(1) เรื่องลักษณะเหล่านี้ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์
(2) อัลกุรอานถูกประทานลงมาให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จากอัลลอฮ์ผู้ทรงเดชานุภาพ ซึ่งไม่มีผู้ใดจะมีอำนาจเหนือพระองค์ได้ ผู้ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ปวงบ่าว
(3) ผู้ทรงอภัยโทษบาปต่าง ๆ ของผู้กระทำผิด ผู้ทรงตอบรับการเตาบะฮ์(การกลับตัวสำนึกผิด)ของบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษผู้ที่ไม่เตาบะฮ์(กลับตัวสำนึกผิด)จากบาปต่าง ๆ ของเขา ผู้ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความโปรดปราน ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ ยังพระองค์เท่านั้นที่ปวงบ่าวจะต้องกลับไปในวันกียามะฮ์ แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาสมควรจะได้รับ
(4) ไม่มีผู้ใดที่จะโต้เถียงในโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์ที่บ่งบอกถึงการให้เอกภาพต่อพระองค์และความสัจจะของบรรดาเราะซูลของพระองค์ เว้นแต่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์เนื่องด้วยความเสื่อมเสียทางสติปัญญาของพวกเขา ดังนั้นเจ้าอย่าได้เศร้าโศกกับพวกเขา และอย่าได้ให้สถานะความเป็นของพวกเขาที่เต็มไปด้วยปัจจัยยังชีพและความผาสุขมาล่อลวงเจ้า เพราะการประวิงพวกเขานั้นเป็นการล่อใจและล่อลวงพวกเขา
(5) ก่อนหน้าพวกเขานั้นได้มีกลุ่มชนของนูห์และพลพรรคต่าง ๆ หลังจากกลุ่มชนของนูห์ที่ได้ปฏิเสธมาก่อนแล้ว เช่น อ๊าด ษะมูด กลุ่มชนของลูฏ ชาวมัดยัน และฟิรเอาน์ และทุก ๆ ประชาชาติได้ตั้งใจที่จะจับฆ่าเราะซูลของพวกเขา พวกเขาได้โต้เถียงด้วยความเท็จที่พวกเขามีอยู่เพื่อที่จะลบล้างความจริงให้สูญสิ้นไป ดังนั้น ข้าจึงได้ลงโทษกลุ่มชนดังกล่าวทั้งหมด จงคิดเถิดว่า การลงโทษของข้าที่มีต่อพวกเขานั้นได้เป็นเช่นไร แน่นอนมันเป็นการลงโทษที่รุนแรงสาหัส
(6) และตามที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดทำลายล้างประชาชาติต่าง ๆ ที่โกหกดังกล่าวแล้ว ประกาศิตแห่งพระเจ้าของเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย ก็ได้เป็นจริงกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาว่าพวกเขาเป็นชาวนรก
(7) โอ้เราะซูลเอ๋ย บรรดามะลาอีกะฮ์ที่แบกบัลลังก์ของพระเจ้าของเจ้า และบรรดามะลาอีกะฮ์ที่อยู่รอบ ๆ บัลลังก์นั้น ต่างก็แซ่ซ้องสดุดีให้ความบริสุทธิ์ต่อพระเจ้าของพวกเขาจากสิ่งที่ไม่คู่ควรกับพระองค์ ศรัทธาต่อพระองค์ และขออภัยโทษให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ โดยกล่าวในคำวิงวอนของพวกเขาว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา ความรู้และความเมตตาของพระองค์ได้ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยโทษแก่บรรดาผู้ที่เตาบะฮ์(กลับตัวสำนึกผิด)ต่อบาปต่าง ๆ ของพวกเขาและดำเนินตามแนวทางของพระองค์ท่าน และทรงโปรดคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากไพนรก
(8) มะลาอีกะฮ์กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์ของเรา และขอพระองค์ทรงโปรดให้บรรดาผู้ศรัทธาเข้าสวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพรที่พระองค์ได้ทรงสัญญาแก่พวกเขา พร้อมทั้งให้บรรดาผู้กระทำความดีจากบรรพบุรุษของพวกเขา คู่ครองของพวกเขา และลูกหลานของพวกเขาเข้าสวนสวรรค์ร่วมกับพวกเขาด้วย แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงมีอำนาจที่ไม่มีใครเหนือพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณในการกำหนดและการจัดการของพระองค์
(9) และทรงโปรดคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากความชั่วร้ายของการงานของพวกเขาโดยไม่ลงโทษพวกเขาเนื่องด้วยการงานที่ชั่วร้ายนั้น และผู้ใดที่พระองค์ทรงคุ้มครองให้พ้นจากความชั่วร้ายทั้งหลายของเขาในวันกิยามะฮ์ แน่นอนพระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแก่เขาแล้ว การป้องกันจากการลงโทษและการมีเมตตาให้ได้เข้าสวนสวรรค์ดังกล่าวนั้น คือชัยชนะที่ใหญ่หลวงที่ไม่มีชัยชนะใดสามารถเทียบได้
(10) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาเราะซูลของพระองค์จะถูกเรียกในวันกียามะฮ์ในขณะที่พวกเขาเข้านรกและรังเกียจพร้อมกับสาปแช่งตัวเองว่า แน่นอนการโกรธกริ้วของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้านั้นมันรุนแรงยิ่งกว่าการโกรธของพวกเจ้าที่มีต่อตัวของพวกเจ้าเองเสียอีกในตอนที่พวกเจ้าถูกเชิญชวนให้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ในโลกดุนยา แล้วพวกเจ้าก็ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ และนำรูปปั้นต่าง ๆ มาเคารพบูชาพร้อมกับพระองค์
(11) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวโดยสารภาพบาปของพวกเขาในตอนที่การสารภาพบาปและการเตาบะฮ์(การกลับตัวสำนึกผิด)ของพวกเขาไร้ประโยชน์ว่า ข้าแต่พระเจ้าของเรา พระองค์ได้ทรงให้เราตายสองครั้ง โดยที่เราไม่เคยมีมาก่อน แล้วพระองค์ได้ทรงบังเกิดพวกเราขึ้นมา จากนั้นพระองค์ได้ทรงให้พวกเราเสียชีวิต และพระองค์ได้ทรงให้พวกเรามีชีวิตสองครั้ง ด้วยการบังเกิดพวกเราจากที่ไม่เคยมีและให้พวกเรามีชีวิตอีกครั้งในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ แล้วพวกเราก็ได้สารภาพบาปต่าง ๆ ที่พวกเราได้กระทำมาทั้งหมดแล้ว ดังนั้นพอจะมีแนวทางให้พวกเราได้ออกจากไฟนรกไหม แล้วพวกเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตใหม่เพื่อแก้ไขการงานต่าง ๆ ของพวกเราให้ดีขึ้น แล้วพระองค์ก็จะได้พอพระทัยต่อพวกเรา?
