9 - At-Tawba ()

|

(1) นี่คือประกาศการพ้นข้อผูกพันใด ๆ จากอัลลอฮ์และจากเราะซูลของพระองค์ และเป็นประกาศการสิ้นสุดของพันธสัญญาที่พวกเจ้า (โอ้บรรดามุสลิม) ได้ทำไว้กับบรรดาผู้ตั้งภาคีในคาบสมุทรอาหรับ

(2) ดังนั้นพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคี) จงท่องไปบนหน้าแผ่นดินในระยะเวลาสี่เดือนอย่างปลอดภัย และไม่มีพันธสัญญาและความปลอดภัยใด ๆ แก่พวกเจ้าหลังจากนี้อีกต่อไป พวกเจ้าจงเชื่อมั่นเถิดว่า พวกเจ้าจะไม่รอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์หากพวกเจ้ายังคงปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ และพวกเจ้าจงเชื่อมั่นอีกเถิดว่า อัลลอฮ์จะให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาประสบกับความอัปยศด้วยการถูกฆ่าและถูกจับเป็นเชลยศึกในโลกดุนยา และทำให้พวกเจ้าต้องเข้านรกในวันกียามะฮ์ ซึ่งการลงโทษนี้จะรวมถึงผู้ละเมิดสนธิสัญญาและผู้ที่สัญญาของพวกเขาไม่มีกำหนดระยะเวลา ส่วนผู้ที่สัญญาของเขามีกำหนดระยะเวลาถึงแม้ว่าจะมากกว่าสี่เดือนก็ตาม สัญญาของเขานั้นจะถูกรักษาไว้จนครบกำหนด

(3) และเป็นการประกาศจากอัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์แด่มวลมนุษย์ทั้งหลายในวันอีดอัลอัฎฮาอันใหญ่ยิ่งว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นได้ทรงปลีกตัวออกจากบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย และแท้จริงเราะซูลของพระองค์ก็ได้ปลีกตัวออกจากพวกเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคี) ได้สำนึกผิด แน่นอนการสำนึกของพวกเจ้าจะเป็นสิ่งที่ดีแก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้าผินหลังไม่สำนึกผิดพวกเจ้าจงเชื่อมั่นเถิดว่า แท้จริงพวกเจ้าจะหนีไม่พ้นจากอัลลอฮ์และการลงโทษของพระองค์ และเจ้า (โอ้เราะซูลเอ๋ย) จงแจ้งแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์เกี่ยวกับสิ่งไม่ดีที่จะประสบกับพวกเขา นั่นก็คือการลงโทษอันเจ็บแสบที่กำลังรอพวกเขาอยู่

(4) ยกเว้นบรรดาผู้ตั้งภาคีที่พวกเจ้าได้ทำสัญญาไว้กับพวกเขา แล้วพวกเขาได้ปฏิบัติตามสัญญาและไม่ละเมิดต่อสัญญานั้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ พวกเขาจะได้รับการยกเว้นจากข้อตัดสินก่อนหน้านี้ และพวกเจ้า (โอ้บรรดาผู้ศรัทธา) จงปฏิบัติตามสัญญาที่มีไว้กับพวกเขาจนครบวาระของสัญญาดังกล่าว แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ที่ยำเกรงด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การปฏิบัติตามสัญญา และหลีกห่างออกจากสิ่งต้องห้ามของพระองค์ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การทรยศผิดสัญญา

(5) ครั้นเมื่อเดือนต้องห้ามเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งเป็นเดือนที่พวกเจ้าได้ประกันความปลอดภัยให้กับศัตรูของพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าก็จงประหัตประหารชีวิตของบรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้น ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าพบเจอพวกเขา และจับพวกเขาเป็นเฉลยศึก ปิดล้อมพวกเขาในสถานที่มั่นของพวกเขา และสอดส่องดูความเคลื่อนไหวพวกเขา แต่ถ้าพวกเขาสำนึกผิดกลับตัวต่ออัลลอฮ์จากการตั้งภาคีต่อพระองค์ ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และจ่ายซะกาตจากทรัพย์สินของพวกเขา แน่นอนพวกเขาได้กลายเป็นพี่น้องของพวกเจ้าในอิสลาม ดังนั้น พวกเจ้าก็จงระงับการสู้รบกับพวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษแก่บ่าวของพระองค์ที่สำนึกผิดกลับตัว และพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตาต่อเขาเสมอ

(6) และหากมีผู้ใดในบรรดาผู้ตั้งภาคีที่เลือด (ชีวิต) และทรัพย์สินของเขาเป็นที่อนุญาต(ให้ต่อสู้และยึดทรัพย์ได้) เข้ามาขอเป็นเพื่อนบ้านของเจ้า (โอ้เราะซูลเอ๋ย) เจ้าจงตอบรับคำขอของเขาเพื่อที่เขาจะได้ฟังอัลกุรอาน จากนั้นเจ้าจงส่งเขาไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยต่อตัวเขา นั่นก็เพราะว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นกลุ่มชนที่ไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงของศาสนานี้ หากพวกเขาได้รับรู้ข้อเท็จจริงจากการฟังการอ่านอัลกุรอานพวกเขาอาจจะได้รับทางนำ

(7) เป็นไปไม่ได้ที่บรรดาผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์จะมีพันธสัญญาและความปลอดภัย ณ อัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ นอกจากพันธสัญญาของบรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้นที่พวกเจ้า โอ้บรรดามุสลิม ได้ทำไว้กับพวกเขา ณ มัสยิดหะรอมในเหตุการณ์ซุลหุลหุดัยบียะฮ์ (สัญญาสันติภาพหุดัยบียะฮ์) ดังนั้นตราบใดที่พวกเขารักษาสัญญาระหว่างพวกเจ้ากับพวกเขา และไม่ได้ละเมิดต่อสัญญานั้น พวกเจ้าก็จงรักษาสัญญานั้นและอย่าได้ละเมิดตามไปด้วย แท้จริงอัลลอทรงรักบรรดาผู้ที่มีความยำเกรงจากปวงบ่าวของพระองค์ที่ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ และหลีกเลี่ยงในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม

(8) พวกเขาจะได้รับสัญญาและความสงบปลอดภัยได้อย่างไรเล่า ในเมื่อพวกเขาเหล่านั้นเป็นศัตรูกับพวกเจ้า และหากพวกเขาแกร่งหรือมีอำนาจเหนือพวกเจ้า พวกเขาก็จะไม่สนใจว่าพวกเจ้ามีอัลลอฮ์อยู่ มีความเป็นเครือญาติกัน และมีพันธสัญญา แต่พวกเขากลับกดขี่พวกเจ้าด้วยการทรมานที่เลวร้าย พวกเขาจะทำให้พวกเจ้าพึ่งพอใจด้วยกับคำพูดหอมหวานที่พวกเขาเปล่งออกมา แต่ในความเป็นจริงจิตใจของพวกเขาไม่ตรงกับคำพูดที่ออกมา พวกเขาจะไม่ทำตามในสิ่งที่พูดไว้ และพวกเขาส่วนใหญ่เป็นพวกนอกรีดที่ไม่จงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ เนื่องจากพวกเขาละเมิดต่อพันธสัญญา

(9) พวกเขาได้แลกเปลี่ยนจากการปฏิบัติตามโองการต่าง ๆ ของอัลลอฮ์ ซึ่งรวมถึงการปฏิบัติตามพันธสัญญาด้วยกับสิ่งที่มีค่าอันน้อยนิดจากซากปรักหักของโลกดุนยาเพื่อสนองความต้องการและตามอารมณ์ของพวกเขาเอง ทำให้พวกเขาขัดขวางตัวของพวกเขาเองมิให้ปฏิบัติตามสัจธรรมและผินหลังให้กับสิ่งนั้น และพวกเขายังได้ขัดขวางผู้อื่นมิให้ตามสัจธรรมอีกด้วย แท้จริงพวกเขาเหล่านั้นได้กระทำในสิ่งที่ชั่วช้ายิ่ง

(10) พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงอัลลอฮ์ เครือญาติ และพันธสัญญาใด ๆ ที่ได้ให้ไว้กับผู้ศรัทธา เนื่องจากพวกเขาเป็นปฏิปักษ์กับผู้ศรัทธา พวกเขาเป็นผู้ละเมิดขอบเขตของอัลลอฮ์ เพราะพวกมีคุณลักษณะของการอธรรมและการเป็นปฏิปักษ์

(11) แล้วหากพวกเขาสำนึกผิดกลับตัวต่ออัลลอฮ์จากการปฏิเสธศรัทธา กล่าวปฏิญาณตน (เข้ารับอิสลาม) ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และจ่ายซะกาต (บริจาคทานภาคบังคับ) จากทรัพย์สินของพวกเขาแล้ว แน่นอนพวกเขาได้กลายเป็นผู้ศรัทธาและเป็นพี่น้องของพวกเจ้าในศาสนา พวกเขามีสิทธิและหน้าที่เหมือนกับพวกเจ้า ไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเข่นฆ่าพวกเขา เนื่องจากการรับอิสลามของพวกเขาจะปกป้องเลือดเนื้อ ทรัพย์สิน และเกียรติของพวกเขา และเรา (อัลลอฮ์) จะแจกแจงโองการต่าง ๆ ให้ชัดแจ้งแก่กลุ่มชนที่รู้ เพราะพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์และให้ประโยชน์ต่อผู้อื่น

(12) และหากบรรดาผู้ตั้งภาคีเหล่านั้นที่พวกเจ้าได้ทำสัญญาสงบศึกกับพวกเขาในระยะเวลาที่แน่นอนได้ทำลายสัญญาของพวกเขา ประณามและดูหมิ่นศาสนาของพวกเจ้า พวกเจ้าจงทำศึกกับพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นผู้นำและแกนนำของการปฏิเสธศรัทธา และไม่มีสัญญาใด ๆ ที่จะปกป้องเลือดเนื้อของพวกเขาอีก จงทำศึกกับพวกเขาให้ถึงที่สุดโดยหวังว่า การปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาจะสิ้นสุดลง การละเมิดสนธิสัญญาจะยุติลง และการดูแคลนต่อศาสนาจะหมดไป

(13) โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ทำไมพวกเจ้าไม่ต่อสู้กับกลุ่มชนที่ทำลายสัญญาของพวกเขา และพยายาม(วางแผน)ในที่ประชุมที่ดารุลนัดวะห์เพื่อทำการขับไล่เราะซูลให้ออกไปจากนครมักกะห์ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นฝ่ายริเริ่มทำศึกเป็นครั้งแรกเมื่อครั้นที่พวกเขาช่วยเผ่าบักร์ซึ่งเป็นพันธมิตรของชาวกุรอยช์ในการทำศึกกับเผ่าคุซาอะห์ซึ่งเป็นพันธมิตรของเราะซูล ศ็อลลัอลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พวกเจ้ากลัวพวกเขากระนั้นหรือ จนทำให้พวกเจ้าไม่กล้าที่จะทำศึกกับพวกเขา? แท้จริงแล้วอัลลอฮ์ต่างหากที่พวกเจ้าสมควรกลัว หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง

(14) โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าจงต่อสู้กับบรรดาผู้ตั้งภาคีเถิด เพราะหากพวกเจ้าต่อสู้กับพวกเขา อัลลอฮ์จะทรงลงโทษพวกเขาด้วยน้ำมือของพวกเจ้า โดยที่พวกเจ้าจะได้ฆ่าพวกเขาและหยามเกียรติของพวกเขาด้วยความพ่ายแพ้และจับเป็นเชลยศึก และพระองค์จะทรงช่วยเหลือพวกเจ้าให้ได้รับชัยชนะเหนือพวกเขา และจะทรงบำบัดความเจ็บป่วยที่มีในใจของบรรดาผู้ศรัทธาที่ไม่ได้ร่วมทำศึกด้วยการได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับศัตรูของพวกเขา เช่น ถูกฆ่าตาย ถูกจับเป็นเชลยศึก ความพ่ายแพ้ของศัตรู และชัยชนะของบรรดาผู้ศรัทธาทีมีเหนือศัตรู

(15) และขจัดความกริ้วโกรธที่อยู่ในใจของบ่าวผู้ศรัทธาด้วยการได้รับชัยชนะเหนือศัตรู และอัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากบรรดาผู้ที่ดื้อดึงหากพวกเขากลับตัว ดังเช่นที่เกิดกับชาวมักกะฮ์บางคนในวันที่เปิดเมืองมักกะฮ์ แท้จริงแล้วอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ความสัตย์จริงของการกลับตัวของพวกเขา อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ในการบริหารจัดการ และในบัญญัติของพระองค์

(16) โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย พวกเจ้าคิดหรือ ว่าอัลลอฮ์จะทรงปล่อยพวกเจ้าไปโดยที่ไม่ได้ทดสอบอะไรเลย? เพราะการทดสอบนั้นเป็นกฏหนึ่งของอัลลอฮ์ พวกเจ้าจะถูกทดสอบเพื่อที่อัลลอฮ์จะทรงรู้อย่างชัดแจ้งว่าบ่าวผู้ใดที่เสียสละด้วยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ และไม่ได้ยึดถือบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นที่รักไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขานอกจากอัลลอฮ์ เราะซูลของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธา และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ ไม่มีสิ่งใดที่จะซ่อนเร้นพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเจ้าตามการกระทำของพวกเจ้า

