(1) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮทั้งหลายเอ๋ยและผู้ที่ปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ได้บัญญัติไว้ พวกเจ้าอย่าได้ล้ำหน้าการกระทำของอัลลอฮและเราะซูลของพระองค์โดยกล่าวหรือกระทำสิ่งใด และพวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺโดยการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์และหลีกเลี่ยงสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยินต่อคำพูดของพวกเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ต่อการกระทำของพวกเจ้า ไม่มีสิ่งใดหลุดพ้นไปจากพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้า
(2) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ และผู้ปฏิบัตติตามสิ่งที่พระองค์ได้บัญญัติไว้ จงมีมารยาทกับเราะซูลของพระองค์เถิด เมื่อเจ้าจะคุยกับเขาก็อย่าให้เสียงของเจ้าดังกว่าเสียงของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม และอย่าได้เรียกท่านนบีด้วยชื่อของเขา ดังที่พวกเจ้าเรียกคนใดคนหนึ่ง แต่จงเรียกเขาว่าท่านนบีและเราะซูลด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน เพราะเกรงว่าจะเป็นสาเหตุทำให้การงานต่างๆ ของพวกเจ้าจะสูญเสียไปโดยที่พวกเจ้าไม่รู้สึกตัว
(3) แท้จริงบรรดาผู้ที่ลดเสียงของพวกเขา ณ ที่เราะซูลลุลลอฮฺนั้น ชนเหล่านั้น คือบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงทดสอบจิตใจของพวกเขาเพื่อความยำเกรงและเพื่อบริสุทธิ์ใจ สำหรับพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษต่อบาปของพวกเขาและสำหรับพวกเขาจะได้รับรางวัลอันใหญ่หลวงในวันกียามะฮฺนั้นคือพระองค์จะทรงให้พวกเขาได้เข้าสวนสวรรค์
(4) แท้จริงบรรดาผู้ที่ส่งเสียงเรียกเจ้า โอ้ท่านเราะซูล จากชาวอาหรับที่อยู่เบื้องหลังห้องของผู้หญิงของเจ้าโดยส่วนใหญ่ของพวกเขานั้นไม่ใช้สติปัญญา
(5) ถ้าบรรดาผู้ที่เรียกเจ้า โอ้ท่านเราะซูล ที่อยู่เบื้องหลังห้องของผู้หญิงของเจ้า อดทนและพวกเขาจะไม่เรียกหาเจ้าจนกว่าเจ้าจะออกไปหาพวกเขา แล้วสนทนากับเจ้าด้วยน้ำเสียงที่ดี แน่นอนมันย่อมเป็นการดีสำหรับพวกเขา ซึ่งนั่นแสดงถึงการให้เกียร์ติ และให้ความเคารพแก่ท่านนบี และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษต่อบาปของผู้ที่กลับใจและให้อภัยในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ พระองค์เป็นผู้ทรงเมตตาเสมอ
(6) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และผู้ปฏิบัติทำในสิ่งที่ได้บัญญติใว้ หากคนชั่วนำข่าวเกี่ยวกับกลุ่มชนของเจ้า พวกเจ้าจงพิสูจน์ความจริงของข่าวนั้นและอย่าได้รีบยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เกรงว่าจะมีผลกระทบ หากเจ้าเชื่อข่าวก่อนพิสูจน์ว่ากลุ่มชนของเจ้านั้นได้กระทำผิดหรือไม่ และพวกเจ้าไม่รู้ถึงความจริงของพวกเขา พวกเจ้าจะกลายเป็นผู้เสียใจในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไปเมื่อข่าวนั้นได้กระจ่างว่าข่าวนั้นเป็นข่าวเท็จ
(7) และจงรู้เถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ว่าในหมู่ของพวกเจ้านั้นมีท่านเราะซูลของอัลลอฮที่ได้ถูกประทานวะห์ยูลงมา ดังนั้นจงระวังอย่าให้มีการโกหก มิฉะนั้นแล้วอัลลอฮจะทรงประทานวะห์ยูเพื่อบอกกล่าวข่าวคราวเรื่องโกหกของพวกเจ้า พระองค์ทรงรอบรู้ในผลประโยชน์ของพวกเจ้า ถ้าหากเขาปฏิบัติตามในหลายสิ่งที่พวกเขาเสนอ พวกเจ้าจะประสบกับความยากลำบากซึ่งพระองค์ก็จะไม่พอใจต่อพวกเจ้า แต่ด้วยความโปรดปราณของอัลลอฮฺทรงให้การศรัทธาเป็นที่รักแก่พวกเจ้า และได้ทรงประดับใว้ในจิตใจของพวกเจ้าด้วยการศรัทธาที่แท้จริงและทรงทำให้พวกเจ้านั้นเกลียดการปฏิเสธศรัทธาและการที่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ และการฝ่าฝืนเป็นที่น่าเกลียดชังแก่พวกเจ้า และบรรดาผู้ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ คือบรรดาผู้ที่ดำเนินอยู่ในแนวทางที่ชอบธรรมและถูกต้อง
