(1) ยา ซีน ได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้วในตอนต้นของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์
(2) อัลลอฮ์สาบานด้วยอัลกุรอานซึ่งโองการต่างๆ ถูกจัดวางอย่างรัดกุม ไม่ถูกแทรกซึมด้วยความเท็จทั้งจากด้านหน้าและด้านหลัง
(3) แท้จริงเจ้า -โอ้ท่านเราะสูล- เป็นคนหนึ่งในหมู่บรรดาผู้ที่ถูกส่งมาเป็นเราะสูล ถูกส่งมายังบรรดาบ่าวของพระองค์ เพื่อสั่งใช้ให้พวกเขาได้ศรัทธาในเอกภาพของพระองค์และเคารพภักดีต่อพระองค์เพียงองค์เดียว
(4) เป็นผู้ที่อยู่บนแนวทางที่เที่ยงตรงและบทบัญญัติที่เที่ยงธรรม และแนวทางที่เที่ยงตรงและบทบัญญัติที่เที่ยงธรรมนั้น ถูกประทานลงมาจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงมีอำนาจซึ่งไม่มีใครสามารถท้าทายพระองค์ได้ ผู้ทรงเมตตาแก่บ่าวของพระองค์ผู้ที่ศรัทธา
(5) เป็นผู้ที่อยู่บนแนวทางที่เที่ยงตรงและบทบัญญัติที่เที่ยงธรรม และแนวทางที่เที่ยงตรงและบทบัญญัติที่เที่ยงธรรมนั้น ถูกประทานลงมาจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงมีอำนาจซึ่งไม่มีใครสามารถท้าทายพระองค์ได้ ผู้ทรงเมตตาแก่บ่าวของพระองค์ผู้ที่ศรัทธา
(6) ฉันได้ประทานมันลงมาแก่เจ้า เพื่อเจ้าจะได้ตักเตือนประชาชาติหนึ่งและให้พวกเขาได้ระวัง พวกเขาคือชาวอาหรับซึ่งไม่มีศาสนทูตมาตักเตือนพวกเขา และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเพิกเฉยต่อการศรัทธาและการให้เอกภาพต่ออัลลอฮ์ เช่นเดียวกัน กับประชาชาติอื่น การตักเตือนถูกตัดขาดจากพวกเขาไป พวกเขาต้องการเราะสูลเพื่อเตือนพวกเขา
(7) โดยแน่นอนการลงโทษได้เป็นที่สมจริงแล้วแก่ส่วนมากของพวกเขาหลังจากที่ความจริงของอัลลอฮ์ได้มายังพวกเขาจากปากของท่านเราะซูลของพระองค์แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ศรัทธาต่อพระองค์ และพวกเขาก็ยังคงอยู่กับการปฏิเสธศรัทธา โดยที่พวกเขาไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ และไม่ปฏิบัติในสิ่งที่เราะสูลนำมาให้แก่พวกเขาที่เป็นความจริง
(8) พวกเขาเปรียบเหมือนดั่งคนที่ถูกล่ามโซ่ไว้ที่คอของพวกเขา และมัดรวบมือของพวกเขาพร้อมกับคอของพวกเขาตั้งใต้ต้นคอของพวกเขา เป็นผลให้พวกเขาต้องเงยหน้าขึ้นฟ้าและไม่สามารถก้มศีรษะลงได้ คนเหล่านี้ถูกพันธนาการจากการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่นอบน้อมต่ออัลลอฮ์ และพวกเขาไม่ก้มศีรษะลงเพราะเหตุนี้
(9) และเราทำให้ข้างหน้าและข้างหลังของพวกเขามีอุปสรรคขวางกั้นต่อความจริง และเราได้บดบังการมองเห็นของพวกเขาต่อความจริง พวกเขาจึงมองไม่เห็นในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาหลังจากที่พวกเขาแสดงความดื้อรั้นและความมุ่งมั่นที่จะปฏิเสธศรัทธา
(10) มีผลเท่ากันแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นที่ต่อต้านความจริง เจ้าจะตักเตือนพวกเขา -โอ้มูฮัมมัดเอ๋ย- หรือไม่ตักเตือนพวกเขาก็ตาม พวกเขาก็ไม่ศรัทธาในสิ่งที่เจ้าได้นำมาจาก อัลลอฮ์หรอก
(11) ผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากการตักเตือนของเจ้านั้น ก็คือผู้ที่เชื่อในอัลกุรอานนี้และปฏิบัติตามสิ่งที่ได้กล่าวไว้ในนั้น และเกรงกลัวต่อพระเจ้าของเขาในยามที่โดดเดี่ยวในช่วงเวลาที่ไม่มีใครมองเห็น ดังนั้นจงบอกถึงผู้ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ถึงสิ่งที่พวกเขาจะได้รับคือ อัลลอฮ์จะทรงลบล้างความผิดบาปและให้อภัยแก่เขาถึงความผิดบาปนั้นและมีรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่คอยเขาอยู่ในอาคีเราะฮ์นั้นคือการที่เขาได้เข้าสู่สวรรค์
