทนความดีในความอดทนของพวกเจ้า และพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงเห็นผู้ที่อดทนและผู้ที่ไม่อดทน และ(ทรงเห็น)ผู้ที่เชื่อฟังพระองค์และไม่เชื่อฟังพระองค์
(21) บรรดาผู้ปฎิเสธที่ไม่หวังถึงการพบกับเราและไม่กลัวต่อบทลงโทษของเราได้กล่าวว่า "ทำไมไม่ส่งบรรดามะลาอิกะฮฺลงมายังพวกเราเพื่อบอกให้พวกเราได้รู้ถึงความจริงของมุหัมมัด หรือให้พวกเราได้เห็นพระผู้อภิบาลของเราด้วยตาของเรา?" แน่นอน พวกเขาได้มีการลำพองตนในตัวของพวกเขาเอง จนการลำพองตนนั้นได้สะกัดกั้นพวกเขาไม่ให้ศรัทธา และด้วยคำพูดของพวกเขานั้น พวกเขาได้ละเมิดขอบเขตในการปฎิเสธการศรัทธาและการเนรคุณ
(22) วันที่บรรดาผู้ปฎิเสธศรัทธาได้เห็นมะลาอิกะฮฺในขณะที่พวกเขากำลังจะตาย ในหลุ่มฝังศพ ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ในขณะที่พวกเขาถูกต้อนเพื่อการคิดบัญชี และขณะที่พวกเขาเข้านรก ในวันนั้นจะไม่มีข่าวดีสำหรับพวกเขาเลยซึ่งต่างจากบรรดาผู้ศรัทธา จากนั้นบรรดามะลาอิกะฮฺจะกล่าวแก่พวกเขาว่า "ข่าวดี (สวรรค์) จากอัลลอฮฺจะถูกห้ามอย่างเด็ดขาดสำหรับพวกเจ้า"
(23) และเราได้มุ่งสู่การงานที่ดีต่างๆ ที่บรรดาผู้ปฎิเสธศรัทธาได้ปฎิบัติตอนที่อยู่บนโลกดุนยา แต่เพราะการปฎิเสธของพวกเขาเราจึงได้เปลี่ยนสภาพให้มันกลายเป็นโมฆะ ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยสำหรับพวกเขา เฉกเช่นฝุ่นละอองที่ปลิวว่อนอยู่บนอากาศที่สามารถมองเห็นได้ในแสงดวงอาทิตย์ที่เข้ามาทางหน้าต่าง
(24) บรรดาผู้ศรัทธาที่เป็นชาวสวรรค์ ในวันนั้นพวกเขาจะอยู่ในที่พำนักที่ดีที่สุด และที่พักผ่อนอันสบายยิ่ง ในโลกดุนยาพวกเขาถูกบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาดูถูก เพราะการศรัทธาของพวกเขาที่มีต่ออัลลอฮฺและการประกอบคุณงามความดี
(25) จงรำลึกเถิดโอ้รอสูลเอ่ย ในวันที่ท้องฟ้าได้แตกมีเมฆสีขาวบางๆออกมา และบรรดามะลาอิกะฮฺจะถูกส่งทยอยลงมา ณ ทุ่งมะฮฺชัรจำนวนมาก
(26) อำนาจที่แท้จริงที่ยั่งยืนในวันกิยามะฮฺนั้นเป็นสิทธิ์ของพระผู้ทรงกรุณาปราณีเท่านั้น และในวันนั้นเป็นวันที่ลำบากยิ่งแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่างกับบรรดาผู้ศรัทธาซึ่งมันง่ายยิ่งสำหรับพวกเขา
(27) จงรำลึกเถิดโอ้รอสูลเอ่ย ในวันที่ผู้อธรรมได้เสียใจและกัดมือของตัวเองสาเหตุเพราะละทิ้งแนวทางของท่านรอสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พลางกล่าวว่า ถ้าฉันได้ปฎิบัติตามรอสูลในสิ่งที่ท่านได้นำมาจากพระผู้อภิบาลของท่านและยึดแนวทางแห่งความปลอดภัยร่วมกับท่านก็คงจะดี