(12) การลงโทษที่พวกเจ้าถูกทรมานนั้น เนื่องจากเมื่อมีการเชิญชวนให้เคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์พระองค์เดียวพวกเจ้าก็ปฏิเสธศรัทธาและตั้งภาคีต่อพระองค์ และเมื่อมีการเคารพสิ่งอื่นพร้อมกับอัลลอฮ์พวกเจ้าก็ศรัทธา ดังนั้น การตัดสินชี้ขาดเป็นสิทธิของอัลลอฮ์พระองค์เดียว ผู้ทรงสูงส่งด้วยตัวของพระองค์เองและด้วยอำนาจความสามารถของพระองค์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่หนือทุกสิ่ง
(13) พระองค์นั้นเป็นผู้แสดงให้พวกเจ้าเห็นถึงสัญญาณทั้งหลายของพระองค์ที่มีอยู่ในจักรวาลและในชีวิตต่างๆ เพื่อบ่งบอกแก่พวกเจ้าถึงพลังอำนาจและความเป็นเอกภาพของพระองค์เพียงผู้เดียว และพระองค์ได้ทรงประทานน้ำฝนให้ตกลงมาจากฟากฟ้าแก่พวกเจ้าเพื่อเป็นต้นเหตุให้พวกเจ้าได้รับปัจจัยยังชีพจากพืชผล การเพาะปลูก และอื่นๆ และจะไม่มีใครใคร่ครวญต่อสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ์ นอกจากผู้ที่กลับใจสู่พระองค์ด้วยการเตาบะฮ์(สำนึกผิด)ที่บริสุทธิ์
(14) ดังนั้น โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าจงวิงวอนต่ออัลลอฮ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ในการเคารพภักดีและในการวิงวอนขอโดยไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์ แม้ว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะเกลียดชังหรือโกรธก็ตาม
(15) พระองค์คือผู้มีสิทธิได้รับความบริสุทธิ์ใจในการวิงวอนขอและในการเคารพภักดี ผู้ทรงตำแหน่งอันสูงส่งที่แตกต่างกับสิ่งถูกสร้างทั้งหมด พระองค์คือพระเจ้าแห่งบังลังก์ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงประทานวะห์ยูแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ เพื่อเป็นทางนำแก่เขาและคนอื่น ๆ และเพื่อให้มนุษย์เกรงกลัววันกิยามะฮ์ ซึ่งเป็นวันที่มีการพบปะกันระหว่างมนุษย์รุ่นแรกและมนุษย์รุ่นหลัง
(16) ในวันที่พวกเขาปรากฏตัว พวกเขาได้รวมตัวกันอยู่ในพื้นดินเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดของพวกเขาที่จะซ่อนเร้นไปจากอัลลอฮ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวตนของพวกเขาเองหรือการกระทำของพวกเขาหรือผลตอบแทนของพวกเขา พระองค์จะถามว่า อำนาจในวันนี้เป็นของผู้ใดเล่า? ณ เวลานี้ไม่มีคำตอบใดนอกจากคำตอบเดียวว่า แน่นอนอำนาจครอบครองเป็นของอัลลอฮ์พระองค์เดียว ทั้งในตัวตนของพระองค์ คุณลักษณะของพระองค์ และการกระทำของพระองค์ ผู้ทรงพิชิตที่พิชิตทุกสิ่งทุกอย่างและทุกสิ่งทุกอย่างยอมจำนนต่อพระองค์
(17) ในวันนี้ (วันกียามะฮ์) ทุกชีวิตจะได้รับการตอบแทนตามการงานที่ได้กระทำไว้ ถ้าทำดีก็จะได้รับผลดี และถ้าทำชั่วก็จะได้รับผลชั่ว ไม่มีการอธรรมใด ๆ ในวันนี้ เพราะผู้ตัดสินนั้นคืออัลลอฮ์ผู้ทรงเที่ยงธรรม แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงฉับพลันในการสอบสวนแก่ปวงบ่าวของพระองค์ เนื่องด้วยความรู้ที่ครอบคลุมรอบด้านของพระองค์ที่มีต่อพวกเขา
(18) และเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย จงตักเตือนพวกเขาให้กลัววันกียามะฮ์ ซึ่งวันกียามะฮ์ที่เข้าใกล้เข้ามานี้มันจะมาอย่างแน่นอนและทุก ๆ สิ่งที่กำลังมามันใกล้ทุกขณะ ในวันกิยามะฮ์ดังกล่าวหัวใจจะขึ้นไปอยู่ที่คอหอยของแต่ละคนเนื่องด้วยความหวาดกลัวยิ่งของมัน พวกเขาจะเงียบกริบไม่มีใครพูดเลยในหมู่พวกเขานอกจากผู้ที่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้าผู้ทรงกรุณาปรานี และสำหรับบรรดาผู้อธรรมต่อตัวของพวกเขาเองด้วยการตั้งภาคีและการกระทำบาปจะไม่มีมิตร ไม่มีญาติ และไม่มีผู้ช่วยเหลือคนใดที่จะถูกเชื่อฟังหากเขาได้รับโอกาศในการให้ความช่วยเหลือ
(19) อัลลอฮ์ทรงรู้ดีถึงสิ่งที่สายตาฉุดมองอย่างลับ ๆ และทรงรู้ดีถึงสิ่งที่ทรวงอกปิดบังไว้ ไม่มีสิ่งใดจากสิ่งดังกล่าวที่จะปกปิดพระองค์ได้เลย
(20) และอัลลอฮ์ทรงตัดสินด้วยความยุติธรรม พระองค์ไม่อธรรมแก่ผู้ใดด้วยการลดความดีต่าง ๆ ของเขาและไม่เพิ่มความชั่วต่าง ๆ แก่เขา และบรรดารูปเจว็ดที่บรรดาผู้ตั้งภาคีกราบไหว้พวกเขานอกจากอัลลอฮ์นั้น พวกเขาไม่อาจตัดสินใด ๆ ได้เลย เพราะพวกเขาไม่มีกรรมสิทธิ์ใด ๆ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยินในคำพูดของปวงบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงมองเห็นเจตนาและการงานต่าง ๆ ของพวกเขา และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาตามการงานนั้น
(21) บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายมิได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินดอกหรือ แล้วพิจารณาดูว่าบั้นปลายของประชาชาติที่ปฏิเสธในยุคก่อนหน้าพวกเขาเป็นเช่นใด พวกเขาเหล่านั้นจบด้วยสภาพที่ไม่ดี ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นมีพลังที่เข้มแข็งกว่าบรรดาผู้ตั้งภาคี และได้สร้างร่องรอยสถาปัตยกรรมไว้บนหน้าแผ่นดินโดยที่บรรดาผู้ตั้งภาคีไม่เคยสร้างมาก่อน แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงลงโทษพวกเขาด้วยบาปต่าง ๆ ของพวกเขา โดยที่ไม่มีผู้ใดที่จะห้ามหรือช่วยปกป้องพวกเขาให้พ้นจากบทลงโทษของอัลลอฮ์ได้