(17) ไม่สมควรสำหรับบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายที่จะบูรณะบรรดามัสยิดของอัลลอฮ์ด้วยการเคารพบูชาหรือการจงรักภัคดีต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาสารภาพการปฏิเสธศรัทธาอย่างเปิดเผย ชนเหล่านั้นแหละการงานต่าง ๆ ของพวกเขาไร้ผล เพราะขาดเงื่อนไขของการตอบรับ นั้นก็คือการศรัทธา และในวันกียามะฮ์พวกเขาจะต้องเข้านรกพำนักอยู่ในนั้นอย่างถาวร เว้นแต่ผู้ที่กลับตัวจากการตั้งภาคีก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต

(18) แท้จริงผู้ที่สมควรที่จะบูรณะบรรดามัสยิดของอัลลอฮ์นั้น คือ ผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่ตั้งภาคีใด ๆ ต่อพระองค์ ศรัทธาในวันปรโลก ดำรงไว้ซึ่งการละหมาด จ่ายซากาตจากทรัพย์สินของเขา และไม่เกรงกลัวผู้ใดเว้นแต่อัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาเป็นคนที่ควรจะได้รับทางนำไปสู่หนทางที่เที่ยงตรง สวนบรรดาผู้ตั้งภาคีนั้นพวกเขาอยู่ห่างไกลจากหนทางดังกล่าว

(19) โอ้บรรดาผู้ตั้งภาคี พวกเจ้าคิดหรือว่า บรรดาผู้ที่ให้บริการน้ำแก่ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์และบูรณะมัสยิดฮะรอม จะเหมือนกับผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์โดยไม่ตั้งภาคีใด ๆ ต่อพระองค์ ศรัทธาในวันปรโลก และต่อสู้ด้วยชีวิตและทรัพย์สินของเขาเพื่อจะให้ศาสนาของอัลลอฮ์สูงส่ง และให้ศาสนาของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ำต้อย พวกเจ้าจะให้พวกเขามีความประเสร็ฐเท่าเทียมกัน ณ อัลลอฮ์หรือ? แน่นอนพวกเขาจะไม่เท่าเทียมกัน ณ อัลลอฮ์ และอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนที่อธรรมด้วยการตั้งภาคีต่อพระองค์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกระทำการงานที่ดีต่าง ๆ ก็ตาม เช่น การให้บริการน้ำแก่ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์

(20) บรรดาผู้ที่รวมการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ การอพยพออกจากเมืองที่ปฏิเสธศรัทธาไปสู่เมืองอิสลาม และการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮด้วยทรัพย์สินและชีวิต ย่อมเป็นผู้ที่มีระดับชั้นที่ยิ่งใหญ่ ณ อัลลอฮ์ และพวกเขาที่มีคุณสมบัติเหล่านี้แหละคือผู้ที่ได้รับชัยชนะด้วยสวนสวรรค์

(21) อัลลอฮ์พระเจ้าของพวกเขาทรงแจ้งข่าวดีแก่พวกเขาด้วยกับสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความปิติยินดี นั้นก็คือ ความเมตตาของพระองค์และการได้รับความพึงพอใจของพระองค์ ซึ่งทำให้พระองค์ไม่มีวันจะโกรธกับพวกเขาอีก และได้เข้าสวนสวรรค์ที่มีความสุขนิรันดร์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

(22) โดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์นั้นตลอดกาลไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อเป็นการตอบแทนในการงานที่ดีของพวกเขาที่พวกเขาได้กระทำไว้บนโลกดุนยา แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ณ พระองค์มีรางวัลอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และหลีกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์

(23) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และปฏิบัติตามในสิ่งที่เราะซูลได้นำมา จงอย่าได้ถือเอาบิดาของพวกเจ้า พี่น้องทางสายเลือดของพวกเจ้า และคนอื่น ๆ ที่เป็นญาติใกล้ชิดกับพวกเจ้าเป็นพันธมิตรที่พวกเจ้าไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขาด้วยการเปิดเผยความลับของบรรดาผู้ศรัทธาให้แก่พวกเขาและปรึกษากับพวกเขา หากพวกเขาให้ความสำคัญกับการปฏิเสธศรัทธาเหนือการศรัทธาต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว และผู้ใดที่ถือเอาพวกเขาเป็นพันธมิตรทั้ง ๆ ที่พวกเขายังคงปฏิเสธศรัทธาและแสดงความรักให้พวกเขา แน่นอนเขาผู้นั้นได้ละเมิดต่ออัลลอฮ์และได้อธรรมต่อตัวเองด้วยการก่อเหตุแห่งความหายนะเนื่องจากการกระทำบาป

(24) จงกล่าวเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย หากบรรดาบิดาของพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา บรรดาลูก ๆ ของพวกเจ้า บรรดาพี่น้องของพวกเจ้า บรรดาคู่ครองของพวกเจ้า บรรดาญาติของพวกเจ้า บรรดาทรัพย์สมบัติที่พวกเจ้าแสวงหาไว้ สินค้าที่พวกเจ้ากลัวว่าจะจำหน่ายมันไม่ออก และบรรดาที่อยู่อาศัยที่พวกเจ้าพึงพอใจกับมันนั้น เป็นที่รักใคร่แก่พวกเจ้ายิ่งกว่าอัลลอฮ์ เราะซูลของพระองค์ และการต่อสู้ในหนทางของพระองค์แล้วไซร้ พวกเจ้าก็จงรอการลงโทษที่อัลลอฮ์จะทรงประทานลงมาประสบแก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้ทางให้แก่ผู้ที่ไม่จงรักภัคดีต่อพระองค์เพื่อกระทำในสิ่งที่พระองค์พึงพอใจ

(25) โอ้ผู้ศรัทธา แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงช่วยเหลือพวกเจ้าจากศัตรูผู้ตั้งภาคีทั้งหลายในหลายๆสงคราม ในขณะที่พวกเจ้ามีจำนวนน้อยและอ่อนแอกว่า เมื่อพวกเจ้ามอบหมายต่ออัลลอฮ์ และยึดหลักเหตุผล และพวกเจ้าไม่ได้หลงไหลในจำนวนที่เยอะของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าจำนวนมากจะเป็นสาเหตุในการที่ช่วยเหลือพวกเจ้า และในวันแห่งสงครามฮุนัยน์ในขณะที่พวกเขาประหลาดใจในจำนวนมากของพวกเจ้า แล้วพวกเขากล่าวว่า วันนี้จะไม่ได้มีชัยชนะจากจำนวนที่น้อยนิดจากความมั่งคั่งของท่านจะไม่ได้เป็นประโยชน์แก่ท่าน แล้วศัตรูของพวกเจ้าจะเอาชนะพวกเจ้า และแผ่นดินก็แคบแก่พวกเจ้าทั้ง ๆ ที่มันกว้างอยู่ แล้วพวกเจ้าก็หันหลังหนีจากศัตรูของพวกเจ้า

(26) หลังจากที่พวกเจ้าได้หนีจากศัตรูของพวกเจ้าแล้ว อัลลอฮ์ได้ทรงประทานความสงบให้แก่เราะซูลของพระองค์และบรรดาผู้ศรัทธา ทำให้พวกเขายืนยัดในการสู่รบ และพระองค์ได้ทรงประทานมลาอิกะฮ์ลงมาที่พวกเจ้านั้นมองไม่เห็น และได้ทรงลงโทษบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นด้วยการถูกฆ่า ถูกจับเป็นเชลยศึก และยึดทรัพย์สินของพวกเขา การตอบแทนดังกล่าวนั้นเป็นการตอบแทนแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ไม่ยอมรับเราะซูลของพระองค์และผินหลังให้กับสิ่งที่ท่านได้นำมายังพวกเขา

(27) หลังจากที่มีการลงโทษดังกล่าว หากมีผู้ใดที่กลับเนื้อกลับตัวสำนึกผิดจากการปฏิเสธศรัทธาและการหลงทาง แน่นอนอัลลฮ์จะทรงให้อภัยแก่เขาและตอบรับการกลับตัวของเขา และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษแก่บ่าวที่กลับตัว ผู้ทรงเอ็นดูเมตตาต่อพวกเขาโดยที่พระองค์จะตอบรับการกลับตัวของพวกเขาหลังจากที่ปฏิเสธศรัทธาและกระทำบาป

(28) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ และปฏิบัติตามในสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ แท้จริงบรรดาผู้ตั้งภาคีนั้นโสมม เนื่องจากพวกเขามีการปฏิเสธศรัทธาความอธรรม ศีลธรรมที่ต่ำต่อย และจารีตประเพณีที่ไม่ดี ดังนั้นพวกเขาจงอย่าได้เข้าดินแดนหะรอมที่มักกะฮ์ รวมทั้งมัสยิดอัลหะรอมด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ที่แสวงบุญเพื่อประกอบพิธีฮัจย์หรืออุมเราะฮ์ก็ตามหลังจากปีนี้คือปีที่เก้าฮิจเราะฮ์ศักราช และหากพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา กลัวจะยากจนเนื่องด้วยการขาดอาหหารและการทำมาค้าขายต่าง ๆ ที่พวกเขานำเข้ามา แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงให้พวกเจ้าพอเพียงกับความกรุณาของพระองค์ หากพระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของพวกเจ้า เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในสิ่งที่พระองค์จัดการให้กับพวกเจ้า

(29) โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงต่อสู้ กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ว่าเป็นพระเจ้าที่ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และไม่ศรัทธาต่อวันปรโลก และไม่ห่างไกลจากสิ่งที่อัลลอฮ์และเราะสูลห้ามไว้ จากซากสัตว์ที่ตายเอง เนื้อหมู เหล้าและดอกเบี้ย และไม่ปฏิบัติตามในคำบัญชาของอัลลอฮ์ ในบรรดาชาวยิวและคริสต์ จนกว่าพวกเขาจะจ่ายอัล-ญิซยะฮ์จากมือของพวกเขาเอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ที่ต่ำต้อย

(30) แท้จริงทั้งสองกลุ่มชาวยิวและชาวคริสต์เป็นผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ชาวยิวได้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ด้วยการอ้างว่า อุซัยร์ เป็นบุตรของอัลลอฮ์ และชาวคริสต์ได้ตั้งภาคีต่อพระองค์ด้วยการอ้างว่า อัล-มะซีห์ เป็นบุตรของอัลลอฮ์ ถ้อยคำดังกล่าวที่พวกเขากล่าวให้ร้ายต่อพระองค์ พวกเขาได้กล่าวด้วยลมปากของพวกเขาเองโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน คำกล่าวของพวกเขาเสมือนกับคำกล่าวของบรรดาผู้ตั้งภาคีก่อนหน้าพวกเขาที่กล่าวว่า มลาอิกะฮ์นั้นเป็นบุตรสาวของอัลลอฮ์ อัลลอฮ์ทรงยิ่งใหญ่สูงส่งเหนือสิ่งดังกล่าว อัลลอฮ์ได้ทรงทำลายล้างพวกเขา พวกเขาถูกหันเหจากความจริงอย่างชัดแจ้งไปสู่ความเท็จได้อย่างไร?

(31) ชาวยิวได้ทำให้บรรดาปราชญ์ของพวกเขาและพวกคริสเตียนได้ทำให้บาทหลวงพวกเขา เป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ โดยที่พวกเขาได้อนุมัติในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงห้ามและได้ห้ามในสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงอนุมัติ และชาวคริสต์ยึดเอาอัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมเป็นพระเจ้าพร้อมอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์ไม่ได้สั่งบรรดาปราชญ์ของยิวและบาทหลวงของคริสต์ และพระองค์ไม่ได้สั่งอุเซรและอีซา บุตรของมัรยัม นอกจากเพื่อให้เคารพสักการะต่อพระองค์เพียงผู้เดียว และไม่ตั้งภาคีใด ๆ กับพระองค์ พระองค์คือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรเคารพสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากภาคีใดๆ ที่จะเคียงคู่กับพระองค์ ดังที่บรรดามุชริกีนและคนอื่น ๆ ได้กล่าวไว้

(32) บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและคนอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มของผู้ปฏิเสธศรัทธาต้องการจะกำจัดและจะโมฆะศาสนาอิสลาม และจะโมฆะข้อพิสูจน์และหลักฐานต่าง ๆ ที่ชัดแจ้งที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกภาพของอัลลอฮ์และสิ่งที่เราะซูลได้นำมานั้นเป็นสัจธรรม ด้วยการใส่ร้ายต่าง ๆ และปฏิเสธในสิ่งที่ในสิ่งที่นบีมูหัมมัด ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้นำมา แต่อัลลอฮ์ไม่ยินยอมเว้นแต่เพื่อจะให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ เป็นที่ประจักษ์ และสูงส่งเหนือศาสนาอื่น ถึงแม้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธารังเกียจและไม่ยินยอมให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ เป็นที่ประจักษ์ และสูงส่ง เพราะอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ เป็นที่ประจักษ์ และสูงส่ง และหากอัลลอฮ์ประสงค์สิ่งใด ความต้องการของผู้อื่นก็จะเป็นโมฆะ

(33) อัลลอฮ์คือผู้ทรงส่งเราะซูลของพระองค์มูหัมมัด ศ็อลล็ออลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมโดยนำคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งเป็นทางนำแก่มวลมนุษย์ และศาสนาแห่งสัจธรรมนั้นคือศาสนาอิสลาม เพื่อที่พระองค์จะทรงให้ศาสนาของพระองค์สูงส่งเหนือศาสนาอื่น ๆ ด้วยข้อพิสูจน์ หลักฐาน และบทบัญญัติต่าง ๆ ถึงแม้บรรดาผู้ปฏิเสธสัทธาจะเกลียดชังก็ตาม