(28) และเขาได้กล่าวอุทธรณ์ด้วยการวิบัติตัวเองอย่างหน้าเศร้ายิ่ง ว่า: "โอ้ ความวิบัติแก่ฉัน หากฉันไม่คบผู้ปฏิเสธศรัทธาคนนั้นเป็นเพื่อนก็คงจะดี"
(29) แน่นอนเพื่อนผู้ปฏิเสธคนนั้น เขาได้ทำให้ฉันหลงออกจากอัลกุรอาน หลังจากที่มันได้เผยแพร่มายังฉันโดยผ่านท่านรอสูล และชัยฏอนมารร้ายนั้น มันเป็นผู้เหยียดหยามมนุษย์เสมอ เมื่อความเศร้าโศกได้ประสบกับมนุษย์มันก็จะปลีกตัวออกห่างทันที
(30) และในวันนั้นท่านรอสูลได้กล่าวเป็นการร้องเรียนถึงสภาพของประชาชาติของท่านต่ออัลลอฮฺ ว่า "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้า แท้จริงชนชาติของข้า ที่พระองค์ได้ส่งฉัน มายังพวกเขานั้น พวกเขาได้ทอดทิ้งอัลกุรอานและหันหลังไว้กับมันเสียแล้ว"
(31) และเหมือนยังที่เจ้าได้เผชิญมา (โอ้รอสูลเอ่ย) จากการถูกทำร้ายถูกต่อต้านจากกลุ่มชนของเจ้า แน่แท้ เราได้ทำให้บรรดานบีก่อนหน้าเจ้ามีศัตรูจากกลุ่มชนของเขาผู้ที่กระทำผิด และเป็นที่เพียงพอแล้วที่พระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นผู้แนะทางฮิดายะฮฺสู่สัจธรรม และเพียงพอกับพระองค์ที่ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าให้มีชัยเหนือศัตรูของเจ้า
(32) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ได้กล่าวว่า "ทำไมอัลกุรอานจึงไม่ถูกประทานลงมาแก่รอสูลครั้งเดียวจบ และทำไมต้องถูกประทานลงมาแบบปลีกย่อย?"การที่เราได้ประทานลงมาแบบปลีกย่อยนั้น (โอ้รอสูลเอ่ย) เพื่อให้หัวใจของเจ้ามั่นคงหนักแน่น คือด้วยการประทานลงมาที่ละครั้งๆ และเช่นกันที่เราได้ประทานโองการหนึ่งลงมาหลังจากโองการหนึ่งนั้น เพื่อความง่ายดายในการทำความเข้าใจและจำมัน
(33) และบรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺพวกเขาจะไม่นำข้อเปรียบเทียบ (ข้อสงสัย) ใดๆ มายังเจ้า จากสิ่งที่พวกเขาเสนอมา เว้นแต่เราได้นำคำตอบที่เป็นจริงมั่นคงให้เจ้าต่อข้อเปรียบเทียบนั้น ซึ่งมันเป็นการอธิบายที่ดียิ่ง
(34) ในวันกิยามะฮฺบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะถูกต้อนให้เข้านรกญะฮันนัมในสภาพที่ใบหน้าของพวกเขาจะถูกลาก พวกเขาจะพำนักอยู่ในสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดนั้นก็คือนรกญะฮันนัม และแนวทางที่ห่างไกลยิ่งจากสัจธรรมเพราะแนวทางของพวกเขาคือแนวทางแห่งการปฏิเสธศรัทธาและการหลงทาง
(35) และแท้จริงเราได้ประทานคัมภีร์เตารอตแก่มูซา และเราได้ทำให้ฮารูนพี่ชายของเขาเป็นรอสูลเพื่อเป็นผู้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือเขา
