(1) บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินโดยที่ไม่มีตัวอย่างมาก่อน ผู้ทรงแต่งตั้งให้บรรดามลาอีกะฮ์เป็นผู้ส่งสาสน์ โดยจะปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ที่ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และส่วนหนึ่งจากพวกเขานั้นคอยส่งวะห์ยูแก่บรรดานบีและเสริมกำลังพวกเขาให้บรรลุภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ในหมู่พวกเขามีปีกสองปีก มีสามปีก มีสี่ปีกซึ่งเขาใช้บินเพื่อปฏิบัติหน้าที่ พระเจ้าเพิ่มบางสิ่งบางอย่างให้กับสิ่งมีชีวิตของพระองค์ตามพระประสงค์ในรูปแบบของอวัยวะ รูปลักษณ์ หรือเสียง แท้จริงอัลลอฮ์ทรงสามารถกระทำทุกสิ่งได้ และไม่มีสิ่งใดทำให้อัลลอฮ์อ่อนแอลงได้
(2) แท้จริงกุญแจของทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮ์ ดังนั้นสิ่งใดที่อัลลอฮ์ทรงเปิดไว้สำหรับมนุษย์ในรูปของปัจจัยยังชีพ การชี้นำ และความสุข ก็ไม่มีใครสามารถยับยั้งมันได้ และสิ่งใดที่อัลลอฮ์ทรงยับยั้งไว้ ก็ไม่มีใครสามารถปล่อยมันหลังจากที่พระเจ้ายับยั้งมัน พระองค์ทรงเป็นผู้ทรงอำนาจที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเอาชนะพระองค์ได้ ผู้ทรงปรีชาญาณในการสร้าง กำหนดกฎเกณฑ์ และการจัดการของพระองค์
(3) โอ้มนุษย์เอ๋ย! จงระลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้าด้วยหัวใจและลิ้นของพวกเจ้า และด้วยแขนขาของพวกเจ้าด้วยการปฏิบัติ มีผู้สร้างอื่นจากอัลลอฮ์อีกกระนั้นหรือที่คอยประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าจากฟากฟ้าโดยส่งฝนมายังพวกเจ้า ให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าจากแผ่นดินด้วยการทำให้มีผลไม้และพืชผล? ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ดังนั้นพวกเจ้าปฏิเสธจากความจริงและกล่าวเท็จในนามของอัลลอฮ์ได้อย่างไร และพวกเจ้าอ้างว่าอัลลอฮ์มีภาคี ในเมื่อพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างพวกเจ้าและประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า?!
(4) และหากกลุ่มชนของเจ้าได้ปฏิเสธเจ้า -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- เจ้าจงอดทนเถิด เพราะเจ้าไม่ได้เป็นเราะสูลคนแรกที่ถูกกลุ่มชนของเจ้าปฏิเสธ เพราะแท้จริงได้มีการปฏิเสธโดยกลุ่มชนก่อนหน้าเจ้าต่อบรรดาเราะซูลของพวกเขา เช่น กลุ่มชนอ๊าด ษะมูดและกลุ่มชนของลูฏ และสำหรับอัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้นที่การงานทั้งหมดจะต้องกลับคืนสู่พระองค์ และพระองค์จะทำให้บรรดาผู้ที่ปฏิเสธนั้นพังพินาศและจะทรงช่วยเหลือบรรดาเราะสูลของพระองค์และบรรดาผู้ที่ศรัทธา
(5) โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงสิ่งที่อัลลอฮ์ได้สัญญาไว้ -ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นคืนชีพและผลตอบแทนในวันกิยามะฮ์- มันเป็นเรื่องจริงที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ดังนั้นอย่าได้ให้ความหอมหวานและความลุ่มหลงแห่งชีวิตดุนยาได้หลอกล่อพวกเจ้าจากการเตรียมตัวสำหรับวันกิยามะฮ์ด้วยการประกอบคุณงามความดี และอย่าให้ชัยฏอนหลอกลวงพวกเจ้าด้วยการให้พวกเจ้าเห็นความชั่วเป็นความสวยงาม และทำให้พวกเจ้าโน้มเอียงไปกับชีวิตแห่งโลกดุนยา