(34) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาและปฏิบัติตามคำบัญชาของอัลลอฮ์ แท้จริงนักปราชญ์ของชาวยิวและบาทหลวงของชาวคริสต์จำนวนมากเอาทรัพย์สินของผู้คนโดยไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา พวกเขารับสินบนและสิ่งอื่น ๆ และพวกเขาขัดขวางผู้คนไม่ให้เข้ารับศาสนาของอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ที่สะสมทองและเงินโดยไม่จ่ายซากาต จงแจ้งข่าวแก่พวกเขาเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย เกี่ยวการลงโทษอันเจ็บปวดที่จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดีในวันกียามะฮ์

(35) ในวันกิยามะฮ์สิ่งที่พวกเขาได้สะสมไว้และไม่จ่ายซะกาตจะถูกเผาไหม้ในนรกณะฮันมัม จนกระทั่งเมื่อความร้อนของมันสูง มันจะถูกวางไว้บนหน้าผาก สีข้าง และหลังของพวกเขา และจะมีการกล่าวแก่พวกเขาในเชิงตำหนิว่า นี่คือทรัพย์สินที่พวกเจ้าได้สะสมมันไว้และไม่ได้จ่ายในส่วนที่เป็นภาคบังคับ ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสกับสิ่งที่พวกเจ้าได้สะสมมันไว้และไม่ได้จ่ายตามสิทธิที่จำเป็นของมัน และนี่คือผล (การลงโทษ) ของมัน

(36) แท้จริงจำนวนเดือนในหนึ่งปี ณ อัลลอฮ์นั้นมีสิบสองเดือนดังที่อัลลอฮ์ได้ระบุไว้ในบันทึกอัลเลาฮุลมะห์ฟูซในตอนแรกที่พระองค์ได้ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน ในสิบสองเดือนเหล่านี้มีสี่เดือนที่อัลลอฮ์ได้ทรงห้ามไม่ให้ทำการสู้รบฆ่าฝันกัน คือสามเดือนที่ติดต่อกัน (ซูลกิอ์เดาะฮ์ ซุลหิจญะฮ์ และมูหัรร็อม) และอีกเดือนหนึ่ง คือ รอญับ ดังกล่าวนั้นคือจำนวนดือนในรอบปี และมีสี่เดือนที่เป็นที่ต้องห้าม และนี่เป็นศาสนาอันเที่ยงตรง ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าอธรรมต่อตัวเองในสี่เดือนนี้ด้วยการเริ่มทำการสู้รบและละเมิดเกียรติของมัน และจงต่อสู้กับบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหมด เช่นเดียวกับที่พวกเขาต่อสู้กับพวกเจ้าทั้งหมด และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ยำเกรงด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของอัลลอฮ์และหลีกเลี่ยงคำสั่งห้ามของพระองค์ในการให้ความช่วยเหลือและการยืนยัด และผู้ใดก็ตามที่อัลลอฮ์อยู่กับเขาจะไม่มีผู้ใดเอาชนะเขาได้

(37) แท้จริงการเลื่อนเดือนที่ต้องห้ามให้ล่าช้าไปยังเดือนที่ไม่ใช่เดือนที่ต้องห้ามและการทดแทนระหว่างกัน ดังเช่นที่ชาวอาหรับในยุคญาฮีลียะฮ์ได้กระทำนั้นเป็นการเพิ่มการปฏิเสธศรัทธาซ้อนการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮยิ่งขึ้น เพราะพวกเขาได้ปฏิเสธศรัทธาต่อบทบัญญัติของพระองค์ในเดือนที่ต้องห้าม ชัยตอนได้ทำให้บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลงทางในตอนที่เขาได้วางความประพฤติชั่วนี้ให้กับพวกเขา พวกเขาได้อนุมัติเดือนที่ต้องห้ามหนึ่งปีด้วยการทดแทนเดือนที่ไม่เป็นที่ต้องห้าม และรักษาเดือนที่ต้องห้ามหนึ่งปีเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนเดือนที่อัลลอฮ์ได้ทรงห้ามไว้ ถึงแม้ว่าชื่อเดือนต่าง ๆ นั้นจะแตกต่างกัน ดังนั้นพวกเขาจะไม่อนุมัติเดือนที่ต้องห้ามเดือนใดเดือนหนึ่ง เว้นแต้พวกเขาจะห้ามเดือนที่ไม่เป็นที่ต้องห้ามมาทดแทน ด้วยกับการดังกล่าวพวกเขาจะอนุมัติสิ่งต่าง ๆ ที่ได้อัลลอฮ์ได้ห้ามไว้ในเดือนที่ต้องห้าม ชัยตอนได้ประดับประดาการกระทำชั่วของพวกเขาให้สวยงาม และอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้นำแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ยืนหยัดในการปฏิเสธศรัทธา

(38) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเจ้ากระนั้นหรือ ทำไมเมื่อพวกเจ้าได้ถูกเชิญชวนให้ไปต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์เพื่อต่อสู้กับศัตรูของพวกเจ้า พวกเจ้าได้ชะลอตัวลงและเลือกที่จะอาศัยอยู่ที่บ้านของพวกเจ้า? พวกเจ้าพึงพอใจกับชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ที่ชั่วขณะและความสุขที่ไม่นิรันดร์เพื่อแลกกับความสุขแห่งปรโลกที่นิรันดร์ที่อัลลอฮ์ได้ทรงเตรียมไว้แก่บรรดาผู้ที่ต่อสู้ในหนทางของพระองค์กระนั้นหรือ? ความสุขของชีวิตความเป็นอยู่ในโลกนี้เมื่อเทียบกับความสุขแห่งปรโลกแล้ว มันไม่มีอะไรนอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่มีสติปัญญาจะเลือกสิ่งที่ไม่ยั่งยืนเหนือสิ่งที่ถาวรกว่า และสิ่งที่เล็กน้อยเหนือสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าได้อย่างไร?

(39) ถ้าหากพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา ไม่ออกไปทำการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์เพื่อต่อสู้กับศัตรูของพวกเจ้า แน่นอนพระองค์จะทรงลงโทษพวกเจ้าด้วยความพ่ายแพ้ ความอัปยศ และอื่น ๆ และพระองค์จะทรงแทนที่พวกเจ้าด้วยกลุ่มชนอื่นที่จงรักภัคดีต่อพระองค์ หากเมื่อไรที่พวกเขาถูกเชิญชวนให้ออกทำการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์พวกเขาก็จะออกไป และพระองค์ไม่เสียหายใด ๆ กับการที่พวกเจ้าฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงมั่งมีไม่ต้องพึ่งพวกเจ้า และพวกเจ้าเป็นผู้ขัดสนต้องพึ่งพระองค์ และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถให้พระองค์อ่อนแอได้ พระองค์สามารถที่จะช่วยเหลือศาสนาและศาสนทูตของพระองค์โดยไม่มีพวกเจ้าได้

(40) ถ้าหากพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา ไม่ช่วยเหลือเราะซูล ศ็อลลัลลอฮ์อะลัยฮิวะสัลลัม และไม่ตอบรับการเชิญชวนของท่านให้ออกไปสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ แท้จริงนั้นอัลลอฮ์ได้ทรงช่วยเหลือท่านมาแล้วโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีพวกเจ้าอยู่พร้อมกับท่านขณะที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้ขับไล่ท่านและอบูบักร์ รอฏิยัลลอฮุอันฮุ ออก(จากเมืองมักกะฮ์) โดยที่ไม่มีบุคคลที่สามอยู่ร่วมกับทั้งสอง ขณะที่ทั้งสองได้อยู่ในถ้ำษูรเพื่อหลบหนีจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ตามล่าทั้งสอง ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮ์อะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่อบูบักร์สหายของท่านในขณะเขากลัวว่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะจับท่านได้ว่า เจ้าอย่าได้เสียใจ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอยู่กับเราด้วยการดูแลและการช่วยเหลือของพระองค์ แล้วอัลลอฮ์ก็ได้ทรงประทานความสงบใจแก่เราะซูลของพระองค์ และได้ทรงประทานบรรดาไพร่พลที่พวกเจ้ามองไม่เห็นพวกเขาซึ่งเป็นบรรดามลาอิกะฮ์ที่คอยสนับสนุนท่าน และอัลลอฮ์ได้ทรงให้ถ้อยคำของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ำสุด และถ้อยคำของพระองค์สูงสุดในตอนที่อิสลามได้สูงทรง และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพในตัวของพระองค์เองและในอำนาจของพระองค์โดยไม่มีผู้ใดสามารถเอาาชนะพระองค์ได้ พระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการบริหารจัดการ การกำหนดกฏสภาวะ และการบัญญัติของพระองค์

(41) พวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา จงเดินออกไปเพื่อทำการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ทั้งในเรื่องยากและเรื่องง่าย คนหนุ่มหรือคนแก่ และจงเสียสละทรัพย์สินและชีวิตของพวกเจ้า เพราะแท้จริงการออกไปสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ด้วยทรัพย์สินและชีวิตนั้นจะให้ประโยชน์ทั้งในโลกดุนยาและในปรโลกมากกว่าการนั่งเฉย ๆ และยึดติดกับความปลอดภัยของทรัพย์สินและชีวิต หากพวกเจ้ารู้ในสิ่งดังกล่าว ดังนั้นก็จงพยายามให้ถึงที่สุด

(42) ถ้าหากสิ่งที่พวกเจ้าเชิญชวนบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) ที่ขออนุญาตท่านนบีเพื่อไม่ไปร่วมทำการสู้รบเป็นทรัพย์สินสงครามที่ได้มาอย่างง่ายดายและการเดินทางที่ไม่ยุ่งยาก แน่นอนพวกเขาจะปฏิบัติตามเจ้า (นบี) แต่ทว่าระยะทางที่เจ้าเชิญชวนพวกเขานั้นไกลเหลือเกินกว่าจะไปถึงที่ศัตรู เลยพวกเขาไม่ออกไปร่วมทำการสู้รบ และบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) ที่ขออนุญาตเหล่านั้นจะสาบานต่ออัลลอฮ์ในตอนที่เจ้ากลับมายังพวกเขาโดยกล่าวว่า หากพวกเราสามารถออกไปร่วมทำการสู้รบพร้อมกับพวกเจ้าแน่นอนพวกเราจะออกไป พวกเขาสร้างความหายนะให้กับตัวเองโดยการเสนอตัวให้กับการลงโทษของอัลลอฮ์เนื่องจากพวกเขาไม่ไปร่วมทำการสู้รบและสาบานเท็จ และอัลลอฮ์ทรงรู้ดีว่าพวกเขาเป็นผู้โกหกในการอ้างแก่ตัวและในการสาบานของพวกเขา

(43) อัลลอฮ์นั้นได้ทรงอภัยให้แก่เจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย ที่เจ้าพิจารณาอนุญาตให้พวกเขาไม่ต้องออกไปร่วมทำการสู้รบ เพราะเหตุใดเล่าเจ้าจึงอนุญาตให้แก่พวกเขาในเรื่องดังกล่าว? เพื่อที่เจ้าจะได้รู้ว่าใครเป็นผู้สัตย์จริงในการยื่นข้อแก้ตัวและใครเป็นผู้โกหก แล้วเจ้าจะได้อนุญาตเฉพาะให้กับผู้สัตย์มิใช่ผู้โกหก

(44) มันมิใช่คุณลักษณะของบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลกที่จะขออนุญาตจากเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย เพื่อไม่ไปร่วมทำการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ด้วยทรัพย์สินและชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาจะพร้อมออกไปทุกเวลาเมื่อมีการเรียกร้อง พวกเขาจะเสียสละทรัพย์สินและชีวิตของพวกเขา และอัลลอฮ์ทรงรอบรู้เกี่ยวกับบ่าวผู้ที่ยำเกรงที่ไม่ขออนุญาตจากเจ้า (เพื่อไม่ไปร่วมทำการสู้รบ) ยกเว้นเมื่อมีเหตุจำเป็นที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกไปร่วมสู้รบกับเจ้าได้

(45) แต่แท้จริงบรรดาผู้ที่ขออนุญาตจากเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย เพื่อไม่ไปร่วมทำการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ พวกเขาคือบรรดาผู้กลับกลอก (มูนาฟิก) ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และไม่ศรัทธาต่อวันปรโลก และหัวใจของพวกเขาประสบกับความสงสัยในศาสนาของอัลลอฮ์ พวกเขาลังเลใจงุนงงจนทำให้พวกเขาไม่ได้รับสัจธรรม

(46) และหากพวกเขาแน่จริงในข้ออ้างที่ว่าพวกเขาต้องการจะออกไปพร้อมกับเจ้าเพื่อทำการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ แน่นอนพวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมให้กับสิ่งนั้นด้วยการเตรียมอุปกรณ์สงคราม แต่ทว่าอัลลอฮ์ทรงเกลียดการออกไปของพวกเขาพร้อมกับเจ้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะออกไป จนกระทั่งพวกเขาเลือกที่จะอยู่ในบ้านมากกว่า

(47) ในทางที่ดีอย่าให้บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) ออกไปร่วมสู้รบพร้อมกับพวกเจ้าเลย เพราะหากพวกเขาออกไปพร้อมกับพวกเจ้า พวกเขาจะไม่เพิ่มอะไรเลยนอกจากจะสร้างความหายนะด้วยการสร้างความขี้ขลาดและความคลุมเครือ รีบฉวยโอกาสยุแหย่ในหมู่พวกเจ้าเพื่อให้เกิดความแตกแยกกัน และในหมู่พวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา ก็จะมีผู้คนที่ฟังคำโกหกที่พวกเขาสร้างขึ้น ทำให้ผู้นั้นตอบรับและนำไปแพร่ต่อไป จึงทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพวกเจ้า และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้เกี่ยวกับผู้อธรรมทั้งหลายที่มาจากบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) ที่เป็นผู้วางแผนร้ายและสร้างความคลุมเครือให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้ศรัทธา