(12) แท้จริงเราเป็นผู้ให้คนตายกลับมีชีวิตขึ้นมา ด้วยการทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพพวกเขาเพื่อคิดบัญชีในวันกียามะฮ์ และเราได้จดบันทึกในสิ่งที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตของพวกเขาในโลกดุนยาที่ผ่านมาจากการกระทำที่ดีและไม่ดีและได้จดบันทึกในสิ่งที่พวกเขาได้สร้างที่เป็นผลแห่งความดีต่างๆที่ยังคงอยู่หลังจากการเสียชีวิตของพวกเขา เช่น การบริจาคทานที่มีผลบุญต่อเนื่องหรือสิ่งที่ไม่ดีเช่นการปฏิเสธศรัทธา และเราได้รวบรวมทุกอย่างในบันทึกที่ชัดเจน นั้นคือแผ่นจารึกที่ถูกรักษาไว้
(13) จงทำให้บรรดาผู้ปฏิเสธที่ดื้อรั้นเหล่านั้นได้บทเรียนเถิด -โอ้ท่านเราะสูล- ด้วยกับเรื่องราวของชาวบ้านในหมู่บ้านหนึ่งในขณะที่บรรดาเราะสูลของพวกเขาได้มาหาพวกเขา
(14) เมื่อครั้นที่เราได้ส่งเราะสูลสองคนครั้งแรกเพื่อเชิญชวนพวกเขาไปสู่การศรัทธาในเอกภาพต่ออัลลอฮ์และเคารพภักดีต่อพระองค์ พวกเขาก็ได้ปฏิเสธต่อเราะสูลทั้งสอง และเราได้เสริมแก่ทั้งสองด้วยการส่งเราะสูลคนที่สามเข้าไปพร้อมพวกเขา และบรรดาเราะสูลทั้งสามได้กล่าวแก่ชาวบ้านนั้นว่า "แท้จริงเราทั้งสามคนถูกส่งมายังพวกเจ้าเพื่อเชิญชวนพวกเจ้าเข้าสู่ศรัทธาในเอกภาพต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์
(15) ชาวบ้านนั้นได้กล่าวแก่บรรดาเราะสูลว่า “พวกท่านไม่ใช่อะไร เป็นเพียงมนุษย์เช่นเราเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าพวกเรา อัลลอฮ์ผู้ทรงเมตตาเสมอไม่ได้ประทานโองการใด ๆ แก่พวกท่าน และพวกท่านไม่ใช่อะไร นอกจากโกหกในนามของอัลลอฮ์ในการกล่าวอ้างของพวกเจ้าเท่านั้น”
(16) บรรดาเราะสูลทั้งสามคนกล่าวตอบโต้ต่อการปฏิเสธของชาวบ้านนั้นว่า "พระเจ้าของเราทรงรู้ดียิ่งว่า แท้จริง -โอ้ชาวบ้านเอ๋ย- เราถูกส่งมายังพวกท่านอย่างแน่นอน มาจากพระองค์และนั่นเพียงพอสำหรับการโต้เถียงของเรา"
(17) และไม่มีหน้าที่อื่นใดสำหรับเรานอกจากการประกาศในสิ่งที่ได้รับคำสั่งมาด้วยการประกาศแก่พวกเจ้าด้วยความชัดเจน และเราไม่ได้ครอบครองการให้ทางนำแก่พวกเจ้า
(18) ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นได้กล่าวแก่บรรดาเราะสูลว่า "แท้จริงพวกเรารู้สึกเป็นลางร้ายเพราะพวกท่าน หากพวกท่านไม่ยอมหยุดยั้งในการเชิญชวนเราไปสู่การศรัทธาในเอกภาพของอัลลอฮ์ แน่นอนเราจะลงโทษพวกท่านด้วยการขว้างก้อนหินจนเสียชีวิตและพวกท่านจะได้สำผัสถึงความเจ็บปวดทรมานจากการลงโทษของพวกเราอย่างแน่นอน"
(19) บรรดาเราะสูลได้กล่าวตอบโต้แก่พวกเขาว่า "ลางร้ายของพวกท่านเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพวกท่าน เนื่องด้วยกับสาเหตุการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ของพวกท่านและละทิ้งการปฏิบัติตามบรรดาเราะสูลของพระองค์ มันจะเป็นลางร้ายได้อย่างไรในเมื่อเราตักเตือนพวกท่านให้รำลึกถึงอัลลอฮ? แต่พวกท่านต่างหากเป็นกลุ่มชนที่หมกหมุ่นอยู่กับการปฏิเสธศรัทธาและการฝ่าฝืน
(20) และได้มีชายคนหนึ่งมาด้วยความรีบเร่งจากสถานที่ที่ห่างไกลจากหมู่บ้านนี้ เพราะกลัวกลุ่มชนของเขาปฏิเสธต่อบรรดาเราะสูลและได้ข่มขู่พวกเขาด้วยความฆ่าและการทำร้าย เขากล่าวว่า "โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย จงปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาเราะสูลเหล่านี้นำมาเถิด"
(21) พวกท่าน -โอ้ชนชาติของฉัน- จงปฏิบัติตามผู้ที่มิได้เรียกร้องค่าจ้างใดๆต่อการนำสิ่งที่พวกเขานำมาสู่พวกท่าน และพวกเขาเป็นผู้ที่อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ในสิ่งที่พวกเขาประกาศเชิญชวนที่มาจากอัลลอฮ์ที่เป็นวะห์ยูของพระองค์ และสำหรับใครที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นที่สมควรที่จะต้องปฏิบัติตาม
(22) และชายคนนั้นที่มาแนะนำให้ตามบรรดาเราะสูล เขาได้กล่าวว่า "และอะไรเล่าที่ทำให้ฉันไม่เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ผู้ทรงสร้างฉัน?! และอะไรเล่าที่ห้ามพวกเจ้าไม่ให้เคารพภักดีต่อพระเจ้าของพวกเจ้าที่เป็นผู้สร้างพวกเจ้า?และยังพระองค์เท่านั้นที่พวกเจ้าจะกลับไปและถูกให้ฟื้นคืนชีพเพื่อรับการตอบแทน?!
(23) จะให้ฉันเคารพบูชาพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ที่ทรงสร้างฉันมาด้วยการไปเคารพบูชาสิ่งที่ไม่ถูกต้องกระนั้นหรือ?! หากพระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงประสงค์ให้ความทุกข์ยากแก่ฉัน การช่วยเหลือของพวกเขาจะไม่ก่อประโยชน์อันใดแก่ฉันเลย เพราะพวกมันไม่ได้ครอบครองสิทธิ์ใดๆ ในการให้ประโยชน์หรือให้โทษแก่ฉันเลย และไม่สามารถที่จะช่วยฉันให้รอดพ้นจากสิ่งเลวร้ายที่อัลลอฮ์ประสงค์แก่ฉันได้หากฉันตายไปในสภาพที่ปฏิเสธศรัทธา
(24) แท้จริงถ้าฉันได้ยึดเอาพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ ฉันจะอยู่ในความผิดอย่างชัดเจนโดยที่ฉันเคารพภักดีผู้ที่ไม่สมควรที่จะเคารพภักดี และได้ละทิ้งการเคารพภักดีต่อผู้ที่สมควรแก่การเคารพภักดีนั้น
(25) แท้จริง โอ้กลุ่มชนเอ๋ย ฉันศรัทธาต่อพระผู้อภิบาลของฉันและพระผู้อภิบาลของพวกท่านทั้งหมด ดังนั้นพวกท่านจงฟังซิ ฉันไม่สนใจว่าพวกท่านกำลังขู่ว่าจะฆ่าฉัน ดังนั้นไม่มีสิ่งใดจากกลุ่มชนของเขานอกจากการฆ่าเขา ดังนั้นอัลลอฮ์จึงให้เขาเข้าสู่สวรรค์
(26) ได้มีเสียงกล่าวให้แก่เขาเพื่อเป็ฯการให้เกียรติเขาหลังจากที่เขาได้ตายชะฮีด ว่า "จงเข้าในสวรรค์ เมื่อเขาได้เข้าไปในสวรรค์แล้วได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น เขาได้กล่าวเชิงอวยพรให้ว่า "ขอให้กลุ่มชนของฉันที่ปฏิเสธฉันและฆ่าฉัน ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันจากการได้รับการอภัยต่อบาป และในสิ่งที่พระองค์ได้ให้เกียรติแก่ฉัน เพื่อพวกเขาจะได้ศรัทธาต่อพระองค์เสมือนในสิ่งที่ฉันได้ศรัทธา และได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกับที่ฉันได้รับผลตอบแทน"
(27) ได้มีเสียงกล่าวให้แก่เขาเพื่อเป็ฯการให้เกียรติเขาหลังจากที่เขาได้ตายชะฮีด ว่า "จงเข้าในสวรรค์ เมื่อเขาได้เข้าไปในสวรรค์แล้วได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น เขาได้กล่าวเชิงอวยพรให้ว่า "ขอให้กลุ่มชนของฉันที่ปฏิเสธฉันและฆ่าฉัน ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันจากการได้รับการอภัยต่อบาป และในสิ่งที่พระองค์ได้ให้เกียรติแก่ฉัน เพื่อพวกเขาจะได้ศรัทธาต่อพระองค์เสมือนในสิ่งที่ฉันได้ศรัทธา และได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกับที่ฉันได้รับผลตอบแทน"
(28) และเราไม่ได้ส่งทหารที่มาจากมลาอิกะฮ์จากฟากฟ้าลงมายังกลุ่มชนของเขาเพื่อทำลายพวกเขา หลังจากที่พวกเขาได้ปฏิเสธเขาและฆ่าเขา และเราจะไม่ส่งมลาอิกะฮ์มายังกลุ่มชนใดเมื่อเราต้องการทำลายพวกเขา เพราะการทำลายพวกเขานั้นเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเรา เราได้กำหนดการทำลายล้างพวกเขาด้วยเสียงกัมปนาทจากฟากฟ้า ไม่ใช่ด้วยการส่งมลาอิกะฮ์ลงมา
(29) มันมิใช่เรื่องราวความหายนะของกลุ่มชนของเขาอื่นใดเลย นอกจากเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียวที่เราได้ส่งไปยังพวกเขา แล้วเมื่อนั้นพวกเขาก็ดับเงียบบนพื้นดินโดยไม่มีใครเหลือ อุปมาพวกเขาเหมือนไฟไหม้และดับลงไม่เหลือซากใดๆ
(30) อนิจจาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในการสำนึกผิดและความเศร้าโศกของพวกเขาในวันกิยามะฮ์ เมื่อพวกเขาได้เห็นการลงโทษ นั่นก็เพราะว่าขณะที่พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกดุนยานั้น เมื่อใดก็ตามที่เราะสูลคนใดจากอัลลอฮ์มายังพวกเขา พวกเขาจะเยาะเย้ยและเย้ยหยันเขา ดังนั้นผลที่พวกเขาได้รับ คือความเสียใจในวันฟื้นคืนชีพที่พวกเขาได้ละเลยหน้าที่ของพวกเขาต่ออัลลอฮ์