(36) และเราได้กล่าวแก่ทั้งสองว่า"เจ้าทั้งสองจงออกไปยังฟิรเอาวน์และพรรคพวกของมันที่ปฏิเสธโองการของเรา" จากนั้นทั้งสองก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเรา และทั้งสองก็ได้ออกไปเชิญชวนพวกเขาสู่การให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ ปรากฏว่าพวกเขาได้ปฏิเสธเขาทั้งสอง ทันใดนั้นเราก็ได้ทำลายพวกเขาอย่างรุนแรง
(37) และหมู่ชนของนูหฺ เมื่อพวกเขาได้ปฏิเสธบรรดารอสูล ด้วยการปฏิเสธของพวกเขาที่มีต่อนูหฺ เราก็ได้ลงโทษพวกเขาด้วยการให้จมน้ำตาย และเราได้ทำให้ความพินาศของพวกเขาเป็นสัญญาณหนึ่งถึงความเกรียงไกรของเราในการที่จะถอนอำนาจของบรรดาผู้อธรรม และในวันกิยามะฮฺเราได้เตรียมแก่บรรดาผู้อธรรมซึ่งการลงโทษที่เจ็บปวด
(38) และเราได้ทำลายพวกอ๊าดซึ่งเป็นหมู่ชนของฮูดฺและพวกษะมูดซึ่งเป็นหมู่ชนของซอและห์ และชาวบ่อน้ำ และชนชาติอื่นๆ อีกมากมายในระหว่างสามหมู่ชนนี้
(39) และทุกๆ ชนชาติแต่ละยุคสมัยก่อนที่จะถูกทำลายนั้น เราได้บอกกล่าวถึงสาเหตุของความพินาศที่เกิดกับชนชาติก่อนหน้าพวกเขาเพื่อเป็นบทเรียนแก่พวกเขา และทั้งหมดนั้นเราได้ทำลายพวกเขาอย่างสิ้นซากเนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาไม่เชื่อฟังและความดื้อรั้นของพวกเขา
(40) และแท้จริง ผู้ปฏิเสธศรัทธาจากหมู่ชนของเจ้า ในการเดินทางของพวกเขาไปยังเมืองชาม พวกเขาได้เดินผ่านหมู่บ้านของชนชาติลูฏที่ถูกทำลายด้วยก้อนหินจากฟากฟ้าซึ่งเป็นการลงโทษต่อการกระทำที่ชั่วช้าเพื่อพวกเขาจะได้ใคร่ครวญ พวกเขาไม่เห็นมันหรอกหรือจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านนั้น? ไม่เลย พวกเขาไม่คาดหวังที่จะกลับคืนชีพเพื่อคิดบัญชีหลังจากนั้นต่างหาก
(41) เมื่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้เผชิญหน้ากับเจ้า (โอ้รอสูลเอ่ย) พวกเขาจะหัวเราะเยาะแก่เจ้าและจะล้อเลียนเจ้าต่างๆ นานา โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า: นี่หรือรอสูลที่อัลลอฮฺทรงส่งมาให้พวกเรา?!
(42) แท้จริงเขาเกือบจะทำให้พวกเราผินห่างออกจากการเคารพบูชาบรรดาพระเจ้าของเรา หากพวกเราไม่มีความอดทนในการเคารพบูชามัน แน่แท้พวกเราผินห่างออกจากมันแน่นอนด้วยเหตุผลและหลักฐานต่างๆ นานาของเขา และสักวันหนึ่งพวกเขาก็จะได้รู้เมื่อพวกเขาเห็นการลงโทษด้วยตาของพวกเขาเองในหลุมฝังศพ และในวันกิยามะฮฺ ว่าใครคือผู้หลงทางกันแน่ พวกเขาเองหรือเขา? และแน่นอนพวกเขาจะได้รู้ว่า ใครคือผู้หลงทางอย่างแท้จริง
(43) เจ้าไม่เห็นหรอกหรือ (โอ้รอสูลเอ่ย) ว่าผู้ที่ยึดเอาอารมณ์ใฝ่ต่ำของเขานับถือเป็นพระเจ้า แล้วเจ้ายังจะคุ้มครองปกป้องเขาให้เขากลับมาสู่การศรัทธาและห้ามมิให้เขาปฏิเสธต่อศรัทธากระนั้นหรือ?!