(48) แท้จริงบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) ได้เคยพยายามสร้างความเสียหายด้วยการสร้างความแตกแยกและสลายความเป็นหนึ่งของบรรดาผู้ศรัทธาก่อนหน้าสงครามตะบูก พวกเขาได้วางแผนต่าง ๆ นานา ๆ เพื่อต่อต้านเจ้า โอ้เราะซูล โดยหวังว่าแผนการของพวกเขานั้นจะส่งผลบั่นทอนจิตใจของเจ้าในการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ จนกระทั้งความช่วยเหลือและการสนับสนุนของอัลลอฮ์ได้มายังเจ้า และอัลลอฮ์ได้ทรงเชิดชูศาสนาของพระองค์ให้สูงส่งและทำให้ศัตรูพ่ายแพ้โดยที่พวกเขาไม่พอใจในสิ่งดังกล่าว เพราะพวกเขาต้องการที่จะให้ความเท็จมีชัยชนะเหนือสัจธรรม

(49) และในบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) นั้นมีผู้ที่ขออนุญาตด้วยข้อแก้ตัวที่สร้างขึ้นมาว่า โอ้เราะซูลเอ๋ย จงอนุญาตแก่ฉันเพื่อมิต้องออกไปร่วมสู้รบเถิด และอย่าสร้างภาระให้ฉันต้องออกไปร่วมพร้อมกับเจ้า เพื่อให้ฉันไม่ต้องรับบาปเนื่องด้วยการหลงเสน่ห์ผู้หญิงของฝ่ายศัตรู(ที่เมืองโรม)เมื่อฉันมองดูพวกนาง พึงรู้เถิดว่า พวกเขาได้ตกอยู่ในภัยอันตรายที่ใหญ่กว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง นั่นก็คือภัยอันตรายของการกลับกลอก (นิฟาก) และภัยอันตรายของการไม่ไปร่วมสู้รบ แท้จริงในปรโลกนั้นนรกญะฮันนัมจะล้อมบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ไม่มีผู้ใดที่รอดพ้นได้และไม่มีผู้ใดที่สามารถหาที่หลบได้

(50) โอ้เราะซูล หากเจ้าได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮ์ เช่น ชัยชนะหรือทรัพย์เชลย พวกเขาจะไม่พอใจและเศร้าใจกับสิ่งดังกล่าว และหากเจ้าประสบกับความหายนะ เช่น ความยากลำบากหรือชัยชนะของศัตรู พวกเขาจะกล่าวว่า "แท้จริงพวกเราได้ระวังตัวเองและได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วในตอนที่พวกเราไม่ออกไปร่วมสู้รบดังที่บรรดาผู้ศรัทธาออกไป ทำให้บรรดาผู้ศรัทธาต้องประสบกับความตายและถูกจับเป็นเชลย" จากนั้นบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) ก็กลับไปยังครอบครัวของพวกเขาอย่างมีความสุขและปลอดภัย

(51) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) เถิดว่า พวกเราจะไม่ประสบกับสิ่งใดเว้นแต่สิ่งนั้นอัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดใว้แก่พวกเราแล้ว พระองค์เป็นเจ้านายและที่พึ่งของพวกเรา และพวกเรามอบหมายต่อพระองค์ในทุกกิจการของพวกเรา และแด่พระองค์องค์เดียวเท่านั้นที่บรรดาผู้ศรัทธาจะมอบหมายกิจการของพวกเขา อัลลอฮเป็นผู้ทรงพอเพียงแก่พวกเราแล้ว และเป็นผู้ทรงดูแลที่ดีเยี่ยม

(52) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า พวกจ้าจะไม่รอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเรานอกจากชัยชนะหรือการเสียชีวิตในสนามรบ? และพวกเราก็จะรอคอยการลงโทษของอัลลอฮ์ที่จะลงมาประสบกับพวกเจ้าทำให้พวกเจ้าหายนะหรือพระองค์จะทรงลงโทษพวกเจ้าด้วยน้ำมือของพวกเราด้วยการฆ่าพวกเจ้าและจับพวกเจ้าเป็นเชลยหากพระองค์ทรงอนุญาติให้พวกเราทำการสู้รบกับพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงรอคอยบั้นปลายของพวกเรา และแท้จริงพวกเราก็จะรอคอยบั้นปลายของพวกเจ้า

(53) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า จงบริจาคทรัพย์สินเงินทองของพวกเจ้าด้วยความสมัครใจหรือฝืนใจ แน่นอนมันจะไม่ถูกตอบรับจากพวกเจ้าซึ่งสิ่งที่พวกเจ้าได้บริจาคไป เนื่องจากการปฏิเสธของพวกเจ้าและพวกเจ้าไม่จงรักภัคดีต่ออัลลอฮ์

(54) และไม่มีสิ่งใดขัดขวางการตอบรับการบริจาคของพวกเขา นอกจากสามประการ คือ พวกเขาปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อเราะซูลของพระองค์ พวกเขาขี้เกียจและรู้สึกหนักเมื่อต้องละหมาด และพวกเขาจะไม่บริจาคทรัพย์สินด้วยความสมัครใจแต่พวกเขาจะบริจากด้วยความฝืนใจ เพราะพวกเขาไม่ได้หวังผลบุญอะไรเลยจากการละหมาดและการบริจาคทานของพวกเขา

(55) ดังนั้น โอ้เราะซูลเอ๋ย จงอย่าได้หลงใหลและเห็นดีเห็นงามกับทรัพย์สินและลูกหลานของบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) เพราะบั้นปลายของทรัพย์สินและลูกหลานของพวกเขานั้นชั่วร้าย เนื่องจากอัลลอฮ์จะทรงทำให้มันเป็นการทรมานพวกเขาทำให้พวกเขาต้องทำงานอย่างหนักและเหนื่อยในการที่จะได้มาซึ่งสิ่งนั้น และมันต้องได้รับภัยพิบัติต่าง ๆ จนกระทั่งอัลลอฮ์ได้ถอดวิญญาณของพวกเขาในสภาพที่พวกเขาปฏิเสธศรัทธา ทำให้พวกเขาต้องถูกทรมานตลอดกาลในจุดต่ำที่สุดของไฟนรก

(56) และบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) จะสาบานเท็จแก่พวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา ว่า แท้จริงพวกเขานั้นเป็นส่วนหนึ่งของพวกเจ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเจ้า แต่พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ขี้ขลาดกลัวว่าต้องตายและถูกจับเป็นเชลยเหมือนกับบรรดาผู้ตั้งภาคี เลยพวกเขาแสดงความเป็นอิสลามออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง

(57) หากบรรดาผู้กลับกลอกเหล่านั้นพบที่หลบซ่อนที่สามารถปกป้องรักษาชีวิตของพวกเขา หรือพบถ้ำบนภูเขาที่สามารถซ่อนตัวอยู่ในนั้น หรือพบเจออุโมงค์ที่สามารถเข้าไปอยู่ในนั้น แน่นอนพวกเขาจะลี้ภัยและเข้าไปอยู่ในนั้นอย่างเร่งรีบ

(58) และในบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) นั้นจะมีผู้ที่ตำหนิเจ้า โอ้เราะซูล ในเรื่องการแบ่งซะกาตหากพวกเขาไม่ได้รับตามที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นหากเจ้ามอบให้พวกเขาตามที่พวกเขาขอพวกเขาก็จะยินดีพอใจกับเจ้า และหากเจ้าไม่มอบให้พวกเขาตามที่พวกเขาขอ พวกเขาก็จะแสดงความไม่พอใจ

(59) และหากบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิก) เหล่านั้นที่ตำหนิเจ้าในเรื่องการแบ่งซะกาตพอใจกับสิ่งที่อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้ให้กับพวกเขาและพอใจกับสิ่งที่เราะซูลได้มอบให้แก่พวกเขาพร้อมกล่าวว่า อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพอเพียงแล้วสำหรับพวกเรา อัลลอฮ์จะทรงประทานความโปรดปรานของพระอค์แก่พวกเรา และเราะซูลจะมอบให้กับพวกเราซึ่งสิ่งที่พระองค์ได้มอบไว้แก่ท่าน แท้จริงแด่อัลลอฮ์เท่านั้นที่พวกเราหวังว่าพระองค์จะทรงประทานความโปรดปรานของพระองค์ให้กับพวกเรา หากพวกเขากระทำในสิ่งดังกล่าว แน่นอนมันจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขามากกว่าที่พวกเขาจะไปตำหนิเจ้า

(60) แท้จริงซะกาตทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องแจกจ่ายให้กับ 1) ผู้ยากจนที่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขามีอาชีพและงานทำแต่มีรายได้ไม่เพียงพอในการใช้ชีวิตและไม่ได้รับการดูแล 2) ผู้ขัดสนที่เกือบจะไม่มีอะไรครอบครองเลยและพวกเขาเป็นที่รับรู้กันโดยดูจากสภาพความเป็นอยู่และคำพูดของพวกเขา 3) ผู้ทำหน้าที่เก็บซะกาตที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้นำ 4) ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ถูกโน้มน้าวเพื่อเข้ารับอิสลาม หรือผู้ที่มีความศรัทธาอ่อนแอเพื่อให้การศรัทธาของเขาเข็มแข็ง หรือผู้ที่สามารถยับยั้งความชั่วของเขาด้วยกับซะกาต 5) ทาสเพื่อให้เขาได้ไถ่ตัวเป็นอิสระ 6) ลูกหนี้ที่ไม่ฟุ่มเฟือยและไม่เป็นบาปหากพวกเขาไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ 7) การเตรียมการให้กับผู้ที่เสียสละในหนทางของอัลลอฮ์ 8) ผู้เดินทางที่ขาดปัจจัยยังชีพ ทั้งนี้ การจำกัดการแจกจ่ายซะกาตให้แก่บุคคลเหล่านี้เป็นบทบัญญัติภาคบังคับที่มาจากอัลลอฮ์ และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อปวงบ่าวของพระองค์ ทั้งยังเป็นผู้ทรงปรีชาญาณในการบริหารจัดการและการบัญญัติของพระองค์

(61) และในบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) จะมีผู้ที่ก่อความเดือดร้อนให้กับท่านเราะซูล ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ด้วยคำพูด โดยที่พวกเขาจะกล่าวในตอนที่พวกเขาเห็นความอ่อนโยนของท่านเราะซูล ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า แท้จริงท่านรับฟังคำพูดของทุกคนและเชื่อกับเขา และไม่ได้แยกแยะระหว่างความจริงกับความเท็จ โอ้เราะซูลเอ๋ย จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า แท้จริงท่านเราะซูลจะไม่รับฟังเว้นแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น เชื่อในอัลลอฮ์ และเชื่อในสิ่งที่บรรดาผู้ศรัทธาที่สัตย์จริงบอกและท่านจะเอ็นดูเมตตาพวกเขา เพราะแท้จริงการที่ท่านถูกแต่งตั้งให้เป็นเราะซุลนั้นมันเป็นความเมตตาแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อท่าน และสำหรับผู้ที่ทำร้ายท่านด้วยทุกรูปแบบ พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด

(62) บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) สาบานต่ออัลลอฮ์แก่พวกเจ้า โอ้บรรดาผู้ศรัทธา ว่า แท้จริงพวกเขาไม่ได้กล่าวร้ายใด ๆ แก่เราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เลย เพื่อที่จะให้พวกเจ้าพอใจต่อพวกเขา แต่การได้รับความพึงพอใจจากอัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ด้วยการศรัทธาและการกระทำความดีงามนั้นสำคัญกว่า หากพวกเขาเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง

(63) บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) เหล่านั้น พวกเขาไม่รู้หรือว่า ด้วยกับการกระทำของพวกเขานี้เป็นการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ และสำหรับผู้ใดที่ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮ์และเราะซูลนั้นในวันปรโลกพวกเขาจะต้องเข้าไฟนรกญะฮันนัมโดยพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล นั้นคือความอัปยศอันใหญ่หลวง

(64) บรรดามุนาฟิกีนนั้นหวั่นกลัวว่าอัลลอฮ์จะประทานแก่ท่านเราะสูล ซึ่งซูเราะฮ์หนึ่งที่บรรดาผู้ศรัทธาได้รับทราบถึงการปฏิเสธศรัทธาที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของพวกเขา จงกล่าวเถิด โอ้ท่านเราะสูล โอ้บรรดาพวกมูนาฟีกีนทั้งหลาย พวกท่านจงเย้ยหยันและดูถูกในในเรื่องศาสนาต่อไปเถิด อัลลอฮ์ทรงเป็นหนทางที่พวกเจ้าหวาดกลัวที่พระองค์จะประทานโองการหรือแจ้งต่อท่านเราะซูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

(65) และถ้าหากเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย ได้ถามบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) เกี่ยวกับการกล่าวหาและใส่ร้ายบรรดาผู้ศรัทธาที่พวกเขาได้กล่าวไว้หลังจากที่อัลลอฮ์ได้บอกให้เจ้ารู้ แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า พวกเราเพียงแค่พูดเล่นสนุก ๆ เท่านั้นไม่ได้จริงจังแต่อย่างใด จงกล่าวเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย ว่า ด้วยกับอัลลอฮ์ โองการต่าง ๆ ของพระองค์ และเราะซูลของพระองค์กระนั้นหรือที่พวกเจ้าเย้ยหยันกัน?