(31) บรรดาผู้ปฏิเสธผู้เยาะเย้ยบรรดาเราะซูลเหล่านั้น พวกเขามิได้เห็นถึงบทเรียนของประชาชาติก่อนหน้าพวกเขาหรอกหรือ? ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นได้เสียชีวิตไป โดยที่เขาเหล่านั้นมิได้กลับมายังดุนยาอีกเลย แต่พวกเขาจะถูกนำไปสู่การทำงานของพวกเขาที่เคยกระทำไว้ และอัลลอฮ์จะทรงตอบแทนพวกเขาในการกระทำของพวกเขา
(32) และจะไม่มีประชาชาติใด แม้ประชาชาติเดียว นอกจากจะถูกนำมาต่อหน้าเราในวันกิยามะฮ์ หลังจากที่พวกเขาฟื้นคืนชีพ เพื่อเราจะตอบแทนพวกเขาตามการกระทำของพวกเขา
(33) หลักฐานประการหนึ่งสำหรับผู้ที่ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพ ว่าการฟื้นคืนชีพนั้นเป็นความจริง คือแผ่นดินที่แห้งแล้งนี้ เราได้ให้ฝนจากฟากฟ้าลงมาบนเขา และเราได้ทำให้พืชผลหลายชนิดได้งอกเงยออกมา และเราได้นำธัญพืชหลายชนิดมาเพื่อการบริโภคของมนุษย์ ดังนั้นผู้ที่สามารถชุบชีวิตให้แผ่นดินนี้ด้วยการส่งฝนลงมา และให้พืชผลต่างๆได้งอกเงยออกมานั้น แน่นอนเขาผู้นั้นย่อมสามารถชุบชีวิตคนตายและให้ฟื้นขึ้นมาได้เช่นกัน
(34) และเราได้ทำให้มีในแผ่นดินนี้ ที่เราได้ส่งฝนลงมานั้นด้วยสวนมากหลาย จากอินทผลัมและองุ่น และเราได้หลั่งจากแผ่นดินซึ่งตาน้ำเพื่อดื่มมัน
(35) เพื่อให้ผู้คนได้กินผลไม้จากสวนที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้พวกเขา โดยที่พวกเขาไม่ต้องพยายามอะไรเลย แล้วพวกเขาจะไม่ขอบคุณอัลลอฮ์ที่ได้ประทานสิ่งเหล่านี้แก่พวกเขา ด้วยการเคารพสักการะต่อพระองค์เพียงผู้เดียวและศรัทธาต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์หรือ?!
(36) มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ ผู้ทรงเดชานุภาพ ที่ทรงสร้างพืชและต้นไม้ต่างๆ และจากตัวของมนุษย์โดยสร้างมาเป็นคู่ ผู้ชายและผู้หญิงและสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้จากสิ่งถูกสร้างของอัลลอฮ์อื่นๆ ทั้งบนบกและในน้ำและอื่นๆ
(37) และสัญญาณประการหนึ่งสำหรับมนุษย์ที่ชี้ถึงความเป็นเอกภาพอัลลอฮ์นั้นคือเราได้ให้แสงแห่งความสว่างได้จากไป ด้วยการไปของกลางวันและการมาของกลางคืนเมื่อเราได้ถอนกลางวันออกจากมัน แล้วเราจะนำมาซึ่งความมืดหลังจากที่กลางวันจากไป ทันใดนั้นมนุษย์ก็จะเข้าไปอยู่ในความมืด
(38) และสัญญาณอีกประการหนึ่งที่ชี้ถึงการเป็นเอกภาพของอัลลอฮ์สำหรับพวกเขา คือดวงอาทิตย์จะโคจรตามวิถีที่อัลลอฮ์ทรงรู้ถึงความพอดีของมันไม่มีเกิน นั่นคือการกำหนดซึ่งเป็นการกำหนดของพระผู้ทรงอำนาจที่ไม่มีใครเทียบได้ ผู้ทรงรอบรู้และไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้นจากพระองค์ได้จากทุกกิจการของสิ่งถูกสร้างของพระองค์
(39) และสัญญาณอีกประการหนึ่งสำหรับพวกเขาที่บ่งบองถึงความเป็นเอกภาพของอัลลอฮ์ นั่นคือดวงจันทร์ที่เราได้กำหนดให้มันโคจรตามตำแหน่งในทุกๆคืน โดยจะเริ่มจากดวงเล็ก แล้วก็ใหญ่ขึ้นแล้วก็กลับมาเป็นดวงเล็กจงกระทั่งมันได้กลายมาเป็นเหมือนกิ่งอินทผลัมแห้ง ในความบาง โค้งงอ เหลือง และความยาวนานของมัน