(22) บทลงโทษที่ประสบกับพวกเขานั้น มันเกิดขึ้นเนื่องจากบรรดาเราะซูลของพวกเขาได้มายังพวกเขาด้วยหลักฐานอันชัดแจ้งและเหตุผลอันงดงาม แต่พวกเขาได้กลับปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และไม่เชื่อฟังบรรดาเราะซูลของพระองค์ และทั้ง ๆ ที่พวกเขามีพลังแข็งแรง แน่นอนอัลลอฮ์ก็ยังได้ลงโทษพวกเขาให้ตายพินาศ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษสำหรับผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์และไม่เชื่อฟังบรรดาเราะซูลของพระองค์
(23) และเราได้ส่งมูซาด้วยสัญญาณต่าง ๆ ของเราอันชัดแจ้งและด้วยหลักฐานอันเด็ดขาด
(24) ส่งไปยังฟิรเอานฺ รัฐมนตรีของเขาฮามาน และกอรูน พวกเขากล่าวว่า มูซานั้นเป็นนักมายากลที่โกหกในสิ่งที่เขาอ้างว่าตัวเองนั้นเป็นท่านเราะซูล
(25) ครั้นเมื่อมูซาได้มายังพวกเขาด้วยหลักฐานที่บ่งบอกถึงสัจธรรมของเขา ฟิรเอาน์ก็กล่าวว่า จงฆ่าบรรดาลูกชายของผู้ศรัทธาร่วมกับเขา และไว้ชีวิตผู้หญิงของพวกเขาเพื่อเป็นการเหยียดหยาม และแผนการของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่จะลดจำนวนผู้ศรัทธามิใช่อื่นใดนอกจากเป็นแผนการที่สูญเปล่าหายไปเท่านั้นโดยไม่มีผลใด ๆ เลย
(26) และฟิรเอาน์กล่าวว่า จงปล่อยฉัน ฉันจะฆ่ามูซาเพื่อเป็นการลงโทษเขา และให้เขาวิงวอนต่อพระเจ้าของเขาให้เขาปลอดภัยจากฉัน ซึ่งฉันจะไม่สนใจที่เขาจะวิงวอนต่อพระเจ้าของเขา แท้จริงฉันเกรงว่าเขาจะเปลี่ยนศาสนาของพวกเจ้าที่พวกเจ้าศรัทธาอยู่ หรือจะก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดินด้วยการฆ่าและการก่อวินาศกรรม
(27) และมูซากล่าวหลังจากที่รู้ถึงคำข่มขู่ของฟิรเอาน์ต่อเขาว่า แท้จริงฉันขอความคุ้มครองต่อพระเจ้าของฉันและพระเจ้าของพวกเจ้าเช่นกันให้พ้นจากผู้หยิ่งผยองทุกคนที่ไม่ศรัทธาต่อสัจธรรม รวมถึงไม่ศรัทธาต่อวันกิยามะฮ์และสิ่งที่มีอยู่ในวันนั้น เช่น การสอบสวนและการลงโทษ
(28) และชายคนหนึ่งที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์จากพวกพ้องของฟิรเอาน์ที่ปกปิดการศรัทธาของเขาไม่ให้กลุ่มชนของเขารับรู้ ได้กล่าวปฏิเสธข้ออ้างของกลุ่งชนของเขาที่จะฆ่ามูซาว่า พวกเจ้าจะฆ่าชายคนหนึ่งที่ไม่ได้กระทำผิดอะไร เพียงแต่เขาได้กล่าวว่า พระเจ้าของฉันคืออัลลอฮ์กระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เขาได้นำมาซึ่งหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่บ่งบอกถึงความจริงว่าเขานั้นถูกส่งมาจากพระเจ้าของเขา ซึ่งถ้าสมมติว่าเขาเป็นคนโกหก โทษของการโกหกก็จะกลับไปที่เขา แต่ถ้าหากว่าเขาเป็นคนสัตย์จริง ส่วนหนึ่งจากการลงโทษที่เขาได้สัญญาไว้กับพวกเจ้าก็จะประสบกับพวกเจ้าโดยเร็ว แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้แนะสัจธรรมแก่ผู้ที่ละเมิดขอบเขต และใส่ร้ายพระองค์และบรรดาเราะซูลของพระองค์
(29) โอ้ หมู่ชนของฉันเอ๋ย วันนี้อำนาจการปกครองในแผ่นดินอียิปต์เป็นของพวกเจ้า แล้วใครเล่าจะช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ หากมันได้เกิดขึ้นกับเราด้วยเหตุการฆ่ามูซา ฟิรเอาน์ก็ได้กล่าวว่า ความคิดเห็นต้องเป็นของฉันและการตัดสินก็ต้องเป็นของฉัน ฉันได้ตัดสินแล้วว่า ฉันจะต้องฆ่ามูซา เพื่อปกป้องความชั่วร้ายและความเสียหาย และฉันไม่ได้ชี้แนะพวกเจ้าเว้นแต่ในเรื่องที่ดีและถูกต้องเท่านั้น
(30) และชายผู้ที่ศรัทธากล่าวตักเตือนกลุ่มชนของเขาว่า แท้จริงฉันกลัวแทนพวกเจ้า หากพวกเจ้าฆ่ามูซาไปอย่างอธรรมและเป็นศัตรู พวกเจ้าจะถูกลงโทษเหมือนบทลงโทษของกลุ่มชนต่าง ๆ ที่ตั้งพรรคทำร้ายบรรดาเราะซูลของพวกเขาในสมัยก่อน แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ลงโทษทำลายพวกเขาทั้งหมด
(31) เหมือนสันดานความเป็นอยู่ของผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและไม่เชื่อฟังบรรดาเราะสูล เช่น กลุ่มชนของนูห์ กลุ่มชนอ๊าด กลุ่มชนษะมูด และบรรดาผู้ที่มาหลังจากพวกเขา ซึ่งแท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงทำลายพวกเขาเนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาและการไม่เชื่อฟังของพวกเขาที่มีต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงประสงค์จะอธรรมใด ๆ แก่ปวงบ่าว แต่พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาเนื่องด้วยบาปของพวกเขา เพื่อเป็นการลงโทษที่สาสม
(32) และโอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย แท้จริงฉันกลัวแทนพวกเจ้าในวันกียามะฮ์ ซึ่งในวันนั้นวันที่คนเรียกหากันเพราะความเป็นญาติสนิทหรือยศของพวกเขา ซึ่งพวกเขาคิดว่าพฤติกรรมนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้.