(44) แต่เจ้า(โอ้รอสูลเอ่ย) คิดว่าส่วนใหญ่พวกที่เจ้าเชิญชวนสู่การศรัทธาในเอกภาพของอัลลอฮฺและสู่การเชื่อฟังพระองค์นั้น พวกเขาจะฟังด้วยการน้อมรับหรือจะใช้สติปัญญาในการใคร่ครวญถึงเหตุผลและหลักฐานต่างๆกระนั้นหรือ?! พวกเขาก็เหมือนกับปศุสัตว์ในแง่ของการได้ยิน การใช้สติปัญญาและความเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาหลงยิ่งกว่าปศุสัตว์เสียอีก
(45) เจ้ามิได้พิจารณาหรอกหรือ (โอ้รอสูลเอ่ย) ถึงปรากฏการณ์ต่างๆจากสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้าง ตอนที่พระองค์ได้ทำให้เงาได้ทอดยาวออกไปบนหน้าแผ่นดิน และหากพระองค์ทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะทรงทำให้มันหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่เคลื่อนที่ และในการนี้เราได้ทำให้ดวงอาทิตย์เป็นสัญญาณหนึ่ง (แห่งการปรากฏเงา) ทั้งเงาสั้นและเงายาว
(46) หลังจากนั้นเราได้ทำให้เงาได้สั้นลงที่ละน้อยๆ ขึ้นอยู่กับความสูงของดวงอาทิตย์
(47) และอัลลอฮฺคือผู้ทรงทำให้กลางคืนของพวกเจ้านั้นเสมือนเครื่องนุ่งห่มที่ปกคลุมพวกเจ้าและสิ่งอื่นๆ และทรงทำให้การนอนของพวกเจ้านั้นเป็นการพักผ่อนจากการเหน็ดเหนื่อยทำงานของพวกเจ้า และทรงทำให้กลางวันของพวกเจ้านั้นเป็นเวลาออกไปทำมาหากินสำหรับพวกเจ้า
(48) และพระองค์คือผู้ทรงส่งลมมาเพื่อเป็นการแจ้งข่าวดีถึงการที่ฝนจะตกซึ่งถือเป็นความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อบ่าวของพระองค์ และเราได้ประทานน้ำฝนอันบริสุทธิ์ลงมาจากฟากฟ้า
(49) เพื่อเราจะได้ทำด้วยน้ำที่ลงมาสู่พื้นดินที่แห้งแล้งที่ไม่มีพืชพันธุ์นั้น ให้กลับมางอกเงยด้วยพืชพันธุ์หลากหลายชนิดและได้แพร่ขยายความเขียวขจีไปทั่วพื้นดิน และเพื่อให้บางส่วนจากสิ่งที่เราสร้างนั้นได้ดื่มน้ำนั้น โดยเฉพาะปศุสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย
(50) และแน่นอนยิ่ง เราได้ชี้แจงในอัลกุรอานถึงเหตุผลและหลักฐานต่างๆ และเราได้ยกเหตุผลเหล่านั้นด้วยวิธีการที่หลากหลาย เพื่อพวกเขาจะได้ใคร่ครวญกับมัน แต่มนุษย์ส่วนมากจะปฏิเสธสัจธรรมและไม่ยอมรับมัน
(51) และหากเราประสงค์ แน่นอนเราจะส่งรอซูลไปยังทุกๆเมือง เพื่อตักเตือนและให้พวกเขาเกรงกลัวต่อการลงโทษของอัลลอฮฺ แต่เราไม่ได้มีความประสงค์เช่นนั้น และแท้จริงเราได้ส่งนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมในฐานะเป็นรอสูลแก่มนุษยชาติทั้งมวล
(52) ดังนั้น เจ้าอย่าได้เชื่อฟังผู้ปฏิเสธศรัทธาในข้อเรียกร้องของพวกเขาที่ให้เจ้าอ่อนโยนกับพวกเขาและในข้อเสนอที่พวกเขาหยิบยกมา และจงต่อสู้กับพวกเขาด้วยอัลกุรอานนี้ที่เปิดเผยให้เจ้าได้เห็นถึงการต่อสู้อันยิ่งใหญ่โดยการอดทนต่ออันตรายของพวกเขาและอดทนต่อความยากลำบากในการเรียกร้องให้พวกเขาไปสู่อัลลอฮ์
(53) และอัลลอฮฺคือผู้ทรงทำให้น้ำทะเลทั้งสองฝั่งมาบรรจบติดกัน คือทรงทำให้น้ำจืดบรรจบกับน้ำเค็ม และทรงทำให้มีที่กั่นระหว่างน่านน้ำทั้งสองเพื่อไม่ให้ปะปนเข้าด้วยกัน
