(1) บรรดาสาวกของเจ้าจะถามเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- เกี่ยวกับทรัพย์ที่ได้จากสงครามว่า ควรจะแบ่งกันอย่างไร? ใครบ้างที่จะได้รับส่วนแบ่ง? เจ้าจงตอบเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- "ทรัพย์สงครามนั้นเป็นของอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ การตัดสินนั้นต้องขึ้นอยู่กับอัลลอฮ์และเราะสูลเท่านั้น ว่า จะจัดแบ่งกันอย่างไร ดังนั้นไม่มีอะไรสำหรับพวกเจ้า นอกจากเชื่อฟังและยอมจำนงเท่านั้น ดังนั้นจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์เถิด -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย- ด้วยการปฏิบัติตามบรรดาคำสั่งใช้และออกห่างจากบรรดาคำสั่งห้ามของพระองค์ และจงปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาระหว่างพวกเจ้าจากการตัดสัมพันธ์และการห่างเหินระหว่างกัน ด้วยความรักและการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีต่อกัน มีมารยาทที่ดีต่อกัน และการให้อภัยซึ่งกันและกัน และจงยึดมั่นกับการภักดีต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง เนื่องจากการศรัทธาที่แท้จริงนั้นมันจะนำไปสู่การจงรักภักดีและการออกห่างจากสิ่งชั่วช้า ซึ่งคำถามนี้เกิดขึ้นหลังสงครามบะดัร
(2) แท้จริงแล้วบรรดาผู้ศรัทธานั้น คือ ผู้ที่หัวใจของพวกเขาสั่นไหวด้วยความหวาดเกรงเมื่อนามของอัลลอฮ์ถูกเอ่ยแก่พวกเขา จนทำให้หัวใจและร่างกายของพวกเขาต้องคล้อยตามสู่การภักดีต่อพระองค์ และเมื่อโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์ได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขาจะใคร่ครวญพิจารณา แล้วอีหม่านของพวกเขาก็จะเพิ่มทวีคูณ และต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาเท่านั้น ที่พวกเขายึดมั่นในการให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์และปกป้องพวกเขาจากสิ่งที่เสื่อมเสียทั้งหลาย
(3) พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด ด้วยอิริยาบถที่สมบูรณ์ในเวลาของมัน และจากสิ่งที่เราได้ประทานให้แก่พวกเขา พวกเขาได้บริจาคทั้งที่เป็นวาญิบ (จำเป็น) และที่เป็นสุนัต (ส่งเสริมให้กระทำ)
(4) บรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะเหล่านั้น พวกเขาเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง เพราะพวกเขาได้รวบรวมระหว่างคุณลักษณะแห่งอีมานและอิสลามอันประจักษ์ พวกเขาได้รับการตอบแทนด้วยตำแหน่งที่สูงส่ง ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขา และพวกเขาก็ได้รับการให้อภัยโทษและปัจจัยยังชีพอันมีเกียรติ ซึ่งก็คือความโปรดปรานที่อัลลอฮฺทรงได้เตรียมไว้ให้แก่พวกเขา
(5) เช่นเดียวกับที่พระผู้อภิบาลของเจ้า (ความบริสุทธิ์จงมีแด่พระองค์) ได้ทรงยกเลิกการแบ่งทรัพย์สงครามจากพวกเจ้าหลังจากที่พวกเจ้าได้ขัดแย้งและถกเถียงกันในเรื่องดังกล่าว และพระองค์ได้ทรงมอบการจัดแบ่งนั้นเป็นของพระองค์และเราะสูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เท่านั้น และเช่นเดียวกัน (โอ้เราะสูลเอ๋ย) พระองค์ได้ทรงสั่งให้เจ้าออกจากตัวเมืองมาดีนะฮ์เพื่อไปเผชิญหน้ากับบรรดาผู้ตั้งภาคีด้วยวะห์ยุที่พระองค์ทรงประทานไว้แก่เจ้า ท่ามกลางความไม่พอใจของผู้ศรัทธาบางกลุ่ม
(6) กลุ่มผู้ศรัทธากลุ่มหนึ่งได้โต้แย้งกับเจ้า -โอ้เราะสูลเอ๋ย- ในเรื่องการทำสงครามกับบรรดาผู้ตั้งภาคี หลังจากที่มันประจักษ์แจ้งแก่พวกเขาแล้วว่ามันเกิดขึ้นจริง ประหนึ่งว่าพวกเขาถูกต้อนไปสู่ความตายโดยที่พวกเห็นมันอยู่กับตา เหตุผลเพราะว่าพวกเขาไม่พอใจอย่างมากในการที่จะออกสงคราม เพราะพวกเขายังไม่ได้เตรียมเสบียงและไม่ได้เตรียมอาวุธเพื่อทำสงคราม
(7) และพวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาที่โต้แย้งทั้งหลาย- จงรำลึกถึงตอนที่อัลลอฮ์ได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเจ้าว่า พวกเจ้าจะได้รับชัยชนะเหนือกลุ่มหนึ่งในสองกลุ่มของบรรดาผู้ตั้งภาคี จะเป็นกลุ่มกองคาราวานที่เดินทางพร้อมกับทรัพย์สมบัติ แล้วพวกเจ้าจะได้เอามันเก็บไว้เป็นทรัพย์สงคราม หรือไม่ก็เป็นกลุ่มผู้ออกทำสงครามที่พวกเจ้าจะได้ทำสงครามกับพวกเขาและได้รับชัยชนะเหนือพวกเขา (แต่) พวกเจ้าชอบที่จะเอาชนะเหนือกลุ่มกองคาราวานมากกว่า เพราะมันง่ายต่อการยึดครองพวกเขาโดยไม่ต้องทำสงคราม แต่อัลลอฮฺทรงปราถนาที่จะพิสูจน์สัจธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยการใช้ให้พวกเจ้าทำสงคราม เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ฆ่ากลุ่มหัวหน้าของบรรดาผู้ตั้งภาคีและจับกุมพวกเขาให้ตกเป็นเชลยได้เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อให้ความแข็งแกร่งของอิสลามได้ประจักษ์
(8) เพื่ออัลลอฮ์จะทรงให้ความจริงได้เป็นที่ประจักษ์ ด้วยการให้อิสลามและผู้นับถือมันได้รับชัยชนะ โดยการให้ข้อยืนยันต่างๆ ได้เป็นข้อพิสูจน์ถึงความจริงของสัจธรรมแห่งอิสลาม และพระองค์ (ความบริสุทธิ์จงมีแด่พระองค์) จะทรงทำให้ความเท็จได้สลายไป ด้วยการให้ข้อยืนยันต่างๆ ได้เป็นข้อพิสูจน์ถึงความเท็จของมัน แม้ว่าบรรดาผู้ตั้งภาคีจะไม่ชอบมันก็ตาม แต่อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงให้มันประจักษ์
(9) พวกเจ้าจงรำลึกตอนสงครามบัดร์ครั้นเมื่อพวกเจ้าได้วิงวอนขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ให้ได้รับชัยชนะเหนือศัตรู อัลลอฮ์ก็ได้ทรงตอบรับการขอของพวกเจ้า ด้วยจำนวนหนึ่งพันมลาอิกะฮ์ทยอยกันลงมา เป็นกลุ่ม
(10) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย อัลลอฮ์ไม่ได้ทรงประทานเหล่ามลาอิกะฮ์มายังพวกเจ้านอกจากเพื่อเป็นการแจ้งข่าวดีแก่พวกเจ้าว่า พระองค์ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าเหนือศัตรูของพวกเจ้า และเพื่อทำให้หัวใจของพวกเจ้าเกิดความสงบและเกิดความมั่นใจในชัยชนะ แท้จริงแล้ว หาได้ว่าชัยชนะนั้นจะขึ้นด้วยการมีจำนวนที่มากหรือความพร้อมทางอาวุธ แต่ชัยชนะที่แท้จริง มันมาจากอัลลอฮฺ (ความบริสุทธิ์จงมีแด่พระองค์)เท่านั้น แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอำนาจในสิ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ ทรงเป็นผู้มีปรีชาญานในการกำหนดบทบัญญัติของพระองค์