(33) ในวันที่พวกเจ้านั้นหันหลังหนีเพราะกลัวไฟนรก ไม่มีผู้ใดที่จะปกป้องพวกเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้เขาหลงทางและไม่ตอบรับเขาสู่การศรัทธา ดังนั้นจะไม่มีสำหรับเขาผู้ชี้ทางให้ เพราะการชี้ทางนำนั้นอยู่ในมือของอัลลอฮ์เท่านั้น
(34) และโดยแน่นอน แต่ก่อนนี้ยูซุฟ ได้มาก่อนท่านมูซาพร้อมด้วยหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการศรัทธาในความเป็นเอกะของอัลลอฮ์ แต่พวกท่านก็ยังคงอยู่ในการสงสัยแและปฏิเสธในสิ่งที่เขาได้นำมายังพวกท่าน จนกระทั่งเมื่อเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว พวกเจ้าก็ยิ่งสงสัยขึ้นไปเรื่อยๆ และพวกท่านก็กล่าวว่าอัลลอฮ์จะไม่ทรงตั้งเราะสูลคนใดอีกแล้วหลังจากเขา เช่นเดียวกับที่พวกท่านหลงทางจากความจริง อัลลอฮ์จะทรงทำให้ทุกคนที่ละเมิดต่อขอบเขตของอัลลอฮ์ได้หลงผิด ที่สงสัยในเอกภาพของพระองค์
(35) บรรดาผู้ที่โต้เถียงกันในสัญญาณต่าง ๆ ของอัลลอฮ์เพื่อที่จะยกเลิกมัน โดยไม่มีข้อโต้แย้งและหลักฐานที่มายังพวกเขา เป็นที่น่าเกลียดชัง ณ ที่อัลลอฮ์และ ณ ที่ผู้ศรัทธาต่อพระองค์และท่านเราะสูล ดังเช่นที่อัลลอฮ์ทรงประทับตราบนหัวใจของผู้ที่โต้เถียงในสัญญาณของอัลลอฮ์เพื่อยกเลิกมัน เช่นนั้นแหละอัลลอฮ์ทรงประทับตราบนหัวใจของผู้จองหองหยิ่งยโสในความถูกต้อง และไม่ชี้ทางนำไปในทางที่ถูกต้องและไม่ชี้แนะไปในสิ่งที่ดี
(36) และฟิรเอาน์ได้กล่าวแก่รัฐมนตรีฮามานว่า โอ้ ฮามาน จงสร้างหอสูงให้ข้าเพื่อข้านั้นจะได้บรรลุถึงทางที่จะขึ้นไป
(37) เพื่อหวังว่าฉันจะบรรลุถึงทางที่นำไปสู่ท้องฟ้า แล้วฉันจะได้เห็นพระเจ้าของมูซาที่เขาอ้างว่าพรเจ้าของเขานั้นคือพระเจ้าที่แท้จริง ฉันเชื่อว่าเขากำลังโกหกเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูด” ดังนั้นฟิรเอาน์จึงเห็นการกระทำที่ชั่วช้าของเขานั้นเป็นสิ่งที่ดีเมื่อเขาได้ถามฮามานในสิ่งที่เขาต้องการ, และฟิรเอาน์ก็ถูกปิดกั้นจากทางแห่งความจริงไปสู่ทางแห่งความหลงผิด และแผนการของฟิรเอาน์ที่วางแผนไว้ -เพื่อให้ความเท็จของเขาอยู่เหนือความจริงที่มูซานำมา- ไม่มีผลอะไร นอกจากการสูญเสีย เพราะความพยายามของเขาจะไร้ผลและล้มเหลวอย่างน่าสังเวช จากนั้นจะมีความทุกข์ยากไม่รู้จบ
(38) และชายคนหนึ่งที่ศรัทธาที่มาจากครอบครัวของฟิรเอาน์ ได้กล่าวเพื่อเป็นการให้คำปรึกษาและชี้แนะแก่หมู่ชนของเขาสู่ความจริง โดยกล่าวว่า "โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย จงปฏิบัติตามฉัน ฉันจะชี้แนะทางพวกเจ้าไปสู่ทางที่ถูกต้องและชี้นำสู่ทางที่สัจธรรม"
(39) โอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย แท้จริงชีวิตบนโลกดุนยานี้เป็นเพียงแค่ความเพลิดเพลินเท่านั้น มันได้ล่อลวงพวกเจ้าในสมบัติที่ล้ำค่าไม่ถาวร และแท้จริงในวันปรโลกนั้นมันเป็นสิ่งที่มั่นคงไม่ขาดหาย มันเป็นสถานที่ที่ถาวรตลอดกาล ดังนั้นพวกเจ้าจงปฏิบัติด้วยการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์และจงระวังในการงานที่จะทำให้ชีวิตพวกเจ้านั้นยุ่งอยู่กับดุนยาจนกระทั่งไม่ทันทำการงานของวันอาคีเราะฮ์
(40) ผู้ใดกระทำความชั่ว ผู้นั้นก็จะไม่ถูกลงโทษ นอกจากเท่าสิ่งที่เขาทำลงไปเท่านั้น ในทางกลับกัน ใครก็ตามที่ทำความดีเพื่อแสวงหาพระพักตร์ของอัลลอฮ์ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ตาม โดยเขานั้นได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ บรรดาผู้ที่มีคุณสมบัติที่น่ายกย่องเหล่านี้คือผู้ที่จะเข้าสวรรค์ในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาจากสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานให้ในรูปของผลและความสุขนิรันดร์ที่ไม่ขาดสายและไม่คิดคำนวณ”
(41) และโอ้หมู่ชนของฉันเอ๋ย ทำไมฉันจึงเชิญชวนพวกท่านไปสู่การรอดพ้นจากความสูญเสียในการใช้ชีวิตบนโลกดุนยาและอาคีเราะฮ์ด้วยการศรัทธาต่ออัลลอฮ์และกระทำการงานที่ดี แต่พวกท่านเชิญชวนฉันไปสู่ไฟนรกในสิ่งที่พวกคุณเชิญชวนฉันจากการปฏิเสธต่ออัลลอฮฺและการไม่เชื่อฟังพระองค์?!