(54) และพระองค์คือผู้ทรงให้บังเกิดมนุษย์จากน้ำอสุจิของผู้ชายและผู้หญิง และทรงทำให้มนุษย์เกิดการติดต่อระหว่างญาติใกล้ชิดและญาติที่มาจากการแต่งงาน และพระผู้อภิบาลของเจ้า (โอ้รอสูลเอ่ย) เป็นผู้ทรงอานุภาพไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์อ่อนแอได้ และหนึ่งในความอานุภาพของพระองค์ คือ ทรงบังเกิดมนุษย์มาจากน้ำอสุจิของผู้ชายและผู้หญิง
(55) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ทำการเคารพสักการะรูปปั้นเจว็ดอื่นจากอัลลอฮฺ ซึ่งมันไม่ให้คุณต่อพวกเขาเลยหากพวกเขาเคารพสักการะมัน และมันก็ไม่ให้โทษแก่พวกเขาด้วยหากพวกเขาทรยศมัน และแน่นอนผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นมักเป็นผู้เจริญรอยตามชัยฏอนที่อัลลอฮฺทรงเกรี้ยวเสมอ
(56) แล้วเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด (โอ้รอสูลเอ่ย) นอกจากเพื่อเป็นผู้แจ้งข่าวดีแก่ผู้ที่เชื่อฟังอัลลอฮฺด้วยการศรัทธาต่อพระองค์และประกอบคุณงามความดี และเป็นผู้ตักเตือนแก่ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ด้วยการปฏิเสธศรัทธาและเนรคุณต่อพระองค์
(57) จงกล่าวเถิด (โอ้รอสูลเอ่ย) : ฉันไม่ได้ขอค่าตอบแทนใดๆจากพวกเจ้าเลยในการเผยแพร่สาส์น (จากอัลลอฮฺ) เว้นแต่ผู้ใดที่ปรารถนาในหมู่พวกเจ้าที่จะถือเป็นแนวทางในการแสวงหาความพอพระทัยของอัลลอฮฺด้วยการบริจาค เขาก็จงกระทำเถิด
(58) และจงมอบหมายการงานทั้งหลายของเจ้าต่ออัลลอฮฺเถิด (โอ้รอสูลเอ่ย) ผู้ทรงดำรงชีวิตอยู่ตลอดกาลไม่มีวันตาย และจงแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ด้วยการสรรเสริญพระองค์ และเพียงพอแล้วสำหรับพระองค์ ผู้ทรงรอบรู้ในความผิดบาปทั้งหลายของปวงบ่าวซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยที่พระองค์ไม่ทรงรู้ และพระองค์จะเป็นผู้ตอบแทนในความผิดบาปนั้นเอง
(59) พระองค์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินและสิ่งที่มีอยู่ในระหว่างทั้งสองในระยะเวลา 6 วัน หลังจากนั้น พระองค์ทรงสถิตย์อยู่บนบัลลังก์ซึ่งเป็นการสถิตย์ที่เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงกรุณาปราณี ดังนั้นเจ้า (โอ้รอสูลเอ่ย) จงถามผู้ที่ตรหนักรู้(อัลลอฮฺ)เกี่ยวกับพระองค์ ซึ่งพระองค์นั้นทรงรอบรู้ในทุกสิ่งและพระองค์คือผู้ที่ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้นเลยจากพระองค์
(60) และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกปฏิเสธศรัทธาว่า : พวกเจ้าจงสุญูดต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานีเถิด พวกเขากล่าวตอบว่า : พวกเราจะไม่สุญูดต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี ใครกันหรือคือพระผู้ทรงกรุณาปรานี?! พวกเราไม่รู้จักและไม่ยอมรับในพระองค์ หรือจะให้พวกเราสุญูดตามที่เจ้าสั่งใช้ทั้งๆ ที่พวกเราไม่ได้รู้จักพระองค์กระนั้นหรือ?! คำพูดเช่นนี้ได้ทำให้พวกเขาเพิ่มความห่างไกลจากการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