(40) และสัญญาณของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กลางคืน และกลางวัน ถูกกำหนดด้วยการกำหนดจากอัลลอฮ์ และจะไม่มีการล้ำเส้นไปจากที่กำหนดไว้ ดังนั้นดวงอาทิตย์จะไม่ไล่ทันดวงจันทร์เพื่อเปลี่ยนเส้นทางหรือทำให้แสงของดวงจันทร์หายไป และกลางคืนก็จะไม่ล้ำหน้ากลางวัน โดยเข้าในเวลากลางวันก่อนที่จะหมดเวลาของกลางวัน และสิ่งถูกสร้างทั้งหมดนี้และดาวเคราะห์ดวงอื่นๆและการโคจร เส้นทางของมันนั้นจะมีเป็นการเฉพาะของพวกมันด้วยการกำหนดของอัลลอฮ์และการดูแลของพระองค์
(41) และสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกเขาที่แสดงถึงความเป็นเอกภาพของอัลลอฮ์เช่นเดียวกัน และแสดงถึงความโปรดปราณของพระองค์ต่อปวงบ่าวของพระองค์นั่นคือ เราได้บรรทุกผู้ที่รอดจากน้ำท่วมจากลูกหลานของอาดัมในสมัยนูฮไว้บนเรือที่เต็มไปด้วยสิ่งตางๆของอัลลอฮ์ และแท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงบรรทุกไว้ในเรือนั้นซึ่งทุกสิ่งเป็นคู่ๆ
(42) และสัญญาณสำหรับพวกเขาที่แสดงถึงความเป็นเอกภาพและความโปรดปราณของพระองค์ต่อปวงบ่าวของพระองค์ คือการที่เราได้สร้างให้พวกเขาซึ่งเสมือนกับเรือของนูฮเพื่อให้พวกเขาขับขี่
(43) และถ้าเราต้องการที่จะให้พวกเขาจมน้ำ เราก็สามารถจมพวกเขาได้ แล้วจะไม่มีผู้ใดช่วยเหลือพวกเขาหากเราต้องการที่จะให้พวกเขาจม และจะไม่มีผู้ใดเป็นผู้ช่วยเหลือเมื่อพวกเขาได้จมน้ำตายด้วยคำสั่งและคำตัดสินของเรา
(44) เว้นแต่เราจะเมตตาพวกเขาโดยให้พวกเขาได้รอดจากการจมน้ำและให้พวกเขาได้กลับมีความสุขจนถึงเวลาที่กำหนดซึ่งจะไม่เกินไปกว่านั้น หวังว่าพวกเขาจะไตร่ตรองแล้วศรัทธา
(45) และเมื่อได้มีการกล่าวแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีที่ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นว่า "จงระวังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเจ้าในเรื่องของอาคิเราะฮ์และความยากลำบากของมันเถิด และจงระวังดุนยาที่กำลังจะล่วงไป เพื่อหวังว่าอัลลอฮ์จะทรงโปรดปรานพวกเจ้าด้วยความเมตตาของพระองค์" พวกเขาไม่ปฏิบัติตาม แต่พวกเขาผินหลังให้โดยไม่สนใจ
(46) และเมื่อใดก็ตามที่โองการต่างๆของอัลลอฮ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกภาพของพระองค์และบ่งบอกถึงความเป็นสิทธิสำหรับพระองค์เพียงหนึ่งเดียวที่ควรแก่การทำอิบาดะฮ์ได้มายังบรรดาผู้ตั้งภาคี พวกเขาเหล่านั้นจะผินหลังให้แก่โองการเหล่านั้น โดยไม่พิจารณาใดๆต่อมัน
(47) และเมื่อมีการกล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธว่า "พวกท่านจงช่วยเหลือบรรดาผู้ขัดสนและยากไร้ จากทรัพย์สินที่อัลลอฮ์ทรงประทานเป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า" พวกเขาก็ะตอบโต้โดยกล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาว่า "เราจะให้อาหารแก่ผู้ที่หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์จะให้อาหารแก่เขา แน่นอนพระองค์ก็จะให้แก่เขากระนั้นหรือ?! ดังนั้นพวกเราจะไม่ละเมิดความประสงค์ของพระองค์ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกท่านมิใช่อื่นใดเลยนอกจากอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้งและห่างไกลจากความจริง"
(48) และบรรดาผู้ปฏิเสธที่ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพ พวกเขากล่าวว่า "โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย การฟื้นคืนชีพจะมาถึงเมื่อใดเล่า หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริงในสิ่งที่พวกท่านได้พูดถึงว่ามันจะเกิดขึ้นจริง?!