(42) พวกท่านเชิญชวนฉันให้ฉันปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และให้ฉันปฏิบัติตามพวกเจ้าตั้งภาคีต่อพระองค์ โดยที่ฉันไม่รู้มาก่อนเลยในเรื่องนั้น และฉันได้เชิญชวนพวกท่านไปสู่การศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ผู้ทรงอำนาจที่ไม่มีใครจะมาเอาชนะได้ ผู้ทรงอภัยอย่างมากหลายแก่ปวงบ่างของเขา
(43) แท้จริงสิ่งที่พวกท่านเรียกร้องข้าพเจ้าให้สักการะและเชื่อฟังนั้น มันไม่มีสิทธิใดๆ ที่จะได้รับการสักการะอย่างถูกต้องทั้งในโลกนี้และปรโลก และมันไม่ตอบรับการเรียกร้องของผู้ที่สักการะมัน และสำหรับบรดาผู้ฝ่าฝืนปฏิเสธศรัทธาและผู้ที่กระทำบาปนั้น พวกเขาเหล่านั้นคือชาวนรกที่จำเป็นจะต้องเข้าอย่างแน่นอนในวันกียามะฮ์”
(44) พวกเขาปฏิเสธคำแนะนำของเขา ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า แล้วพวกท่านจะรำลึกถึงคำตักเตือนที่ฉันได้แนะนำไว้ก่อนหน้านี้และพวกเจ้าไม่เต็มใจที่จะยอมรับมัน และฉันขอมอบภารกิจของฉันทั้งหมดแด่อัลลอฮ์เพียงองค์เดียว แท้จริงอัลลอฮ์ ไม่มีสิ่งใดจะถูกปกปิดจากพระองค์ได้ จากการงานของปวงบ่าวของพระองค์
(45) แล้วอัลลอฮ์ได้ทรงปกป้องเขาจากความชั่วร้ายของพวกเขาเมื่อพวกเขาต้องการที่จะฆ่าเขา และพระองค์ทรงลงโทษวงศ์วานของฟิรเอาน์ด้วยการจมน้ำตาย อัลลอฮทรงทำให้เขาจมน้ำ ทั้งตัวของฟิรเอาน์และทหารของเขาทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกดุนยานี้
(46) และหลังจากพวกเขาได้ตายไป ไฟนรกจะถูกนำแสดงให้แก่พวกเขาในหลุมฝังศพของพวกเขาทั้งในยามเช้าและยามเย็น และในวันกียามะฮ์ และมีเสียงกล่าวว่า จงให้บริวารของฟิรเอาน์เข้าไปรับการลงโทษอันสาหัสยิ่ง เนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธา การไม่เชื่อฟังและขัดขวางเส้นทางสู่อัลลอฮ์
(47) และจงรำลึกเถิดโอ้ท่านเราะสูล ในขณะที่พวกเขาโต้เถียงกันระหว่างผู้ตามและผู้ถูกตามจากชาวนรก โดยผู้ที่ตามที่อ่อนแอพูดกับผู้ที่ถูกตามที่หยิ่งยโสว่า แท้จริงพวกเราเป็นผู้ตามที่หลงผิดในโลกดุนยานี้ พวกท่านจะช่วยพวกเราให้พ้นจากส่วนหนึ่งของบทลงโทษของอัลลอฮ์ด้วยการแบกรับการลงโทษแทนเราได้ไหม?
(48) บรรดาหัวหน้าผู้ที่หยิ่งยโสกล่าวว่า แท้จริงพวกเรานั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ตามหรือผู้นำทั้งหมดนั้นอยู่ในนรกไม่มีใครสามารถแบกรับการลงโทษของใครได้ต่อบทลงโทษของอัลลอฮ์ในวันปรโลก แท้จริงอัลลอฮ์ทรงตัดสินระหว่างปวงบ่าว แล้วได้ลงโทษตามความเหมาะสมที่เขาสมควรจะได้รับทั้งหมด
(49) และบรรดาผู้ที่ถูกลงโทษในนรกทั้งหมดทั้งผู้ตามและผู้นำต่างก็กล่าวแก่มลาอีกะฮ์ที่เฝ้าประตูนรกหลังจากที่พวกเขารู้สึกหมดหวังที่จะออกจากไฟนรกและกลับไปใช้ชีวิตบนโลกดุนยาเพื่อกลับใจนั้นว่า "ได้โปรดช่วยวิงวอนขอต่อพระเจ้าของท่านให้ทรงลดหย่อนการลงโทษสักวันหนึ่งจากบทลงโทษที่ถาวรนี้ด้วยเทิด"
(50) ผู้คุมนรกได้กล่าวแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเพื่อเป็นการตอบโต้พวกเขาว่า "บรรดาเราะสูลมิได้มาหาพวกท่านพร้อมด้วยข้อพิสูจน์และหลักฐานอันชัดแจ้งหรอกหรือ?!" พวกเขาตอบว่า "ใช่ พวกเขาได้นำข้อพิสูจน์และหลักฐานที่ชัดแจ้งมาแล้ว" ผู้คุมนรกได้กล่าวแก่พวกเขาเพื่อเป็นการเสียดสีว่า 'พวกท่านจงวิงวอนขอด้วยตัวของพวกท่านเองเถิด พวกเราไม่สามารถช่วยเหลือผู้ปฏิเสธศรัทธาได้" และคำวิงวอนของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นไร้ประโยชน์ เนื้องด้วยการวิงวอนของพวกเขาจะไม่ถูกตอบรับ เพราะการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา
(51) แท้จริงเราจะช่วยเหลือบรรดาเราะสูลของเราและบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และบรรดาเราะสูลของพระองค์ในโลกนี้ ด้วยการให้ข้อโต้แย้งของพวกเขาและช่วยเหลือพวกเขาเหนือศัตรูของพวกเขา และเรายังช่วยพวกเขาในวันกิยามะฮ์ด้วยการให้พวกเขาได้เข้าสวรรค์ และด้วยการลงโทษผู้ที่เป็นศัตรูของพวกเขาในโลกนี้ด้วยการให้พวกตกนรกหลังจากที่บรรดานบี มลาอิกะฮ์ และผู้ศรัทธาเป็นพยานว่าการดะวะฮ์ได้มาถึงพวกเขาแล้ว และประชาชาติได้ทำการปฏิเสธ