(6) แท้จริง ชัยฏอนกับพวกเจ้านั้นเป็นศัตรูตลอดกาล โอ้มนุษย์เอ๋ย ดังนั้น จงปฏิบัติต่อมันอย่างศัตรูให้มีความมุ่งมั่นในการต่อสู้กับมัน แท้จริงชัยฏอนเรียกร้องผู้ที่ติดตามมันสู่การปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เพื่อที่ผลลัพธ์ของพวกเขาคือเข้าสู่ไฟที่ลุกโชนในวันกิยามะฮ์
(7) บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ด้วยการปฏิบัติตามชัยฏอนนั้น พวกเขาจะได้รับการลงโทษที่รุนแรงแสนสาหัส ส่วนบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติการงานที่ดี พวกเขาจะได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาจะได้รับผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่นั้นก็คือสวรรค์
(8) แท้จริงสำหรัผู้ที่ชัยฏอนได้ประดับให้การงานที่ไม่ดีของเขาดูสวยงาม และเขาก็ยึดมั่นว่าเป็นสิ่งที่ดี มันไม่เมือนกับผู้ที่อัลลอฮ์ทรงประดับให้เขาได้เห็นถึงความสวยงามแห่งความจริงและเขาก็ยึดมั่นว่ามันคือความจริง แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงทำให้หลงผิดแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และจะทรงชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ โดยที่ท่านอย่าได้เสียใจ โอ้ท่านเราะสูล อย่าทำให้จิตใจของเจ้ากลับกลายเป็นระทมทุกข์ในเรื่องที่พวกเขาหลงผิด แท้จริง อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮ์ นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ ไม่มีการงานใดที่จะซ่อนเร้นไปจากพระองค์ได้
(9) และอัลลอฮ์ผู้ซึ่งส่งลมทั้งหลายออกไป และมันได้หอบเคลื่อนเป็นเมฆขึ้น แล้วเราได้ให้เมฆนั้นพัดพาไปยังดินแดนที่ไม่มีพืชผักใดๆเลย แล้วเราได้ให้แผ่นดินนั้นมีชีวิตชุ่มชื้นจากน้ำฝนหลังจากการแห้งแล้งด้วยการเจริญเติบโตของบรรดาพืชผักต่างๆ และเมื่อใดก็ตามที่เราฟื้นแผ่นดินนี้ขึ้นหลังจากที่มันแห้งแล้งล้มตายของพืชผัก เช่นนั้นแหละที่เราจะให้มีการฟื้นคืนชีพของผู้ที่ตายไปแล้วในวันกิยามะฮ์
(10) ผู้ใดที่ต้องการเกียรติยศบนโลกดุนยาหรืออาคีเราะฮ์ พวกเจ้าอย่าได้วอนขอสิ่งนั้น(จากผู้ใด)นอกจากอัลลอฮ์ เพราะเกีรยติยศทั้งหมดเป็นของอัลลอฮ์เพียงผู้เดียว คำรำลึกที่ดีที่รำลึกถึงพระองค์ย่อมจะขึ้นไปสู่พระองค์ และการงานที่ดีนั้นพระองค์ก็จะทรงยกมันไปยังพระองค์ และบรรดาผู้วางแผนชั่วร้ายทั้งหลายนั้น อย่างเช่นแผนการที่จะฆ่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั้น สำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันแสนสาหัส และแผนการณ์ของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นจะพังพินาศและไม่บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้