(61) ความจำเริญยิ่งแด่พระองค์ผู้ทรงทำให้ชั้นฟ้ามีวงโคจรของดาวเคราะห์และดาวต่างๆ และทรงทำให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้า (ในเวลากลางวัน) และทรงทำให้ดวงจันทร์มีแสงนวลกระจ่ายทั่วบนพื้นซึ่งมันมาจากการสะท้องของแสงดวงอาทิตย์
(62) และอัลลอฮฺคือผู้ทรงทำให้กลางวันและกลางคืนสลับแทนที่กันไปมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่ปรารถนาจะใคร่ครวญถึงสัญญาณต่างๆ ของอัลลอฮฺ เผื่อเขาจะได้รับทางนำ หรือปรารถนาจะขอบคุณอัลลอฮฺต่อความโปรดปรานต่างๆ ของพระองค์
(63) และปวงบ่าวผู้ศรัทธาของผู้ทรงกรุณาปรานี คือ บรรดาผู้ที่เดินบนหน้าแผ่นดินด้วยความสงบและนอบน้อมถ่อมตน และเมื่อพวกโง่เขลากล่าวทักทายพวกเขา พวกเขาจะไม่โต้ตอบกลับไปอย่างพวกเขา แต่พวกเขาจะกล่าวด้วยถ้อยคำที่ดีที่ไม่แสดงถึงความโง่เขลาที่มีต่อพวกเขา
(64) และบรรดาผู้ที่ใช้เวลากลางคืนทำการสุญูดด้วยหน้าผากของพวกเขาและลุกขึ้นยืนละหมาดด้วยเท้าสองข้างของพวกเขาเพื่ออัลลอฮฺ
(65) และบรรดาผู้ที่กล่าวขอดุอาอ์ต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาว่า : ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ขอพระองค์ทรงทำให้การลงโทษของนรกญะฮันนัมได้ห่างไกลจากพวกเราด้วยเถิด แท้จริงการลงโทษของนรกญะฮันนัมนั้นมั่นคงอยู่อย่างนั้นตลอดสำหรับผู้ที่ตายในสภาพการเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา (ต่ออัลลอฮฺ)
(66) แท้จริงมันเป็นสถานที่ตั้งถิ่นฐานที่น่ากลัวสำหรับผู้ที่จะอยู่กับมันและเป็นที่พำนักที่น่ากลัวสำหรับผู้ที่พำนักในนั้น
(67) และบรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขาใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขา การใช้จ่ายของพวกเขานั้นไม่ถึงขั้นของการสุรุ่ยสุร่าย และพวกเขาก็ไม่บกพร่องในการใช้จ่ายแก่ผู้ที่ควรได้รับการอุปการะจากตัวของพวกเขาเองและคนอื่นๆ และการใช้จ่ายของพวกเขานั้นเป็นธรรมและเป็นกลางไม่สุรุ่ยสุร่ายและไม่ตระหนี่
(68) และบรรดาผู้ที่ไม่วิงวอนขอจากสิ่งที่ถูกเคารพสักการะอื่นใดคู่เคียงกับอัลลอฮฺ และพวกเขาจะไม่ฆ่าชีวิตใดชีวิตหนึ่งที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้ เว้นแต่ชีวิตที่อัลลอฮฺทรงอนุญาต เช่น การฆ่าที่เป็นการประหารชีวิต หรือฆ่าผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาหลังจากที่ได้ศรัทธาแล้ว หรือผู้ที่ผิดประเวณีหลังจากแต่งงานแล้ว และพวกเขาจะไม่ผิดประเวณี ส่วนผู้ใดที่ได้ละเมิดกระทำสิ่งที่เป็นบาปใหญ่นี้ เขาจะได้พบกับบทลงโทษอย่างมหันต์ต่อสิ่งที่เขาได้ละเมิดไป
(69) การลงโทษในวันกิยามะฮฺจะถูกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวสำหรับเขา และเขาจะถูกลงโทษอยู่ในนั้นอย่างน่าอัปยศ