(52) ในวันนั้น ข้อแก้ตัวใด ๆ จะไม่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่อธรรมต่อตนเองด้วยความไม่ศรัทธาและไม่เชื่อฟังต่อความอยุติธรรมที่พวกเขาได้กระทำไป ในวันนั้นพวกเขาจะถูกขับออกจากความเมตตาของอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาคือที่พำนักที่ชั่วช้าในปรโลกเพราะพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างเจ็บปวด
(53) และแน่นอนเราได้ประทานความรู้ให้แก่นบีมูซาเพื่อที่จะชี้นำบนีอิสราเอลไปสู่ความจริงและเราได้ทำให้คำภีร์อัตเตารอตเป็นคำภีร์สืบทอดสำหรับบนีอิสราเอลจากรุ่นสู่รุ่น
(54) เพื่อเป็นแนวทางไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องและเป็นการเตือนให้รำลึกสำหรับบรรดาผู้มีสติปัญญาที่ดี
(55) ดังนั้นจงอดทนไว้ - โอ้ ท่านเราะสูลเอ๋ย- สำหรับสิ่งที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ นั่นคือการปฏิเสธของหมู่ชนของเจ้าและความวุ่นวายของพวกเขาที่มีต่อเจ้า แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์ที่มีต่อเจ้าด้วยการชนะและช่วยเหลือเจ้านั้นเป็นความจริง ไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้นจงขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์ และถวายเกียรติแด่พระเจ้าของเจ้าด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าในตอนเช้าและตอนเย็น
(56) แท้จริงบรรดาผู้โต้แย้งโองการของอัลลอฮ์เพื่อพยายามในการทำลายมันโดยไม่มีหลักฐานและข้อพิสูจน์ใด ๆ นั้น ไม่มีสิ่งใดที่ผลักดันให้พวกเขากระทำเช่นนั้นนอกจากความปรารถนาในความเป็นใหญ่และโอ้อวดเหนือความจริง และพวกเขาจะไม่สามารถบรรลุถึงสิ่งที่พวกเขาปรารถนาได้ ดังนั้นจงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยินถ้อยคำของปวงบ่าวของพระองค์ ทรงเห็นทุกการกระทำของพวกเขา ไม่มีอะไรหนีจากอัลลอฮ์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาสำหรับสิ่งนั้น
(57) การสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินด้วยความยิ่งใหญ่และความกว้างขวางของทั้งสองนั้นยิ่งใหญ่กว่าการสร้างมนุษย์ ดังนั้นผู้ที่สร้างทั้งสองพร้อมกับความยิ่งใหญ่ของมันทั้งสองนั้น สามารถทำให้ผู้ที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาจากหลุมศพให้มีชีวิตเพื่อคิดบัญชีและตอบแทนพวกเขา แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้จึงไม่ได้บทเรียนจากมันและไม่ถือเป็นหลักฐานสำหรับการฟื้นคืนชีพทั้งที่มันชัดเจน
(58) และแน่นอนจะไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้ที่มองไม่เห็นกับผู้ที่มองเห็น และบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และศรัทธาต่อบรรดาเราะสูลของพระองค์และกระทำการดี จะไม่เท่าเทียมกันกับผู้ที่กระทำการงานที่ชั่วด้วยการยึดถือในสิ่งที่ทุจริตและกระทำบาป เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พวกเจ้าจะใคร่ครวญ หากพวกเจ้าใคร่ครวญ แน่นอนพวกเจ้าจะทำการงานที่แตกต่างระหว่างสองฝ่ายให้พวกเขามุ่งมั่นที่จะเป็นของบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีปรารถนาในความพึงพอใจของอัลลอฮ์
(59) แท้จริงวันอวสานที่อัลลอฮฺ์ทรงให้ฟื้นคืนชีพหลังจากความตายเพื่อคิดบัญชีและลงโทษนั้นมันเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่คนส่วนมากนั้นไม่ศรัทธาต่อการเกิดขึ้นจริงของมัน และด้วยเหตุนี้แหละพวกเขาจึงไม่ได้เตรียมตัวที่จะเผชิญกับมัน
(60) และพระเจ้าของพวกเจ้าตรัสว่า โอ้มนุษย์เอ๋ย จงเคารพสักการะต่อข้าและจงวิงวอนขอต่อข้าเพียงองค์เดียว ข้าจะตอบรับการวิงวอนของพวกเจ้าและจะอภัยและเมตตาแก่พวกเจ้า แท้จริงผู้ที่ทำตัวหยิ่งผยองโดยไม่ทำการเคารพสักการะข้าเพียงองค์เดียวนั้น ในวันกียามะฮฺ พวกเขาจะได้เข้านรกอย่างผู้ที่ต่ำต้อย
(61) อัลลอฮ์ผู้ทรงบันดาลกลางคืนที่มืดมิดให้แก่พวกเจ้าเพื่อได้รับความสงบและพักผ่อนในเวลาของมัน และทรงบันดาลกลางวันแห่งแสงสว่างเพื่อทำงานในเวลาของนั้น แท้จริงอัลลอฮ์เป็นเจ้าของความโปรดปรานแก่มวลมนุษย์ เมื่อพระองค์ได้ให้สัมผัสกับความโปรดปรานนั้นแล้วทั้งที่แจ้งและที่ลับ แต่ส่วนมากของมนุษย์นั้นไม่ขอบคุณต่อพระผู้อภิบาลในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้แก่พวกเขา