(11) และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสร้างบิดาของพวกเจ้า อาดัม มาจาฝุ่นดินแล้วทรงสร้างพวกเจ้ามาจากเชื้ออสุจิแล้วทรงทำให้พวกเจ้าเป็นชายและหญิงเพื่อให้แต่งงานกันระหว่างพวกเจ้า และจะไม่มีการตั้งครรภ์ใดๆจากผู้หญิงและจะไม่มีการคลอดบุตรออกมา เว้นแต่ด้วยความรอบรู้ของพระองค์เท่านั้น ซึ่งมันจะไม่หายไปจากพระองค์เลยจากสิ่งเหล่านั้น และจะไม่ถูกเพิ่มอายุให้ยืดยาวแก่คนหนึ่งคนใดจากสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์และจะไม่มีการลดอายุเช่นกัน เว้นแต่อายุไขเหล่านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในแผ่นจารึกที่ถูกรักษาไว้ และในสิ่งที่กล่าวมานั้น ไม่ว่าจะเป็นจากการสร้างพวกเจ้าจากฝุ่นดิน สร้างพวกเจ้าเป็นขั้นเป็นตอนและการบันทึกอายุไขของพวกเจ้าในแผ่นจารึกที่ถูกรักษาไว้ ทั้งหมดนั้นสำหรับอัลลอฮ์แล้วมันเป็นเรื่องง่าย
(12) และทะเลทั้งสองนั้นไม่เหมือนกัน ทะเลหนึ่งจืดสนิท ดื่มง่ายเนื่องด้วยความจืดสนิทของมัน ส่วนอีกทะเลหนึ่งนั้นมีรสที่เค็มจัด ไม่สามารถที่จะดื่มได้เนื่องด้วยความเค็มจัดของมัน และจากทั้งสองทะเลนั้น พวกเจ้าสามารถกินเนื้อปลาที่อ่อนนุ่ม และในทะเลทั้งสองนั้นมีไข่มุขและปะการังที่สามารถนำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับได้ และเจ้าเห็นเรือ ซึ่งมันได้แล่นผ่าทะเลนั้นไปมา เพื่อแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ์ในการทำการค้า และหวังว่าพวกเจ้าจะได้ขอบคุณในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานให้อย่างล้นหลาม
(13) อัลลอฮ์ทรงให้กลางคืนเข้าไปในกลางวันจึงทำให้เวลาของมันยาวขึ้น และทรงให้กลางวันเข้าไปในกลางคืนจึงทำให้เวลาของมันยาวขึ้น และทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ทั้งสองนั้นจะโคจรไปตามสัญญาที่ได้กำหนดไว้ซึ่งอัลลอฮ์เท่านั้นที่รู้ นั้นคือวันกิยามะฮ์ สิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นด้วยการกำหนดของอัลลอฮ์พระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ทุกสิ่งล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้เดียว และสิ่งที่พวกเจ้าเคารพสักการะอื่นจากพระองค์นั้นที่เป็นรูปปั้นนั้น ไม่ได้ครอบครองสิ่งใดแม้แต่เยื่อบางๆ ที่หุ้มเมล็ดอินทผลัม แล้วพวกเจ้าเคารพสักการะพวกมันอื่นจากอัลลอฮ์ได้อย่างไร?!
(14) หากพวกเจ้าวิงวอนขอจากสิ่งที่พวกเจ้าเคารพทั้งๆที่พวกมันไม่ได้ยินคำวิงวอนนั้นเลย พวกเขาเป็นแค่ก้อนหินที่ไร้ชีวิตและไม่ได้ยินอะไรเลย และหากพวกมันได้ยินคำวิงวอนของพวกเจ้า -ถ้าเป็นไปได้อย่างนั้น-พวกมันก็จะไม่ตอบรับพวกเจ้า และในวันกิยามะฮ์พวกมันจะปฏิเสธการ ตั้งภาคี และการเคารพสักการะของพวกเจ้าที่มีต่อพวกมัน ดังนั้นจะไม่มีผู้ใดที่จะบอกให้กับเจ้า โอ้ท่านเราะสูล ที่จะสัจจริงยิ่งกว่าอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮ์
(15) โอ้มนุษย์เอ๋ย พวกเจ้าเป็นผู้ที่ต้องพึ่งอาศัยอัลลอฮ์ในทุกๆกิจการของพวกเจ้า และในทุกๆสถานการณ์ของพวกเจ้า แต่อัลลอ์นั้นผู้ทรงมั่งมีที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยพวกเจ้าเลย ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญทั้งในโลกดุนยาและอาคีเราะฮ์ในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้แก่บ่าวของพระองค์