(11) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงนึกถึงตอนที่อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้พวกเจ้าง่วงนอน เพื่อให้เกิดความสงบแก่พวกเจ้าจากความกลัวที่มีต่อศัตรู และพระองค์ได้ทรงประทานน้ำฝนลงมาจากฟากฟ้าเพื่อชำระพวกเจ้าให้บริสุทธิ์จากสิ่งสกปรกต่างๆ และเพื่อขจัดการกระซิบกระซาบของชัยฏอนออกจากพวกเจ้า และเพื่อทำให้หัวใจของพวกเจ้าเข้มแข็งและทำให้ร่างกายของพวกเจ้ายืนหยัดในวันที่ต้องเผชิญหน้า (กับศัตรู) และเพื่อทำให้เท้าของพวกเจ้ามีความมั่นคง ไม่จมในทะเลทรายที่เกิดขึ้นจากดินที่แข็งเพราะน้ำฝน
(12) โอ้นบี แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้าได้ทรงมีโองการแก่บรรดามลาอิกะฮ์ที่พระองค์ได้ส่งพวกเขาช่วยบรรดาผู้ศรัทธาในสงครามบัดรฺ (โดยพระองค์ได้ตรัสแก่พวกเขาว่า) "แท้จริข้านั้นร่วมอยู่กับพวกเจ้าด้วย คอยให้ความช่วยเหลือพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเสริมสร้างความมุ่งมั่นแก่บรรดาผู้ศรัทธาในการสู้รบกับศัตรู ฉันจะทำให้หัวใจของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอันรุนแรง ดังนั้นโอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าจงฟันคอพวกเขาให้พวกเขาตายสนิท และจงฟันข้อต่อและแขนขาของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาไม่สามารถที่จะสู้รบกับพวกเจ้าได้อีก
(13) เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่พวกเขาต้องถูกฆ่าและถูกฟันแขนขาของพวกเขา ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้ฝ่าฝืนอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ พวกเขาไม่ยอมทำตามในสิ่งที่ถูกสั่งใช้ให้ปฎิบัติและไม่ยอมหยุดในสิ่งที่ถูกสั่งห้ามมิให้ปฎิบัติ และผู้ใดที่ได้ฝ่าฝืนอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ในเรื่องดังกล่าวแล้ว ก็จงรู้เถิดว่า แท้จริงแล้วอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ ซึ่งในโลกนี้เขาจะถูกเข่นฆ่าและเป็นเชลยศึก ส่วนในปรโลกเขาจะตกอยู่ในไฟนรก
(14) การลงโทษดังกล่าวมีไว้ให้แก่พวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ฝ่าฝืนอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์เอ๋ย- ดังนั้นจงลิ้มรสของมันบนโลกดุนยานี้เถิด ส่วนในวันปรโลกนั้น สำหรับพวกเจ้าคือการลงโทษจากไฟนรก หากพวกเจ้าได้จบชีวิตด้วยการปฏิเสธศัรทธาและดื้อรั้น
(15) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าได้เผชิญหน้ากับบรรดาศัตรูผู้ปฏิเสธในระยะที่ใกล้ในสมรภูมิก็จงอย่ายอมแพ้และหันหลังหนี แต่จงตั้งหลักเผชิญหน้ากับพวกเขา และจงอดทนในการสู้รบกับพวกเขา แท้จริงแล้วอัลลอฮ์นั้นทรงอยู่กับพวกเจ้า ด้วยการช่วยเหลือและคอยหนุนอยู่เสมอ
(16) และผู้ใดก็ตามที่หันหลังหนีจากศัตรู โดยที่ไม่ใช่เป็นการหนีที่เป็นอุบายเพื่อไปตั้งหลักและย้อนกลับมาสู้รบอีกครั้ง หรือไม่ได้หนีเพื่อไปสมทบกับกองกำลังมุสลิมีนอีกกลุ่มหนึ่ง แน่นอนเขาผู้นั้นได้นำความโกรธกริ้วจากอัลลอฮ์กลับไป และที่พำนักของเขาในวันปรโลกคือนรกญะฮันนัม และที่พำนักที่เลวร้ายที่สุดคือที่พำนักพวกของเขา และปลายทางที่เลวร้ายที่สุดคือปลายทางของพวกเขา
(17) พวกเจ้า -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย- มิได้ฆ่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในสงครามบัดรฺด้วยพลังและความแข็งแกร่งของพวกเจ้า แต่อัลลอฮ์ต่างหากที่ทรงช่วยเหลือพวกเจ้า และเจ้า -โอ้นบี- มิได้ขว้าง(ทราย)โดนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา แต่อัลลอฮ์ต่างหากที่ทรงขว้างมัน โดยทำให้การขว้างของเจ้าบรรลุโดนพวกเขา และเพื่อเป็นการทดสอบบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายด้วยการให้พวกเจามีชัยชนะเหนือบรรดาศัตรูของพวกเขา ทั้งที่พวกเขามีกองกำลังและอาวุธที่อ่อนกว่า ทั้งนี้เพื่อให้พวกเขาได้ขอบคุณพระองค์ แท้จริงแล้วอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยินการวิงวอนและคำพูดของพวกเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ในการงานต่างๆของพวกเจ้าและสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า
(18) การฆ่าและการขว้างใส่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายจนพวกเขาต้องวิ่งหนีเพราะความพ่ายแพ้ และความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่ได้ประจักษ์แก่บรรดาผู้ศรัทธาด้วยการให้พวกเขาได้รับชัยชนะเหนือศัตรูของพวกเขา ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนมาจากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ทรงทำให้แผนการของบรรดาผู้ปฏิเสธที่ต้องการจะทำลายอิสลามด้วยแผนการดังกล่าวต้องล้มละลาย
(19) โอ้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย หากพวกเจ้าวิงวอนจากอัลลอฮ์เพื่อให้พระองค์ลงโทษบรรดาผู้อธรรมที่ชอบรุกรามคนอื่น แน่นอนการขอของพวกเจ้าก็ได้เกิดขึ้นกับพวกเจ้าแล้ว ดังนั้นพระองค์ได้ทรงลงโทษพวกเจ้าเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างสำหรับพวกเจ้าและเป็นบทเรียนแก่บรราดผู้ยำเกรงทั้งหลาย และหากพวกเจ้าหยุดจากการขอดังกล่าว มันก็จะเป็นการดียิ่งสำหรับพวกเจ้า บางทีพระองค์จะทรงผ่อนปรนและไม่รีบเร่งที่จะลงโทษแก้แค้นพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้าหวนกลับไปขอสิ่งนั้นและยืนยันที่จะสู้รบกับบรรดาผู้ศรัทธาอีก เราก็จะทำให้การลงโทษเกิดขึ้นกับพวกเจ้าและจะประทานชัยชนะให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย และแน่นอนกองกำลังของพวกเจ้าและผู้สนับสนุนของพวกเจ้าถึงแม้จะมีจำนวนมากหรือจะมีอาวุธที่พร้อมที่ดีเลิศก็ตาม ก็มิอาจจะช่วยอะไรพวกเจ้าได้เลย แม้ว่าฝ่ายผู้ศรัทธาจะมีจำนวนน้อยนิดก็ตาม แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงอยู่เคียงข้างบรรดาผู้ศรัทธาเสมอด้วยการช่วยเหลือและสนับสนุน ผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงอยู่กับเขา แน่นอนจะไม่มีผู้ใดเอาชนะเขาได้
(20) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์เอ๋ย จงเชื่อฟังอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์เถิด โดยการปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงใช้และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม และจงอย่าผินหลังให้แก่พระองค์โดยการฝ่าฝืนในสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งใช้และกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม ขณะที่พวกเจ้าได้ยินบรรดาโองการของอัลลอฮ์ที่ถูกอ่านให้พวกเจ้าฟัง