(66) พวกเจ้าอย่าได้แก้ตัวด้วยข้อแก้ตัวที่โกหกนี้เลย แท้จริงพวกเจ้าได้เปิดเผยการปฏิเสธศรัทธาด้วยการเย้ยหยันหลังจากที่พวกเจ้าได้ซ่อนมันไว้ หากเราให้อภัยกลุ่มหนึ่งของพวกเจ้าเนื่องจากพวกเขาละทิ้งพฤติกรรมการกลับกลอก (นิฟาก) กลับตัวสำนึกผิด (เตาบะฮ์) และมีความบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮ์ เราก็จะลงโทษอีกกลุ่มหนึ่งของพวกเจ้าเนื่องจากพวกเขายืนกรานกับการกลับกลอก (นิฟาก) และไม่กลับตัวสำนึกผิด (เตาบะฮ์) จากพฤติกรรมดังกล่าว

(67) บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) ทั้งชายและหญิงพวกเขามีความเหมือนกันในพฤติกรรมการกลับกลอก (นิฟาก) ซึ่งพวกเขาจะอยู่ตรงกันข้ามกับบรรดาผู้ศรัทธา โดยที่พวกเขาจะสั่งใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ดีและห้ามปรามในสิ่งที่ดี ขี้เหนียวในทรัพย์สินจนไม่บริจาคในหนทางของอัลลอฮ์ และละทิ้งอัลลอฮ์โดยไม่จงรักภักดีต่อพระองค์ ทำให้อัลลอฮ์ทรงละทิ้งการให้ทางนำแก่พวกเขาด้วย แท้จริงบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) นั้นเป็นผู้ไม่จงรักภักดีต่ออัลลอฮ์และออกจากแนวทางแห่งสัจธรรมไปสู่การกระทำบาปและหลงผิด

(68) อัลลอฮ์ได้ทรงสัญญาแก่บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายที่ไม่กลับตัวสำนึกผิด (เตาบะฮ์) ว่า พระองค์จะทรงให้พวกเขาเข้าไฟนรกญะฮันนัมโดยพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล มันเป็นการลงโทษที่พอเพียงสำหรับพวกเขา และอัลลอฮ์ได้ทรงให้พวกเขาห่างไกลจากความเอ็นดูเมตตาของพระองค์ และสำหรับพวกเขานั้นคือ การลงโทษอย่างต่อเนี่อง

(69) พวกเจ้า โอ้บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) เหมือนกับกลุ่มชนที่ปฏิเสธศรัทธาก่อนหน้าพวกเจ้าในเรื่องการปฏิเสธศรัทธาและการเย้ยหยัน ซึ่งพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่มีกำลังแข็งแรงกว่าพวกเจ้า และมีทรัพย์สมบัติและลูก ๆ มากกว่าพวกเจ้า แล้วพวกเขาก็ได้สนุกมีความสุขสำราญแห่งโลกดุนยาและเสพความใคร่ของมันตามที่ได้บันทึกไว้สำหรับพวกเขา ดังนั้นพวกเจ้า โอ้บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) ก็จงสนุกมีความสุขสำราญตามที่ได้บันทึกไว้สำหรับพวกเจ้าเหมือนกับพวกเขาเถิด และพวกเจ้าได้ปฏิเสธสัจธรรมและกล่าวหาเราะซูลเหมือนกับกลุ่มชนก่อนหน้าพวกเจ้าที่ได้ปฏิเสธสัจธรรมและกล่าวหาบรรดาเราะซูลของพวกเขา บรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะที่น่ารังเกียจนี้ พวกเขาคือผู้ที่การงานของพวกเขาได้เป็นโมฆะ เพราะมันเสื่อมเสีย ณ อัลลอฮ์ด้วยการปฏิเสธศรัทธา และพวกเขาคือผู้ที่ขาดทุนต่อตัวเองด้วยการสร้างปัจจัยแห่งความหายนะ

(70) ข่าวคราวของกลุ่มชนที่ปฏิเสธศรัทธาและการลงโทษที่พวกเขาได้รับไม่ได้มายังบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) เหล่านั้นดอกหรือ? เช่น กลุ่มชนของนูฮ์ กลุ่มชนของฮูด กลุ่มชนของศอลิห์ ชาวมัดยัน และเมืองของกลุ่มชนลูฏ โดยที่บรรดาเราะซูลของพวกเขาได้นำหลักฐานต่าง ๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว อัลลอฮ์มิได้ทรงอธรรมแก่พวกเขา เพราะบรรดาเราะซูลของพวกเขาได้ตักเตือนพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาต่างหากที่อธรรมต่อตัวเองด้วยการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และไม่เชื่อบรรดาเราะซูลของพระองค์

(71) และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิง พวกเขาต่างเป็นผู้ช่วยเหลือและผู้สนับสนุนซึ่งกันและกันเพราะความศรัทธาได้รวมพวกเขาไว้เป็นหนึ่ง พวกเขาจะสั่งใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ดี นั้นก็คือทุกสิ่งที่อัลลอฮ์รัก เช่น การให้เอกภาพต่อพระองค์และการละหมาด พวกเขาจะห้ามปรามในสิ่งที่ไม่ดี นั้นก็คือทุกสิ่งที่อัลลอฮ์กริ้ว เช่น การปฏิเสธศรัทธาและดอกเบี้ย พวกเขาจะดำรงไว้ซึ่งการละหมาดอย่างครบสมบูรณ์ และจะภักดีต่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ บรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะที่ดีเหล่านี้ อัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาอยู่ในความเอ็นดูเมตตาของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพระองค์ได้ อีกทั้งยังเป็นผู้ทรงปรีชาญาณในสร้าง การบริหารจัดการ และการกำหนดบทบัญญัติของพระองค์

(72) อัลลอฮ์ได้ทรงสัญญาแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งชายและหญิงว่า ในวันปรโลกพระองค์จะทรงให้พวกเขาเข้าสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่ใต้คฤหาสน์ของมันโดยที่พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล ไม่มีการเสียชีวิตและความโปรดปรานก็จะไม่ถูกตัดขาด และพระองค์ได้ทรงสัญญาแก่พวกเขาว่า พระองค์จะให้พวกเขาเข้าพำนักในสถานที่ที่ดีในสวนสวรรค์ และความพึงพอใจของอัลลอฮ์ที่มีต่อพวกเขานั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งทุกอย่าง การตอบแทนดังกล่าวคือ ชัยชนะอันใหญ่หลวงที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้

(73) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงต่อสู้กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาด้วยการฆ่าฝันด้วยดาบและต่อสู้กับบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) ด้วยวาจาและหลักฐาน และจงเฉียบขาดกับทั้งสองกลุ่ม เพราะพวกเขาสมควรที่จะได้รับสิ่งนั้น และที่พำนักของพวกเขาในวันปรโลกคือนรกญะฮันนัม และที่กลับไปที่ชั่วร้ายที่สุดคือที่กลับไปของพวกเขา

(74) บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) สาบานเท็จต่ออัลลอฮ์ว่า พวกเขามิได้พูดใส่ร้ายเจ้าและตำหนิศาสนาของเจ้าดังที่เจ้าได้ยิน และแท้จริง พวกเขาได้พูดถ้อยคำที่ทำให้พวกเขาต้องตกศาสนาไปเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้วดังที่เจ้าได้ยิน พวกเขาได้เปิดเผยพฤติกรรมการปฏิเสธศรัทธาหลังจากการที่พวกเขาได้เสแสร้งการศรัทธา พวกเขามุ่งกระทำในสิ่งที่พวกเขายังไม่บรรลุผลสำเร็จ นั่นคือการลอบทำร้ายนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พวกเขามิได้ปฏิเสธสิ่งใดเว้นแต่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ นั่นคืออัลลอฮ์ได้ทรงประทานความโปรดปรานแก่พวกเขาโดยให้พวกเขาได้รับความร่ำรวยจากทรัพย์เชลยที่พระองค์ได้ทรงประทานผ่านนบีของพระองค์ ดังนั้นหากพวกเขากลับตัวสำนึกผิด (เตาบะฮ์) ต่ออัลลอฮ์ในการกลับกลอกของพวกเขา แน่นอนกลับตัวสำนึกผิด (เตาบะฮ์) จะเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับพวกเขา และหากพวกเขาหันหลังไม่กลับตัวสำนึกผิด (เตาบะฮ์) ต่ออัลลอฮ์ แน่นอนพระองค์จะทรงลงโทษพวกเขาซึ่งเป็นการลงโทษที่เจ็บปวดทั้งในโลกดุนยาด้วยการถูกฆ่าและถูกจับเป็นเชลยศึกและในวันปรโลกด้วยไฟนรก และพวกเขาไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือคนใดที่สามารถช่วยเหลือและปกป้องพวกเขาให้พ้นจากการถูกลงโทษได้

(75) และในบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) นั้นมีผู้ที่ได้สัญญาต่ออัลลอฮ์ว่า ถ้าหากอัลลอฮ์ได้ทรงประทานส่วนหนึ่งจากความกรุณาของพระองค์แก่พวกเรา แน่นอนพวกเราจะบริจาคทานแก่ผู้ที่ขัดสน และแน่นอนพวกเราจะได้อยู่ในหมู่คนดีที่มีการปฏิบัติธรรมที่ดี

(76) จากนั้นเมื่ออัลลอฮ์ได้ทรงประทานส่วนหนึ่งจากความกรุณาของพระองค์แก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้ทำตามอย่างที่ได้สัญญาไว้ แถมยังปิดกั้นทรัพย์สินของพวกเขาโดยไม่บริจาคใด ๆ และได้ผินหลังปฏิเสธโดยไม่ศรัทธาต่อพระองค์

(77) แล้วพระองค์ก็ได้ทรงลงโทษพวกเขาด้วย(พฤติกรรม)การกลับกลอกที่ฝังแน่นไว้ในจิตใจของพวกเขาจนถึงวันปรโลก เพื่อเป็นการลงโทษพวกเขาที่ผิดสัญญากับอัลลอฮ์และการโกหกของพวกเขา

(78) บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) ไม่รู้ดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรู้แผนร้ายและอุบายที่พวกเขาซ่อนไว้ในที่ที่ของพวกเขา และแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงรอบรู้ในซึ่งสิ่งเร้นลับทั้งหลาย? ไม่มีการงานใดของพวกเขาที่จะซ่อนเร้นพระองค์ได้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกเขาตามการงานนั้น

(79) บุคคลที่ตำหนิบรรดาผู้ศรัทธาที่สมัครใจให้บริจาคทานอันเล็กน้อย ซึ่งพวกเขาไม่มีสิ่งใดนอกจากสิ่งเล็กน้อยที่พวกเขามีอยู่ บุคคลเหล่านั้นดูถูกเย้ยหยันบรรดาผู้บริจาคทานว่า การบริจาคทานของพวกเขาจะให้ประโยชน์อะไรบ้าง? อัลลอฮ์ก็ได้ทรงเย้ยหยันพวกเขาเพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้เย้ยหยันบรรดาผู้ศรัทธา และสำหรับพวกเขานั้น คือการลงโทษอันเจ็บแสบ

(80) โอ้เราะซูลเอ๋ย จงขออภัยโทษให้แก่พวกเขา หรือไม่ก็อย่าขออภัยโทษให้แก่พวกเขา หากเจ้าขออภัยโทษให้แก่พวกเขาเจ็ดสิบครั้ง ถึงแม้มันจะมีจำนวนมากก็ตามอัลลอฮ์ก็จะไม่ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา เพราะพวกเขาได้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ และอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้แนะสัจธรรมให้แก่ผู้ที่ออกนอกบทบัญญัติของพระองค์โดยเจตนาและจงใจ

(81) บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) ที่ไม่ไปร่วมสงครามตาบู๊กดีใจที่พวกไม่ได้ไปร่วมสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์โดยที่พวกเขาฝ่าฝืนท่านเราะซูล พวกเขาเกลียดที่จะต้องต่อสู้ด้วยการเสียสละทรัพย์สินและชีวิตของพวกเขาในหนทางของอัลลอฮ์ เหมือนกับการเสียสละของบรรดาผู้ศรัทธา และพวกเขาปลุกระดมพี่น้องของพวกเขาที่เป็นผู้กลับกลอกด้วยกันว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้ออกไปท่ามกลางอากาศร้อนเลย ซึ่งสงครามตาบู๊กนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาอากาศร้อนมาก จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด โอ้เราะซูลเอ๋ย ว่า ไฟนรกญะฮันนัมที่รอต้อนรับบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) นั้นร้อนแรงยิ่งกว่าความร้อนนี้ที่พวกเจ้าหนีห่างจากมันเสียอีก หากพวกเขาเข้าใจสิ่งนี้

(82) ปล่อยให้บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) ที่ไม่ไปร่วมสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์หัวเราะเพียงเล็กน้อยในชีวิตแห่งโลกดุนยาที่ไม่จีรังนี้ และจงร้องไห้ให้มากในชีวิตหลังความตายที่นิรันดร ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนในการปฏิเสธศรัทธา การฝ่าฝืน และการกระทำบาปต่าง ๆ ที่พวกเขาได้กระทำไว้ในโลกดุนยานี้