(16) หากอัลลอฮ์นั้นทรงประสงค์เพื่อที่จะลบล้างพวกเจ้าไป ด้วยการทำลายล้างพวกเจ้า อัลลอฮ์ก็จะทรงทำลายล้างพวกเจ้าให้สูญสิ้นไป และจะทรงนำมาซึ่งกลุ่มชนใหม่ที่พวกเขานั้นเคารพภักดีต่อพระองค์ และจะไม่ตั้งภาคีใดๆต่อพระองค์เลย
(17) และการสลายพวกเจ้าไปด้วยการทำลายล้างพวกเจ้า และการนำกลุ่มอื่นมาแทนที่พวกเจ้า มันไม่เป็นเรื่องยากสำหรับอัลลอฮ์เลย
(18) และจะไม่มีคนบาปคนใดที่จะรับแบกบาปของคนอื่น แต่ทุกคนนั้นจะแบกรับบาปของเขาเอง และถ้าผู้ที่แบกภาระบาปที่หนักอยู่แล้วขอร้องผู้อื่นให้ช่วยแบกมันก็จะไม่มีสิ่งใดถูกแบกออกจากเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นญาติสนิทก็ตาม แท้จริงเจ้าเป็นเพียงผู้ตักเตือนจากถึงลงโทษของอัลลอฮ์เท่านั้น โอ้ท่านเราะสูล แก่บรรดาผู้เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขาโดยเร้นลับ และพวกเขาดำรงไว้ซึ่งการละหมาดอย่างสมบูรณ์และพวกเขาคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการตักเตือนของเจ้า และผู้ใดที่ทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ปราศจากการฝ่าฝืนต่างๆ -และการฝ่าฝืนที่ใหญ่ที่สุดคือการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์- แท้จริง เขาก็ขัดเกลาเพื่อตัวของเขาเอง เพราะประโยชน์กลับของมันจะกลับมาหาเขา และสำหรับอัลลอฮ์เป็นผู้ที่เหนือกว่าการเชื่อฟังและยังอัลลอฮ์เท่านั้นคือการกลับไปในวันกียามะฮ์เพื่อสอบสวนและตอบแทน
(19) และคนที่ปฏิเสธศรัทธากับคนที่ศรัทธานั้นย่อมไม่เหมือนกัน ดังเช่นคนตาบอดที่ไม่เหมือนกับคนตาดี
(20) และการปฏิเสธศรัทธากับการศรัทธานั้นย่อมไม่เหมือนกันเช่นเดียวกับการที่ไม่เหมือนกันระหว่างความมืดและความสว่าง
(21) และจะไม่เหมือนกันระหว่างสวรรค์กับนรกในด้านผลของมันทั้งสองเช่นเดียวกับที่ไม่เหมือนกันระหว่างร่มเงากับลมร้อน
(22) และไม่เหมือนกันระหว่างบรรดาผู้ศรัทธาและบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาเช่นเดียวกับการที่ไม่เหมือนกันระหว่างคนเป็นกับคนตาย แท้จริงอัลลอฮ์ทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ได้ยินการทางนำของพระองค์ และเจ้า -โอ้ท่านเราะสูล- ไม่สามารถที่จะให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาผู้ที่อยู่ในหลุมฝังศพได้ยินได้
(23) เจ้ามิใช่อื่นใดเว้นแต่เป็นเพียงคนที่ให้คำตักเตือนแก่พวกเขาในเรื่องที่เกี่ยวกับการลงโทษของอัลลอฮ์เท่านั้น
(24) และแท้จริงเราได้ส่งเจ้ามา -โอ้ท่านเราะสูล- พร้อมกับความจริงที่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ เป็นผู้แจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้เตรียมไว้แก่พวกเขาจากผลตอบแทนที่มีเกียรติและเป็นผู้ตักเตือนแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้เตรียมบทลงโทษที่แสนสาหัสแก่พวกเขา และไม่มีประชาชาติใดในยุคก่อนเว้นแต่จะมีการส่งเราะสูลมาจากอัลลอฮ์ที่คอยให้คำตักเตือนถึงบทลงโทษของพระองค์
(25) และหากกลุ่มชนของเจ้าปฏิเสธเจ้า -โอ้ท่านเราะสูล- ดังนั้นเจ้าจงอดทน เพราะเจ้าไม่ได้เป็นคนเเรกที่ถูกกลุ่มชนของเจ้าปฏิเสธ เพราะได้มีกลุ่มชนก่อนๆได้ปฏิเสธแก่บรรดาเราะสูลของพวกเขามาแล้ว เช่น กลุ่มชนอ๊าด ษะมูดและกลุ่มชนของลูฏ บรรดาเราะสูลได้นำข้อโต้แย้งที่ชัดเจนจากอัลลอฮ์มายังพวกเขาเพื่อยืนยันถึงการเป็นเราะสูลที่แท้จริงของพวกเขา และบรรดาเราะสูลของพวกเขาได้มายังพวกเขาด้วยกับคัมภีร์ต่างๆ และคัมภีร์ที่ส่องสว่างสำหรับผู้ที่ใคร่ครวญและพิจารณาต่อคัมภีร์นั้น