(21) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าเป็นเหมือนบรรดามุนาฟิกและบรรดาผู้ตั้งภาคีซึ่งพวกเขาเมื่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์ได้ถูกอ่านให้พวกเขาฟัง พวกเขาจะกล่าวว่า เราได้ยินอัลกุรอานด้วยหูทั้งสองของพวกเราแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ฟังมันด้วยการฟังแบบพิจารณาใคร่ครวญ เพื่อพวกเขาจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่พวกเขาได้ฟัง
(22) สิ่งมีชีวิตที่เลวร้ายที่สุดที่อัลลอฮ์ทรงสร้างขึ้นมาในพื้นแผ่นดินนี้ในสายตาของพระองค์ คือคนหูหนวกที่ไม่ยอมฟังซึ่งสัจธรรมด้วยการฟังอย่างมีสติยอมรับความจริง และคนใบ้ที่ไม่พูด พวกเขาคือผู้ที่ไม่เข้าใจสิ่งที่อัลลอฮ์ใช้และสิ่งที่อัลลอฮ์ห้าม
(23) ถ้าหากว่าอัลลอฮ์ทรงรู้ถึงความดีใดๆ มีอยู่ในบรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านั้น แน่นอน พระองค์จะทรงทำให้พวกเขาได้ยินด้วยการได้ยินอย่างมีสติที่ทำให้พวกเขารับประโยชน์จากมันได้ และเข้าใจเหตุผลและหลักฐาน แต่พระองค์ทรงรู้ดีว่ามันไม่มีอะไรดีๆ ในตัวของพวกเขาเลย และหากพระองค์ทรงให้พวกเขาได้ยิน พวกเขาก็จะผินหลังไม่ศรัทธาด้วยความดื้อดึของพวกเขาง และพวกเขาคือกลุ่มชนผู้ผินหลัง(ไม่สนใจ)
(24) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ทั้งหลาย จงตอบรับการเรียกร้องของอัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์เถิด โดยการเชื่อฟังในสิ่งที่เขาทั้งสองได้สั่งใช้และหลีกเลี่ยงในสิ่งที่เขาทั้งสองได้ห้ามปราม เมื่อเขาทั้งสองได้เรียกร้องพวกเจ้าสู่การปฏิบัติซึ่งสัจธรรมแห่งชีวิตของพวกเจ้าที่มีอยู่ในนั้น และจงมั่นใจเถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงมีกำลังความสามารถเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ทรงสามารถที่จะกั้นระหว่างพวกเจ้ากับการปฏิบัติตามสัจธรรมหากพวกเจ้าต้องการหลังจากที่พวกเจ้าได้ปฏิเสธมัน ดังนั้น พวกเจ้าจงเร่งรีบกลับไปสู่พระองค์เถิด และจงมั่นใจว่าพวกเจ้าจะถูกรวบรวมต่อหน้าอัลลอฮ์เพียงองค์เดียวในวันกิยามะฮ์ แล้วพระองค์ก็จะทรงตอบแทนพวกเจ้าในการงานที่พวกเจ้าได้ปฏิบัติมันไว้บนโลกดุนยา
(25) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงระวังการลงโทษที่มันไม่เพียงจะประสบกับผู้ฝ่าฝืนในหมู่พวกเจ้าเท่านั้น แต่มันจะประสบกับผู้ฝ่าฝืนและผู้อื่นด้วย เพราะเมื่อตอนที่การฝ่าฝืนนั้นได้เกิดขึ้นมันไม่ได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง พวกเจ้าจงมั่นใจเถิดว่า แท้จริงการลงโทษของพระองค์นั้นรุนแรงมากสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนพระองค์ ดังนั้น พวกเจ้าจงระวังจากการฝ่าฝืนต่อพระองค์เถิด
(26) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงนึกถึงตอนที่พวกเจ้าอยู่ในนครมักกะฮ์ ช่วงที่พวกเจ้ามีจำนวนน้อย ถูกชาวมักกะฮ์กดขี่บีบบังคับ กลัวว่าศัตรูของพวกเจ้าจะลักพาตัวพวกเจ้าไป และแล้วอัลลอฮฺได้ทรงจัดหาสถานที่แห่งหนึ่งไว้ให้พวกเจ้าได้พักพิง นั่นก็คือ นครมาดีนะฮ์ และได้ทรงทำให้พวกเจ้าเกิดความแข็งแกร่งด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ในทุกๆ ครั้งที่มีการสู้รบกับเหล่าศัตรู หนึ่งในนั้นคือ สงครามบัดร์ และพระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพที่ดีแก่พวกเจ้า หนึ่งในนั้นคือ ทรัพย์สงครามที่พวกเจ้ายึดได้จากข้าศึกในสนามรบ ทั้งหมดนั้นก็เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ขอบคุณอัลลอฮ์ในความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานให้ แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มพูนมันให้แก่พวกเจ้า และจงอย่างเนรคุณต่อความโปรดปรานนั้น แล้วพระองค์จะทรงยึดคืนมันจากพวกเจ้า และทรงลงโทษพวกเจ้าในที่สุด
(27) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ จงอย่าทรยศต่ออัลลอฮ์และเราะสูล โดยการไม่ทำตามคำสั่งใช้และไม่หลีกเลี่ยงจากคำสั่งห้ามของพระองค์ และจงอย่าบิดพลิ้วต่อสิ่งที่พวกเจ้าได้รับมอบหมายให้สะสางมัน อาทิเช่น การชำระหนี้สิน เป็นต้น ทั้งๆ ที่พวกเจ้ารู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่พวกเจ้าทำนั้น มันคือการบิดพลิ้วชนิดหนึ่ง และสุดท้ายพวกเจ้าจะอยู่ในกลุ่มผู้ทรยศทั้งหลาย
(28) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พึงรู้เถิดว่า แท้จริงทรัพย์สมบัติและลูกหลานของพวกเจ้านั้น แท้จริงมันเป็นสิ่งทดสอบที่พระองค์ทรงประทานให้แก่พวกเจ้า บางทีมันอาจจะขัดขวางพวกเจ้าจากการงานแห่งวันปรโลก และบางทีมันอาจจะทำให้พวกเจ้าต้องเป็นคนทรยศ และพึงรู้เถิดว่า แท้จริง ณ อัลลอฮ์นั้นมีรางวัลอันยิ่งใหญ่ ดังนั้น จงอย่าให้รางวัลนี้พลาดไปจากพวกเจ้า อันเนื่องจากการให้ความสำคัญต่อทรัพย์สมบัติและลูกหลานของพวกเจ้า และยอมทรยศบิดพลิ้วเพื่อพวกเขา
(29) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ พึงรู้เถิดว่า หากพวกเจ้าได้ยำเกรงต่ออัลลอฮ์โดยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้และหลีกเลี่ยงจากคำสั่งห้ามของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงประทานให้แก่พวกเจ้าซึ่งเกณฑ์ตัดสินระหว่างความจริงกับความเท็จ เพื่อว่าพวกเจ้าจะไม่สับสนระหว่างมันทั้งสอง พระองค์จะทรงลบล้างความผิดต่างๆ ของพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้กระทำไว้ จะทรงอภัยโทษบาปต่างๆ ของพวกเจ้า และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงมีความโปรดปรานอันใหญ่หลวง หนึ่งในความโปรดปรานอันใหญ่หลวงของพระองค์ คือ สรวงสวรรค์ที่พระองค์ได้จัดเตรียมไว้ให้แก่บรรดาบ่าวของพระองค์ที่ยำเกรง
(30) โอ้ท่านเราะสูล จงนึกถึงเมื่อตอนที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้รวมตัวและร่วมมือกันวางอุบายต่อต้านเจ้า เพื่อจับเจ้าไว้ หรือฆ่าเจ้า หรือขับไล่เจ้าออกจากเมืองของเจ้าไปยังเมืองอื่น พวกเขาวางอุบายต่อเจ้า และอัลลอฮ์ก็ทรงตีกลับแผนอุบายนั้นไปยังพวกเขาต่อ อัลลอฮ์ทรงวางอุบาย และอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นเลิศในบรรดาผู้วางอุบายทั้งหลาย