(83) หากอัลลอฮ์ได้ทรงให้เจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย กลับไปยังกลุ่มบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) ที่ยืนยันถึงการกลับกลอกของพวกเขา แล้วพวกเขาขออนุมัติจากเจ้าเพื่อออกไปพร้อมกับเจ้าในการทำสงครามอื่น ๆ เจ้าจงกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเจ้า โอ้บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) อย่าได้ออกไปสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์พร้อมกับฉันเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อเป็นการลงโทษพวกเจ้าและเป็นการระวังความเสียหายที่มีผลมาจากการเข้าร่วมสู้รบของพวกเจ้าพร้อมกับฉัน เพราะแท้จริงพวกเจ้าได้พอใจกับการนั่งอยู่บ้านและไม่ไปร่วมสงครามตาบู๊กครั้งที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้น พวกเจ้าจงนั่งอยู่กับบรรดาผู้ป่วย ผู้หญิง และเด็ก ๆ ที่ไม่ไปร่วมสู้รบเถิด

(84) และเจ้า โอ้เราะซูลเอ๋ย จงอย่าละหมาดศพให้แก่คนหนึ่งคนใดที่ตายไปในบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) เป็นอันขาด และจงอย่ายืนที่หลุมศพของเขาเพื่อวิงวอนขออภัยโทษให้แก่เขาด้วย เพราะแท้จริงพวกเขานั้นได้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และเราะซูลของพระองค์ และพวกเขาได้ตายไปในสภาพะที่พวกเขาออกนอกลู่นอกทางไม่จงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ และผู้ใดที่ตายไปในสภาพดังกล่าวก็จะไม่มีการละหมาดศพและการขอดุอาอ์ให้แก่เขา

(85) โอ้เราะซูลเอ๋ย เจ้าจงอย่าได้หลงใหลกับทรัพย์สมบัติและลูก ๆ ของบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ทรงต้องการที่จะลงโทษพวกเขาด้วยกับสิ่งเหล่านั้นในชีวิตแห่งโลกนี้ โดยที่พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการได้มาซึ่งสิ่งนั้นและต้องประสบกับเคราะห์ร้ายต่าง ๆ และพระองค์ทรงต้องการให้พวกเขาเสียชีวิตในสภาพที่ปฏิเสธศรัทธา

(86) และเมื่ออัลลอฮ์ได้ทรงประทานซูเราะห์หนึ่งแก่นบีมูหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ประกอบด้วยคำสั่งให้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และสู้รบในหนทางของพระองค์ บรรดาผู้ร่ำรวยในหมู่พวกเขาจะขออนุญาตไม่ไปร่วมสู้รบพร้อมกับเจ้า และกล่าวว่า จงปล่อยพวกเราให้อยู่กับบรรดาผู้ที่ได้รับข้อยกเว้นด้วยเถิด เช่น ผู้อ่อนแอ และผู้ป่วยเรื้อรัง เป็นต้น

(87) บรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) พึงพอใจกับความอัปยศต่ำต้อยของตัวเองในตอนที่พวกเขาพึงพอใจไม่ไปร่วมสู้รบพร้อมกับบรรดาผู้ที่ได้รับข้อยกเว้น อัลลอฮ์ได้ทรงปิดผนึกจิตใจของพวกเขาเนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาและการกลับกลอกของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ต่อพวกเขา

(88) แต่ทว่าเราะซูลและบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่ร่วมกับท่านนั้นพวกเขาไม่ละทิ้งการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์เหมือนกับบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟีก) บรรดาผู้ศรัทธาได้ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ด้วยทรัพย์สินและชีวิตของพวกเขา ดังนั้นผลตอบของพวกเขา ณ อัลลอฮ์ คือการได้รับประโยชน์ในโลกนี้ เช่น ได้รับชัยชนะและทรัพย์เชลย และได้รับประโยชน์ในวันปรโลก คือการได้เข้าสวนสวรรค์ ได้รับชัยชนะตามที่ต้องการ และปลอดภัยจากสิ่งที่หวาดกลัวอันตราย

(89) อัลลอฮ์ได้ทรงจัดเตรียมสวนสวรรค์สำหรับพวกเขาซึ่งมีแม่น้ำไหลผ่านภายใต้คฤหาสน์ของพวกเขา พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นอย่างนิรันดรไม่มีวันพินาศ ผลการตอบแทนดังกล่าวคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่มิอาจเปรียบเทียบได้

(90) และชาวอาหรับเบดูอินของเมืองมาดีนะอ์และผู้ที่อาศัยโดยรอบได้มาขอแก้ตัวกับเราะซูล ศ็อลลัลอฮฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เพื่อให้ท่านอนุญาตแก่พวกเขาที่ไม่ไปร่วมทำการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ และยังมีกลุ่มอื่นที่ไม่ไปร่วมทำการสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ที่ไม่ได้มาขอแก้ตัวตั้งแรกเลย เพราะพวกเขาไม่เชื่อนบีและไม่ศรัทธาต่อสัญญาของอัลลอฮ์ พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวดเนื่องด้วยการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา

(91) ไม่มีบาปใด ๆ สำหรับบรรดาผู้หญิง เด็กๆ คนป่วย คนชรา คนตาบอด คนยากจนที่ไม่มีทรัพย์สินใช้จ่ายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบ สำหรับพวกเขาทั้งหมดนั้นไม่มีบาปใด ๆ ที่ไม่ไปร่วมสู้รบ เพราะพวกมีเหตุผลจริง ๆ หากพวกเขาบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์และเราะซูลของพระองค์ และปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ บรรดาผู้กระทำดีที่ไม่ไปร่วมสู้รบเหล่านี้ พวกเขาไม่สมควรได้รับการลงโทษ และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงอภัยโทษบาปต่าง ๆ ของผู้กระทำดี อีกทั้งยังเป็นผู้ทรงเอ็นดูเมตตาพวกเขา

(92) และไม่มีการบาปใด ๆ เช่นกันสำหรับผู้ที่ไม่ไปร่วมสู้รบพร้อมกับเจ้า โอ้เราะซูล หากพวกเขาได้มาหาเจ้าเพื่อให้เจ้าจัดยานพาหนะให้พวกเขาขับขี่(ไปยังสนามรบ) และเจ้าได้กล่าวแก่พวกเขาว่า ฉันไม่มียานพาหนะที่จะให้พวกเจ้าขี่มันได้ พวกเขาก็หันหลังกลับโดยที่นัยน์ตาของพวกเขาท่วมท้นไปด้วยน้ำตา เพราะเสียใจที่พวกเขาไม่มีสิ่งที่จะใช้จ่ายทั้งจากตัวของพวกเขาเองหรือจากเจ้า

(93) ในเมื่ออัลลอฮ์ได้ชี้แจงว่าบรรดาผู้ที่ไม่ไปร่วมสู้รบที่มีเหตุจำเป็นไม่สมควรได้รับการลงโทษ พระองค์ก็ได้แจ้งถึงผู้ที่สมควรได้รับการลงโทษว่า แท้จริงการลงโทษนั้นสมควรประสบแก่บรรดาผู้ที่ขออนุญาตจากเจ้า โอ้เราะซูล เพื่อไม่ไปร่วมสู้รบในหนทางของอัลลอฮ์ทั้ง ๆ ที่พวกเขามีความสามารถในการเตรียมพร้อมสิ่งดังกล่าว พวกเขาพึงพอใจกับความอัปยศต่ำต้อยของตัวเองด้วยการอยู่บ้านพร้อมกับบรรดาผู้ที่ไม่ไปร่วมสู้รบ และอัลลอฮ์ได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกเขาทำให้พวกเขาไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยจากคำตักเตือน ดังนั้นด้วยกับการประทับตรานี้ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ต่อพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้เลือกเอา และสิ่งใดมีผลเสียต่อพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้หลีกเลี่ยง

(94) บรรดามุนาฟิกีนที่ไม่ได้ออกญิฮาดนั้น จะยกข้อแก้ตัวต่าง ๆ นานาที่ฟังไม่ขึ้นแก่บรรดามุสลิมในขณะที่พวกเขาได้กลับมาจากการญิฮาด และอัลลอฮฺทรงชี้นำให้นบีของพระองค์และมุสลิมทั้งหลาย ตอบกลับพวกเขาว่า พวกท่านอย่าได้แก้ตัวด้วยคำแก้ตัวที่เป็นเท็จเลย เราจะไม่เชื่อในสิ่งที่พวกท่านได้บอกเราดอก แท้จริงอัลลอฮฺทรงแจ้งข่าวคราวของพวกท่านแก่เราแล้ว และอัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์จะเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกท่าน ว่าพวกท่านจะกลับตัวกลับใจหรือไม่ แล้วอัลลอฮฺจะทรงตอบรับการกลับตัวกลับใจของพวกท่านหรือว่าพวกท่านจะคงอยู่แบบนั้นต่อไป แล้วพวกท่านก็จะถูกนำกลับไปยังพระผู้ทรงรอบรู้ในทุก ๆ สิ่ง แล้วพระองค์ก็จะทรงแจ้งแก่พวกท่านให้รู้ถึงสิ่งที่พวกท่านกระทำกันไว้ และพระองค์จะทรงตอบแทนพวกท่านในสิ่งที่พวกท่านกระทำ ดังนั้นแล้วพวกท่านจงรีบกลับตัวกลับใจขออภัยโทษต่อพระองค์และกระทำการงานที่ดีเถิด

(95) โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย บรรดามุนาฟิกีนที่ไม่ได้ออกไปสู้รบกับพวกเจ้านั้นจะสาบานต่ออัลลอฮฺแก่พวกท่านเมื่อพวกท่านได้กลับมายังพวกเขา เพื่อยืนยันข้อแก้ตัวที่โกหกของพวกเขา เพื่อที่จะให้พวกท่านไม่ต้องกล่าวว่าพวกเขา หรือตำหนิพวกเขา ดังนั้นพวกท่านจงปล่อยพวกเขาไม่ต้องแยแส และออกห่างจากพวกเขาเถิด แท้จริงพวกเขานั้นสกปรก เป็นคนที่ชั่วร้ายอยู่ภายในจิตใจ และที่พำนักของพวกเขาที่จะถูกโยนลงไปนั้นคือนรกญะฮันนัม ทั้งนี้เป็นการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้จากการกลับกลอกและการทำบาป

(96) โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย บรรดามุนาฟิกีนที่ไม่ได้ออกรบนั้น จะสาบานแก่พวกท่าน เพื่อให้พวกท่านพอใจต่อพวกเขา และรับข้อแก้ตัวของพวกเขา พวกท่านจงอย่าได้พอใจต่อพวกเขา แล้วหากพวกท่านพอใจต่อพวกเขา แท้จริงแล้วพวกท่านได้ฝ่าฝืนพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่าน เพราะแท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงพอพระทัยต่อกลุ่มชนที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์ด้วยการปฏิเสธและการกลับกลอก โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้าจงพึงระวังที่จะพอใจในสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ทรงพอพระทัยเถิด

(97) บรรดาอาหรับชนบทนั้น หากว่าพวกเขาปฏิเสธหรือกลับกลอกแล้ว การปฏิเสธศรัทธาของพวกเขาจะร้ายกาจกว่าการปฏิเสธศรัทธาของคนในเมือง และการกลับกลอกของพวกเขาก็ร้ายกาจกว่าชนเหล่านั้น พวกเขาไม่รู้เรื่องศาสนาเลย และเป็นการสมควรยิ่งแล้ว ที่พวกเขาจะไม่รู้กฎเกณฑ์ แนวทาง และกฎของบทบัญญัติต่างๆ ที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่เราะซูลของพระองค์ เพราะพวกเขามีความบาดหมางและแข็งกระด้างและไม่เชื่อมสัมพันธ์กับผู้อื่น และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ถึงสถานะของพวกเขา ที่จะไม่มีสิ่งใดถูกปกปิดต่อพระองค์ได้ ผู้ทรงปรีชาญาณในการจัดการและการบัญญัติของพระองค์

(98) และในหมู่อาหรับชนบทที่เป็นมุนาฟิกีนนั้น มีผู้เชื่อว่าสิ่งที่ตนบริจาคไปในหนทางของอัลลอฮ์นั้น เป็นการขาดทุนและเป็นเสมือนค่าปรับ เพราะเขาคิดว่าสิ่งที่เขาได้บริจาคไปนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดผลบุญใด ๆ และอัลลอฮ์จะไม่ทรงลงโทษเขาถ้าหากเขาไม่บริจาค แต่ในขณะเดียวกัน บางครั้งเขาก็บริจาคเพื่อโอ้อวดและเพื่อปิดบังความจริงที่อยู่ในใจ และพวกเขารอคอยให้มีเหตุร้ายประสบแก่พวกท่าน โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย แล้วเขาจะละทิ้งพวกท่านไป แต่อัลลอฮ์ทรงทำให้สิ่งที่พวกเขาหวังไว้เพื่อให้เหตุร้ายเหล่านั้นประสบแก่ผู้บรรดาศรัทธาและการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์นั้นได้ประสบแก่พวกเขาเอง และแท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ยินในสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวมัน ทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขาปกปิดมัน

(99) และในหมู่อาหรับชนบทนั้น มีผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและศรัทธาในวันอาคิเราะฮฺ และถือว่าทรัพย์สินที่ตนบริจาคไปในหนทางของอัลลอฮฺนั้น เป็นการใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ และเพื่อจะได้รับการขอพรของเราะซูล ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม และการขออภัยโทษของท่านสำหรับเขา พึงรู้เถิดว่า แท้จริงการบริจาคของเขาในหนทางของอัลลอฮฺและการขอพรจากเราะซูลแก่เขานั้นเป็นการทำให้เขาใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ และจะได้รับผลตอบแทนของมันจากพระองค์ โดยที่พระองค์จะทรงให้เขาอยู่ในความเอ็นดูเมตตาที่กว้างขวางของพระองค์ที่รวมไว้ด้วยการอภัยโทษและสวนสวรรค์ของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษสำหรับบ่าวของพระองค์ที่กลับตัวกลัวใจ ทรงเอ็นดูเมตตาพวกเขาเสมอ