(26) ถึงกระนั้น พวกเขายังคงไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาเราะสูลของพระองค์ และไม่เชื่อในสิ่งที่บรรดาเราะสูลได้นำมาแก่พวกเขาจากอัลลอฮ์ ดังนั้นฉันจึงทำลายบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา จงพิจารณาดูเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- ว่าการปฏิเสธต่อฉันนั้นผลจะเป็นอย่างไร
(27) เจ้าไม่เห็นหรอกหรือ -โอ้ท่านเราะสูล- แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงให้น้ำฝนลงมาจากฟากฟ้าแล้วเราได้ให้พืชผักผลไม้งอกเงยอย่างหลากหลายสี มีทั้งสีแดง สีเขียว สีเหลืองและสีอื่นๆหลังจากที่เราได้ให้น้ำแก่ต้นไม้จากน้ำฝนนั้น และในหมู่ภูเขาทั้งหลายมีเส้นทางที่มีทั้งสีขาว สีแดงและสีดำสนิท
(28) และในหมู่มนุษย์และปศุสัตว์ (อูฐ วัวและแพะ) ที่มีสีที่หลากหลาย เช่นที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ แท้จริงผู้ที่ให้เกียรติในความยิ่งใหญ่แก่สถานะของอัลลอฮ์ ตะอาลา และให้ความยำเกรงต่อพระองค์นั้นคือผู้ที่มีความรู้ถึงพระองค์เท่านั้น เพราะพวกเขารู้ถึงลักษณะของพระองค์ บทบัญญัติและหลักฐานที่ชี้ถึงสามารถของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงมีอำนาจที่ไม่มีผู้ใดจะชนะพระองค์ได้ ผู้ทรงอภัยสำหรับบาปของบ่าวที่กลับเนื้อกลับตัว
(29) แท้จริง บรรดาผู้ที่อ่านคัมภีร์ของอัลลอฮ์ที่ประทานลงมาแก่เราะสูลของเราและได้ปฏิบัติสิ่งที่อยู่ในอัลกุรอาน และดำรงการละหมาดอย่างสมบูรณ์ และบริจาคในสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาโดยการจ่ายซากาตและอื่นๆโดยแบบลับและเปิดเผย พวกเขาหวัง สำหรับการทำความดีเพื่อเป็นธุรกรรมที่ไม่สูญเสียกับอัลลอฮ์
(30) เพื่อพระองค์จะทรงตอบแทนรางวัลในการงานของพวกเขาให้แก่พวกเขาอย่างครบถ้วนและจะทรงเพิ่มให้แก่พวกเขาจากความโปรดปรานของพระองค์ เพราะพวกเขาคือผู้ที่คู่ควรกับสิ่งนั้นอย่างแท้จริง พระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยในความผิดบาปของผู้ที่มีลักษณะเช่นนั้น ผู้ทรงชื่นชมด้วยกับการงานที่ดีของพวกเขา
(31) และสิ่งที่เราได้ประทานให้แก่เจ้า -โอ้ท่านเราะสูล- ที่เป็นคำภีร์นั้น มันคือสัจธรรมที่ไม่มีข้อสงสัยใดเลย ที่อัลลอฮ์ประทานมันลงมาเพื่อเป็นการยืนยันถึงความจริงสำหรับคำภีร์ก่อนหน้านี้ แท้จริง อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงตระหนักรู้ และผู้ทรงเห็นต่อปวงบ่าวของพระองค์ พระองค์คือผู้ที่ประทานวะห์ยูแก่เราะสูลของแต่ประชาชาติซึ่งสิ่งที่จำเป็นสำหรับแต่ละประชาชาตินั้นๆ