(31) เมื่อบรรดาโองการของเราได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขาได้กล่าวด้วยความดื้อรั้นและโอ้อวดต่อสัจธรรมว่า "พวกเราเคยได้ยินเช่นนี้มาแล้ว หากพวกเราต้องการที่จะกล่าวเยี่ยงอัลกุรอานนี้ แน่นอนพวกเราก็จะกล่าวมัน อัลกุรอานที่พวกเราได้ยินนี้ มันไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันมาแต่อดีตเท่านั้น ดังนั้น พวกเราจะไม่ศรัทธาต่อมันเป็นอันขาด"
(32) โอ้ท่านเราะสูล จงนึกถึงตอนที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวว่า "โอ้ อัลลอฮ์ ถ้าหากสิ่งที่มุหัมมัดได้นำมาเผยแพร่เป็นสัจธรรมที่แท้จริง ก็จงโปรยหินจากฟากฟ้าลงมาทำลายพวกเรา หรือลงโทษพวกเราอย่างรุนแรงเถิด" พวกเขากล่าวเช่นนั้น เพื่อบ่งบอกถึงการปฏิเสธศรัทธาอย่างที่สุด
(33) และอัลลอฮ์จะไม่ทรงลงโทษประชาชาติของเจ้า (ทั้งที่เป็นประชาชาติที่ไม่ศรัทธาและประชาชาติที่ศรัทธา) ด้วยการลงโทษที่มันทำลายพวกเขาอย่างสิ้นซาก ตราบใดที่เจ้า (โอ้มุหัมมัด) ยังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา การที่เจ้าได้อยู่ท่ามกลางพวกเขา ทำให้พวกเขาปลอดภัยจากการถูกลงโทษดังกล่าว และอัลลอฮ์จะไม่เป็นผู้ทรงลงโทษพวกเขา ในขณะที่พวกเขากำลังขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์จากบาปต่างๆ ของพวกเขา
(34) แล้วสิ่งใดเล่าที่จะเป็นตัวยับยั้งจากการลงโทษพวกเขา ในเมื่อพวกเขาได้กระทำในสิ่งที่สมควรต้องถูกลงโทษจากการที่พวกเขาได้ขัดขวางผู้คนมิให้เข้าไปในมัสยิดอัลหะรอมเพื่อกระทำการเฏาะวาฟและละหมาด บรรดาผู้ตั้งภาคีนั้นมิใช่เป็นที่รักของอัลลอฮ์ และไม่มีผู้อื่นใดที่เป็นที่รักของอัลลอฮ์ นอกจากบรรดาผู้ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ที่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้และหลีกห่างจากสิ่งต้องห้ามของพระองค์เท่านั้น แต่บรรดาผู้ตั้งภาคีส่วนใหญ่ พวกเขาจะไม่รู้ถึงสิ่งนี้ตอนที่พวกเขาอ้างว่าพวกเขาเป็นที่รักของอัลลอฮ์ ทั้งที่พวกเขาไม่ได้เป็นที่รักของอัลลอฮ์
(35) และการละหมาดของพวกเขา ณ บ้านอัลลอฮ์มิใช่อื่นใด นอกจากเป็นการผิวปากและการปรบมือ ดังนั้นโอ้บรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายจงลิ้มรสแห่งการลงโทษด้วยการต้องถูกฆ่าตายและเป็นเชลยศึกในสงครามบัดร์ เนื่องด้วยพวกเจ้าไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิเสธเราะสูลของพระองค์
(36) แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ พวกเขาจะใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขาเพื่อขัดขวางผู้คนมิให้นับถือศาสนาของอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขาจะใช้จ่ายมันอย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่มีวันบรรลุผลในสิ่งที่พวกเขาต้องการเป็นอันขาด จากนั้นผลของการใช้จ่ายทรัพย์สินของพวกเขานั้น คือ ความเสียใจที่ต้องสูญเสียความมั่งคั่งและล้มเหลวในเป้าหมายที่ได้วางไว้ แล้วยังต้องถูกพิชิตด้วยชัยชนะของบรรดาผู้ศรัทธาที่มีต่อพวกเขา และบรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ทั้งหลายจะถูกต้อนไปยังนรกญะฮันนัมในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ซึ่งพวกเขาจะเข้าไปอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล ไม่มีทางที่จะออกจากมันได้
(37) บรรดาผู้ปฏิเสธที่ใช้ทรัพย์สินของพวกเขาเพื่อขัดขวางผู้คนจากหนทางของอัลลอฮ์จะถูกต้อนไปยังนรกญะฮันนัม เพื่อที่อัลลอฮฺจะทรงแยกกลุ่มผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชั่วร้ายออกจากกลุ่มผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์ และเพื่อที่พระองค์จะทรงวางคนเลวการกระทำและทรัพย์สินซ้อนทับกันเป็นกอง ๆ แล้วโยนในไฟนรก คนเหล่านั้นแหละคือพวกที่ขาดทุนที่แท้จริง เพราะพวกเขาต้องสูญเสียทั้งตัวเองและครอบครัวในวันแห่งการพิพากษา
(38) จงกล่าวเถิด -โอ้เราะสูลเอ๋ย- แก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์จากพวกพ้องของเจ้าว่า "หากพวกเขายุติการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะสูลของพระองค์ และยุติการขัดขวางผู้ศรัทธาให้ออกจากหนทางของอัลลอฮ์ อัลลอฮ์ก็จะทรงให้อภัยบาปที่พวกเขาเคยกระทำมา เพราะความเป็นมุสลิมของพวกเขาจะลบล้างบาปกรรมที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และหากพวกเขายังดื้อรั้นที่จะคงอยู่กับการปฏิเสธศรัทธาอีก แน่นอนวิธีการปฏิบัติของอัลลอฮ์ก็ได้เกิดขึ้นมาแล้วกับผู้คนก่อนหน้านี้ว่า ซึ่งเมื่อพวกเขาได้ปฏิเสธศรัทธาและดื้อรั้นที่จะปฏิเสธอีก พระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาอย่างฉับพลัน"
(39) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงต่อสู้กับบรรดาศัตรูของพวกเจ้าจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเถิด จนกว่าจะไม่มีการตั้งภาคีต่อพระองค์และการขัดขวางบรรดามุสลิมให้ออกจากศาสนาของอัลลอฮ์ และเพื่อให้ศาสนาและการภักดีมีแด่อัลลอฮ์เพียงองค์เดียว โดยไม่มีภาคีใดๆ ร่วมกับพระองค์ ดังนั้น ถ้าหากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้หยุดจากการตั้งภาคีและหยุดจากการขัดขวางผู้คนจากหนทางของอัลลอฮ์โดยการปลดปล่อยให้ผู้คนเป็นอิสระ แน่นอน อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเห็นการกระทำทั้งหลายของพวกเขา โดยไม่มีความลับอันใดสามารถปกปิดจากพระองค์ได้
(40) และถ้าหากพวกเขาละทิ้งในสิ่งที่พวกเขาถูกสั่งให้ยุติการปฏิเสธศรัทธาและการขัดขวางผู้คนจากหนทางของอัลลอฮ์ จงมั่นใจเถิด -โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย- "แท้จริง อัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าให้ชนะเหนือพวกเขาเสมอ และพระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองที่ดีที่สุดให้กับผู้ที่ภักดีต่อพระองค์ และทรงเป็นผู้ช่วยเหลือที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ช่วยเหลือพระองค์ ดังนั้น ผู้ใดที่ภักดีต่อพระองค์เขาก็จะประสบความสำเร็จ และผู้ใดที่ช่วยเหลือพระองค์เขาก็จะได้ชัยชนะ