(100) บรรดาบรรพชนรุ่นแรกในหมู่ผู้อพยพ (ชาวมุฮาญิรีนจากมักกะฮฺ) ที่ได้อพยพออกจากบ้านของพวกเขาและเมืองของพวกเขาไปยังอัลลอฮฺ และในหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ (ชาวอันศ้อรจากมะดีนะฮฺ) พวกเขาได้ช่วยเหลือท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ของเขา และบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามหมู่ผู้อพยพ และหมู่ผู้ให้ความช่วยเหลือที่ได้ศรัทธามาก่อน ด้วยการทำให้ดีในหลักการความเชื่อศรัทธา การพูดและการกระทำ ขออัลลอฮฺทรงพอพระทัยในพวกเขาและตอบรับการเชื่อฟังของพวกเขา และพวกเขาก็พอใจในพระองค์จากผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่อัลลอฮฺทรงมอบให้แก่พวกเขา และพระองค์ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาสวนสวรรค์ที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่านอยู่เบื้องล่างที่พำนักของพวกเขา พวกเขาจะพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล นั่นคือผลตอบแทนและชัยชนะอันใหญ่หลวง

(101) และผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้มะดีนะฮฺที่เป็นอาหรับชนบทนั้น เป็นพวกกลับกลอก และในหมู่ชาวมะดีนะฮฺก็เช่นเดียวกัน พวกเขาเหล่านั้นยังคงอยู่บนการกลับกลอกและยังคงทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ โอ้ เราะซูลเอ๋ย เจ้าไม่รู้จักธาตุแท้ของพวกเขาดอก อัลลอฮฺคือผู้ที่รู้จักพวกเขาดี พระองค์จะลงโทษพวกเขาสองครั้ง ครั้งแรกบนโลกนี้ด้วยการเปิดเผยการกลับกลอกของพวกเขาและการฆ่าของพวกเขาและครอบครัวของพวกเขา และครั้งที่สองในวันปรโลกด้วยการทุกข์ทรมานต่อการลงโทษในหลุมฝังศพ แล้วพวกเขาจะถูกนำกลับไปในวันกิยามะฮฺสู่การลงโทษอันยิ่งใหญ่ ในนรกชั้นต่ำที่สุด

(102) และในหมู่ชาวมะดีนะฮฺมีชนกลุ่มอื่นที่ไม่ได้ออกไปสู้รบโดยไม่มีข้ออ้างใดๆ แล้วพวกเขาก็ได้สารภาพว่าพวกเขานั้นไม่มีข้ออ้างใดๆเลย และไม่ได้นำมาซึ่งข้ออ้างที่เป็นเท็จ โดยที่พวกเขาได้ปะปนการงานที่ดีก่อนหน้านี้จากการเชื่อฟังอัลลอฮฺและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์และออกไปสู้รบในหนทางของอัลลอฮฺด้วยการทำชั่ว หวังว่าอัลลอฮฺจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาและไม่ถือโทษพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษแก่บ่าวของพระองค์ที่กลับตัวกลับใจ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตาพวกเขาเสมอ

(103) โอ้ เราะซูล เจ้าจงเอาส่วนหนึ่งจากทรัพย์สมบัติของพวกเขาเป็นทาน เพื่อทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ จากการฝ่าฝืนและทำบาปและให้ความดีของพวกเขาได้เจริญเติบโต และเจ้าจงขอพรให้แก่พวกเขาหลังจากที่ได้เอาทรัพย์สินมาจากพวกเขา แท้จริงการขอพรของเจ้านั้นเป็นความกรุณาและทำให้เกิดความสุขใจแก่พวกเขา และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงได้ยินคำขอพรของเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ในการงานและเจตนาของพวกเขา

(104) เพื่อที่บรรดาผู้ที่ไม่ออกญิฮาดและผู้ที่สำนึกผิดต่ออัลลอฮฺรับรู้ว่าอัลลอฮฺจะทรงรับการสำนึกผิดจากปวงบ่าวของพระองค์ และทรงรับบรรดาสิ่งที่เป็นทาน (เศาะดะเกาะฮฺ) และพระองค์ทรงร่ำรวย และจะตอบแทนผู้ที่บริจาคทาน และแท้จริงอัลลอฮฺนั้นคือ ผู้ทรงอภัยโทษสำหรับปวงบ่าวของพระองค์ที่สำนึกผิด ผู้ทรงเมตตาพวกเขาเสมอ

(105) โอ้ เราะสูลเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาผู้ที่ไม่ออกญิฮาด และบรรดาผู้ที่สำนึกผิดต่อบาปของพวกเขาเถิดว่า พวกท่านจงทำในสิ่งที่ได้พลัดพลาดไปจากพวกท่าน และพวกท่านจงบริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮฺในการงานของพวกท่าน และจงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงพอพระทัย แล้วอัลลอฮฺจะทรงเห็นการงานของพวกท่าน และเราะซูลของพระองค์และบรรดาผู้ศรัทธาก็จะเห็นด้วย และพวกท่านจะถูกนำกลับไปยังพระเจ้าของพวกท่านในวันปรโลก พระผู้ทรงรอบรู้ในทุกๆสิ่งทั้งสิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย แล้วพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านในสิ่งที่พวกท่านกระทำไว้ในโลกนี้ และจะทรงตอบแทนในการกระทำของพวกท่าน

(106) และในบรรดาผู้ที่ไม่ได้ออกสู้รบในสมรภูมิตะบู๊คนั้นมีชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มีข้ออ้างความจำเป็นใดๆที่จะไม่ออกไปสู้รบ ชนเหล่านั้นเป็นบรรดาผู้ที่ล่าช้าที่จะถูกรับการตัดสินจากอัลลอฮฺและคำพิพากษาต่อพวกเขา พระองค์อาจจะทรงตัดสินพวกเขาตามที่พระองค์ทรงประสงค์ อาจจะลงโทษพวกเขาถ้าหากพวกเขาไม่กลับตัวกลับใจไปยังพระองค์ หรือพระองค์อาจจะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขาหากพวกเขาได้กลับตัวกลับใจแล้ว และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ว่าผู้ใดที่สมควรจะได้รับการลงโทษจากพระองค์ และผู้ใดที่สมควรจะได้รับการอภัยโทษจากพระองค์ ผู้ทรงปรีชาญาณต่อบทบัญญัติและการบริหารจัดการของพระองค์ พวกเขาเหล่านั้นคือ มุรอเราะฮฺ บิน อัรฺเราะบีอฺ และกะอับ บินมาลิก และฮีลาล บิน อุมัยยะฮฺ

(107) และบรรดามุนาฟิกีนก็เช่นเดียวกัน พวกเขาเหล่านั้นสร้างมัสยิดหลังหนึ่งขึ้นโดยไม่ใช่เพื่อทำตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ แต่เพื่อก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่บรรดามุสลิมและแสดงให้เห็นถึงการปฏิเสธศรัทธาด้วยการทำให้ผู้กลับกลอกแข็งแกร่งขึ้นและก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างบรรดามุอฺมินด้วยกัน และเพื่อเป็นแหล่งเตรียมพร้อมและรอคอยผู้ที่จะทำสงครามต่อต้านอัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ก่อนที่จะสร้างมัสยิดขึ้น และแน่นอนบรรดามุนาฟิกีนพวกเขาจะสาบานแก่พวกเจ้าว่า เราไม่มีเจตนาอื่นใดนอกจากเห็นอกเห็นใจบรรดามุสลิมเท่านั้น และอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นพยานยืนยันว่า แท้จริงพวกเขานั้นเป็นพวกที่กล่าวเท็จในคำกล่าวอ้างของพวกเขา

(108) โอ้ นบีเอ๋ย มัสยิดที่มีลักษณะเช่นนี้เจ้าอย่าได้ตอบรับตามคำเรียกร้องของบรรดามุนาฟิกีนเพื่อให้เจ้าเข้าไปยืนละหมาดในนั้นเลย แท้จริงแล้ว มัสยิดกุบาอฺเป็นมัสยิดที่ถูกวางรากฐานบนความยำเกรงตั้งแต่วันแรกนั้นสมควรอย่างยิ่งที่เจ้าจะเข้าไปยืนละหมาดในนั้นมากกว่ามัสยิดนี้ที่วางรากฐานบนความปฏิเสธศรัทธา เพราะในมัสยิดกุบาอฺนั้นมีคณะบุคคลที่ชอบจะชำระตัวให้บริสุทธิ์จากสิ่งสกปรกและสิ่งที่ไม่ดีด้วยน้ำ และชำระตัวให้บริสุทธิ์จากบาปทั้งหลายด้วยการกลับตัวกลับใจและขออภัยโทษ และอัลลอฮฺนั้นทรงรักบรรดาผู้ที่ชำระตัวให้สะอาดบริสุทธิ์จากสิ่งสกปรก สิ่งไม่ดีและบาปอยู่เสมอ

(109) ผู้ที่วางรากฐานอาคารของเขาบนความยำเกรงต่ออัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์และหลีกเลี่ยงข้อห้ามของพระองค์ และหวังความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ด้วยการขยายการทำความดีนั้นให้กว้างขึ้น กับผู้ที่สร้างมัสยิดเพื่อก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่บรรดามุสลิมและทำให้การปฏิเสธศรัทธาแข็งแกร่งขึ้น และก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างบรรดามุอฺมินด้วยกันนั้น มันจะเท่าเทียมกันอย่างนั้นหรือ ทั้งสองอย่างนี้จะไม่เท่าเทียมกันเป็นอันขาด ดังนั้นอันแรกโครงสร้างของอาคารนั้นแข็งแกร่งและเชื่อมโยงกันไม่กลัวต่อการพังทลาย และอีกอันนั้นเปรียบเสมือนกับคนที่สร้างอาคารของเขาบนริมขอบเหวและพังทลายลง แล้วอาคารของเขาถูกทำลายลงในก้นบึ้งของนรก และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ชี้แนะทางแก่กลุ่มชนที่อธรรมที่ปฏิเสธศรัทธาและกลับกลอกและอื่นๆ

(110) มัสยิดของพวกเขาที่ก่อสร้างขึ้นมานั้นยังคงเป็นที่ระแวงสงสัยอยู่ในจิตใจของพวกเขาจนกระทั่งหัวใจของพวกเขาจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ ด้วยความตายหรือถูกฆ่าตายด้วยดาบ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้การงานของบ่าว ผู้ทรงปรีชาญาณในสิ่งที่พระองค์ทรงตัดสินและทรงตอบแทนทั้งการงานที่ดีและการงานที่ชั่ว

(111) แท้จริงอัลลอฮฺ สุบหานาฮุ วะตะอาลา นั้นได้ทรงซื้อแล้วจากบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งชีวิตของพวกเขาทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วชีวิตนั้นเป็นทรัพย์สินของพระองค์เป็นความกรุณาจากพระองค์ โดยซื้อด้วยราคาที่สูง นั้นก็คือสวนสวรรค์ โดยให้พวกเขาทำการต่อสู้กับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเพื่อให้พจนารถของอัลลอฮฺเป็นพจนารถที่สูงสุด และพวกเขาก็ฆ่าบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและถูกบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาฆ่า เป็นสัญญาของพระองค์เองอย่างแท้จริง ซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์เตารอต ซึ่งเป็นคัมภีร์ของมูซา และอินญีล ซึ่งเป็นคัมภีร์ของอีซา อะลัยฮิมัสสลาม และอัลกุรฺอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ของ มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม และใครเล่าจะรักษาสัญญาของเขาได้ดียิ่งไปกว่าอัลลอฮฺ สุบฮานะฮุ วะตะอาลา ดังนั้นแล้ว โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้าจงรื่นเริง ชื่นชมยินดีในการขายของพวกท่านเถิด ซึ่งพวกท่านได้ขายมันไปให้แก่พระองค์ แท้จริงแล้วพวกเจ้านั้นได้รับผลกำไรที่มหาศาล และการขายนั้นนั่นคือชัยชนะอันใหญ่หลวง

(112) บรรดาผู้ที่ได้รับผลตอบแทนนี้ พวกเขาเหล่านั้นคือผู้ที่กลับเนื้อกลับตัวจากสิ่งที่อัลลอฮฺทรงเกลียดชังและทรงโกรธกริ้วไปยังสิ่งทีพระองค์ทรงรักและทรงพอพระทัย บรรดาผู้ที่เกรงกลัวอัลลอฮฺและอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วเชื่อฟังพระองค์อย่างจริงจัง บรรดาผู้แซ่ซ้องสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาในทุกสถานการณ์ บรรดาผู้ทำการถือศีลอด บรรดาผู้ทำการละหมาด บรรดาผู้กำชับให้ปฏิบัติในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงบัญชา และในสิ่งที่เราะซูลของพระองค์ได้บัญชา บรรดาผู้ปราบปรามให้ละเว้นจากสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้ามและจากสิ่งที่เราะซูลของพระองค์ได้ห้าม และบรรดาผู้รักษาคำบัญชาของอัลลอฮฺด้วยการปฏิบัติตามและข้อห้ามของพระองค์ด้วยการห่างไกล โอ้ เราะซูลเอ๋ย เจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ให้พวกเขายินดีทั้งในโลกนี้และในปรโลกเถิด

(113) ไม่บังควรแก่นบีและบรรดาผู้ศรัทธาที่จะขออภัยโทษจากอัลลอฮฺให้แก่พวกตั้งภาคี และแม้ว่าพวกเขาจะเป็นญาติใกล้ชิดกันก็ตาม ทั้งนี้หลังจากเป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาแล้วว่า แน่นอนพวกเหล่านั้นเป็นชาวนรก เพราะพวกเขานั้นได้ตายในสภาพของการตั้งภาคี