(49) บรรดาผู้ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพมิได้คอยสิ่งใดเลยนอกจากเสียงสังข์ครั้งแรกขณะที่สังข์ถูกเป่า แล้วเสียงนั้นก็มายังพวกเขาโดยทันทีที่พวกเขาอยู่ในความลุ่มหลงทางโลกของพวกเขาซึ่งการซื้อขาย การเกษตรและปศุสัตว์และอื่นๆ
(50) เมื่อเสียงจากการเป่าสังข์มายังพวกเขาอย่างกะทันหัน พวกเขาไม่สามารถจะสั่งเสียกันและกันได้ และไม่สามารถจะกลับไปยังบ้านและครอบครัวของพวกเขาได้ แต่พวกเขาจะตาย ในความลุ่มหลงนี้
(51) และสังข์ก็จะถูกเป่าขึ้นเป็นครั้งที่สองเพื่อฟื้นคืนชีพ ทันใดนั้นพวกเขาทั้งหมดจะออกจากหลุมฝังศพของพวกเขาไปยังพระผู้อภิบาลของพวกเขา อย่างรีบเร่งเพื่อรับการตัดสินและรับผลตอบแทน
(52) บรรดาผู้ปฏิเสธที่ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพเหล่านั้นได้กล่าวด้วยความเสียใจว่า "โอ้ความหายนะที่ประสบแก่เรา ใครกันเล่าที่ทำให้เราฟื้นขึ้นจากหลุ่มฝังศพของเรา?!" และก็มีการตอบต่อคำถามของพวกเขาว่า "นี่แหละคือสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงสัญญาไว้ แท้จริงมันต้องเกิดขึ้น และบรรดาเราะสูลมีความสัตย์จริงต่อสิ่งที่พวกเขาได้ประกาศไว้จากพระผู้อภิบาลของพวกเขา"
(53) การฟื้นคืนชีพจากหลุมฝังศพนั้นมิใช่อื่นใดเลยนอกจากเป็นผลของเสียงกัมปนาทครั้งที่สอง แล้วเมื่อนั้นพวกเขาทั้งหมดก็จะถูกนำมาปรากฏต่อหน้าเราในวันกิยามะฮ์เพื่อสอบสวน
(54) ในวันนั้นการตัดสินจะเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม โอ้ ปวงบ่าวเอ๋ย พวกท่านจะไม่ถูกอธรรมแต่ประการใดเลย จะด้วยการเพิ่มของความชั่วหรือการลดลงของความดี แต่พวกท่านจะได้รับการตอบแทน ในสิ่งที่พวกท่านได้ปฏิบัติไว้ในดุนยา
(55) แท้จริงบรรดาชาวสวรรค์ในวันกิยามะฮ์นั้นไม่ว่างที่จะคิดถึงคนอื่น เพราะพวกเขาได้เห็นความสุขนิรันดร์ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แล้วพวกเขาจะเพลิดเพลินไปกับสิ่งนั้นอย่างมีความสุข
(56) พวกเขาและคู่ครองของพวกเขาต่างก็มีความสุขกันอยู่บนเตียงภายใต้ร่มเงาของสวรรค์
(57) สำหรับพวกเขาในสรวงสวรรค์นั้นจะมีผลไม้มากมายหลายชนิด เช่น องุ่น มะเดื่อ และทับทิม และสำหรับพวกเขาจะมีทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการที่มีรสชาติและความสุขสำราญที่หลากหลายประเภท โดยทุกสิ่งที่พวกเขาขอนั้น มันจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา
(58) และสำหรับพวกเขาที่เหนือกว่าความสุขสำราญนั้นคือ คำกล่าว "การให้สลาม"(ความสันติเกิดขึ้นกับพวกเขา) ซึ่งเป็นคำให้สลามจากพระเจ้าผู้ทรงเมตตาพวกเขา เมื่อพระองค์ได้ให้สลามแก่พวกเขา ความสันติสุขก็จะเกิดขึ้นกับพวกเขาในทุกๆด้าน และพวกเขาจะได้รับคำทักทายที่ไม่มีคำทักทายใดๆที่สูงส่งไปกว่านี้
(59) และมีคนกล่าวแก่บรรดาผู้ตั้งภาคีในวันกิยามะฮ์ว่า "พวกเจ้าจงแยกตัวออกจากบรรดาผู้ศรัทธาเถิด พวกเจ้าไม่เหมาะที่จะอยู่ร่วมกับพวกเขา เพราะความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนของพวกเจ้ากับผลตอบแทนของพวกเขา และความแตกต่างระหว่างคุณลักษณะของพวกเจ้ากับของพวกเขา
(60) ข้ามิได้สั่งเสียและบัญชาพวกเจ้าผ่านคำพูดของเราะสูลของข้าและได้บอกถึงพวกเจ้าหรอกหรือ โอ้ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย! พวกเจ้าอย่าได้เคารพบูชาชัยฏอนมารร้ายด้วยการปฏิบัติสิ่งที่เป็นการเนรคุณประเภทต่างๆและความชั่วต่างๆ แท้จริงชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจสำหรับพวกเจ้า ดังนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรสำหรับผู้ที่มีสติปัญญาจะเคารพบูชาผู้ที่เป็นศัตรูของเขาที่แสดงออกถึงความเป็นศัตรูอย่างชัดแจ้ง?