(41) และพึงทราบเถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ว่า แท้จริงแล้วสิ่งใดที่พวกเจ้าได้รับมาจากผู้ปฏิเสธศรัทธาในการทำศึกสงครามในหนทางของอัลลอฮ์นั้น จะต้องแบ่งออกเป็นห้าส่วน สี่ส่วนแบ่งให้กับมูญาฮิดีน (ผู้ที่ออกทำสงคราม) ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งส่วนให้แบ่งออกเป็นห้าส่วนอีกดังนี้ ส่วน(ที่หนึ่ง) เป็นของอัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์โดยนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมสำหรับชาวมุสลิม ส่วน(ที่สอง) เป็นของเครือญาติของท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่มาจากลูกหลานของฮาชิมและลูกหลานของอัลมุฏเฏาะลิบ ส่วน(ที่สาม) เป็นของเด็กกำพร้า ส่วน(ที่สี่) เป็นของบรรดาผู้ยากจน และสวน(ที่ห้า) เป็นของผู้เดินทางที่ขาดปัจจัยสำหรับการเดินทาง หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และสิ่งที่เราได้ประทานลงมาให้แก่บ่าวของเรานบีมูหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในวันสงครามบาดัรซึ่งเป็นวันที่อัลลอฮ์ทรงจำแนกระหว่างความถูกต้องและความผิด ในตอนที่พระองค์ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าให้ได้รับชัยชนะเหนือศัตรูของพวกเจ้า และอัลลอฮ์ที่ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้านั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสรรพสิ่ง
(42) และจงรำลึก (ถึงเหตุการณ์หนึ่ง) ขณะที่พวกเจ้าอยู่ที่หุบเขาฝั่งเมืองมะดีนะฮ์ บรรดาผู้ตั้งภาคีอยู่ที่หุบเขาฝั่งเมืองมักกะฮ์ และกองคาราวานอยู่ทางตอนใต้ของพวกเจ้าฝั่งทะเลแดง และหากพวกเจ้าและบรรดาผู้ตั้งภาคีนัดหมายว่าจะมาพบกันที่บาดัร แน่นอนพวกเจ้าจะผิดนัดซึ่งกันและกัน แต่พระองค์ได้ทรงรวมระหว่างพวกเจ้าที่บาดัรโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน เพื่อที่พระองค์จะทรงให้งานหนึ่งที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้วเสร็จสิ้นไป นั้นก็คือการช่วยเหลือบรรดาผู้ศรัทธาและทอดทิ้งบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา เทิดทูนศาสนาของพระองค์และเหยียดหยามการตั้งภาคี เพื่อที่จะให้ผู้ที่เสียชีวิตในหมู่พวกเขาเสียชีวิตไปในสภาพที่มีหลักฐานแย้งความพวกเขาด้วยการช่วยเหลือบรรดาผู้ศรัทธาให้มีชัยเหนือพวกเขา ทั้ง ๆ ที่จำนวนและการเตรียมการของบรรดาผู้ศรัทธามีจำนวนเล็กน้อย และจะให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้ใช้ชีวิตโดยมีหลักฐานอันชัดแจ้งที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เขาเห็น ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดที่จะนำหลักฐานมาแย้งความกับอัลลอฮ์ได้ และแท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินคำพูดของพวกเขาทั้งหมด ทรงรอบรู้ในการกระทำของพวกเขา ไม่มีอะไรที่จะปกปิดพระองค์ได้เลย และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาตามสิ่งที่ได้กระทำไว้
(43) จงรำลึกเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย ถึงความโปรดปรานต่าง ๆ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานให้แก่เจ้าและบรรดาผู้ศรัทธาขณะที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้เจ้าเห็นบรรดาผู้ตั้งภาคีในฝันของเจ้าว่าพวกเขามีจำนวนน้อย แล้วเจ้าได้บอกให้บรรดาผู้ศรัทธารับทราบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ทำให้พวกเขารู้สึกดีใจ เพิ่มความมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูและสู้รบกับพวกเขา และหากว่าพระองค์ได้ทรงให้เจ้าเห็นบรรดาผู้ตั้งภาคีในฝันของเจ้าว่าพวกเขามีจำนวนมากแล้วไซร้ แน่นอนความมุ่งมั่นของบรรดาเศาะหาบะฮ์ของเจ้าก็จะอ่อนลงและกลัวที่จะทำการสู้รบ แต่ทว่าอัลลอฮ์ได้ทรงให้ปลอดภัยจากสิ่งนั้น ทำให้พระองค์คุ้มครองพวกเขา (เศาะหาบะฮ์) จากความล้มเหลว แล้วทำให้พวกเขา (บรรดาผู้ตั้งภาดี) มีจำนวนน้อยนิดในสายตาของเราะซูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในใจและสิ่งที่ชีวิตซ่อนไว้
(44) และจงรำลึกเถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ขณะที่อัลลอฮ์ได้ทรงให้พวกเจ้าเห็นบรรดาผู้ตั้งภาคีมีจำนวนน้อยในตอนที่พวกเจ้าเผชิญหน้ากับพวกเขา ทำให้พวกเจ้ากล้าหาญที่จะเผชิญหน้าสู้รบกับพวกเขา และพระองค์ได้ทรงทำให้พวกเจ้ามีจำนวนน้อยในสายตาของพวกเขา ทำให้พวกเขากล้าที่จะออกมาสู้รบกับพวกเจ้าและไม่คิดที่จะหนี (ทั้งหมดเหล่านี้) เพื่อที่อัลลอฮ์จะทรงให้งานหนึ่งที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้วเสร็จสิ้นไปโดยการลงโทษแก้แค้นบรรดาผู้ตั้งภาคีด้วยการฆ่า(ในสนามรบ)และจับเป็นเฉลยศึก และโดยการประทานความโปรดปรานให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาด้วยชัยชนะเหนือศัตรู และยังอัลลอฮ์เท่านั้นกิจการทั้งหลายจะถูกนำกลับไป และพระองค์จะทรงตอบแทนคนชั่วตามความชั่วของเขา และตอบแทนคนดีตามความดีของเขา
(45) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามเราะสูลของพระองค์ทั้งหลาย หากพวกเจ้าเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ปฏิเสธาศรัทธา พวกเจ้าจงยืนหยัดและอย่าได้ขี้ขลาด และจงรำลึกถึงอัลลอฮ์ให้มาก ๆ และขอพรต่อพระองค์ ซึ่งพระองค์เป็นผู้ทรงมีอำนาจในการช่วยเหลือพวกเจ้าให้ได้รับชัยชนะเหนือพวกเขา เพื่อให้พวกเจ้าสมปรารถนาในสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ และห่างไกลจากสิ่งที่พวกเจ้าเฝ้าระวัง
(46) และจงเชื่อฟังอัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ทั้งในการใช้วาจา การกระทำ และทุกอริยาบทของพวกเจ้า และอย่าได้ขัดแย้งกันในความคิดเห็น เพราะความขัดแย้งนั้นคือสาเหตุที่จะทำให้พวกเจ้าอ่อนแอ ขี้ขลาด และจะทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหายไป และจงอดทนในตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรูของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงอยู่กับบรรดาผู้อดทนด้วยการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือ และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงอยู่เคียงข้างเขา แน่นอนเขาจะเป็นผู้มีชัย
(47) และพวกเจ้าจงอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ตั้งภาคีที่ออกจากเมืองมักกะฮ์ด้วยความหยิ่งผยอง โอ้อวดผู้คน ขัดขวางผู้คนออกจากศาสนาของอัลลอฮ์ และห้ามพวกเขาไม่ให้เข้ารับศาสนาของพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นทรงเป็นผู้รอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน ไม่มีการงานใดของพวกเขาที่สามารถซ้อนเร้นพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาตามการงานที่ได้กระทำไว้