(8) และสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้า คือความชอบในสิ่งที่ดีงามในจิตใจของพวกเจ้าและความเกลียดชังในสิ่งชั่วร้ายต่างๆ มันเป็นความโปรดปรานจากอัลลอฮที่ประทานแก่พวกเจ้าทั้งหลายและเป็นความกรุณาที่พระองค์มอบให้แก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่งว่าผู้ใดบ้างที่จะขอบคุณพระองค์จากปวงบ่าวของพระองค์และพระองค์จะทรงให้เขาประสบความสำเร็จ พระองค์ผู้ทรงรอบรู้ที่จะวางให้ทุกสิ่งอยู่ในที่เหมาะสมสำหรับมัน
(9) และหากมีสองฝ่ายจากบรรดาผู้ศรัทธาทะเลาะวิวาทกัน โอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าก็จงไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยการเรียกร้องให้พวกเขาตัดสินด้วยกฎหมายของอัลลอฮ หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเจ้าก็จงปรามฝ่ายที่ละเมิดจนกว่าฝ่ายนั้นจะกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮฺ ฉะนั้นหากฝ่ายนั้นกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮฺแล้ว พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรม และพวกเจ้าจงให้ความเที่ยงธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายเถิด แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักใคร่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรมในการตัดสิน
(10) แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาถือเป็นพี่น้องกันทางศาสนา และด้วยความเป็นพี่น้องกันจึงต้องไกล่เกลี่ย และประนีประนอมระหว่างพี่น้องที่ทะเลาะกันโอ้ผู้ศรัทธาเอ๋ย และจงยำเกรงอัลลอฮฺโดยปฏิบัติตามคำสั่งใช้ และหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ห้ามเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา
(11) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและผู้ปฏิบัติตามสิ่งที่บัญญัติไว้ทั้งหลาย ชนกลุ่มหนึ่งอย่าได้เยาะเย้ยชนอีกกลุ่มหนึ่ง บางทีชนกลุ่มที่ถูกเยาะเย้ยนั้นจะดีกว่าชนกลุ่มที่เยาะเย้ย ณ ที่อัลลอฮฺก็ได้ และสตรีกลุ่มหนึ่งอย่าได้เยาะเย้ยสตรีอีกกลุ่มหนึ่ง บางทีกลุ่มสตรีที่ถูกเยาะเย้ยจะดีกว่ากลุ่มที่เยาะเย้ย ณ ที่อัลลอฮฺก็ได้ และพวกเจ้าอย่าได้ตำหนิพี่น้องของพวกเจ้าเอง และอย่าได้เรียกกันด้วยฉายาที่ไม่ชอบ เหมือนสถานการณ์ของชาวอัลอันศอรบางส่วนก่อนที่ท่านเราะซูลจะมายังพวกเขา และผู้ใดที่กระทำเช่นนี้เขาคือผู้ที่ช่างเลวทรามจริงๆ นับเป็นคุณลักษณะที่ต่ำช้าที่สุดสำหรับผู้ศรัทธาจ และผู้ใดไม่สำนึกผิดในบาปนี้ ชนเหล่านั้นคือบรรดาผู้อธรรมต่อตนเองดังการนำความเสียหายเข้าหาตัวเองเนื่องจากการเป็นบาปในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไป
(12) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและปฏิบัติตามในสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ พวกเจ้าจงหลีกเลี่ยงห่างไกลจากส่วนใหญ่ของการสงสัย มีความแคลงใจอย่างไร้เหตุผล เพราะแท้จริงแล้วการสงสัยบางอย่างนั้นเป็นบาป เช่น มีความแคลงใจกับคนที่มีภาพลักษณ์ที่ดีงาม อย่าได้สอดรู้สอดเห็นในความลับของบรรดาผู้ศรัทธา และอย่าได้กล่าวถึงพี่น้องของเขาในสิ่งที่เขาไม่ชอบ หากพวกเจ้ากล่าวในสิ่งที่เขาไม่ชอบเสมือนว่าเจ้ากินเนื้อพี่น้องของเจ้าที่ตาย ซึ่งคนหนึ่งในหมู่พวกเจ้านั้นชอบที่จะกินเนื้อพี่น้องของเขาที่ตายไปแล้วกระนั้นหรือ? พวกเจ้าย่อมเกลียดมัน และพวกเขาก็เช่นกัน จงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด โดยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้และห่างไกลในสิ่งที่ทรงห้าม แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษสำหรับบ่าวที่กลับใจ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