(62) นั้นคืออัลลอฮ์ ผู้ทรงประทานแก่พวกท่านด้วยความโปรดปรานต่างๆของพระองค์ พระองค์คือผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีผู้สร้างนอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่แท้จริงนอกจากพระองค์ ดังนั้นทำไมพวกเจ้าจึงหันเหออกจากการเคารพสักการะพระองค์สู่การเคารพต่อสิ่งอื่นทั้งที่สิ่งนั้นไม่ได้ครอบครองสิ่งใดๆ ทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์และโทษ
(63) ในขณะที่พวกเขาหันเหออกจากการศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเคารพภักดีต่อพระองค์เพียงองค์เดียว พวกเขาได้หันเหออกจากสิ่งนั้นโดยการเกลียดชังต่อโองการต่างๆของอัลลอฮฺที่แสดงถึงการเป็นเอกภาพต่อพระองค์ในทุก ๆ เวลาและสถานที่ โดยเขาจะไม่ได้รับทางนำที่ไปในทางที่ถูกต้องและไม่ได้รับคำแนะนำตักเตือนแก่เขา
(64) อัลลอฮ์ผู้ทรงสร้างเพื่อพวกเจ้า โอ้ มวลมนุษยเอ๋ย ซึ่งแผ่นดินนี้เป็นสถานที่อันเงียบสงบเพื่อเป็นที่พำนักสำหรับพวกเจ้า ทรงทำให้ชั้นฟ้าทั้งหลายมีโครงสร้างมั่นคงเหนือพวกเจ้าซึ่งไม่ตกลงมา และทรงสร้างพวกเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงทำให้รูปร่างของพวกเจ้าสวยงาม และพระองค์ได้ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าในรูปของอาหารที่ถูกอนุมัติและดี แท้จริงอัลลอฮ์พระเจ้าของพวกเจ้าเป็นผู้ทรงประทานความโปรดปรานเหล่านี้แก่พวกเจ้า ดังนั้นมหาจำเริญแด่อัลลอฮ์ พระเจ้าแห่งสากลโลก ไม่มีผู้อภิบาลใดที่จะดูแลสิ่งเหล่านั้นนอกพระองค์
(65) พระองค์คือผู้ทรงมีชีวิตที่ไม่ตาย ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรค่าแก่การกราบไหว้โดยเที่ยงแท้นอกจากพระองค์ ดังนั้นจงวิงวอนต่อพระองค์ด้ยการทำอิบาดะฮ์และวิงวอนด้วยการขอพรโดยหวังเพียงพระพักตร์ของพระองค์เพียงผู้เดียว และอย่าได้ตั้งภาคีใด ๆ พร้อมกับพระองค์จากสิ่งที่ถูกสร้าง มวลการสรรเสริญนั้นเป็นของอัลลอฮ์ พระเจ้าแห่งสากลโลก
(66) จงกล่าวเถิด โอ้เราะสูลเอ๋ย แท้จริงฉันได้ถูกห้ามไม่ให้เคารพสักการะต่อบรรดาสิ่งที่พวกท่านวิงวอนนอกจากอัลลอฮ์จากรูปปั้นทั้งหลายที่ไม่สามารถให้ประโยชน์หรือให้โทษใดๆ ได้ เมื่อหลักฐานทั้งหลายอันชัดแจ้งได้มายังฉัน เพื่อให้การปฏิบัติการงานของพวกเขานั้นเป็นโมฆะ และฉันถูกบัญชาให้นอบน้อมต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียวในการปฏิบัติ พระองค์คือพระเจ้าแห่งสากลโลกทั้งหมด ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์
(67) อัลลอฮ์คือผู้ทรงสร้างอาดัมบิดาของพวกเจ้าจากฝุ่นดิน แล้วทรงสร้างพวกเจ้าตามมาหลังจากนั้นจากน้ำอสุจิ หลังจากนั้นก็กลายเป็นเลือดที่จับตัวเป็นก้อน จากนั้นทรงนำพวกเจ้าออกจากครรภ์มารดาของพวกเจ้าเป็นเด็กทารก แล้วเพื่อให้พวกเจ้าบรรลุวัยวัยฉกรรจ์ที่แข็งแรง แล้วทำให้พวกเจ้าเข้าสู่วัยกลางคนสู่วัยชรา พวกเจ้าบางคนตายก่อนนั้น และเพื่อพวกเจ้าจะได้บรรลุตามกำหนดในความรอบรู้ของอัลลอฮ์ โดยไม่มีการลดและไม่มีการเพิ่ม หวังว่าด้วยข้อโต้แย้งและข้อพิสูจน์เหล่านี้ พวกเจ้าจะรู้ถึงความสามารถของอัลลอฮ์และเอกภาพของพระองค์
(68) พระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้นคือผู้ทรงให้เป็นและพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้นคือผู้ทรงให้ตาย ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกำหนดกิจการใด ๆ พระองค์ก็จะกล่าวแก่มันว่า จงเป็น แล้วมันก็จะเป็นขึ้นมา
(69) โอ้ท่านเราะสูล เจ้าไม่เห็นหรอกหรือว่า บรรดาผู้ที่โต้เถียงในอายาตของอัลลอฮ์แล้วกล่าวเท็จต่ออัลกุรอ่านทั้งที่มีความชัดเจน ช่างแปลกใจจริงๆเกี่ยวกับสภาพของพวกเขา ทั้งที่ความจริงถูกแสดงแก่พวกเขาพร้อมด้วยความชัดแจ้งของความจริงนั้น
(70) บรรดาผู้ปฏิเสธต่อคำภีร์อัลกุรอ่าน และในสิ่งที่เราได้ประทานมายังบรรดาเราะสูลของเราในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วบรรดาผู้ที่ปฏิเสธเหล่านั้นจะได้รู้ถึงบทลงโทษจากการปฏิเสธของพวกเขาและจะได้เห็นถึงบั้นปลายที่เลวร้ายของชีวิต
(71) พวกเขารู้ผลเมื่อคอของพวกเขาถูกพันธนาการ และโช่ตรวนมัดไว้ที่เท้าของพวกเขา และมลาอิกะฮ์ก็ได้ทำการลากพวกเขาไปสู่การลงโทษ
(72) พวกเขาจะถูกกระชากลงในน้ำที่ร้อนระอุ แล้วพวกเขาก็ถูกเผาไหม้ในไฟนรก
(73) จากนั้นก็จะมีเสียงกล่าวแก่พวกเขาด้วยการตะคอกและดูแคลนว่า ไหนเล่าพระเจ้าที่พวกเจ้าเคยตั้งภาคีในการเคารพบูชา?