(48) และจงรำลึกเถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ว่า หนึ่งในความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเจ้าคือ การที่ชัยฏอนได้ทำให้บรรดาผู้ตั้งภาคีเห็นดีเห็นงามในการงานของพวกเขา ทำให้พวกเขากล้าหาญที่จะเผชิญหน้าสู้รบกับบรรดามุสลิม และ(ชัยฏอน)ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า วันนี้ไม่มีผู้ใดในหมู่มนุษย์ที่จะชนะพวกเจ้าได้ แท้จริงฉันเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือพวกเจ้าและเป็นผู้ปกป้องพวกเจ้าจากศัตรูของพวกเจ้า เมื่อครั้งที่ทั้งสองฝ่ายได้เผชิญหน้ากัน ฝ่ายผู้ศรัทธาซึ่งมีมะลาอิกะฮ์ที่คอยช่วยเหลือพวกเขา และฝ่ายผู้ตั้งภาคีซึ่งมีชัยฏอนที่รอจะทอดทิ้งพวกเขา ชัยฏอนก็ได้หันหลังหนีพร้อมกล่าวว่า แท้จริงฉันไม่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้า แท้จริงฉันเห็นบรรดามะลาอิกะฮ์ที่มาช่วยเหลือบรรดาผู้ศรัทธา แท้จริงฉันกลัวอัลลอฮ์จะทำให้ฉันพินาศ ซึ่งพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษ และไม่มีผู้ใดที่สามารถต้านการลงโทษของพระองค์ได้
(49) และพวกเจ้าจงรำลึกไว้เมื่อครั้งที่บรรดาผู้กลับกลอกและบรรดาผู้มีความศรัทธาอ่อนแอ กล่าวว่า บรรดามุสลิมเหล่านั้นได้ถูกศาสนาของพวกเขาหลอกลวง ซึ่งได้สัญญาด้วยชัยชนะเหนือศัตรูของพวกเขา ทั้งๆ ที่พวกเขามีจำนวนน้อยและการเตรียมพร้อมที่อ่อนแอ พร้อมทั้งศัตรูมีจำนวนมากและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า โดยที่พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่าผู้ที่พึ่งพาอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวและเชื่อมั่นในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือ อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงช่วนเหลือและจะไม่ทอดทิ้งเขาอย่างแน่นอน ไม่ว่าเขาจะอ่อนแอเพียงใดก็ตาม และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพที่ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพระองค์ได้ ผู้ทรงปรีชาญาณในการกำหนดกฏสภาวะและการบัญญัติของพระองค์
(50) และหากเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย เห็นบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ในขณะที่มะลาอิกะฮ์กระชากวิญญาณออกจากร่างของพวกเขา แน่นอนเจ้าจะเห็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ โดยมะลาอิกะฮ์จะตบตีใบหน้าของพวกเขาในยามที่รุกเข้าและจะตบตีด้านหลังของพวกเขาในยามที่ผินหลังหนี และมะลาอิกะฮ์จะกล่าวแก่พวกเขาว่า โอ้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษแห่งการเผาไหม้เถิด
(51) โอ้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเอ๋ย การลงโทษอันเจ็บปวดทรมานในขณะที่มะลาอิกะฮ์เอาวิญญาณของพวกเจ้าไป การลงโทษที่เผาไหม้ในหลุมฝังศพของพวกเจ้าและในวันปรโลกนั้น สาเหตุของมันคือ กรรมที่พวกเจ้าได้กระทำไว้บนโลกดุนยา เพราะอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงอธรรมต่อมวลมนุษย์ หากแต่พระองค์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเขาด้วยความยุติธรรม ซึ่งพระองค์เป็นผู้ตัดสินที่ยุติธรรม
(52) และนี่ไม่ใช่เป็นการลงโทษที่ลงมาเฉพาะแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา(ในสมัยเราะซูล)เท่านั้น แต่มันเป็นกฏของอัลลอฮ์ที่พระองค์ทรงใช้กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในทุกยุคทุกสมัย ดังที่วงศ์วานของฟิรเอาน์และบรรดาประชาชาติก่อนหน้าพวกเขาได้รับในยามที่พวกเขาเหล่านั้นปฏิเสธศรัทธาต่อสัญญาณต่าง ๆ ของอัลลอฮ์ แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงลงโทษพวกเขาด้วยสาเหตุความผิดบาปของพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพที่ไม่มีผู้ใดเหนือพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงรุนแรงในการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนพระองค์
(53) การลงโทษที่รุนแรงสาหัสนั้น มีสาเหตุมาจากเมื่ออัลลอฮ์ได้ทรงประทานความโปรดปรานหนึ่งของพระองค์ให้กับกลุ่มชนใดกลุ่มชนหนึ่ง พระองค์จะไม่ทรงยึดมันคืนจากพวกเขาจนกว่ากลุ่มชนนั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาเองจากสภาพที่ดีด้วยการศรัทธา การกระทำความดีอย่างต่อเนื่อง และการขอบคุณต่อความโปรดปรานต่างๆ ไปสู่สภาพที่ไม่ดีด้วยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ไม่เชื่อฟังพระองค์ และไม่ขอบคุณต่อความโปรดปรานต่าง ๆ ของพระองค์ และแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยินทุกคำพูดของปวงบ่าว ผู้ทรงรอบรู้ทุกการกระทำของพวกเขา ซึ่งไม่มีสิ่งจะซ่อนเร้นพระองค์ได้
(54) สภาพของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นมีสถานะเช่นเดียวกับสภาพของผู้อื่นที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เช่น วงศ์วานของฟิรเอาน์และประชาชาติที่ปฏิเสธศรัทธาก่อนหน้าพวกเขา ซึ่งพวกเขาปฏิเสธโองการต่าง ๆ ของพระเจ้าของพวกเขา แล้วอัลลอฮ์จึงได้ทำลายพวกเขาเนื่องด้วยบาปต่าง ๆ ที่พวกเขาได้กระทำไว้ และอัลลอฮ์ได้ทำลายวงศ์วานของฟิรเอาน์ด้วยการให้จมน้ำตายในทะเล ซึ่งทั้งวงศ์วานของฟิรเอาน์และประชาชาติก่อนหน้าพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้อธรรมด้วยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และตั้งภาคีต่อพระองค์ ทำให้พวกเขาสมควรได้รับการลงโทษจากพระองค์ เลยพระองค์ได้ทรงให้การลงโทษนั้นประสบกับพวกเขา
(55) แท้จริงผู้ที่เดินคลานบนหน้าแผ่นดินที่ชั่วร้ายที่สุดคือบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ ซึ่งพวกเขาจะไม่ศรัทธาถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณทั้งหมดมายังพวกเขา เนื่องด้วยการยืนกรานปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา เพราะพวกเขาได้สูญเสียสื่อแห่งทางนำ เช่น สติปัญญา การได้ยิน และการมองเห็น
(56) (พวกเขา) คือ บรรดาผู้ที่เจ้าได้ทำพันธสัญญาไว้กับพวกเขา เช่น เผ่ากุร็อยเซาะฮ์ แล้วพวกเขาก็ทำลายสิ่งที่เจ้าได้ทำสัญญาไว้กับพวกเขาทุกครั้ง โดยที่พวกเขาไม่เกรงกลัวต่ออัลลอฮ์ เลยพวกเขาบิดพลิ้วต่อสัญญาต่าง ๆ ของพวกเขา และไม่ปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ได้ทำไว้กับพวกเขา