(32) แล้วเราได้มอบให้แก่ประชาชาติของมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเราได้เลือกให้แก่พวกเขาเหนือประชาชาติอื่นด้วยอัลกุรอาน โดยบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้อธรรมแก่ตัวเองด้วยการกระทำสิ่งที่ต้องห้ามและละทิ้งสิ่งที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติ และบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้เดินสายกลางด้วยการทำในสิ่งที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติ ละทิ้งในสิ่งที่ต้องห้ามพร้อมๆกับการละทิ้งบางเรื่องที่เป็นสุนนะฮ์ส่งเสริมให้กระทำและกระทำในบางสิ่งที่น่ารังเกียจส่งเสริมให้ออกห่าง และบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้รุดหน้าในการทำความดีทั้งหลายด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และสิ่งเหล่านั้นคือด้วยกับการกระทำในสิ่งที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติและเรื่องที่เป็นสุนนะฮ์ส่งเสริมให้กระทำและละทิ้งในสิ่งที่ต้องห้ามและสิ่งที่น่ารังเกียจส่งเสริมให้ออกห่าง ในสิ่งที่กล่าวมานั้น เป็นการเลือกให้แก่ประชาชาติของนบีมุฮัมมัดและให้อัลกุรอานเพื่อนำทางแก่ประชาชาตินี้ นั่นคือความโปรดปรานอันใหญ่หลวงที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้
(33) สวรรค์ทั้งหลายถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้บรรดาผู้ที่ถูกคัดเลือกได้พำนักอยู่ ในนั้นพวกเขาจะได้สวมเครื่องประดับจากกำไลทองและไข่มุขและเครื่องหนุ่มห่มของพวกเขานั้นทำมาจากผ้าไหม
(34) และพวกเขาได้กล่าวหลังจากที่ได้เข้าในสวรรค์ว่า "มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ทรงขจัดความระทมทุกข์ออกจากเรา เพราะพวกเรานั้นเคยรู้สึกหวาดกลัวต่อการเข้าสู่ในไฟนรก แท้จริงพระผู้อภิบาลของเราเป็นผู้ทรงอภัยในบาปของบ่าวของพระองค์ที่กลับเนื้อกลับตัว ผู้ทรงชื่นชมต่อผู้จงรักภักดีต่อพระองค์
(35) ซึ่งพระองค์ผู้ทรงประทานให้เราได้พำนักในสถานที่ที่ถาวร ที่ไม่ย้ายไปไหนหลังจากนี้ ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ไม่ใช่ด้วยพลังและอำนาจของเรา ที่จะไม่ทำให้เราประสบกับความเหน็ดเหนื่อยหรือมีปัญหา
(36) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ พวกเขาจะได้รับไฟนรกญะฮันนัมเป็นการตอบแทนอย่างถาวรในนั้น จะไม่ถูกตัดสินลงโทษให้พวกเขาตายเพื่อที่พวกเขาจะได้ตายและจะได้พักจากการถูกลงโทษ โดยที่การลงโทษของไฟนรกญะฮันนัมก็จะไม่ถูกลดหย่อนแก่พวกเขา เช่นนั้นแหละเราจะตอบแทนแก่ทุกผู้เนรคุณในวันกียามะฮฺทั้งหมดของคนที่เย่อหยิ่งในพระคุณของพระเจ้าของเขา
(37) และพวกเขาจะตะโกนอยู่ในนรกนั้นด้วยเสียงที่ดังว่า "ข้าแต่พระผู้อภิบาลของเรา ขอพระองค์ได้ทรงโปรดนำเราออกไปจากนรกเพื่อเราจะได้ปฏิบัติการงานที่ดีอื่นจากที่เราได้เคยปฏิบัติไปในโลกดุนยา เพื่อเราจะบรรลุความพึงพอพระทัยของพระองค์และให้เรานั้นปลอดภัยจากการถูกลงโทษของพระองค์" แล้วอัลลอฮก็ได้ตอบกลับแก่พวกเขาว่า "เรามิได้ทำให้พวกเจ้ามีอายุยืนนานพอ เพื่อผู้ที่ใคร่ครวญจะได้รำลึกถึงข้อตักเตือนและกลับเนื้อกลับตัวสู่อัลลอฮ์และกระทำการงานที่ดีและยิ่งกว่านั้นได้ส่งท่านเราะสูลซึ่งเป็นผู้ตักเตือนมายังพวกเจ้าถึงบทลงโทษของอัลลอฮ์แล้วมิใช่หรือ?! ดังนั้นจึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆและไม่มีข้อผ่อนปรนใดๆ สำหรับพวกเจ้าหลังจากทุกอย่างนี้ พวกเจ้าจงลิ้มรสของไฟนรกเถิด เพราะสำหรับบรรดาผู้อธรรมที่ได้อธรรมต่อตนเองด้วยการปฏิเสธศรัทธาและกระทำความชั่วนั้น จะไม่มีผู้ช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์หรือผ่อนหนักให้เป็นเบาให้พวกเขาได้