(13) โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงอัลลอฮฺได้สร้างพวกเจ้าจากชายคนเดียวคือ นบีอาดัม และหญิงคนเดียวคือ มารดาของพวกเจ้าที่ชื่อ ฮาวาอฺ และเป็นเชื้อสายเดียวกัน ดังนั้นจงอย่าได้โอหังกับใครในสายเลือดเดียวกัน แล้วเราได้ทำให้หลายคนและชนเผ่าต่างๆกระจัดกระจาย เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้จักซึ่งกันละกัน มิได้เพื่อแสดงความโอหังต่อกัน เพราะความเป็นเลิศนั้นขึ้นอยู่กับความการยำเกรงต่างหาก ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงเน้นว่า แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรู้ดีถึงสถานะของพวกเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ว่าผู้ใดในหมู่พวกเจ้าเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์และผู้ใดที่ยังขาดตกบกพร่อง ไม่มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังต่อหน้าพระองค์ได้
(14) บางคนของชาวอาหรับชนบทได้กล่าวครั้นเมื่อท่านนบี ศ็ลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้มายังพวกเขาว่า พวกเราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮและเราะซูลของพระองค์แล้ว จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดโอ้ท่านเราะซูล พวกเจ้ายังไม่ได้ศรัทธา แต่ให้พวกเขากล่าวว่า เราได้เข้ารับอิสลามและยอมจำนนแล้ว และความศรัทธายังไม่ได้เข้าในหัวใจของพวกเจ้า และพวกเขาคิดว่าความศรัทธานั้นได้เข้าไปแล้วและถ้าพวกเจ้า โอ้ชาวอาหรับเอ๋ย เชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์และกระทำการงานที่ดีแล้ว และหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ห้ามปราม พระองค์จะไม่ทำให้การงานของพวกท่านด้อยลงแต่ประการใด แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยแก่บ่าวที่กลับใจ ผู้ทรงเมตตาแก่พวกเจ้าเสมอ
(15) แท้จริงศรัทธาชนที่แท้จริงนั้น คือบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ แล้วพวกเขาไม่สงสัยเคลือบแคลงใจ แต่พวกเขาได้เสียสละต่อสู้ดิ้นรนด้วยทรัพย์สมบัติของพวกเขา และชีวิตของพวกเขาไปในหนทางของอัลลอฮฺ โดยที่พวกเขาไม่ได้รู้สึกเสียดายเลย กลุ่มชนที่มีลักษณะเหล่านั้นแหละคือบรรดาผู้สัตย์จริงในการเชื่อศรัทธาของพวกเขา
(16) จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะซูล แก่บรรดาชาวอาหรับว่า พวกท่านจะบอกอัลลอฮฺเกี่ยวกับศาสนาของพวกท่านกระนั้นหรือ? อัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังต่อหน้าพระองค์ได้ ดังนั้นพระองค์จึงไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าแจ้งต่อพระองค์เกี่ยวกับศาสนาของพวกเจ้า
(17) พวกเขาถือเป็นบุญคุณแก่เจ้า โอ้ท่านเราะซูล คือ บรรดาชาวอาหรับที่ได้รับอิสลามเหล่านั้น จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด โอ้มูฮัมมัด พวกท่านอย่าถือเอาการเป็นอิสลามของพวกท่านมาเป็นบุญคุณแก่ฉันเลย เพราะความดีทั้งหลายจะกลับไปหาพวกเจ้า หากพวกเจ้าเป็นผู้สัตย์จริง แต่ทว่าอัลลอฮทรงประทานบุญคุณแก่พวกเจ้าต่างหาก โดยพระองค์ได้ทรงชี้นำพวกเจ้าสู่การศรัทธา หากพวกเจ้านั้นเป็นผู้ที่สัตย์จริงตามที่พวกเจ้าแอบอ้างว่าพวกเจ้าได้เข้ารับอิสลาม
(18) แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งเร้นลับในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งเร้นลับในแผ่นดิน ไม่มีสิ่งใดที่จะปกปิดจากพระองค์ได้ และอัลลอฮฺทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำมา การงานของพวกเจ้ามิอาจปกปิดจากการรับรู้ของพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าทั้งในสิ่งที่ดีและไม่ดี