(74) อื่นจากอัลลอฮ์ จากรูปปั้นของพวกเจ้าที่ไม่ให้ประโยชน์หรือโทษใดๆ? ผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า "มันได้หลงหายไปจากพวกเรา ดังนั้นเราจึงไม่เห็นพวกเขา แต่สิ่งที่เราเคารพในโลกนี้เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเคารพ เช่นนั้นแหละอัลลอฮ์ทรงให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาหลงทางจากความถูกในทุกยุคทุกสมัย
(75) และได้มีการกล่าวแก่พวกเขาว่า "บทลงโทษที่พวกเจ้าได้รับนั้นเป็นเพราะความสุขที่พวกเจ้าเคยได้รับจากการตั้งภาคี และด้วยความสุขที่เกินจริงของพวกเจ้า"
(76) พวกเจ้าจงเข้าไปสู่ประตูนรก และเป็นที่พำนักที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้ที่เย่อหยิ่ง ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไป "
(77) ดังนั้นเจ้าจงอดทน โอ้ท่านเราะสูล ต่อการต่อต้านและถูกปฏิเสธของกลุ่มชนของเจ้า แท้จริงสัญญาของอัลลอฮ์ที่จะช่วยเจ้านั้นเป็นจริง บางทีเราจะให้เจ้าได้เห็นบางสิ่งที่ได้สัญญาแก่พวกเขาในบทลงโทษอย่างที่ประสบในการสู้รบในสมรภูมิบาดัร หรือเราจะทำให้เจ้าตายเสียก่อน ดังนั้นพวกเขาจะกลับไปยังเราเพียงองค์เดียวในวันกียามะฮ์ และเราจะตอบแทนในการงานที่พวกเขาได้ทำมา และจะให้พวกเขาเข้านรกซึ่งจะพำนักในนั้นตลอดไป
(78) และโดยแน่นอน เราได้ส่งบรรดาเราะสูลหลายคนมาก่อนหน้าเจ้า -โอ้ท่านเราะสูลเอ๋ย- แก่กลุ่มชนของพวกเขา แล้วพวกเขาปฏิเสธบรรดาเราะสูลและทำร้ายบรรดาเราะสูล บรรดาเราะสูลก็ได้อดทนต่อการกระทำของพวกเขา บางคนในหมู่เราะสูลเหล่านั้นมีผู้ที่เราบอกเล่าแก่เจ้า และบางคนในหมู่พวกเขามีผู้ที่เรามิได้บอกเล่าแก่เจ้า และไม่บังควรแก่เราะสูลที่จะนำสัญญาณใด ๆ จากพระเจ้ามา เว้นแต่ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ ดังนั้นข้อเสนอแนะของผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วยการให้นำสัญญาณต่าง ๆ แก่ประชาชาติของเขานั้นถือว่าเป็นสิ่งที่อธรรม ดังนั้นเมื่อพระบัญชาของอัลลอฮ์มาด้วยชัยชนะและแยกระหว่างท่านเราะสูลและกลุ่มชนของพวกเขานั้น ก็จะถูกตัดสินด้วยความยุติธรรมและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ถูกทำลาย ด้วยการนำตัวเองสู่ความหายนะเนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธา
(79) อัลลอฮ์คือผู้ทรงสร้างอูฐ วัว และแพะแก่พวกเจ้าเพื่อให้พวกเจ้าใช้เป็นพาหนะในบางชนิด และบางชนิดเพื่อให้พวกเจ้าใช้กินเนื้อของมัน
(80) พวกเจ้าได้รับประโยชน์ต่าง ๆ จากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อย่างมากมายตามยุคสมัย และพวกเจ้าสามารถเติมเต็มความต้องการที่พวกเจ้าต้องการจากปศุสัตว์เหล่านี้ได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยทางบกหรือทางทะเล
(81) และพระองค์ซุบฮานะฮุวะตะอาลา ได้ทรงให้พวกเจ้าเห็นสัญญาณต่าง ๆ เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสามารถ และความเป็นเอกะของพระองค์ ดังนั้น ด้วยสัญญาณต่าง ๆ ของอัลลอฮ์อันใดเล่าที่พวกเจ้าไม่ยอมรับหลังจากที่มันได้เป็นที่ประจักษ์สำหรับพวกเจ้าว่ามันคือสัญญาณต่างๆของพระองค์?!
(82) บรรดาผู้ที่ปฏิเสธไม่ได้ท่องเที่ยวคิดใคร่ครวญไปตามแผ่นดิน แล้วพิจารณาหรอกหรือว่า จุดจบของประชาชาติที่ปฏิเสธในยุคก่อนหน้าพวกเขาเป็นเช่นไร เพื่อไว้เป็นข้อเตือนใจ?! พวกเขาเหล่านั้นมีทรัพย์สินมากมายและมีพลังเข้มแข็ง และได้ทิ้งร่องรอยไว้มากมายในแผ่นดิน แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถสร้างประโยชน์ใด ๆ แก่พวกเขา เมื่อต้องเผชิญกับการลงโทษของอัลลอฮ์ที่รุนแรง
(83) ครั้นเมื่อบรรดาเราะสูลได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง พวกเขาก็ปฏิเสธมันและพวกเขายินดีที่จะยึดมั่นในความรู้ที่พวกเขามีซึ่งขัดต่อสิ่งที่บรรดาเราะสูลได้นำมา พระองค์ได้ทรงนำการลงโทษที่พวกเขาเคยเยาะเย้ยไว้เมื่อครั้นที่บรรดาเราะสูลได้ตักเตือนพวกเขาไว้ ลงโทษพวกเขา
(84) เมื่อพวกเขาเห็นการลงโทษของเรา พวกเขาสารภาพ เมื่อการสารภาพไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ สำหรับพวกเขา โดยกล่าวว่า "เราศรัทธาต่ออัลลอฮ์องค์เดียว และเราปฏิเสธศรัทธาต่อสิ่งที่เราเคยเคารพบูชาอื่นจากอัลลอฮ์จาสิ่งที่เป็นภาคีและรูปปั้นต่างๆ"
(85) การศรัทธาของพวกเขาจะไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ สำหรับพวกเขา หลังจากที่พวกเขาได้เห็นการลงโทษของเราได้ประสบกับพวกเขา มันคือกฎของอัลลอฮ์ที่ต้องเกิดขึ้นต่อปวงบ่าวของพระองค์ นั่นคือ การศรัทธาจะไม่เป็นประโยชน์หลังจากการลงโทษได้เกิดขึ้น บรรดาผู้ปฏิเสธจะขาดทุนเมื่อได้ประสบกับการลงโทษอันเนื่องจากการนำตัวเองสู่ความหายนะด้วยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และไม่ยอมสำนึกในความผิดก่อนที่การลงโทษจะลงมา