(38) แท้จริง อัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ไม่มีอะไรที่พรากหายไปได้เลย แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่อยู่ในทรวงอกของบ่าวของพระองค์จากความดีและความชั่ว
(39) พระองค์คือผู้ทรงทำให้พวกเจบางคน -โอ้ มนุษย์เอ๋ย- เป็นตัวแทนต่อจากคนอื่นๆ ในแผ่นดิน เพื่อทดสอบพวกเจ้าว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร ดังนั้นผู้ใดที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อสิ่งที่บรรดาเราะสูลนำมา ดังนั้นบาปจากการปฏิเสธของเขาและบทลงโทษของมันนั้นจะกลับไปหาเขา และการปฏิเสธศรัทธาของเขานั้นไม่มีผลกระทบใดๆต่อพระผู้อภิบาลของเขา และการปฏิเสธศรัทธาของบรรดาผู้ปฏิเสธ ณ ที่อัลลอฮ์นั้นไม่ได้เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกเขาเลย เว้นแต่ความพิโรธของพระองค์เท่านั้น และการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาจะไม่เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกเขานอกจากความขาดทุนหายนะ โดยที่พวกเขาจะสูญเสียสิ่งที่อัลลอฮ์ได้เตรียมไว้สำหรับพวกเขาในสวรรค์หากพวกเขาศรัทธา
(40) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะสูล แก่บรรดาผู้ที่ตั้งภาคีว่า จงบอกฉันมาเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเจ้าตั้งภาคีที่พวกเจ้าเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์ พวกมันได้สร้างอะไรบ้างบนโลกนี้? พวกมันสร้างภูเขาให้แก่แผ่นดินนี้ใช่ไหม? หรือพวกมันได้สร้างแม่น้ำ? พวกมันได้สร้างบรรดาสัตว์ต่างๆหรือเปล่า? หรือว่าพวกมันมีส่วนร่วมกับอัลลอฮ์ในการสร้างชั้นฟ้า? หรือเราได้ให้คัมภีร์แก่พวกมันเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในความถูกต้องในการเคารพภักดีแก่พวกมัน? ไม่เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าบรรดาผู้ที่อธรรมต่อตัวเองด้วยการปฏิเสธศรัทธาและการฝ่าฝืน จะไม่สัญญาในกลุ่มพวกเขาซึ่งกันและกันเว้นแต่เป็นการหลอกลวงเท่านั้น
(41) แท้จริงนั้นอัลลอฮ์ ซุบฮานะฮ์ ทรงค้ำจุนชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเอาไว้ มิให้มันหล่นร่วงตกลงมา และหากมันทั้งสองร่วงตกลงมา -ในทำนองถ้าเกิดขึ้น- ก็ไม่มีผู้ใดค้ำจุนมันทั้งสองได้ นอกจากพระองค์ แท้จริงพระองค์ทรงขันติไม่รีบที่จะลงโทษ ผู้ทรงให้อภัยต่อบาปของผู้ที่กลับเนื้อกลับตัวจากบ่าวของพระองค์
(42) และบรรดาผู้ปฏิเสธที่ปฏิเสธศรัทธาได้สาบานต่ออัลลอฮ์ด้วยการสาบานอย่างของพวกเขาที่หนักแน่นว่า "หากมีเราะสูลจากอัลลอฮ์มาตักเตือนถึงบทลงโทษของพระองค์ แน่นอนพวกเขาก็จะเป็นประชาชาติหนึ่งที่ยืนหยัดและตามในแนวทางที่ถูกต้องยิ่งกว่าบรรดายิว คริสต์และประชาชาติอื่นๆ ครั้นเมื่อท่านเราะสูล มูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ถูกส่งมายังพวกเขาจากพระผู้อภิบาลของเขา เพื่อตักเตือนพวกเขาให้เกรงกลัวถึงการลงโทษของอัลลอฮ์ ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นสำหรับพวกเขาจากการมาของท่านเราะสูล นอกจากการหนีห่างออกจากสัจธรรมและยึดติดกับความเท็จเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาไม่ทำตามสิ่งที่พวกเขาได้สาบานไว้ ที่ได้สาบานอย่างแน่วแน่ว่าพวกเขาจะอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องยิ่งกว่าบรรดาผู้ที่มาก่อนพวกเขา