(61) และข้าได้สั่งพวกเจ้า โอ้ ลูกหลานอาดัมเอ๋ย ให้เคารพภักดีต่อข้าเพียงองค์เดียว และจงอย่าทำภาคีต่อสิ่งใดๆ พร้อมกับข้า เพราะการทำอิบาดะฮ์ต่อข้าและเชื่อฟังข้าผู้เดียวนั้น คือ เส้นทางที่เที่ยงตรงที่จะนำไปสู่ความพึงพอใจของข้าและสู่สรวงสวรรค์ แต่พวกเจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามในสิ่งที่ข้าสั่งเสียและสั่งให้พวกเจ้าปฏิบัติ
(62) และโดยแน่นอนชัยฏอนได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากจากพวกเจ้าหลงทาง พวกท่านไม่มีสติปัญญาหรอกหรือที่จะคอยสั่งให้พวกเจ้าเชื่อฟังพระเจ้าของพวกเจ้าและเคารพสักการะพระองค์เพียงองค์เดียวและคอยห้ามพวกเจ้าจากการเชื่อฟังชัยฏอนที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเจ้า?!
(63) นี่คือนรกญะฮันนัม ซึ่งพวกเจ้าถูกสัญญาไว้ในดุนยาต่อการปฏิเสธของพวกเจ้า และมันเคยเป็นสิ่งที่เร้นลับสำหรับพวกเจ้า แต่วันนี้พวกเจ้าจะเห็นมันด้วยสายตาของพวกเจ้า
(64) วันนี้พวกเจ้าจงเข้าไปในนรกญะฮันนัม และจงรับความทุกข์ทรมานจากความร้อนของมัน เนื่องจากการปฏิเสธของพวกเจ้าต่ออัลลอฮ์ในชีวิตบนโลกดุนยาของพวกเจ้า
(65) วันนี้(วันกิยามะฮ์)เราจะปิดผนึกปากของพวกเขา พวกเขาจะกลายเป็นใบ้จะไม่สามารถพูดปฏิเสธในสิ่งที่เขาได้กระทำซึ่งความอธรรมและบาปต่างๆได้ และมือของพวกเขาจะพูดแก่เราในสิ่งที่ได้ทำมาในดุนยา และเท้าของพวกเขาจะเป็นพยานตามที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ซึ่งความชั่วและที่ได้เดินไปหามัน
(66) และหากเราประสงค์ให้ตาของพวกเขาบอดลง เราก็จะทำให้เขาตาบอดและไม่สามารถมองเห็นอะไรเลย จากนั้นพวกเขาก็รีบไปที่สะพานเพื่อข้ามไปยังสวรรค์ และช่างไกลนักที่พวกเขาจะข้ามไปได้เพราะการมองเห็นของพวกเขาได้จากพวกเขาไปแล้ว
(67) และหากเราประสงค์ที่จะแปลงรูปของพวกเขาและให้พวกเขานั่งบนเท้าของพวกเขา เราก็จะแปลงรูปของเขาและให้เขานั่งบนเท้าของพวกเขา แล้วพวกเขาก็ไม่สามารถออกจากที่ของพวกเขาได้ พวกเขาไม่สามารถที่จะเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้
(68) และผู้ใดที่เราทำให้เขามีชีวิตยืนยาวขึ้นแล้วเราจะให้เขาไปยังช่วงที่อ่อนแอ พวกเขาจะไม่ใช้สติปัญญาใคร่ครวญและรู้ว่าสถานที่นี้ไม่ใช่สถานที่คงอยู่และอมตะ และสถานที่ที่นิรันดร์คือปรโลก
(69) และเรามิได้สอน บทกวีแก่มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และไม่เหมาะสมสำหรับเขาที่จะเป็นนักกวี เพราะมันมิใช่ลักษณะนิสัยของเขา และไม่จำเป็นต้องตามกลุ่มชนของเขาเพื่อที่พวกท่านจะได้อ้างว่าเขาเป็นนักกวี สิ่งที่เราได้สอนเขานั้นมันไม่ใช่สิ่งอื่นใดเลยนอกจากเป็นข้อตักเตือนและเป็นคัมภีร์อันชัดแจ้งสำหรับผู้ที่พินิจพิจารณา
(70) เพื่อเตือนผู้ที่หัวใจของเขายังมีชีวิต ผู้ที่หยั่งรู้ เขาคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากมันจริงๆ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาสมควรที่จะได้รับการลงโทษ เมื่อหลักฐานของเราให้ปรากฏแก่พวกเขา ดังนั้นไม่มีสำหรับพวกเขาข้อแก้ตัวใดๆ
(71) และพวกเขามิได้พิจารณาดูดอกหรือว่า เราได้สร้างปศุสัตว์ขึ้นมา แล้วพวกเขาก็ได้ครอบครองมัน และใช้มันเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกเขา
(72) และเราได้ให้ความง่ายดายและทำให้มันยอมจำนนแก่พวกเขา และบางชนิดมันก็เป็นพาหนะใช้ขี่หลังและบรรทุกสัมภาระแก่พวกเขา และบางชนิดพวกเขาก็ใช้กินเป็นอาหาร
(73) และพวกเขายังได้รับประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย นอกเหนือจากการขี่และกินเนื้อของมัน เช่น ขนของมัน หนัง และราคาของมัน บางส่วนพวกเขาก็ทำเป็นพรมและเสื้อผ้า พวกเขายังทำเป็นเครื่องดืมที่มาจากน้ำนมของมัน แล้วพวกเขาจะไม่ขอบคุณอัลลอฮ์ที่ได้ทรงประทานความโปรดปรานเหล่านี้และอื่นๆ แก่พวกเขากระนั้นหรือ?!