(114) และการขออภัยโทษของอิบรอฮีมให้แก่บิดาของเขามิได้ปรากฏขึ้น นอกจากเป็นสัญญาที่เขาได้ให้ไว้แก่บิดาของเขาเท่านั้น ที่หวังให้เขานั้นเข้ารับอิสลาม แต่เมื่อได้เป็นที่ประจักษ์แก่อิบรอฮีมแล้ว ว่าแท้จริงแล้วบิดาของเขาเป็นศัตรูของอัลลอฮฺ ไม่มีประโยชน์ที่จะตักเตือน หรือเขาได้รับรู้จากวะฮฺยุ ว่าบิดาของเขานั้นจะตายในสภาพที่เป็นกาฟิร(ผู้ปฏิเสธศรัทธา)เขาก็ได้ปลีกตัวออกจากบิดาของเขา และการขออภัยโทษของเขาเป็นการกำหนดขึ้นจากเขาโดยที่เขาไม่ได้ละเมิดกฏเกณฑ์ที่อัลลอฮฺทรงประทานให้แก่เขา แท้จริงอิบรอฮีม อะลัยฮิสสลามได้อ้อนวอนต่ออัลลอฮฺเป็นอย่างมาก ให้อภัยและไม่เอาผิดจากประชาชาติผู้อธรรมของเขา

(115) และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ทรงตัดสินกลุ่มชนใดว่าหลงทาง หลังจากที่พระองค์ได้ทรงชี้ทางที่ถูกต้องให้แก่พวกเขาแล้ว จนกว่าจะทำให้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขาถึงสิ่งต้องห้ามที่จำเป็นต้องห่างไกลจากมัน แล้วเมื่อพวกเขาได้กระทำสิ่งต้องห้ามหลังจากได้ห้ามไว้แล้วก็จะตัดสินว่าพวกเขาเป็นผู้หลงทาง แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้ในทุกสิ่ง จะไม่มีสิ่งใดปกปิดไปจากพระองค์ได้ และแท้จริงแล้วพระองค์จะทรงสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้

(116) แท้จริงสำหรับอัลลอฮฺนั้น อำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงองค์เดียว ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้นที่อยู่บนชั้นฟ้าและแผ่นดินที่ปราศจากความรอบรู้ของพระองค์ได้ พระองค์ทรงให้ชีวิตสำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จะให้เขาเกิด ทรงให้ตายแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จะให้เขาตาย โอ้มวลมนุษย์เอ๋ย นอกจากอัลลอฮฺแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่จะคุ้มครองการงานของพวกท่าน และไม่มีผู้ที่จะให้ความช่วยเหลือพวกท่านจากอันตราย และช่วยเหลือพวกท่านจากศัตรูของพวกท่าน

(117) แท้จริงอัลลอฮฺทรงอภัยโทษให้แก่ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ที่อนุญาตให้บรรดามุนาฟิกีนไม่ต้องร่วมรบในสมรภูมิตะบู๊ก และแท้จริงอัลลอฮฺทรงอภัยโทษให้แก่ชาวมุฮาญิรีน(ผู้อพยพ) และชาวอันศ้อร(ผู้ช่วยเหลือ)แล้ว ซึ่งเขาเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามเขา(นบี)ออกสู้รบในสมรภูมิตะบู๊ก ในสภาวะอากาศที่เร้าร้อน และมีจำนวนน้อยกว่า และศัตรูมีความเข้มแข็ง หลังจากที่จิตใจของชนกลุ่มหนึ่งในพวกเขา เกือบจะรวนเรที่จะไม่ออกไปสู้รบ เพราะความทุกข์ยากลำบากอย่างมาก หลังจากนั้นอัลลอฮฺทรงให้ความง่ายดายแก่พวกเขาเพื่อยืนหยัดที่จะออกสู้รบ แล้วพระองค์ก็ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอ่อนโยนต่อพวกเขา ผู้ทรงกรุณาอยู่เสมอ และหนึ่งในความเมตตาของพระองค์คือการให้กลับตัวกลับใจและตอบรับการขออภัยโทษจากพวกเขา

(118) และอัลลอฮฺทรงอภัยโทษให้แก่ชายสามคน (คือ กะอฺบฺ อิบนุมาลิก มุรอเราะฮฺ อิบนุ อัรร่อบีอฺ และฮิลาล อิบนุอุมัยะฮฺ) ผู้ที่ได้ละทิ้งการกลับใจ และความล่าช้าที่จะตอบรับการกลับใจของพวกเขาหลังจากที่พวกเขาไม่ได้ออกไปทำสงครามพร้อมท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ในสมรภูมิตะบู๊ก และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้สั่งให้มวลมนุษย์ ละทิ้งพวกเขา ทำให้พวกเขาทนทุกข์ทรมานและเศร้าโศกจนกระทั่งแผ่นดินได้คับแคบแก่พวกเขาทั้งๆ ที่มันกว้างใหญ่ไพศาล และทรวงอกของพวกเขาได้แคบลงเพราะความโหดร้ายได้บังเกิดแก่พวกเขา และพวกเจ้าจงรับรู้เถิดว่า ไม่มีที่พักพิงที่ไหนที่พวกจะกลับไปหานอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว แล้วพระองค์ก็ทรงเมตตาปราณีพวกเขาด้วยการตอบรับการอภัยโทษ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษต่อบ่าวของพระองค์ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตาพวกเขาเสมอ

(119) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ผู้เจริญรอยตามเราะซูลของพระองค์ และได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์เอ๋ย จงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ และออกห่างจากข้อห้ามของพระองค์ และจงอยู่กับบรรดาผู้สัตย์จริงในการศรัทธา และการพูดและการงานของพวกเขา และจะไม่มีทางรอดใดๆสำหรับพวกเจ้าเว้นแต่ด้วยความสัตย์จริง

(120) ไม่บังควรแก่ชาวมะดีนะฮฺและชาวอาหรับชนบทที่พักอยู่รอบๆ จะผินหลังให้กับท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม เมื่อได้ออกญิฮาดด้วยตัวของท่านเอง และไม่บังควรที่เขาเหล่านั้นจะเก็บตัวของพวกเองโดยให้เราะซูล ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ปกป้องพวกเขา แต่จำเป็นสำหรับพวกเขาต้องปกป้องเราะซูล ทั้งนี้เนื่องจากความกระหายน้ำก็ดี ความเหนื่อยก็ดีและความหิวโหยก็ดี เพื่อหนทางของอัลลอฮฺนั้นจะไม่ประสบกับพวกเขา และไม่ว่าพวกเขาจะเหยียบย่างไป ณ ที่ใดที่ ทำให้พวกปฏิเสธศรัทธา กริ้วโกรธก็ตาม และพวกเขาจะไม่ได้รับอันตรายจากศัตรูหรือถูกจับหรือพ่ายแพ้ นอกจากผลตอบแทนของการงานที่ดีถูกจารึกไว้แล้วสำหรับพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงทำให้รางวัลของผู้กระทำความดีต้องสูญเสียไปเป็นอันขาด แต่จะตอบแทนอย่างครบถ้วนและจะเพิ่มให้พวกเขามากขึ้นอีก

(121) และพวกเขาจะไม่บริจาคในการบริจาคใดๆ ไม่ว่าจะน้อยหรือมากก็ตาม และพวกเขาไม่เดินผ่านหุบเขาใดๆ นอกจากมันจะถูกบันทึกไว้แก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้บริจาคหรือเดินทางนั้น เพื่อที่ว่าอัลลอฮฺจะทรงตอบแทนให้แก่พวกเขา และให้ผลตอบแทนที่ดียิ่งในสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้ในปรโลก

(122) ไม่บังควรที่บรรดาผู้ศรัทธาจะออกไปสู้รบกันทั้งหมด เพื่อที่พวกเขาจะไม่ถูกถอนรากถอนโคนเมื่อศัตรูมีชัยชนะเหนือพวกเขา ไม่บังควรกว่าหรือที่จะให้กลุ่มหนึ่งออกไปญิฮาด และเหลืออีกกลุ่มเพื่ออยู่กับเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม และทำการศึกษาศาสนาในสิ่งที่พวกเขาได้ฟังมาจากเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม ที่มาจากอัลกรุอ่านและบทบัญญติต่างๆ และพวกเขาจะได้ตักเตือนหมู่คณะของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้กลับมายังหมู่คณะของพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มา โดยหวังที่จะเตือนถึงความทุกข์ทรมานและบทลงโทษของอัลลอฮฺ แล้วพวกเขาก็จะปฏิบัติตามคำบัญชาและห่างไกลจากข้อห้ามของพระองค์ และนี่เป็นกลุ่มทหารที่เราะซูลุลอฮฺส่งไปยังพื้นที่ต่างๆ และเลือกกลุ่มหนึ่งจากบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่าน

(123) อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงบัญชาให้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายสู้รบกับผู้ปฏิเสธที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง ที่เป็นเหตุทำให้เกิดอันตรายแก่บรรดาผู้ศรัทธาเพราะอยู่ใกล้เคียงกัน และพระองค์ก็ทรงบัญชาเช่นกันให้บรรดาผู้ศรัทธาแสดงความแข็งแรงและความรุนแรงเพื่อข่มขวัญและเพื่อป้องกันจากความชั่วร้ายของพวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายที่ยำเกรง ด้วยการช่วยเหลือและการสนับสนุนของพระองค์

(124) และเมื่ออัลลอฮฺได้ประทานซูเราะฮฺหนึ่งลงมาให้เราะซูลของพระองค์ (มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม) แล้วมีหนึ่งในบรรดามุนาฟิกีนได้ถามด้วยความเย้ยหยันว่า: มีใครบ้างในหมู่พวกท่านที่ซูเราะฮฺนี้ที่มุฮัมมัดพามานั้นทำให้มีความศรัทธาเพิ่มขึ้น? สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเชื่อฟังเราะซูลของพระองค์นั้น ได้ทำให้การศรัทธาของเขาเพิ่มขึ้นจากการศรัทธาที่มีอยู่ แล้วพวกเขาก็มีความปิติยินดี ที่วะฮฺยุถูกประทานลงมา ที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของพวกเขาบนโลกนี้และปรโลก

(125) และสำหรับบรรดามุนาฟิกีน การประทานอัลกุรอ่านลงมาที่มีกฏเกณฑ์และเรื่องราวต่างๆ ทำให้โรคและความสกปรกได้เพิ่มแก่พวกเขามากยิ่งขึ้นเพราะการปฏิเสธในสิ่งที่ประทานลงมา และโรคในจิตใจของพวกเขาได้เพิ่มขึ้นเมื่ออัลกุรอ่านได้ประทานลงมาเพิ่มขึ้น เพราะทุกครั้งที่ประทานลงมา พวกเขาจะเกิดข้อสงสัยในสิ่งที่ประทานลงมา และพวกเขาจะตายไปในสภาพที่เป็นพวกปฏิเสธศรัทธา

(126) และบรรดามุนาฟิกีนพวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า พวกเขาถูกทดสอบโดยการเปิดเผยสภาพของพวกเขาและความเสแสร้งของพวกเขาในทุกๆ ปี ครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง? หลังจากที่พวกเขารู้ดีว่าแท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลาคือผู้ทรงกระทำสิ่งนั้นต่อพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยอมกลับเนื้อกลับตัวไปยังพระองค์ในการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา และไม่ละเว้นจากการเสแสร้งของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ทำการใคร่ครวญว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา และแท้จริงแล้วมันมาจากอัลลอฮฺ

(127) และเมื่ออัลลอฮฺทรงประทานซูเราะฮฺหนึ่งลงมาแก่เราะซูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะซัลลัม นั้นได้กล่าวถึงสภาพของบรรดามุนาฟิกีน ที่ต่างคนก็มองตาซึ่งกันและกัน (แล้วถามขึ้นว่า) มีใครเห็นพวกท่านบ้างไหม? เมื่อไม่มีไครมองเห็นพวกท่านก็จงแยกย้ายออกไปจากที่นั่งเถิด อัลลอฮฺจึงทรงให้จิตใจของพวกเขาหันเหออกจากแนวทางที่ถูกต้องและทางที่ดีและละทิ้งพวกเขา แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ไม่รู้อะไรเลย

(128) โอ้ ชาวอาหรับเอ๋ย แท้จริงมีเราะซูลคนหนึ่งจากพวกท่านเองได้มาหาพวกท่านแล้ว เขาเป็นชาวอาหรับเหมือนพวกท่าน เป็นที่ลำบากใจแก่เขาในสิ่งที่พวกท่านได้รับความทุกข์ยาก เขาต้องการที่จะนำทางพวกท่านไปตามทางที่ถูกต้องและห่วงใยเป็นอย่างมาก และเขามาสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาเป็นส่วนใหญ่และเป็นผู้อ่อนโยนและเมตตาเสมอ

(129) หากพวกเขาผินหลังให้เจ้า และไม่ศรัทธาในสิ่งที่เจ้านำมา โอ้ เราะซูลเอ๋ย ก็จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า อัลลอฮฺนั้นเป็นที่พอเพียงสำหรับฉันแล้ว ที่ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ไว้เคารพสักการะด้วยความสัตย์จริงนอกจากพระองค์ และพระองค์เท่านั้น แด่พระองค์เท่านั้นที่ฉันขอมอบหมาย และพระองค์คือเจ้าของบัลลังก์อันยิ่งใหญ่