(57) ดังนั้น ถ้าหากเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย ได้พบกับบรรดาผู้ที่ทำลายพันธสัญญาของพวกเขาในสงคราม เจ้าจงลงโทษพวกเขาอย่างรุนแรงเพื่อให้คนอื่นได้ยินถึงเรื่องดังกล่าว เผื่อว่าพวกเขาจะได้รับบทเรียนจากสภาพของผู้ที่ถูกลงโทษ ทำให้พวกเขาเกรงที่จะต่อสู้กับเจ้าและสัตรูของเจ้าเกรงที่จะออกมาประท้วงเจ้า
(58) และถ้าหากเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย เกรงว่ากลุ่มชนหนึ่งที่เจ้าได้ทำสัญญาไว้กับพวกเขาจะทุจริตและทำลายสัญญานั้น โดยมีสัญญาณที่แสดงให้เจ้าเห็น เจ้าจงประกาศแจ้งยกเลิกสัญญาของพวกเขาเพื่อให้พวกเขาและเจ้าจะได้รู้ร่วมกัน และเจ้าอย่าได้ข่มเหงพวกเขาก่อนที่จะประกาศแจ้งให้พวกเขาทราบ และแท้จริงการข่มเหงพวกเขาก่อนที่จะประกาศแจ้งให้พวกเขาทราบนั้นเป็นการทุจริจ และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้ที่ทุจริต แถมยังเกลียดชังพวกเขาอีก ดังนั้นเจ้าจงระวังการทุจริต
(59) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นจงอย่าคิดว่า พวกเขาจะรอดพ้นและเป็นอิสระจากการลงโทษของอัลลอฮ์ แท้จริงพวกเขานั้นจะไม่รอดและจะไม่เป็นอิสระจากการลงโทษของพระองค์ แถมพระองค์ยังเป็นผู้ทรงตามทันพวกเขา
(60) และพวกเจ้า โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเตรียมจำนวนกองกำลังและความพร้อมตามที่พวกเจ้าสามารถจะเตรียมได้ เช่น การยิงธนู และจงเตรียมม้าที่พวกเจ้าได้ผูกมันไว้ในหนทางของอัลลอฮ์ เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ให้ศัตรูของอัลลอฮ์และศัตรูของพวกเจ้าที่มาจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่รอคอยเหตุร้ายให้ประสบกับพวกเจ้าเกรงกลัว และเพื่อที่พวกเจ้าจะได้ให้กลุ่มชนอื่น ๆ เกรงกลัวอีกด้วย ซึ่งพวกเจ้าไม่รู้จักพวกเขาและไม่รู้ถึงความเป็นศัตรูที่พวกเขาซ่อนไว้ในใจ แต่อัลลอฮ์เท่านั้นที่ทรงรู้ถึงพวกเขาและทรงรู้ในสิ่งที่พวกเขาซ่อนไว้ในใจของพวกเขา และสิ่งที่พวกเจ้าได้บริจาคจากทรัพย์สินไม่ว่าจะน้อยหรือมากนั้น อัลลอฮ์จะทรงตอบแทนแก่พวกเจ้าในโลกดุนยาและจะทรงตอบแทนแก่พวกเจ้าอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีส่วนที่ขาดเหลือในโลกหน้า ดังนั้นพวกเจ้าจงรีบเร่งกันบริจาคในหนทางของพระองค์
(61) และหากพวกเขาต้องการที่จะประนีประนอมและละทิ้งการสู้รบกับเจ้า โอ้เราะซูล เจ้าจงรับการขอประนีประนอมนั้นและทำสนธิสัญญากับพวกเขา และจงมอบหมายและเชื่อใจต่ออัลลอฮ์ เพราะพระองค์จะไม่ทรงทำให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินคำพูดของพวกเขา เป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงเจตนาและการกระทำของพวกเขา
(62) หากพวกเขาตั้งใจจะหลอกลวงเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย ด้วยแผนการประนีประนอมและยุติการสู้รบดังกล่าว เพื่อพวกเขาจะได้เตรียมพร้อมในการสู้รบกับเจ้าใหม่ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้พอเพียงแล้วสำหรับเจ้า(ในการจัดการ)แผนร้ายและการหลอกลวงของพวกเขา พระองค์ได้ทรงให้เจ้าแกร่งด้วยการช่วยเหลือของพระองค์และการช่วยเหลือของบรรดาผู้ศรัทธาที่มาจากชาวมุฮาญิรีน (ผู้อพยพ) และชาวอันศอร (ผู้สนับสนุน)
(63) และพระองค์ได้ทรงเชื่อมสามัคคีระหว่างหัวใจของบรรดาผู้ศรัทธาที่พระองค์ได้ทรงช่วยเหลือเจ้าโดยผ่านพวกเขาหลังจากที่หัวใจของพวกเขาได้แตกแยกกัน หากเจ้าจ่ายทรัพย์สินที่มีอยู่ในแผ่นดินเพื่อเชื่อมสามัคคีระหว่างหัวใจของพวกเขาที่แตกแยกกันนั้น เจ้าจะไม่สามารถเชื่อมสามัคคีได้ แต่ทว่าอัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเชื่อมสามัคคีได้ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพในอำนาจของพระองค์ ไม่มีผู้ใดเหนือพระองค์ได้ ผู้ทรงปรีชาญาณในการกำหนดกฏสภาวะ การจัดการ และการบัญญัติของพระองค์
(64) โอ้ นบีเอ๋ย แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้พอเพียงแล้วสำหรับเจ้า(ในการจัดการ)สิ่งชั่วร้ายของศัตรูของเจ้า และทรงเป็นผู้พอเพียงแล้วสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่ร่วมกับเจ้าด้วย ดังนั้น จงเชื่อมั่นต่ออัลลอฮ์และยึดมั่นในพระองค์เถิด
(65) โอ้นบีเอ๋ย เจ้าจงผลักดันผู้ศรัทธาทั้งหลายในการสู้รบเถิด และกระตุ้นพวกเขาด้วยกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำให้จิตวิญญาณแห่งการสู้รบและความปรารถนาของพวกเขาเพิ่มขึ้น หากในหมู่พวกเจ้า โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย มียี่สิบคนที่อดทนในการสู้รบกับบรรดาผู้ปฏิสธศรัทธา พวกเจ้าก็จะชนะบรรดาผู้ปฏิสธศรัทธาสองร้อยคน และหากในหมู่พวกเจ้ามีหนึ่งร้อยคนที่อดทน พวกเจ้าก็จะชนะบรรดาผู้ปฏิสธศรัทธาหนึ่งพันคน เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับกฏของอัลลอฮ์ในการช่วยเหลือบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงรักและกำจัดศัตรูของพระองค์ และพวกเขาไม่รู้ถึงเป้าหมายของการสู้รบ ซึ่งพวกเขาจะสู้รบเพียงเพื่อต้องการความสูงส่งในโลกดุนยา
(66) บัดนี้อัลลอฮ์ได้ทรงผ่อนปรนแก่พวกเจ้าแล้ว โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย เนื่องจากพระองค์ได้รู้ถึงความอ่อนแอของพวกเจ้า พระองค์จึงได้ทรงผ่อนปรนแก่พวกเจ้าเพื่อเป็นการเมตตาต่อพวกเจ้า แล้วพระองค์ได้บังคับแต่ละคนในหมู่พวกเจ้าให้ยืนหยัดต่อหน้าผู้ปฏิเสธศรัทธาสองคนจากสิบคน ดังนั้นหากในหมู่พวกเจ้ามีหนึ่งร้อยคนที่อดทนในการสู้รบกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเจ้าก็จะมีชัยชนะเหนือสองร้อยคน และหากในหมู่พวกเจ้ามีหนึ่งพันคนที่อดทน พวกเจ้าก็จะมีชัยชนะเหนือบรรดาผู้ปฏิเสธศัทธาสองพันคนด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์ แท้จริงแล้วอัลลอฮ์นั้นอยู่เคียงข้างบรรดาผู้ศรัทธาที่อดทน ซึ่งพระองค์จะให้การสนับสนุนและการช่วยเหลือ