(70) แต่ทว่า ผู้ที่กลับเนื้อกลับตัวเข้าหาอัลลอฮฺ และมีความศรัทธา และประกอบคุณงามความดีที่ชี้ถึงความสัจจริงของการกลับเนื้อกลับตัวของเขา พวกเขาเหล่านั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงเปลี่ยนความชั่วจากสิ่งที่พวกเขาได้กระทำเป็นความดี และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยบาปแก่ผู้ที่กลับเนื้อกลับตัวจากบ่าวของพระองค์ และทรงเมตตาเสมอต่อพวกเขา
(71) และผู้ใดที่กลับเนื้อกลับตัวเข้าหาอัลลอฮฺ และได้พิสูจน์ถึงความสัจจริงของการกลับเนื้อกลับตัวของเขาด้วยการกระทำสิ่งที่ถูกใช้และละทิ้งสิ่งที่ถูกสั่งห้าม แท้จริงการกลับเนื้อกลับตัวของเขาคือการกลับเนื้อกลับตัวที่ได้รับการตอบรับ
(72) และบรรดาผู้ที่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นความเท็จ เช่น สถานที่ที่มีการชุมนุมกระทำสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺและสถานบันเทิงต่างๆที่ต้องห้าม ซึ่งเมื่อพวกเขาเดินผ่านสิ่งไร้สาระจากคำพูดและการกระทำเหล่านั้น พวกเขาจะผ่านมันไปอย่างสมเกียรติ(ด้วยการให้เกียรติต่อสถานะของตัวเอง)อีกทั้งหลีกห่างจากการคลุกคลีกับสิ่งนั้น
(73) และบรรดาผู้ที่เมื่อถูกกล่าวเตือนให้รำลึกถึงโองการต่างๆ ของอัลลอฮฺที่ถูกได้ยิน(อัลกุรอาน)และถูกมองเห็น(สิ่งถูกสร้างต่างๆ) พวกเขาจะไม่เป็นเหมือนสภาพคนหูหนวกเมื่อได้ยิน และจะไม่เป็นเหมือนสภาพคนตาบอลเมื่อได้มองเห็น
(74) และบรรดาผู้ที่กล่าวในดุอาอ์ของพวกเขาต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาว่า : ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระองค์โปรดประทานแก่เราซึ่งคู่ครองและลูกหลานของเราผู้ซึ่งเป็นที่รื่นรมย์แก่สายตาของเราด้วยการจงรักภักดีและความยึดมั่นบนสัจธรรม และขอพระองค์ทรงทำให้เราเป็นผู้นำ (แบบอย่าง) ในเรื่องสัจธรรมแก่บรรดาผู้ยำเกรงในการที่จะปฏิบัติตามเรา
(75) พวกเขาเหล่านั้นดังที่มีคุณลักษณะข้างต้นจะได้รับการตอบแทนด้วยสถานพำนักที่สูงในสรวงสวรรค์ฟิรดาวส์ที่สูงที่สุดเนื่องด้วยความอดทนของพวกเขาในการจงรักภักดีต่ออัลออฮฺ และในนั้นพวกเขาจะได้พบกับการกล่าวต้อนรับและสลามจากบรรดามะลาอิกะฮฺและในนั้นพวกเขาจะได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัยจากสิ่งต่างๆที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย
(76) โดยที่พวกเขาพำนักอยู่ในนั้นอย่างถาวร ซึ่งเป็นสถานพำนักและที่อยู่อาศัยที่น่าอภิรมย์ยิ่ง
(77) จงกล่าวเถิด (โอ้รอสูลเอ่ย) แก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ยืนกรานในการปฏิเสธศรัทธาว่า พระผู้อภิบาลของฉันจะไม่สนใจถึงผลประโยชน์ที่จะได้มาจากการเคารพภักดีของพวกเจ้า หากไม่มีเลยในบรรดาปวงบ่าวของพระองค์ที่ขอดุอาอ์ต่อพระองค์ด้วยกับดุอาอ์ที่เป็นอิบาดะฮ์และดุอาอ์ที่เป็นการร้องขอ แน่นอนพระองค์ก็ยังไม่สนใจพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าได้ปฏิเสธรอสูลในสิ่งที่ท่านได้นำมายังพวกเจ้าจากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ดังนั้นผลตอบแทน (การลงโทษ) ของการปฏิเสธนั้นจะเกิดขึ้นแก่พวกท่านอย่างแน่นอน