(43) และการสาบานของพวกเขาที่ได้สาบานกับอัลลอฮ์นั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นจากการมีเจตนาที่ดีและจุดประสงค์ที่บริสุทธิ์ แต่เป็นการหยิ่งยโสในแผ่นดินและหลอกลวงผู้อื่น แต่แผนชั่วนั้นจะไม่ห้อมล้อมผู้ใดนอกจากเจ้าของมันเองเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาไม่ได้รอคอยอะไรเลย นอกจากกฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์ที่มั่นคงเท่านั้น นั้นคือการทำลายพวกเขาเสมือนที่เราได้ทำลายกลุ่มชนก่อนหน้าพวกเขาที่ทำตัวคล้ายพวกเขา? และเจ้าจะไม่มีทางพบถึงการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์แต่ประการใดในการทำลายล้างบรรดาผู้ที่หยิ่งยโสด้วยกับการที่จะไม่ให้เกิดกับพวกเขา และไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่จะให้ไปตกแก่ผู้อื่น เพราะเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่ทรงกำหนดไว้อย่างมั่นคง
(44) พวกที่ปฏิเสธเจ้าจากชาวกุเรชไม่ได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินหรอกหรือ เพื่อใคร่ครวญดูว่าบั้นปลายของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธจากประชาชาติก่อนหน้าพวกเขาเป็นอย่างไร? บั้นปลายของพวกเขานั้นมิใช่บั้นปลายที่ชั่วร้ายกระนั้นหรือ ที่อัลลอฮ์ทรงทำลายพวกเขาไป? ทั้งที่พวกเขานั้นมีพละกำลังที่เข้มแข็งกว่าชาวกุเรชอีก และอัลลอฮ์นั้น ไม่มีสิ่งใดทั้งในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินที่จะพลาดไปจากพระองค์ได้ แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้ในการงานของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธ และไม่มีการงานใดของพวกเขาที่จะซ่อนเร้นและพลาดไปจากพระองค์ได้ ผู้ทรงอานุภาพในการที่จะทำลายล้างลงโทษพวกเขาเมื่อไหรก็ได้
(45) หากอัลลอฮ์ทรงเร่งการลงโทษแก่มนุษย์สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้กระทำในรูปแบบของการไม่เชื่อฟังและสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำในรูปของบาป พระองค์จะทรงทำลายผู้คนทั้งหมดบนโลกในครั้งเดียว พร้อมกับสัตว์และความมั่งคั่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของ แต่อัลลอฮ์ทรงชะลอพวกเขาไว้จนถึงเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ในความรู้ของพระองค์คือวันแห่งการฟื้นคืนชีพ เมื่อเวลา (แห่งการพิพากษา) มาถึง แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้เห็นปวงบ่าวของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดถูกปิดบังจากพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขา หากทำดีก็จะได้การตอบแทนที่ดีและหากทำชั่วก็จะได้ผลตอบแทนที่ชั่วไป