(67) ไม่สมควรแก่นบีคนหนึ่งที่เขาจะมีเชลยศึกจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่คอยสู้รบกับเขา จนกว่าเขา(นบี)จะฆ่า(ชีวิตศัตรู)ในหมู่พวกเขาอย่างสาหัสเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในจิตใจของพวกเขาเพื่อไม่ให้พวกเขากลับมาสู้รบกับนบีอีก โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าต้องการค่าไถ่ถอนด้วยการจับเชลยศึกจากสงครามบาดัร แต่อัลลอฮ์ทรงต้องการ(ให้พวกเจ้าได้รับความดีแห่ง)ปรโลก ซึ่งจะได้มาด้วยการช่วยเหลือศาสนาและยกเกียรติศาสนาให้สูงส่ง และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพในตัวตน คุณลักษณะ และการพิชิตของพระองค์ ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพระองค์ได้ พระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการกำหนดกฏสภาวะและบทบัญญัติของพระองค์
(68) หากไม่มีพระกำหนดจากอัลลอฮ์ไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์ได้ทรงอนุญาตให้พวกเจ้าเอาทรัพย์สงครามและเรียกค่าไถ่เชลยศึกได้ แน่นอนการลงโทษอันรุนแรงจากอัลลอฮ์จะประสบกับพวกเจ้า เนื่องด้วยพวกเจ้าได้เอาทรัพย์สงครามและเรียกค่าไถ่เชลยศึกก่อนที่จะมีวะห์ยูจากอัลลอฮ์ประทานลงมาอนุญาตในสิ่งดังกล่าว
(69) ดังนั้น โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงบริโภคทรัพย์สงครามที่พวกเจ้าได้ยึดมาจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ซึ่งมันเป็นที่อนุญาตแก่พวกเจ้า และจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และห่างไกลจากสิ่งต้องห้าม แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษต่อปวงบ่าวของพระองค์ที่ศรัทธา และพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเขาเสมอ
(70) โอ้ นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่เฉลยศึกจากบรรดาผู้ตั้งภาคีที่อยู่ในมือของพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้จับพวกเขาไว้ในสงครามบาดัรเถิดว่า หากอัลลอฮ์ทรงรู้ว่าในจิตใจของพวกเจ้า(บรรดาผู้ตั้งภาคี)มีความตั้งใจที่ดี แน่นอนพระองค์จะให้แก่พวกเจ้าในสิ่งที่ดีกว่าค่าไถ่ถอนที่พวกเจ้าได้เสียไป ดังนั้นจงอย่าเสียใจกับค่าไถ่ถอนที่พวกเจ้าได้เสียไป และพระองค์จะทรงอภัยโทษบาปต่าง ๆ ของพวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษแก่บ่าวขของพระองค์ที่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัว และทรงเมตตาเสมอ ซึ่งสัญญาของอัลลอฮ์ได้บรรลุแก่อัลอับบาสลุงของท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และคนอื่น ๆ ที่เข้ารับอิสลาม
(71) และหากพวกเขาต้องการที่จะทรยศต่อเจ้า โอ้มุหัมมัด ด้วยกับคำพูดที่พวกเขาแสดงออกมา แน่นอนพวกเขาได้เคยทรยศต่ออัลลอฮ์มาก่อน และแน่นอนอัลลอฮ์ได้ทรงช่วยเหลือเจ้าให้มีชัยเหนือพวกเขา จนทำให้พวกเขาบางคนถูกฆ่าและบางคนถูกจับไปเป็นเชลย ดังนั้นให้พวกเขารอเหตุการณ์ดังกล่าว หากพวกเขากลับมาทรยศอีก และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา และพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการจัดการ
(72) แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ เชื่อมั่นต่อเราะซูลของพระองค์ และปฎิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ อพยพออกจากเมืองที่ปฏิเสธศรัทธาไปยังเมืองอิสลาม หรือไปยังสถานที่ที่มีผู้คนจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์อย่างปลอดภัย ทุ่มเททรัพทย์สินและชีวิตของพวกเขาเพื่อเชิดชูศาสนาของอัลลอฮ์ให้สูงส่ง และบรรดาผู้ให้ที่พักอาศัยและความช่วยเหลือแก่ชาวมุฮาญิรีน ชนเหล่านี้ทั้งบรรดาผู้อพยพ (มุฮาญิรีน) และบรรดาผู้ให้ที่พักอาศัย (อันศอร) พวกเขาเป็นที่รักกัน ช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ส่วนบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ แต่ไม่ได้อพยพออกจากเมืองที่ปฏิเสธศรัทธาไปยังเมืองอิสลาม ก็ไม่จำเป็นสำหรับพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา ที่จะต้องช่วยเหลือและปกป้องพวกเขา จนกว่าพวกเขาจะอพยพไปสู่หนทางของอัลลอฮ์ และหากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาอธรรมต่อพวกเขา แล้วพวกเขาขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงช่วยเหลือพวกเขาในการต่อสู้กับศัตรูของพวกเขา เว้นแต่เมื่อมีสนธิสัญญาระหว่างพวกเจ้ากับศัตรูของพวกเขาซึ่งฝ่ายศัตรูไม่ได้ละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าว และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเห็นในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ไม่มีการงานใดของพวกเจ้าที่จะปกปิดพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการงานที่ได้กระทำไว้
(73) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ที่มีการปฏิเสธศรัทธาเป็นสิ่งรวบรวมพวกเขาไว้เป็นกลุ่ม โดยที่พวกเขาจะให้ความช่วยเหลือกันและกัน ดังนั้นผู้ศรัทธาอย่าได้ถือพวกเขาเป็นที่รัก หากพวกเจ้า (บรรดาผู้ศรัทธา) ไม่ถือบรรดาผู้ศรัทธาด้วยกันเป็นที่รักและไม่ถือบรรดาปฏิเสธผู้ศรัทธาเป็นศัตรู แน่นอนจะทำให้เกิดฟิตนะฮ์ (ความหายนะ) แก่บรรดาผู้ศรัทธา เพราะพวกเขาไม่มีผู้ที่จะมาให้การช่วยเหลือพวกเขาจากพี่น้องร่วมศาสนาและจะทำให้เกิดความเสียหายอันใหญ่หลวงบนหน้าแผ่นดินด้วยปิดกั้นหนทางของอัลลอฮ์
(74) และบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ อพยพไปในหนทางของพระองค์ และบรรดาผู้ที่ให้ที่พักอาศัยแก่ผู้ที่อพยพในหนทางของอัลลอฮ์และให้ความช่วยเหลือพวกเขา ชนเหล่านี้แหละ คือบรรดาผู้ศรัทธาโดยแท้จริง ซึ่งพวกเขาจะได้รับการตอบแทนจากอัลลอฮ์ด้วยการอภัยโทษบาปต่าง ๆ ของพวกเขา และจะได้รับปัจจัยยังชีพอันประเสริฐจากพระองค์ นั้นก็คือสวนสวรรค์
(75) และบรรดาผู้ศรัทธาที่มาภายหลังจากการศรัทธาของชนรุ่นก่อนจากชาวมูฮาญิรีน(ที่อพยพมาจากมักกะฮ์) และชาวอันศอร์(ที่ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนที่มาดีนะฮ์) อพยพออกจากเมืองที่ปฏิเสธไปยังเมืองอิสลาม และต่อสู้ในหนทางของอัลลอ์เพื่อเชิดชูศาสนาของอัลลอฮ์ให้สูงส่งและให้ศาสนาของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ำต้อย พวกเขาเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา โดยที่พวกเขามีสิทธิและหน้าทีเหมือนกับพวกเจ้า และบรรดาญาติพี่น้องในบทบัญญัติของอัลลอฮ์ที่ว่าด้วยมรดก พวกเขามีสิทธิรับมรดกซึ่งกันและกันเหนือกว่าการสืบทอดรับมรดกด้วยวิธีการศรัทธาและการอพยพที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดจะปกปิดพระองค์ได้ พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่เหมาะสมแก่ปวงบ่าวของพระองค์ พระองค์จึงได้บัญญัติสิ่งนั้นขึ้นมาแก่พวกเขา