(74) และบรรดาผู้ตั้งภาคีได้ยึดเอาพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์เป็นที่เคารพสักการะ หวังว่าพระเจ้าเหล่านั้นจะช่วยเหลือพวกเขา แล้วช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์
(75) พระเจ้าที่พวกเขาเคารพสักการะนั้นไม่สามารถช่วยเหลือตัวของพวกมันเองได้ และไม่สามารถช่วยเหลือผู้ที่เคารพสักการะพวกมันอื่นจากอัลลอฮ์ได้เช่นกัน ในขณะที่พวกเขาและบรรดาเทวรูปของพวกเขาทั้งหมดจะถูกนำมาปรากฏตัวสู่การลงโทษ พวกเขาต่างก็จะปฏิเสธซึ่งกันและกัน
(76) ดังนั้นเจ้า โอ้ เราะสูลเอ๋ย อย่าได้ให้คำพูดของพวกเขาเป็นที่เสียใจแก่เจ้าเลย ที่ว่า แท้จริงเจ้านั้นไม่ใช่ผู้ที่ถูกส่งมา หรือเจ้านั้นเป็นนักกวีและอื่นๆจากการโกหกของพวกเขา แท้จริงเรารู้ดีถึงสิ่งที่พวกเขาปิดบัง และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้นจากเราและเราจะตอบแทนการกระทำของพวกเขา
(77) มนุษย์ที่ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพจากความตาย มิได้คิดดูหรอกหรือว่าเราได้บังเกิดเขามาจากน้ำอสุจิ จากนั้นเขาก็ผ่านหลายขั้นตอนก่อนที่เขาจะเกิดและเติบโตในที่สุดจากนั้นเขาก็กลายเป็นคนที่ถกเถียงและโต้เถียงกันมาก เขามิได้พิจารณาดูถึงสิ่งนั้นเพื่อเป็นการยืนยันถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการฟื้นคืนชีพหรอกหรือ?!
(78) ผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่รู้อะไรเลย ที่เอากระดูกที่สึกหรอมาเป็นหลักฐานที่บ่งบอกถึงความเป็นไปไม่ได้ของการฟื้นคืนชีพ และกล่าวว่า ใครกันเล่าที่จะทำให้มันกลับคืน? และเขาลืมถึงที่มาของเขาเอง นั่นคือจากความว่างเปล่า
(79) โอ้ มุฮัมมัด จงตอบพวกเขาเถิดว่า ผู้ที่จะให้กระดูกที่เป็นผุยผงนั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งนั้น คือผู้ที่เคยให้กำเนิดมันครั้งแรก ดังนั้นผู้ที่เคยสร้างมันมาในครั้งแรกก็ย่อมสามารถที่จะสร้างให้มันกลับมีชีวิตอีกครั้ง เขาคือพระองค์ผู้สูงส่ง ผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนเร้นจากพระองค์ได้
(80) ผู้ทรงทำให้พวกเจ้า โอ้ มวลมนุษย์เอ๋ย ได้มีไฟจากต้นไม้เขียวชื้น ดังนั้นพวกเจ้าก็ได้จุดมันจากเชื้อไฟนั้น ดังนั้นผู้ที่สามารถรวมสองสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน ระหว่างความชื้นของต้นไม้ กับไฟที่ลุกไหม้ได้นั้น แน่นอนเขาผู้นั้นย่อมสามารถทำการฟื้นชีพคนที่ตายได้
(81) พระองค์ผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินสิ่งที่อยู่ในทั้งสองนั้นซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ จะไม่ทรงสามารถที่จะฟื้นคืนชีพคนตายหลังจากการตายของพวกเขากระนั้นหรือ? แน่นอน แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงสามารถ และพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ผู้ทรงรอบรู้ จะไม่มีสิ่งใดถูกซ่อนไว้ต่อพระองค์
(82) แท้จริงพระบัญชาของอัลลอฮ์ เมื่อพระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด พระองค์ก็จะตรัสแก่สิ่งนั้นว่า จงเป็น แล้วมันก็จะเป็นไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์ และหนึ่งในความประสงค์ของพระองค์นั้นคือการให้ชีวิต การให้ตาย การฟื้นคืนชีพและอื่นๆ
(83) ดังนั้น มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์และยิ่งใหญ่เหนือสิ่งที่บรรดาผู้ตั้งภาคีกล่าวถึงพระองค์ว่า พระองค์นั้นอ่อนแอ ซึ่งแท้จริงแล้วพระองค์คือผู้ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่งและทรงจัดการในสิ่งนั้นตามที่พระองค์ทรงประสงค์ กุญแจของทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และพวกเจ้าจะถูกนำกลับไปยังพระองค์เพียงองค์เดียวในวันปรโลก แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนการงานของพวกท่าน